คือสัญญา
เมื่อน้องสาวไม่พอใจเพื่อนของพี่ชายที่ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา เธอจึงคอยแกล้งเขาต่าง ๆ นา ๆ จนวันหนึ่งเขาได้ถามว่าเธอไม่ชอบอะไรเขานักหนา หากจะเป็นเพื่อนกับเธอต้องทำอย่างไร เธอจึงบอกเงื่อนไขที่เหมือนทำให้เขาต้องเปลี่ยนชีวิตของตัวเองทั้งชีวิตใหม่ ซึ่งได้พลั้งปากออกไปอย่างไม่ทันได้คิดว่า ถ้าเขาทำได้ต่อให้เป็นแฟนก็ยังไหว

เขาจึงถือว่าถ้าเขาทำทุกอย่างครบเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว เธอต้องยอมรับเขาเป็นแฟนด้วย นั่นคือสัญญาระหว่างเขาและเธอ

เขาจะเอาชนะใจเธอได้รึเปล่า ติดตามได้เลยค่า...
Tags: คือสัญญา

ตอน: ตอนที่ 10

ปฏิการยกมือตบหลังร่างสั่นเทาในอ้อมแขนเบา ๆ น้ำตาของเธอไหลซึมจนเสื้อของเขาเปียกชื้น ครู่หนึ่งเธอเริ่มมีสติรู้ตัว และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น จึงขยับตัวถอยออกมา

ไม่มีใครที่จะทุกข์ เศร้า เจ็บปวดได้ตลอดเวลาในปริมาตรความทุกข์ที่มีความหนาแน่นเท่ากันได้ เหมือนกราฟเมื่อขึ้นถึงจุดสุดยอด ย่อมต้องค่อย ๆ ลดลง ความทุกข์ของคนเราก็เหมือนกับน้ำร้อนจัด ที่เมื่อตั้งทิ้งไว้ให้เวลาผ่านไป น้ำนั้นย่อมไม่อาจคงความร้อนเท่าเดิมได้

เขาจับมือเธอขึ้นมากุมไว้เบา ๆ

“นะปริม ไปทานข้าวกันนะ ปรามจะได้ดีใจ ปริมจะได้มีแรงด้วย เดี๋ยวไม่สบายไปอีกคนจะทำไงล่ะ” เขาขอร้องเธออีกครั้ง เฝ้ารอคอยคำตอบที่เธอจะตอบตกลงไปทานข้าวกับเขาอย่างใจจดใจจ่อ

ปริมพยักหน้าช้า ๆ พลางยกมือป้ายน้ำตาข้างแก้ม มองหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสีหน้า แววตา น้ำเสียง ทุกสัมผัสของผู้ชายคนนี้ เต็มไปด้วยความห่วงใยเธอที่สุด นอกจากพี่ปรามแล้ว เขาทำให้เธอรู้สึกว่า คน ๆ นี้เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นห่วงเธอกว่าใคร

ในระหว่างที่ปรามป่วยอยู่ ทุกปัญหาทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา ปฏิการจะยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไข ช่วยเหลือให้ผ่านไปได้ด้วยดีเสมอ ทุกคำพูดของเขาแต่ละคำทำให้เธอได้คิด และจนด้วยเหตุผลที่จะโต้แย้งใด ๆ เธอจะต้องเชื่อมั่นว่าพี่ชายของเธอจะต้องปลอดภัย เธอจะต้องไม่หมดหวัง เธอจะต้องมีกำลังใจ ตั้งใจว่าต่อไปนี้จะดูแลตัวเอง เพื่อรอวันที่พี่ชายของเธอจะฟื้นขึ้นมาอย่างแน่นอน จะทำหน้าที่ของเธอที่ควรทำให้ดีที่สุด

ใช่แล้ว!! ที่เธอมัวทุกข์อยู่นี้ มัวเศร้าโศกอยู่นี้ มันเป็นแค่การคิดไปเองเท่านั้น เหตุการณ์ที่เธอคิดมันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ เธอมัวทุกข์อยู่กับความคิดของตัวเองที่มัวคิดไปเองทั้งนั้น และมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลยจริง ๆ

“ปริม ช่วงนี้ฉันขอไปรับไปส่งปริมนะ ได้มั้ย”

ปริมมองหน้าชายหนุ่ม
“ขอบคุณนายมากนะ ฉันรู้…ที่ผ่านมา ฉันทำให้นายเป็นห่วง นายก็มีงาน ไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะกิจกรรมของชมรม นายมีเรื่องที่ต้องทำมากอยู่แล้ว อย่าลำบากเลยนะ ฉันสัญญาว่าจะดูแลตัวเอง ไม่ทำให้นายต้องเป็นห่วงอีกแล้ว”

“ปริมต้องทำให้ฉันเห็นก่อนว่า ปริมเข้มแข็ง ดูแลตัวเองได้ ทำให้ฉันมั่นใจก่อน แต่ตอนนี้ฉันยังไม่เชื่อหรอก ต้องขอเวลาพิสูจน์ก่อนนะ ช่วงนี้ขอไปรับไปส่งก่อนละกัน โอเคนะ” เขาแกล้งทำหน้าเครียด พูดเชิงบังคับอยู่ในที แต่แอบอมยิ้มอยู่ในใจ

เธอรู้สึกอับอายขายหน้าเขาเหลือเกิน ที่เอาแต่อ่อนแอ ขี้แยให้เขาเห็นอย่างนี้ แถมยังถูกเขากอดไว้ก่อนหน้านี้อีก รู้สึกตำหนิตัวเองอย่างแรง ที่ไม่เข้มแข็งและไม่เอาไหนเสียเลย

หญิงสาวขยับมือออกจากการกุมไว้ของชายหนุ่ม แต่ถูกเขายึดมือเธอไว้ไม่ยอมคืนให้

“ว่าไงล่ะ” เขารอเธออนุญาต ราวกับว่าถ้าไม่ตอบตกลงจะไม่ยอมปล่อยมือเธอ

“ก็ได้!! ยุ่งกับชีวิตฉันจังเลย!!” เธอแกล้งบ่นอย่างรำคาญเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอาย ๆ ที่อยู่ ๆ ก็ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้เลยว่าตลอดเวลาที่ได้อยู่ใกล้ ๆ เขา คน ๆ นี้ทำให้เธอรู้สึกดี อบอุ่น และสบายใจ ปริมรีบกระชากมือตัวเองคืนมาแล้วเดินหนีไป ก่อนที่เขาจะจับความรู้สึกที่แท้จริงของเธอได้ เดินเลี่ยงไปที่เตียงผู้ป่วยกลางห้อง แล้วกระซิบบอกพี่ชายเบา ๆ

“พี่ปราม…ปริมไปกินข้าวก่อนนะคะ แล้วจะมาเยี่ยมใหม่ คราวหน้าพี่ห้ามนอนหลับแบบอีกนี้นะ ต้องตื่นขึ้นมาพูดคุยกับปริมด้วย ไม่งั้นปริมไม่ยอมด้วยล่ะ”

ปฏิการยิ้มออกอย่างโล่งอกโล่งใจ ที่เห็นเธอดูร่าเริงขึ้น และหวังว่าเธอจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นห่วงกังวลใจค่อย ๆ เลือนหายไปบางส่วน เขาเองก็อยากให้เพื่อนรักฟื้นขึ้นมาเร็ว ๆ เหลือเกิน แต่ไม่กล้าแสดงความเป็นห่วงกังวลออกมา กลัวว่าจะทำให้ปริมรู้สึกแย่มากไปกว่านี้ เขาต้องเข้มแข็งเพื่อเป็นหลัก เป็นที่พึ่ง เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้เธอ

==============

ใต้ร่มไม้หน้าชมรมดนตรี แดดยามสายสะท้อนเงาต้นไม้ใหญ่ทาบลงบนพื้นคอนกรีต ลมพัดเย็นสบาย กระดาษสีขาวยับย่นเล็กน้อยสิบกว่าแผ่นอยู่ในมือชายหนุ่มไหวเล็กน้อย กลางหน้ากระดาษเขียนว่า รายชื่อผู้เข้ารอบในการแข่งขันวงดนตรียอดเยี่ยม ปฏิการพลิกดูรายละเอียดแต่ละหน้าอย่างคร่าว ๆ ก่อนจะปล่อยจิตใจดิ่งจมลงกับเหตุการณ์วันก่อนที่เขาต้องคิดถึงแล้วคิดถึงอีก และไม่รู้สึกเบื่อที่จะคิดถึงเลย…แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมานานเป็นเดือนแล้วก็ตาม

ปริมหันมามองทันที ที่เขาเปิดประตูเข้ามาในห้องผู้ป่วย ก่อนจะลุกขึ้นเดินมาหาเขาด้วยรอยยิ้มสดใสของคนมีความสุขเหลือเกิน ประกายสายตาไม่มีความกังวลหม่นหมองฉายอยู่อีกแล้ว รอยยิ้มของเธอทำให้เขาพอจะเดาออกว่า เพราะอะไร?

“การ…พี่ปรามฟื้นแล้วล่ะ!!” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงดีใจสุดขีด พลางจับมือเขาบีบไว้แน่นอย่างลืมตัว ราวกับเก็บสะสมความรู้สึกดีใจเอาไว้อย่างมากมาย เพื่อรอที่จะบอกกล่าวกับเขาให้รับรู้

“จริงหรอ!!” หนุ่มผมยาวทำหน้าตาตื่นเต้นไม่แพ้กัน แล้วพากันเดินเร็ว ๆ ไปยังเตียงคนไข้ที่อยู่กลางห้อง เขารู้สึกโล่งจิตโล่งใจ เหมือนยกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก เหมือนโซ่ตรวนแห่งความกังวลใจถูกปลดออกแล้ว

ต่างคนต่างหันมายิ้มให้กันอย่างดีอกดีใจ เพื่อส่งผ่านความรู้สึกดีดีให้แก่กันและกัน

“พ่อมาตรวจแล้ว บอกว่าสมองไม่มีอะไรกระทบกระเทือนด้วยล่ะ ฉันดีใจที่สุดเลย”

“เห็นมั้ย บอกแล้วว่าปรามจะไม่เป็นอะไร” เขามองเธอยิ้มแย้มอย่างมีความสุข ไม่ได้เห็นเธอยิ้มอย่างเต็มยิ้ม ยิ้มออกมาจากหัวใจที่มีความสุขแบบนี้นานแล้ว…นานเหลือเกิน…

เขาอยากขอบคุณเธอที่ให้ความเป็นกันเอง ให้ความสนิทสนม เชื่อใจ ไว้ใจกับเขาขนาดนี้ มองมือของเธอที่จับมือของเขาเอาไว้แน่น อยากให้เราต่างรู้สึกดีดีแบบนี้ต่อกันตลอดไป

มีสิ่งหนึ่งแวบขึ้นมาในจิตใจ และสิ่งนั้นเองบอกกับเขาอย่างมั่นใจและแน่ใจที่สุดว่า เขาค้นพบหัวใจของตัวเองแล้ว และคน ๆ นี้เองที่เขาอยากดูแลเธอตลอดชีวิต ตลอดช่วงเวลาที่เขายังมีลมหายใจอยู่

เขาชอบเธอจริงหรือ? หรือแค่เพียงต้องการเอาชนะเธอเท่านั้น?

ตอนนี้เขารู้คำตอบของคำถามนี้ เขาตอบคำถามนี้ได้แล้ว มีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นในจิตใจของเขา เขารู้ว่า… เขาไม่ได้ชอบเธอแล้วขณะนี้ แต่…เป็นความรู้สึกที่มีมากกว่านั้น…

“ฉันรักเธอ…ปริม….”

เขาได้แต่แอบบอกเธออยู่ในใจ เหตุการณ์ที่ผ่านมาสอนเขาว่าเขาควรจะเงียบมากกว่าที่จะต้องบอกความรู้สึก ความต้องการข้างในให้เธอรับรู้ เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามจะบอกเธอ เธอต้องแสดงความอึดอัดรำคาญใจทุกครั้ง เธอต้องไม่พอใจ โกรธเขาทุกที และต่อไปนี้เขาตั้งใจแล้วว่า จะไม่บอกเธออีกเลย จะเก็บความรู้สึกที่แสนดีนี้เอาไว้ จะเก็บไว้ในใจเงียบ ๆ คนเดียว แค่ได้รักเธอแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

เขาไม่รู้ว่าความรักของคนอื่นคืออะไร แต่รู้ว่าความรักของเขาคือ การที่ได้เห็นคนที่เขารักมีความสุข ยิ้มได้ หัวเราะได้ อยากทำให้คนที่เขารักมีความสุข อยากทำให้เฉย ๆ อยากทำให้จริง ๆ แค่อยากทำให้ ไม่คิดว่าต้องได้รับอะไรตอบแทน แค่รู้สึกว่าอยากทำให้รู้สึกดีดีเท่านั้นเอง

เหมือนเธอจะรู้และสัมผัสความรู้สึกของเขาได้ สายตาของเขาที่มองมาสร้างความหวั่นไหวในหัวใจของเธอไม่น้อยเลย ไม่มีคำพูดใด ๆ แต่รู้สึกเหมือนสายตาของเขาบอกหลายสิ่งหลายอย่างที่มากมายกว่าคำพูดเสียอีก ปริมหลบสายตาชายหนุ่ม พยายามเก๊กหน้าเรียบเฉย ทำไม่รู้ไม่ชี้ พยายามทำหน้าตาให้ปกติที่สุด รีบถอนมือตัวเองกลับไป แต่ถูกชายหนุ่มรั้งเอาไว้

“นี่!! รู้นะว่าคิดอะไรอยู่” แกล้งทำเสียงเอาเรื่องกลบเกลื่อนความรู้สึกเขินอายที่ปะทุขึ้นมาอีกแล้ว ไม่รู้ทำไมต้องรู้สึกอย่างนี้ด้วยนะ แต่ไม่อาจปกปิดความรู้สึกดังกล่าวได้มิด

“รู้อะไร ไหนลองบอกมาซิ ถ้ารู้ผิดล่ะก้อ…ต้องถูกลงโทษนะ” เขาอมยิ้มแกล้งถาม สายตามองปฏิกิริยาของเธอตลอดเวลา เวลานี้เธอดูน่ารักเหลือเกิน

“ไม่รู้แล้ว ตอนนี้คิดไม่ออก ไปห้องน้ำก่อนนะ” เธอรีบผลุนผลันเดินหนีเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย

============

“พี่การรรรรรรรรรร!!!” เสียงรุ่นน้องในชมรมดนตรีมายืนเรียกอยู่ข้างหู ลากเสียงยาวเฟื้อย หลังจากเห็นรุ่นพี่นั่งอมยิ้มคนเดียวอย่างเหม่อลอย

ชายหนุ่มสะดุ้ง!! ตื่นจากภวังค์ทันที!!

“ใจลอยน้า…พี่การ จะได้เวลาประกวดการแข่งขันแล้วพี่ เข้าประจำโต๊ะกรรมการได้แล้ว”

ปฏิการยิ้มอย่างเขิน ๆ พูดอะไรไม่ออก รีบกระวีกระวาดลุกขึ้นหยิบกระดาษขาวเดินตามรุ่นน้องไปทันที

เวทีการประกวดจัดขึ้นกลางสนามบาสเก็ตบอลกลางแจ้ง บนเวทีมีฉากสีสันสวยสดงดงามได้รับความช่วยเหลือจากชมรมศิลปกรรม ลำโพงตัวใหญ่สีดำขนาบข้างซ้ายขวา เครื่องดนตรีทุกชิ้น อุปกรณ์ทุกอย่างพร้อมที่จะบรรเลงเพลงแล้ว คู่หูพิธีกรหนุ่มสาวแสนสวยและหล่อเหลาหน้าตาน่ารัก พูดจาคล่องแคล่ว แถมเจนเวทีเป็นอย่างดี กำลังแนะนำผู้เข้าแข่งขันคนแรกแล้ว บรรดานักศึกษาหนุ่มๆ สาวๆ ต่างให้ความสนใจมานั่งรอดูอย่างหนาแน่น บ้างก็รวมตัวกันมาเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ กลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย บ้างก็มาเป็นคู่ บ้างก็มาคนเดียว สนามบาสเก็ตบอลจึงดูเล็กไปถนัดตา แม้แดดจะเริ่มส่องแสงกล้าในยามใกล้เที่ยงวันเข้าไปทุกทีแล้วก็ตาม แต่กองเชียร์ยังไม่มีใครถอยหนี ต่างพกเสียงเชียร์ เสียงกรี๊ดกันมาเต็มที่

ปฏิการและคณะกรรมการทำงานกันอย่างขมักเขม้น นี่เป็นการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ จากผู้ผ่านเข้ารอบ 10 วงดนตรี แต่ละวงเล่นดี วาดฝีไม้ลายมือกันอย่างเต็มที่เต็มความสามารถจนคณะกรรมการผู้ตัดสินหนักใจ จนมาถึงวงดนตรีวงสุดท้าย หนุ่มเซอร์นักร้องนำประจำวงกล่าวทักทายท่านผู้ชม

“เพลงที่ผมจะร้องต่อไปนี้ ขอมอบให้กับผู้ที่มีความรักอยู่ในหัวใจทุกคนนะครับ อย่าลังเลครับ หากคุณรู้สึกดีดีกับเขา จงทำตามเพลงนี้นะครับ เพลงแค่บอกว่ารักเธอ ของหมีพูห์ครับ หวังว่าทุกคนคงจะชอบ และมีความสุขทุกคนนะครับ” สิ้นเสียงนั้น เสียงกีต้าเริ่มโซโล่ขึ้นมาก่อน มือเบสและมือกีต้าพากันคลอรัสประสานเสียงนำขึ้นมา

ทนกับตัวเองมานานเหลือเกิน
ใครๆเขาก็ยังเมิน
ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีคู่ครอง

ประโยคแรกที่นักร้องนำขึ้นเสียงร้อง เรียกเสียงปรบมือจากบรรดาท่านผู้ชมดังเกรียวกราวลั่นสนาม เขาร้องเพลงได้ดีมาก และเลือกเพลงได้เหมาะกับโทนเสียงของตัวเอง

เธอมีใครหลายคนหมายปอง
ฉันเองก็ยังคอยมอง
แต่ไม่กล้าเหมือนเดิมจะทำฉันใด

* ถ้าหากรักนี้ ไม่บอกไม่พูดไม่กล่าว
แล้วเค้าจะรู้ว่ารักหรือเปล่า
อาจจะไม่แน่ใจ
อยากให้เขารู้ ฉันคงต้องแสดงออก
ไม่ใช่ให้ใครเค้าบอก
หรือว่าให้เค้าเดาเองว่ารักเธอ
(เธอต้องรักเขา)

ทนอึดอัดใจมานานหลายปี
ไม่กล้าใกล้เธอซักที
เจอกี่ครั้งก็ยังเป็นอยู่เช่นเคย
คุยกับตัวเองทำไมต้องกลัว เจอทีไร
ใจมันเต้นรัว ทั้งที่บอกกับตัวเองเรื่อยมา ว่า...

(*)

ใครจะไปคิดเอาเอง ว่าเองว่าเธอนั้นมีใจ
มันง่ายเกินไป เหมือนว่าหลงตัวเอง
เอ่ยไปเลยว่ารักไม่ต้องเกรงใจใคร
จะยากอะไร ก็แค่บอกว่าฉันรักเธอ

(*)

เค้าอาจจะบอกรักเธอ

นอกจากจะร้องเพลงได้ดีแล้ว การกล้าแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นกันเองกับผู้ชม ขณะร้องเพลงออกเสียงอักขระได้ชัดเจน ตัวควบกล้ำ ออกเสียงได้อย่างถูกต้อง และในวรรคที่ต้องขึ้นเสียงสูง สามารถขึ้นเสียงสูงได้ดีทีเดียว

ปฏิการขยับปากกาในมือลงในช่องสี่เหลี่ยม เพื่อลงคะแนนเต็มให้เลย เขาเคยได้ยินเพลงนี้มาบ้าง แต่ไม่เคยสนใจฟังอย่างจริงจัง แต่วันนี้ เขากลับไม่รู้สึกเฉย ๆ เหมือนที่เคยฟังผ่านมา เขารู้สึกว่าเพลงนี้โดนใจตัวเองอย่างแรง มันสะกิดหัวใจของเขาเหลือเกิน

ที่เคยคิดว่าจะไม่บอกกับปริมอีกแล้วว่ารู้สึกอย่างไรกับเธอ จะเก็บไว้เงียบ ๆ คนเดียว ตอนนี้ความตั้งใจนั้นเริ่มไขว้เขวซะแล้ว…..


http://www.kapook.com/newmusicstation/play.php?id=642 (ใครต้องการฟังเพลงนี้นะคะ คลิกเลยค่ะ)


==============

วันงานประจำปีของมหาวิทยาลัยที่ปริมและปฏิการศึกษาอยู่ได้เวียนมาถึงอีกครั้ง เป็นงานที่เน้นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมประเพณีไทย มีทั้งขบวนแห่และพิธีต่าง ๆ มากมาย มีการจัดเป็นซุ้มต่าง ๆ ทั้งซุ้มสอยดาว ซุ้มความรู้ ซุ้มอาหารไทย ซุ้มขนมไทย ซุ้มการละเล่นไทย เป็นต้น บริเวณงานถูกประดับประดาด้วยวัสดุธรรมชาติและผ้าไทย ๆ ไว้อย่างสวยงาม ให้บรรยากาศย้อนยุค ได้กลิ่นอายของความเป็นไทย

ปริมมาถึงมหาวิทยาลัยแต่เช้าตรู่ ยืนจัดดอกไม้อยู่หลังฉากเงียบ ๆ คนเดียว เธอรับหน้าที่อยู่ซุ้มดอกไม้ไทยกลิ่นดอกไม้สดชื่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณ อากาศยามเช้ากำลังแจ่มใส ลมพัดผ่านฉากเข้ามาอย่างอ่อนโยน

ปฏิการเดินผ่านมาทางหลังฉาก เขากำลังเดินตามหาเธอนั่นเอง…รอยยิ้มบาง ๆ ปรากฎขึ้นบนใบหน้า เขารู้สึกว่าวันนี้เธอสวยเป็นพิเศษ เสื้อสีเข้มที่เธอสวมสีตัดกับดอกไม้สีหวานสดในมือเธอ ทำให้เธอดูน่ารักสดใส เหมือนคำที่บอกว่า ผู้หญิงควรคู่กับดอกไม้ เขามองเธอเพลินกับการจัดดอกไม้อยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินอย่างเงียบกริบเข้าไปหาทางข้างหลัง

“ปริม” เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ แล้วกระซิบเรียกเธอเบา ๆ ได้กลิ่นหอมของพวงมาลัยดอกมะลิจาง ๆ ที่วางอยู่ข้างหน้าเธอ

หญิงสาวหันขวับมาทางต้นเสียง

“นายปฏิการ!”

ปริมตกใจรีบถอยฉากออกมา แล้วยืนมองเขาอย่างงงงัน แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นักร้องดังวงสตริงอันดับหนึ่งของมหาวิทยาลัยอยู่ในชุดราชปะแตน เสื้อคอพระราชทานสีขาว นุ่งโจงกระเบนสีม่วงเข้ม สวมถุงเท้ายาวสีขาว ร้องเท้าหนังสีดำเป็นมัน ที่สำคัญผมตัดสั้นหวีใส่น้ำมันเรียบแปล้ ดูสะอาด สะอ้าน คิ้วหนาเข้มเสริมให้หน้านั้นคมเข้มขึ้น ร่างสูงทำให้เขาดูสง่าผ่าเผย

ปฏิการยิ้มกริ่มเมื่อเห็นเธอมองเขาอย่างตะลึงงัน เข้าข้างตัวเองว่า ต้องตกตะลึงในความหล่อเหลาของตัวเขาเองเป็นแน่แท้

“ว่าไง…หวังว่า เธอคงไม่ลืมสัญญาระหว่างเรานะ”

ปริมเริ่มอึก ๆ อัก ๆ เมื่อเขาเริ่มทวงสัญญาอีกแล้ว

“ฉันก็รับนายเป็นเพื่อนแล้วไงล่ะ รับนายเป็นเพื่อนตั้งแต่ตอนไปแคมป์ไง ตอนดูดาวนายจำไม่ได้หรอ” เธอทำไม่รู้ไม่ชี้ แม้จะรู้ดีว่าสัญญาของเขาหมายถึงอะไร ชักหายใจไม่ค่อยทั่วท้องชอบกล

ตายละหว่า…!! เขาทำตามสัญญาได้หมดทุกข้อแล้ว คราวนี้เธอจะปฏิเสธคำสัญญาระหว่างเธอกับเขาไม่ได้อีกแล้ว

ชายหนุ่มยิ้ม “ถ้ามากกว่าเพื่อนล่ะ” พลางสาวเท้าเข้าไปใกล้อีกนิด

“ได้คืบจะเอาศอกหรือไง!” น้ำเสียงเธอเริ่มห้วนขึ้นเล็กน้อย

“ก็เธอพูดเองนี่…”

ปริมอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก ต้องโทษตัวเองที่พลั้งปากพูดออกไปอย่างนั้นได้ยังไง ทำอะไรเขาไม่ได้ซักอย่าง ได้แต่จ้องหน้าเขาอย่างเคือง ๆ นี่เขาต้องการทำให้เธอจนมุมหรือไง

“คืบกับศอกไม่อยากได้หรอก” เขาเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนพูดต่อไป

“แต่…อยากได้หัวใจของปริมน่ะ ได้รึเปล่า”

ดอกไม้ที่ถืออยู่ในมือหลุดร่วงหล่นลงบนพื้น ปริมรู้สึกหน้าชาวาบขึ้นมาทันที บ้าชะมัดมาขออะไรกันดื้อ ๆ เช้าตรู่อย่างนี้นะ

“แล้วของแถมล่ะ ลืมรึเปล่า” เขายื่นหน้ามากระซิบบอกเบา ๆ น้ำเสียงยียวนกวนประสาทอยู่ในที

“หรือว่า เปลี่ยนให้ฉันหอมแทนก็ได้นะ แค่นี้เองไม่เป็นปัญหาสำหรับฉันเลย ฉันทำให้ได้ สบายมาก”
“บ้าสิ! อย่ามาทะลึ่งกับฉันนะ” ปริมตะหวาดเสียงเขียว

หญิงสาวรีบถอยตัวออกห่าง กลุ้มหนักกับคำถามก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี คำถามใหม่ดันเข้ามาทำให้ปวดหมองอีกแล้ว ก้มลงหยิบดอกไม้ที่หล่นลงบนพื้น

“เอ้า! เร็วสิ! หรือว่าเธอจะเบี้ยว! ฉันจะได้จำเอาไว้ว่า คำพูดของเธอเชื่อถือไม่ได้”

ปริมได้แต่นิ่งเงียบ สมองกำลังครุ่นคิดทำงานอย่างหนัก จะเลี่ยงเขาอย่างไรดีจึงจะไม่เสียคำพูด และเธอไม่เคยเสียคำพูดกับใคร

“ก็ได้…” เธอตัดสินใจ เอาไงเอากันวะ!

“หลับตาก่อนสิ”



ริเศรษฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ธ.ค. 2556, 23:13:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ธ.ค. 2556, 23:13:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1177





<< ตอนที่9   ตอนที่ 11 ตอนจบค่า...^^ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account