มธุรัตน์เสน่หา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อนักเขียนสาวจิตป่วนโคจรมาพบกับหนุ่มเจ้าของไร่เจ้าระเบียบ ความหื่นฮารั่วจึงบังเกิดขึ้น:"รสจูบมันเป็นยังไง" เจ้าหล่อนไม่ถามเปล่าแต่กระชากคอเขามาจูบด้วย แถมยังจดโน้ตหน้าตาเฉยว่า'รสจูบ = กาแฟ' โอ้ยยย! อยากบ้า!
Tags: หนุ่มชาวไร่ สาวนักเขียน โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกแปลก ฮา รั่ว อ่านสบายคลายเครียด

ตอน: บทที่ 11 สงครามรัก

บทที่ 11 สงครามรัก

ช่วงหัวค่ำคือช่วงเวลาที่ภูมิกรจะเริ่มทำงานอดิเรกของตัวเอง ซึ่งก็คือการต่อเรือในขวด ชายหนุ่มหลงใหลการทำงานศิลปะที่ต้องใช้เวลาและความใจเย็นนี้มาร่วมแปดปี จึงลงทุนดัดแปลงห้องใต้ดินเอาไว้เพื่อทำงานอดิเรกโดยเฉพาะ

ระยะเวลาการสร้างเรือแต่ละลำนั้นขึ้นอยู่กับความละเอียดของชิ้นงานและเวลาว่างเท่าที่มี ผลงานชิ้นเอกของเขาคือเรือสำเภาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่น ภูมิกรรักและหวงมันมากเพราะใช้เวลาและความทุ่มเทกับมันมากว่าสามปี จึงสำเร็จเป็นรูปร่างได้ดังที่เห็น

ตอนนี้ภูมิกรกำลังพยายามประกอบเรือรบ เขาเพิ่งได้แบบมาไม่นานก็เลยรู้สึกเห่อเป็นพิเศษ ชายหนุ่มยังคงนั่งประกอบเรืออย่างใจเย็น ตอนได้ยินเสียงล้อรถเสียดสีกับถนนดังเอี๊ยด และเสียแตรดังลั่นสนั่นของรถ BMW ที่น้องสาวยืมไปขับ

สักพักเขาก็ได้ยินเสียงคนรับใช้โวยวายว่าชมพูนุทขับรถชนกระถางต้นไม้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่นึกห่วงเพราะมันไม่ใช่รถคันโปรดของเขา จนกระทั่งได้ยินเสียงเสียงแก้วแตกดังสนั่น ภูมิกรจึงยอมวางมือแล้วรีบวิ่งขึ้นไปดูสถานการณ์ข้างบน

“อะไรแตก!” ชายหนุ่มร้องถามเสียงดัง

พอเห็นว่าเป็นแจกันราคาถูกเขาก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วปราดเขาไปหาเรือสำเภาลูกรัก พร้อมกับประคองกอดมันเอาไว้อย่างหวงแหน

“เกือบไปนะลูกพ่อ”

แจกันวางอยู่ห่างจากเรือสุดรักสุดหวงของเขาไม่เท่าไร พอหันไปเห็นใบหน้าบูดบึ้งของน้องสาว เขาก็รีบอุ้มลูกรักไปเก็บเอาไว้ในห้องนอน ก่อนที่มันจะกลายเป็นเหยื่ออารมณ์ของชมพูนุทเป็นอย่างต่อไป

ชมพูนุทมีนิสัยเสียที่แก้ไม่หายคือเวลาโกรธจัดจะพาลไปลงกับข้าวของ แต่คนในครอบครัวก็ไม่ว่าอะไร เพราะนานทีปีหนหญิงสาวจะโกรธขนาดนี้สักที

ช่วงเวลาที่ชมพูนุทกำลังอาละวาด บิดาก็โทรศัพท์มาหาภูมิกรพอดี ราวกับจะรู้ว่าลูกสาวคนเล็กกำลังมีปัญหา

“พิงค์ไปไหน ทำไมไม่รับสายพ่อกับแม่” นายภักดีถามอย่างร้อนใจ

ชมพูนุทไม่เคยไม่รับโทรศัพท์มาก่อน หญิงสาวพกมันติดตัวตลอดราวกับเป็นปัจจัยที่ห้า

“อยู่นี่แหละพ่อ กำลังอาละวาดพังบ้านภูมิอยู่ ไม่รู้ไปกินรังแตนที่ไหนมา”

“ปล่อยน้องไปเถอะ เพิ่งหย่ามา ใครจะไปอารมณ์ดีได้” นายภักดีเข้าข้างลูกสาวในทันที เนื่องจากชมพูนุทเป็นลูกสาวคนโปรด

“ไม่สนก็ได้ แต่ผมส่งบิลไปเรียกเก็บที่พ่อนะ ของที่ยัยพิงค์ทำพังราคาไม่กระจอกนะพ่อ”

“เอ่อ...อยากเรียกเท่าไรก็ตามใจ แต่ลงไปดูน้องหน่อย พ่อเป็นห่วงว่าจะมีอะไรบาดเอา”

ชมพูนุทได้รับการตามใจแบบเกินขอบเขตจากบิดาเสมอ แต่ภูมิกรก็ไม่เคยนึกริษยา เพราะเขาเองก็เป็นลูกคนโปรดของมารดาเช่นกัน ความจริงต้องขอบคุณพ่อด้วยซ้ำที่ไม่ตามใจเขามากเท่าน้อง ไม่อย่างนั้นก็คงเสียคนไปแล้ว เพราะนิสัยวัยรุ่นชายที่กำลังคะนองย่อมออกนอกลู่นอกทางได้ง่ายกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว

“ครับๆ เสียงเงียบพอดี งั้นผมลงไปดูเลยแล้วกันนะพ่อ ฝากหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่ๆ ด้วยนะครับ”

เมื่อวางสายจากบิดาแล้ว ภูมิกรก็เดินลงไปชั้นล่าง แต่ยังไม่รีบร้อนเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุ ชายหนุ่มชะโงกหน้าดูให้มั่นใจเสียก่อนว่าน้องสาวหยุดอาละวาดแล้ว

บริเวณทางเข้าห้องโถง ไม่ได้มีเพียงแต่เขาที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ แต่ยังมีเด็กรับใช้ยืนหน้าซีดอยู่อีกคน เด็กสาวเพิ่งมาอยู่ใหม่ได้ไม่นาน จึงไม่รู้นิสัยใจคอของชมพูนุท พอเห็นหญิงสาวขว้างปาข้าวของก็เลยตกใจกลัวจนตัวสั่น

“ไม่ต้องตกใจ คุณพิงค์เขาแค่อารมณ์ไม่ดีน่ะ เดี๋ยวก็หาย จะไปไหนก็ไปเถอะ อีกสักชั่วโมงค่อยมาทำความสะอาดก็แล้วกัน” ภูมิกรหันไปปลอบ

“ค่ะ” เดือน เด็กรับใช้วัยสิบเจ็ดรีบพยักหน้ารับ แล้ววิ่งหายออกไปจากสายตาในทันที

เมื่อคนนอกออกไปแล้ว ภูมิกรจึงเดินเข้าไปหาน้องสาวที่นั่งหน้าบึ้งอยู่ในห้องรับแขก

“เป็นอะไรไปเจ้าหญิง ใครทำให้กริ้ว”

“พี่พลน่ะสิ เห็นนังนั่นดีกว่าพิงค์”

“ที่เราพูดถึงนี่แฟนใหม่เขาใช่ไหม อย่าลืมสิว่าเลิกกันไปตั้งสี่ปีแล้วนะพิงค์ เขาจะมีแฟนใหม่สักคนสองคนมันก็ไม่เห็นแปลก”

ภูมิกรพยายามจะเตือนสติน้อง เขาเข้าใจว่าชมพูนุทช็อกเรื่องที่พลวัตมีคนอื่น แต่มันก็ไม่น่าจะถึงขั้นต้องมาอาละวาดอย่างนี้

“ถ้าแฟนใหม่พี่พลเป็นคนธรรมดา จะมีสักสิบสักร้อยพิงค์ก็ไม่ว่าหรอก แต่นี่ร้ายลึกเป็นบ้า แกล้งป่วยเรียกร้องความสนใจซะเนียน ฝีมืออย่างกับดาราตุ๊กตาทอง”

ฟังแล้วภูมิกรก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ก็รู้กันอยู่ว่าน้องสาวเขานั้นร้ายตัวแม่ ลองได้บอกว่าคนอื่นร้ายแล้ว เห็นทีผู้หญิงคนนี้จะใช่ย่อย

“จะยอมแพ้ไหมละ พี่มีเพื่อนดีๆ แนะนำให้ถมไป จำไอ้เวย์ได้ไหม ทุกวันนี้มันก็ยังชอบพิงค์อยู่เลย ไม่ยอมมีลูกมีเมียสักที”

“อี๋! ตาเชยนั่นน่ะเหรอคะ ไม่มีทาง พิงค์ยอมโสดต่อไปดีกว่าถ้าต้องคบตานั่น” หญิงสาวเบ้ปากอย่างขยะแขยง

เพื่อนพี่ชายเธอคนนี้แม้ฐานะทางสังคมจะเท่าเทียมกัน แต่อุปนิสัยจืดชืดน่าเบื่อยิ่งกว่าพลวัตเป็นร้อยเท่า ที่สำคัญยังสวมแว่นหนา ตาตี่ มองอย่างไรก็อาตี๋ผมบางหน้าจืด ไม่ใช่สเป็คเธอเลยสักนิด

“มันเปลี่ยนไปแล้วนะ หล่อขึ้นจม”

“ไม่สนค่ะ ถ้าไม่ได้พี่พล พิงค์ยอมขึ้นคานดีกว่า” หญิงสาวเอ่ยอย่างดื้อรั้นตามนิสัย

“แล้วจะทำไงต่อ”

“ไม่รู้ รู้แต่อารมณ์เสีย”

พูดจบหญิงสาวก็เดินกระแทกเท้าโครมๆ เดินหนีไป

“ระวังเศษแก้วด้วย เป็นอะไรไปเดี๋ยวพ่อมาด่าพี่อีก” ภูมิกรตะโกนไล่หลังน้องสาว

ชมพูนุทไม่ได้ใส่ใจฟังคำเตือนของพี่ชาย แต่ก็ยังเดินออกจากห้องนั่งเล่นที่เลอะเละเทะได้โดยไม่ถูกอะไรบาด

หญิงสาวตรงไปที่ห้อง แล้วกระแทกประตูดังโครม ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างครุ่นคิด

เธอจะต้องหาวิธีกำจัดผู้หญิงคนนี้ออกไปจากชีวิตพลวัตให้ได้ ถึงตอนนี้เธอจะยังคิดไม่ออก แต่มันก็ต้องมีสักทางล่ะน่า


หลังครุ่นคิดมาตลอดทั้งคืนและได้นอนหลับอีกห้าชั่วโมง ชมพูนุทก็ตื่นมารับยามสายด้วยแผนการใหม่

‘ในเมื่ออีกฝ่ายร้ายลึก เธอก็จะขอร้ายให้ลึกกว่าให้ดู’

ชมพูนุทไม่เชื่อเลยสักนิดเดียวว่า ท่าทีสงบเยือกเย็นที่มธุรัตน์แสดงออกคือตัวตนที่แท้จริงของหญิงสาว เพราะผู้หญิงแบบนี้ไม่มีทางชนะใจพลวัตได้แน่ ลับหลังเธอแม่นั่นคงจะออดอ้อนฉอเลาะพลวัตน่าดู เขาถึงได้ดูใส่ใจและแก้ต่างให้ทุกอย่างขนาดนั้น

ดังนั้นเธอจะลองเล่นสงครามจิตวิทยากับมธุรัตน์ดูสักตั้ง ไม่ช้าก็เร็วอีกฝ่ายจะต้องเผยธาตุแท้ออกมาแน่ และเธอจะได้รับบทเป็นนางเอกน่าสงสาร ที่ต้องมาโชคร้ายรองรับอารมณ์ของแฟนสาวขี้หึงไร้เหตุผล

ชมพูนุทเริ่มแผนการด้วยการโทรศัพท์หาพลวัต แล้วสอบถามอาการของมธุรัตน์อย่างห่วงใย

“น้ำผึ้งไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ตอนนี้ตัวก็หายแดงแล้ว”

“ดีจังนะคะที่เป็นไม่เป็น พิงค์ใจเสียหมดเลยตอนเห็นพี่พลอุ้มพาส่งโรงพยาบาล”

“ขอโทษด้วย ผมตื่นตูมไปเอง”

“ตอนนี้น้ำผึ้งอยู่ที่ไหนคะ ที่บ้านหรือโรงพยาบาล”

“ที่บ้าน ถามทำไมเหรอ”

“ถ้าอย่างนั้นพิงค์จะแวะไปเยี่ยมหน่อยนะคะ พี่พลไม่ว่าใช่ไหมคะ”

“ไม่ครับ เชิญเลย” พลวัตรับคำด้วยความแปลกใจ

ตามนิสัยแล้วชมพูนุทจะใส่ใจก็แต่คนใกล้ตัวหรือที่สนิทจริงๆ เท่านั้น ขนาดตอนลุงพฤกษ์ป่วย เขาชวนไปเยี่ยม เธอยังอิดออดบ่นว่าไม่ชอบกลิ่นโรงพยาบาล แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น พลวัตก็ไม่ได้สะกิดใจอะไร ชายหนุ่มคิดแต่เพียงว่าเธอทำไปตามมารยาท เพราะอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตอนที่มธุรัตน์แพ้อาหาร และของที่เป็นต้นเหตุคือสตูที่เธอทำ

‘คงจะรู้สึกผิด’ ชายหนุ่มบอกกับตัวเองให้คิดในแง่ดี แล้วไม่ได้ใส่ใจอะไรอีก

ทางด้านชมพูนุทเมื่อวางสายจากพลวัตแล้ว หญิงสาวก็สั่งให้ห้องครัวทำพายแอปเปิล เพื่อที่จะได้เอาไปเป็นของเยี่ยม หรือเรียกให้ถูกก็คือ ‘อาวุธ’ สำหรับเตรียมเปิดฉากสงครามเย็น

หญิงสาวแต่งตัวสวยไปที่บ้านของพลวัตในตอนบ่าย เธอถือพายแล้วกรีดกรายไปเคาะประตูด้วยท้วงท่าสุดแสนจะสง่า พอมธุรัตน์เปิดประตูให้ ชมพูนุทก็ต้องสะดุ้ง กับสภาพผมปรกหน้าและนัยน์ตาขวางๆ ของเธอ

มธุรัตน์ยังคงอยู่ในชุดนอน และความอึมครึมในตอนนี้อยู่ในระดับที่เรียกว่ายกกำลังสอง เพราะเธอยังไม่ได้พักผ่อนเลยตั้งแต่เมื่อคืน หลังจากกลับจากโรงพยาบาล เธอก็ได้ไอเดียใหม่ในการแต่งนวนิยาย ก็เลยขอยืมคอมพิวเตอร์ของพลวัต แล้วส่งพล็อตละเอียดไปให้บรรณาธิการอ่าน เพื่อที่จะได้ลงมือเขียนเป็นเรื่องต่อไปหลังจากเธอเขียนนวนิยายโรมานซ์ได้สักเล่มแล้ว

“เชิญ”

เสียงเย็นๆ ของหญิงสาวทำให้ชมพูนุทขนลุกเกรียว เธอเตรียมใจมาก่อสงครามเย็นก็จริง แต่ไม่ใช่เย็นแบบสยองขวัญอย่างนี้ เธอจึงละล้าละลังที่จะเข้าไปในตัวบ้าน

เมื่อเห็นว่ามธุรัตน์เดินนำเข้าไปโดยไม่สนใจตัวเอง หญิงสาวก็กลั้นใจเดินเข้าไปเพราะคิดว่าเป็นคำท้า

ชมพูนุทเหลียวมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง เพราะบรรยากาศในบ้านตอนนี้ค่อนข้างสลัว เนื่องจากมธุรัตน์ปิดประตูหน้าต่างและเอาม่านลงจนหมด

ที่แรกมธุรัตน์จะเข้านอนอยู่แล้ว แต่พลวัตโทรศัพท์มาบอกเสียก่อนว่าชมพูนุทจะแวะมาหา เธอก็เลยต้องถ่างตารอ แสงแดดทำให้เธอรู้สึกปวดหัว หญิงสาวเลยจัดการทำบ้านชั้นล่างให้มืดให้มากที่สุด

มธุรัตน์เดินตัวเซไปรินน้ำหวานสีแดงคล้ายเลือดมาให้แขก แล้วหลบไปนั่งกอดเข่าอยู่บริเวณมุมมืดของบ้าน

พฤติกรรมประหลาดของมธุรัตน์ทำให้ชมพูนุทพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน กว่าจะเรียกสติตัวเองให้กลับมาได้ หญิงสาววางของเยี่ยมลงบนโต๊ะ แล้วขยับอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไปหามธุรัตน์

“พี่ทำพายมาให้ค่ะ น้ำผึ้งหายป่วยแล้วใช่ไหม”

“ไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณ” หญิงสาวพูดเสียงยานคาง ขณะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย

อยู่ๆ ดวงตาหรี่ปรือของมธุรัตน์ก็เป็นประกายคมกล้าอย่างประหลาด ไม่รู้ว่าชมพูนุทอุปมาไปเองหรือเปล่า แต่มันคล้ายกับแววตาของคนที่กำลังโดนผีเข้า

“ทะ...ทำไม จ้องพี่อย่างนั้นล่ะคะ” หญิงสาวถอยร่นออกมาหลายก้าวด้วยความตกใจ

“คุณสวยจัง เหมาะกับเลือด” มธุรัตน์แสยะยิ้มแล้วหัวเราะหึๆ ในลำคออย่างน่ากลัว

หญิงสาวคิดมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะใช้ใครเป็นแบบตัวละครในนวนิยายที่เพิ่งคิดพล็อตได้ดี ปกติเธอจะใช้รูปดารา ไม่ก็คนรู้จักในการบรรยายบุคลิก ส่วนนิสัยใจคอนั้นเธอใส่เข้าไปเอง ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับความเป็นจริงนัก เมื่อครู่ตอนได้สบตาชมพูนุท หญิงสาวก็ได้พบสิ่งที่ค้นหามานาน

‘นี่ล่ะ อิมเมจของนางแบบสาวสวยที่เป็นเหยื่อรายแรกของฆาตกร’

“อะไรนะคะ เลือดอะไร” ชมพูนุทกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ขณะพยายามปลุกปลอบใจตัวเองว่าคงจะหูฝาด

มธุรัตน์ไม่ตอบคำถาม แต่บรรยายฉากที่นึกออกขนาดนั้นออกมาเป็นคำพูดเสียจนอีกฝ่ายผวา

“ลำคอขาวนวลถูกของมีคมบาดจนหลอดลมขาด เลือดสีสดไหลกระเซ็นออกมาเปรอะชุดสีครีมจนเป็นดอกดวง ในสายตาของผู้ปลิดชีพ สีแดงฉานที่ซึมลงในเนื้อผ้า ได้เพิ่มคุณค่าทางศิลปะขับให้ชุดดีไซน์ห่วยแตกชิ้นนี้เลอเลิศขึ้นมาทันตา”

บังเอิญเหลือเกินที่วันนี้ชมพูนุทใช่ชุดสีครีม ได้ฟังแบบนี้เป็นใครใครก็คิดว่ามธุรัตน์ประสงค์ร้ายกับตัวเอง พอหญิงสาวผุดลุกขึ้นมา เธอก็หวีดร้องแล้ววิ่งหนีในทันที

“ช่วยด้วย!” ชมพูนุทร้องตะโกนสุดเสียง

อารามตกใจทำให้หญิงสาวไม่ทันได้มองทาง เธอเลยชนกับพลวัตที่เปิดประตูเข้ามาอย่างจัง

ชายหนุ่มเองก็ไม่ทันระวังเช่นกัน พอหญิงสาวพุ่งมาชนเขาจึงเซไปหลายก้าว จึงทำได้แค่ประคองตัวเองไม่ให้ล้มเท่านั้น ไม่ทันได้ช่วยคว้าตัวอีกฝ่ายไว้ คนชนเลยล้มก้นจ้ำเบ้า

“ช่วยด้วยค่ะพี่พล น้ำผึ้งจะฆ่าพิงค์” หญิงสาวตะกายมาเกาะขาพลวัตด้วยความหวาดกลัว

“คุณทำอะไร” พลวัตหันไปซักตัวต้นเหตุแห่งความสยองทันที

เขาไม่คิดจะถามชมพูนุทที่กำลังผวา เพราะความจริงจากปากมธุรัตน์กับสิ่งที่คนอื่นมองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“เล่าพล็อตนิยายให้ฟัง”

แค่สั้นๆ ง่ายๆ เท่านี้พลวัตก็เข้าใจทุกอย่างในทันที เขาเดาว่ามธุรัตน์คงจะโพล่งอะไรออกมา แล้วทำให้ชมพูนุทเข้าใจผิด เขายังไม่เคยเจอเหตุการณ์ในทำนองนี้กับตัว แต่พิมลตราก็เตือนมาบ้างแล้วว่าถ้ามธุรัตน์พูดอะไรน่ากลัวอย่างจะฆ่าใครก็อย่าเพิ่งตกใจ เพราะว่าเธอแค่พูดฉากในนวนิยายที่บังเอิญคิดได้ออกมาเท่านั้น

“เรื่องเข้าใจผิดน่ะพิงค์ น้ำผึ้งเขาชอบโพล่งอะไรอย่างนี้ออกมาบ่อยๆ”

ชายหนุ่มพยายามอธิบายโดยไม่เข้าข้างใคร แต่ในสายตาของชมพูนุทมันกลับกลายเป็นการแก้ต่าง

“เขาจะฆ่าพิงค์จริงๆ นะคะ พี่พลดูนั่น....” ชมพูนุทชี้นิ้วไปที่มธุรัตน์ซึ่งกำลังหยิบมีดออกมาจากลิ้นชัก

แล้วหญิงสาวก็ร้องกรี๊ดวิ่งหนีออกไปทันที เมื่อมธุรัตน์เดินโงนเงนมาหาพร้อมมีดในมือ

พลวัตห้ามไม่ทันก็เลยต้องปล่อยให้หญิงสาววิ่งหนีไปทั้งที่เข้าใจผิดแบบนั้น จะโทษชมพูนุทก็คงไม่ได้ เพราะถ้าเขาไม่รู้จักมธุรัตน์ดีพอ เขาคงจะวิ่งหนีไปพร้อมกับเจ้าหล่อนแล้ว

“สร้างเรื่องอีกแล้วนะคุณ รู้อยู่ว่าพิงค์เขากลัว ยังจะหยิบมีดมาอีก”

ชายหนุ่มทั้งขำทั้งอ่อนใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะเครียด แต่ตอนนี้บอกได้คำเดียวว่า ‘ปลงตก’

“เอามาตัดพาย”

มธุรัตน์ไม่ได้มีเจตนาจะทำให้อีกฝ่ายกลัวเลยสักนิดเดียว เธอแค่จะกินพายที่ชมพูนุทเอามาให้เท่านั้น

หญิงสาวรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนแปลก แต่ไม่รู้หรอกว่าความแปลกของเธอเป็นอาวุธประจำกายอย่างดี ที่ไม่ว่าใครก็ต่อกรได้ยาก ด้วยเหตุนี้ในยกแรกกลยุทธ์สงครามเย็นจึงพ่ายแพ้ต่อสงครามสยองขวัญยับเยิน


ชมพูนุทร้องกรี๊ดกลับบ้านไปด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อหายใจสั่น สติกลับมาอยู่กับตัวครบ หญิงสาวก็นึกไปว่านี่เป็นแผนการแกล้งเธอของมธุรัตน์

ป่านนี้นังนั่นคงหัวเราะขำเธอท้องคัดท้องแข็งไปแล้ว

“บ้าจริง! ไม่น่าหลงกลมันเลย” หญิงสาวทุบพวงมาลัยอย่างแค้นใจ ก่อนจะเร่งความเร็วขับรถเข้าไปในตัวบ้าน

คราวนี้ไม่มีกระถางต้นไม้ต้นไม้ต้องมาสังเวยความโกรธของหญิงสาว เพราะภูมิกรสั่งให้คนสวนย้ายของที่อยู่ข้างทางออกไปให้หมด ราวกับจะเดาสถานการณ์ล่วงหน้าได้

ชายหนุ่มเพิ่งกลับจากที่ทำงานได้ไม่นาน ตอนที่น้องสาวคนเดียวเดินกระแทกเท้าปั้นหน้าบูดบึ้งเข้ามาในบ้าน ภูมิกรไม่เสียเวลาซักถามอะไร แต่ผายมือไปยังบรรดาของแต่งห้อง ที่เหลือรอดจากการทำลายเมื่อวานมาได้

“ตามสบายน้องรัก”

“ไม่เอา”

หญิงสาวกอดอกแล้วกระแทกก้นลงนั่งข้างพี่ชาย ตอนนี้เธอกำลังโกรธตัวเองจนไม่มีอารมณ์ทำอะไรทั้งนั้น

“อยากเล่าอะไรไหม”

“จะรู้ไปทำไม”

“เผื่อพี่ช่วยได้ไง”

น้ำเสียงของพี่ชายฟังดูเหมือนอยากรู้อยากเห็นเสียมากกว่าอยากช่วยเหลือ แต่ถึงกระนั้นคนที่กำลังอยากระบายก็ยอมเล่าออกมา เพราะถือคติเสียฟอร์มกับคนในครอบครัวดีกว่าต้องไปขายหน้ากับคนที่ไม่ใช่ญาติ

เมื่อฟังเรื่องโดยละเอียดจากปากคำของน้องสาว ภูมิกรก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นใครแก้เผ็ดชมพูนุทได้แสบและแปลกแหวกแนวอย่างนี้มาก่อน

“เงียบไปเลยนะพี่ภู อย่ามาซ้ำเติม”

“ฮะๆ โทษที กลั้นไม่ไหวว่ะ มันฮา” ชายหนุ่มหัวเราะตัวงอจนแทบหายใจไม่ทัน

“เห็นความทุกข์คนอื่นเป็นเรื่องน่าขำนักใช่ไหม” ชมพูนุทหยิบหมอนมาฟาดใส่พี่ชายไม่ยั้ง

คนเป็นพี่เลยต้องรีบกลั้นหัวเราะเป็นการด่วน ก่อนที่จะต้องน่วมเพราะฝีมือน้องสาว

“หยุดแล้วครับ หยุดแล้ว” ชายหนุ่มยกมือขึ้นมาจับหมอนเอาไว้ แต่ก็ยังไม่วายมีเสียงหัวเราะรอดออกมาจากลำคออีกจนได้

“พี่ภู!” ชมพูนุทแว้ดใส่ด้วยความโมโห แล้วตั้งท่าจะหยิบหอไอเฟลจำลองที่อยู่ใกล้มือมาขว้างใส่พี่ชาย

ภูมิกรเลยกระโดดหนีออกมา แล้วพยายามกลั้นหัวเราะอย่างจริงจังขึ้น

เมื่อหยุดขำได้แล้ว ชายหนุ่มจึงเดินกลับมานั่งข้างน้องสาว ใช้แขนข้างหนึ่งโอบตัวคนเจ้าอารมณ์เอาไว้ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นการเป็นงานขึ้น

“แล้วจะเอายังไงต่อ สู้หรือถอย”

“ก็ต้องสู้สิ พิงค์ไม่หนีเพราะเรื่องแค่นี้หรอก พรุ่งนี้พิงค์จะไปหามันอีก”

ถึงจะเผ่นหนีออกมาแบบเสียฟอร์ม แต่เธอจะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายคิดว่าเธอเป็นพวกขี้แพ้อย่างเด็ดขาด

“ไปให้เขาแกล้งอีกรึไง”

ภูมิกรไม่มีเจตนาเยาะเย้ย ที่เขาพูดก็เพราะเขาเป็นห่วงน้องสาว ฟังจากที่เล่ามาแสดงว่าศัตรูของชมพูนุทไม่ธรรมดาเลย ถึงน้องเขาจะเก่งและฉลาด แต่ก็มีข้อเสียคือความใจร้อนและหลงตัว คนประเภทชมพูนุทเลยมักจะแพ้ทางพวกที่ดูนิ่งๆ เย็นๆ เสมอ

“ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องไป พิงค์บอกแล้วไงว่าจะไม่หนี”

“ก็ไม่ได้ให้หนีนี่ แค่จะเตือนว่าที่นั่นมันถิ่นเขา” ภูมิกรเอ่ยพลางเหยียดยิ้มออกมา คล้ายว่าจะใบ้คำแนะนำบางอย่างให้

“พี่ภูหมายถึงว่าให้พามันมาที่นี่ใช่ไหม”

“อ๊ะๆ พี่เปล่าพูดนะ เราคิดของเราได้เอง” ชายหนุ่มกระดิกนิ้วเป็นเชิงบอกว่าเขาไม่เกี่ยว “สุภาพบุรุษอย่างพี่ไม่คิดแผนร้ายๆ กับสุภาพสตรีหรอก”

ชมพูนุทยิ้มรับคำพูดของพี่ชายด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้น คำแนะนำที่ได้มาจากพี่ชายทำให้หญิงสาวคิดแผนการอะไรดีๆ ขึ้นมาได้ ถึงจะชั่วร้ายไปสักหน่อย แต่รับประกันว่าสะใจแน่นอน


สามวันต่อมาชมพูนุทก็กลับไปที่ไร่ของพลวัตอีกครั้ง โดยมีข้ออ้างว่ามาขอโทษเรื่องที่เมื่อวันก่อนวิ่งหนีออกไปอย่างเสียมารยาท

หญิงสาวไม่ได้โทรศัพท์มาก่อนเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายมีโอกาสได้ตั้งตัว เมื่อเห็นว่ามธุรัตน์มาเปิดประตูบ้านในสภาพปกติ เธอเลยกระหยิ่มใจคิดว่าตัวเองวางแผนได้อย่างถูกทางแล้ว

“พี่พลโทรมาขอโทษใหญ่เลยค่ะ สงสัยไม่อยากให้พี่เคืองน้ำผึ้ง พี่พลนี่น่ารักนะคะ เมื่อก่อนแคร์กันยังไงเดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น” หญิงสาวจีบปากจีบคอพูดอยู่หน้าประตู

มธุรัตน์พยักหน้ารับคำพูดของหญิงสาวเป็นเชิงบอกว่าเธอฟังอยู่ หญิงสาวขยับออกจากประตูบ้านเป็นสัญญาณเชิญให้ชมพูนุทเข้าไปด้านในโดยไม่คิดจะพูดอะไร ก่อนที่ชมพูนุทจะมาเธอกำลังร่างพล็อตนวนิยายอยู่ เลยไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะกลัวว่าจะลืมสิ่งที่คิดอยู่ในหัวตอนนี้

“อุ้ย! ไม่ล่ะค่ะ พี่แวะเอาของมาให้เท่านั้นเอง ไม่รบกวนดีกว่า” ชมพูนุทแสร้งทำเป็นเกรงใจ ทั้งที่ความจริงแอบระแวงมธุรัตน์

วันนี้หญิงสาวแต่งตัวปกติและดูน่ากลัวน้อยกว่าเมื่อวันก่อนก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ว่าไม่มีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่

“ฝากให้พี่พลด้วยนะคะ เขาชอบทานอาหารฝีมือพี่ม้ากมาก สมัยก่อนชอบอ้อนให้ทำให้ประจำเลย”

หญิงสาวยื่นตะกร้าอาหารที่เอามาให้ แล้วพร่ำพูดถึงความสัมพันธ์หวานชื่นในอดีตอย่างต่อเนื่อง เพราะหวังจะให้มธุรัตน์ระแวงในตัวพลวัต

มธุรัตน์ยืนฟังหญิงสาวจนเมื่อย อีกฝ่ายก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับเสียที เธอเลยเดินเข้าไปในบ้าน แล้วไปหยิบสมุดกับปากกาที่เขียนงานค้างไว้ออกมาข้างนอก หญิงสาวหย่อนตัวลงนั่งที่ชุดเก้าอี้รับแขกที่เฉลียงหน้าบ้าน ก่อนจะผายมือไปที่เก้าอี้ว่างตรงข้ามกับตัวเอง ดังจะบอกว่า

‘เชิญนั่ง อยากพูดอะไรก็พูดมา’

ท่าทีไม่สะทกสะท้านของมธุรัตน์ ทำให้คนที่อยากจะยั่วเป็นฝ่ายเดือดขึ้นมาเสียเอง กระนั้นชมพูนุทก็กลั้นใจนั่งลง พยายามใช้ความใจเย็นเพื่อต่อสู้กับมธุรัตน์

“เอ๊ะ! พี่เคยบอกรึยังคะว่าพี่กับพี่พลเคยเป็นแฟนกัน คบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วล่ะค่ะ”

คำพูดนี้ทำให้มธุรัตน์เงยหน้าขึ้นมามองแล้วพยักหน้า คำตอบเดาไปได้หลายแบบทั้งการตอบรับ ‘ว่ารู้แล้ว’ และการถามว่า ‘แล้วไง?’ แต่จะเป็นอย่างไหนชมพูนุทก็ไม่ใส่ใจนัก เธอพร่ำพูดต่อไปด้วยหวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเข้าหูมธุรัตน์ไม่มากก็น้อย

“พูดถึงอดีตแล้วก็รู้สึกแย่นะคะ ตอนที่เลิกกันพี่พลเขาคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องไม่ให้พี่ทิ้งไปแทบตาย ถึงกับก้มกราบกันเลยทีเดียว ตอนนั้นพี่ไม่รู้คิดยังไงถึงได้ทิ้งเขาไป โชคดีที่พี่พลเขาไม่ถือสายอมให้อภัย ก็เลยเป็นเพื่อนคนพิเศษต่อไปได้อีก”

ชมพูนุทพยายามเน้นคำว่า ‘เพื่อนคนพิเศษ’ บ่อยครั้ง เพื่อยืนยันสายใยอันแนบแน่นของเธอกับพลวัตที่เคยมีต่อกันในครั้งอดีตจวบจนปัจจุบัน

หากเป็นหญิงสาวคนอื่น คงจะตัดบทแล้วหนีไปด้วยความรำคาญ หรือไม่ก็ตัวหดเล็กลงเพราะกังวลเรื่องรักครั้งเก่าของคนที่ตัวเองกำลังมีความสัมพันธ์อยู่ด้วยในตอนนี้ แต่นี่เป็นมธุรัตน์ทุกอย่างก็เลยไม่เป็นไปตามแบบที่มันควรจะเป็น

หญิงสาวปล่อยให้ชมพูนุทพูดน้ำไหลไฟดับโดยไม่ขัด ในขณะเดียวกันก็ก้มหน้าขีดเขียนสิ่งที่อยู่ในหัวออกมา ส่วนเรื่องที่ชมพูนุทพยายามพูดกรอกหูเธอจะซึมเข้าไปในหัวบ้างไหมนั้นก็สุดจะเดาได้

เมื่อได้พูดพร่ำจนพอใจแล้ว ชมพูนุทก็เอ่ยถึงวัตถุประสงค์ที่เธอมาวันนี้ในที่สุด

“น้ำผึ้งอยู่แต่ในบ้านทุกวันคงเบื่อ ไปเที่ยวรีสอร์ทพี่กันไหมคะ ที่นั่นมีรถออฟโรดด้วยนะคะ โดดหอหรือบอลน้ำก็มี ถ้าอยากเล่นเพนต์บอลก็ได้ พี่ชายพี่ทำสนามส่วนตัวเอาไว้ เปิดให้เพื่อนๆ ที่สนิทมาเล่นกัน”

หญิงสาวพยายามโฆษณาชวนเชื่อไปเรื่อยๆ มธุรัตน์เงยหน้าขึ้นมามองหน่อยเหมือนจะสนใจ เพราะนานแล้วที่เธอไม่ได้ทำกิจกรรมกลางแจ้งอะไรเลย

“วันศุกร์นี้พี่มารับเป็นไงคะ จะได้ไปเที่ยวกันตามประสาสาวๆ” หญิงสาวชวนเสียงหวาน ในขณะที่นัยน์ตามีแววท้าทายปรากฏอยู่ ดังจะประกาศท้าว่า ‘กล้ามาหรือเปล่า’

“ค่ะ” มธุรัตน์รับคำในทันที

หญิงสาวไม่ได้สนใจสายตาท้าทายของอีกฝ่าย แต่เธอสนใจไปดูรีสอร์ทของชมพูนุทเพราะตั้งใจจะใช้เป็นข้อมูล ฉากส่วนใหญ่ที่ใช้เกิดขึ้นในเรื่องที่เธอกำลังสร้างโครงเรื่องคือรีสอร์ทขนาดใหญ่ที่มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย ถึงอีกฝ่ายไม่ชวน หญิงสาวก็จะหาโอกาสไปดูสถานที่ทำนองนี้ด้วยตาตัวเองอยู่แล้ว

“สัญญากันแล้วนะคะ ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้เที่ยงพี่มารับ อย่าเพิ่งทานอะไรนะคะ จะได้กินด้วยกัน” หญิงสาวฉีกยิ้มกว้างเมื่ออีกฝ่ายโง่มาติดกับอย่างง่ายดาย

เมื่อเสร็จเรื่องแล้วหญิงสาวก็ขอตัวกลับ ส่วนมธุรัตน์ก็นั่งทำงานของเธอต่อไป ความเงียบของที่นี่กับบรรยากาศสบายๆ ทำให้เธอมีอารมณ์ทำงานมากกว่าปกติ ถึงจะยังเขียนนวนิยายโรมานซ์ไม่ได้ แต่เธอก็ได้แรงบันดาลใจอย่างอื่นมากมาย

มธุรัตน์นั่งทำงานเพลินจนลืมเวลา รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนพลวัตขับรถเข้ามาในบ้านแล้ว

ชายหนุ่มคิดว่ามธุรัตน์อยู่ในบ้าน ประกอบกับว่ามันมืดมาก ทั้งบ้านไม่มีไฟเปิดอยู่เลยสักดวง พอมธุรัตน์ย่องมาด้านข้างแล้วเอามือเย็นเฉียบมาจับแขนเขา พลวัตเลยสะดุ้งสุดตัว

“มานั่งทำอะไรตรงนี้ ทำคนเขาตกใจหมด” ชายหนุ่มเอ็ด พลางกดสวิตช์เปิดไฟหน้าบ้าน

“ทำงาน”

“มืดๆ อย่างนี้เนี่ยนะ เสียสายตาแย่” พลวัตบ่นพลางดึงแขนมธุรัตน์เข้าไปในตัวบ้าน “นี่ออกไปตากลมนานแค่ไหนแล้ว เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

“ตั้งแต่บ่าย”

“ไม่ดูแลตัวเองเลย” คนขี้บ่นยังคงบ่นอุบอิบ แต่ก็ไม่บ่นเปล่า เพราะเดินไปหยิบเสื้อแขนยาวที่แขวนเอาไว้มาใส่ให้หญิงสาวด้วย

ช่วงนี้อากาศอุ่นขึ้นมาก แต่ด้านนอกยังมีลมแรงอยู่ มธุรัตน์เป็นคนขี้หนาวแต่กลับใส่เสื้อเนื้อบางออกไปตากลมทั้งวัน เขาเลยอดห่วงไม่ได้

พอใส่เสื้อให้หญิงสาวเสร็จ เขาก็นึกขึ้นได้ว่างมีบางอย่างแปลกไป ปกติถ้าหนาวมธุรัตน์มักจะเข้ามากอดเขา แต่วันนี้หญิงสาวมีท่าทีเหินห่างชอบกล

ในขณะที่กำลังสงสัย สายตาของพลวัตก็เหลือบไปเห็นตะกร้าอาหารที่วางาอยู่บนโต๊ะ ชายหนุ่มพอเดาได้ว่าใครเป็นคนเอามาให้ แต่ก็ถามออกไปเพื่อความแน่ใจ

“นี่ของใคร”

“คุณพิงค์”

“มาตอนไหน แล้วพูดอะไรหรือเปล่า”

“ตอนบ่าย พูดเรื่องอดีตเยอะแยะ”

ตอบคำถามเสร็จมธุรัตน์ก็หันหลังให้ เพื่อไปจัดอาหารเย็นใส่จานให้พลวัต หญิงสาวแทบไม่คิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องของชมพูนุทเลย แต่พลวัตกลับเริ่มคิดมาก

‘พิงค์พูดอะไรกัน ยัยนี่ถึงไปยืนตากลมเป็นนางเอกมิวสิคอยู่ข้างนอก’

พอเห็นมธุรัตน์หันหลังให้เขาก็เริ่มใจเสีย แต่จะแก้ต่างก็กลายเป็นว่าร้อนตัว เพราะมันอาจจะไม่มีอะไรอย่างที่เขาคิดก็ได้

ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจตลอดช่วงหัวค่ำ เขาพยายามสังเกตท่าทีของมธุรัตน์ แต่เธอก็ยังดูเหมือนเดิม นั่นคือนิ่งเงียบและไม่ค่อยพูด แต่ความเงียบมันไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นไรเสมอไป เขาเลยพยายามสังเกตท่าทีของหญิงสาวต่อไปก่อน

วันนี้มธุรัตน์ขึ้นไปข้างบนเร็วผิดปกติ ก่อนขึ้นไปหญิงสาวอุ้มไมเคิลมาส่งให้พลวัต แล้วบอกให้เขาเล่นกับมันแทนเธอ

พลวัตเดาว่ามธุรัตน์คงจะไปอาบน้ำ เขาเลยพาไมเคิลมาเล่นที่ห้องนอนเพื่อรอหญิงสาว ทว่ารออยู่จนดึกเธอก็ยังไม่มาเข้านอนสักที

‘งอนอะไรของเขาหรือเปล่านะ’ ชายหนุ่มมองนาฬิกาแล้วเคาะนิ้วอย่างวิตก

เขารอจนกระทั่งห้าทุ่ม จึงตัดสินใจเดินออกจากห้องนอนไปตามหามธุรัตน์ แล้วก็พบว่าหญิงสาวอยู่ในห้องของตัวเอง กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ที่โต๊ะหนังสือ

“ทำงานหรอกเหรอ นึกแล้วว่าต้องคิดมากไปเอง”

ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลมธุรัตน์ก็หมกมุ่นเกี่ยวกับเรื่องงานตลอด ชายหนุ่มไม่อยากรบกวนก็เลยคว้าตัวเจ้าไมเคิลที่กำลังจะวิ่งเข้าไปในห้องหญิงสาวเอาไว้

เจ้าตัวเล็กส่งเสียงเงี้ยวง้าว แล้วดิ้นไปมาเหมือนไม่พอใจที่ถูกขัด เพราะวันนี้ทั้งวันมันเพิ่งได้เล่นกับนายสาวไม่เท่าไรเอง

“จุ๊ๆ อย่าดื้อน่าไมเคิล มาทางนี้ดีกว่า”

ชายหนุ่มอุ้มเจ้าแมวน้อยกลับมาที่ห้อง คืนนั้นทั้งคนทั้งแมวต่างก็พากันหลับสนิทไป โดยที่ที่ว่างบนเตียงอีกฝั่งยังคงว่างเปล่า แม้สองหนุ่มจะหลับไปโดยไม่มีใครประท้วง แต่คนกับแมวก็คิดตรงกันได้อย่างหนึ่งคือ รู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป

********************
ขอลงตัวอย่างให้ได้อ่านเพียงเท่านี้นะคะ
นิยายเรื่องนี้เขียนจบแล้วค่ะ ใช้นามปากกาว่า ภคพร
เรื่องนี้เป็นเล่มแรกในชุด หลงบ่วงรัก ส่วนเล่มสองกำลังรอตีพิมพ์ค่ะ
คาดว่าจะวางแผงประมาณ เมษา 2555
เล่มสองชื่อ เพียงใจเสน่หา (เชื่อเดิมร้อยเล่ห์หัวใจเสน่หา) เป็นเรื่องของพี่ชายคุณพลค่ะ
เซตนี้มีประมาณ 5-6 เล่มค่ะ (จำนวนยังไม่แน่นอน)
ที่แน่ๆ คือมีสามพี่น้อง พัลลภ พลวัต พศวีร์ แล้วหมอชากับหมอคราม (เพื่อนนางเอกภาคสอง)
ใครที่สนใจ สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือทั่วไปหรือ สั่งซื้อได้ในราคาลด 15% ได้ที่เว็บสำนักพิมพ์นะคะ
http://www.lightoflovebook.com/



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 มิ.ย. 2554, 06:21:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:50:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 2892





<< บทที่ 10 ร้ายลึก   
ดารานิล 7 มิ.ย. 2554, 09:39:41 น.
บางทีก็สงสารยัยพิงค์เหมือนกันนะ กร๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆ


wind 7 มิ.ย. 2554, 12:10:57 น.
ฮานางเอกมากๆ แล้วก็แอบสงสารคนรอบข้างอย่างพระเอก กับตัวร้ายไปอย่างฮาๆ 555++


แก้วใส 7 มิ.ย. 2554, 12:18:33 น.
ฮาจริงๆ รออ่านทุกวันเลยค่ะ


ปูสีน้ำเงิน 7 มิ.ย. 2554, 13:32:19 น.
ชักจะชอบนิสัยของนางเอกซะแล้วสิ


หมูอ้วน 7 มิ.ย. 2554, 13:53:15 น.
ฮากระจายเลยค่ะ รออ่านตอนต่อไปค่ะ
หนูน้ำผึ้งไปเที่ยวรีสอร์ต ต้องมีเฮ อีกแน่ ๆ เลย ฮิ...


MYsister 7 มิ.ย. 2554, 14:44:45 น.
ขนาดพระเองยังไม่ชินเลย เข้าบ้านตัวเองยังมีสะดุ้ง ฮ่า


Pat 7 มิ.ย. 2554, 21:57:25 น.
55555555555555ขำได้ทุุกตอนเลยแฮะ ชักสงสารยัยพิงค์ >_<


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account