มธุรัตน์เสน่หา โดย ภคพร (วางแผงแล้ว)
เมื่อนักเขียนสาวจิตป่วนโคจรมาพบกับหนุ่มเจ้าของไร่เจ้าระเบียบ ความหื่นฮารั่วจึงบังเกิดขึ้น:"รสจูบมันเป็นยังไง" เจ้าหล่อนไม่ถามเปล่าแต่กระชากคอเขามาจูบด้วย แถมยังจดโน้ตหน้าตาเฉยว่า'รสจูบ = กาแฟ' โอ้ยยย! อยากบ้า!
Tags: หนุ่มชาวไร่ สาวนักเขียน โรแมนติก คอเมดี้ นางเอกแปลก ฮา รั่ว อ่านสบายคลายเครียด
ตอน: บทที่ 10 ร้ายลึก
บทที่ 10 ร้ายลึก
เหตุการณ์เรื่องกำไลกลายเป็นปลอกคอแมวทำให้พลวัตนึกเคืองอยู่กรุ่นๆ ถึงจะรู้ว่าตัวเองก็มีส่วนผิดที่ไม่พูดให้ชัดเจน แต่ระบบความคิดที่ไม่เหมือนปุถุชนทั่วไปของมธุรัตน์ก็ชวนให้โมโห ตกดึกชายหนุ่มเลยเข้ามาในห้องก่อนแล้วนอนหันหลังให้ แสร้งทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายเพื่อเอาคืนบ้าง
มธุรัตน์รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกไปแต่ก็ไม่ได้สนใจนัก พอรู้สึกหนาวหญิงสาวก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามาหา แล้วกอดเขาเอาไว้จากทางด้านหลัง จึงกลายเป็นการง้อแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวไป เพียงเท่านี้อาการงอนของพลวัตก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาพลิกตัวมากอดเธอตอบแล้วหลับสนิททั้งคืน พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ลืมเรื่องที่ทำให้เคืองไปเสียสนิท
เช้าวันนี้แดดดีกว่าทุกวัน พลวัตเลยตั้งใจว่าจะซักผ้าก่อนไปทำงาน ทว่าพอหันไปมองที่ตะกร้าก็พบว่าทั้งตะกร้าและเสื้อผ้ากองโตหายไปหมด ชายหนุ่มจึงเดาว่ามธุรัตน์คงจะเอาไปซักให้
ตั้งแต่มาอยู่นี่นอกจากอุ่นอาหารเช้ากับเก็บกวาดของที่ไมเคิลทำรก หญิงสาวก็ไม่เคยหยิบจับงานบ้านอย่างอื่นเลย พฤติกรรมที่แปลกไปของเธอทำให้ต้องแอบย่องไปดูด้วยความสงสัย พอเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะซักผ้าให้หัวใจเขาก็พองโต
พิมลตราบอกว่ามธุรัตน์จะใส่ใจและทำอะไรให้กับคนที่เธอห่วงใยเท่านั้น และการที่เธอยอมทำงานบ้านให้นั่นเท่ากับว่าเธอใส่ใจคนคนนั้นเป็นพิเศษ พลวัตยิ้มกว้างขณะมองหญิงสาวบรรจงหยิบผ้าใส่เครื่องซักผ้า แต่แล้วชายหนุ่มก็ได้ยิ้มค้างเมื่อมธุรัตน์เอาเสื้อเชิ้ตที่เลอะคราบน้ำหวานสีแดงเป็นดวงๆ ของเขาออกมาป้ายน้ำยาฟอกขาว ก่อนจะโยนลงถังไปพร้อมเสื้อผ้าตัวอื่น
พลวัตจำได้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำเลอะ ตัวการจะต้องเป็นมธุรัตน์อย่างไม่ต้องสงสัย เขาเดาว่าเจ้าหล่อนคงจะแอบเอาน้ำหวานมากินข้างบน แล้วเผลอทำหกเลยใช้เสื้อผ้าเขาต่างผ้าเช็ดพื้น
‘ที่แท้ก็ทำลายหลักฐานนี่เอง’ ชายหนุ่มทั้งขำแล้วก็อ่อนใจ ที่เผลอคิดเข้าข้างตัวเองได้เป็นตุเป็นตะ
พลวัตออกจะหงุดหงิดอยู่บ้างที่ถูกหลอกให้ดีใจเก้อ แต่เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายกลัวเขาดุก็เลยรีบเอาผ้ามาซักแต่เช้า จึงรู้สึกขบขันมากกว่าเคือง ชายหนุ่มเดินอย่างเงียบกริบไปที่ห้องครัว แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่ามีคนกำลังพยายามปกปิดความผิดอยู่
มธุรัตน์ตั้งเครื่องชงกาแฟทิ้งเอาไว้ก่อนไปซักผ้า ส่วนขนมปังก็ปิ้งคาเครื่องเอาไว้ พลวัตเห็นว่าหญิงสาวกำลังยุ่งอยู่หลังบ้าน เขาเลยช่วยเธอเตรียมอาหารเช้าด้วยการหยิบขนมปังจากเตาปิ้งมาใส่จาน อุ่นแฮมด้วยไมโครเวฟ แล้วจึงค่อยเดินออกไปรดน้ำต้นไม้ตามปกติ
ขณะที่กำลังรดน้ำต้นไม้เพลินๆ มือนุ่มนิ่มของใครคนหนึ่งก็ยื่นมาปิดตาเขาเอาไว้ ชายหนุ่มคิดว่าเป็นมธุรัตน์ก็เลยจึงกดปิดที่ฉีดน้ำ จากนั้นก็หมุนตัวไปดึงอีกฝ่ายเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
“ว้าย!” เสียงอุทานของคนถูกกอดดังขึ้นอย่างมีจริต
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ กับเสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานทำให้พลวัตคลายมือ แล้วเบิกตากว้าง
“พิงค์!” ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ด้วยไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะมาหาเขาถึงที่นี่
ยังไม่ทันที่มือเขาจะพ้นไปจากตัวหญิงสาว พลวัตก็แทบช็อกเมื่อเห็นว่ามธุรัตน์หันมาเห็นฉากกอดจากทางหน้าต่างพอดี
“ก็พิงค์น่ะสิคะ พลทำท่าตกใจอย่างกับเห็นผี” ชมพูนุททำเสียงหวาน แล้วส่งยิ้มสดใสกลับมาให้
รอยยิ้มเช่นนี้สะกดพลวัตให้เคลิ้มไปได้เสมอ หากแต่คราวนี้มันกลับทำให้ชายหนุ่มดูลำบากใจเสียมากกว่าจะรู้สึกดี
“ผะ...ผมขอโทษ ผมนึกว่าคุณเป็นคนอื่น” ชายหนุ่มพูดพลางชะเง้อมองเข้าไปในตัวบ้านอย่างวิตก
‘คนอื่น’ ที่เขาเอ่ยถึงทำให้ชมพูนุทตัวชา หญิงสาวอยากจะกรีดร้องแล้วถามว่าเธอคนนั้นเป็นใคร เป็นแฟนใหม่เขาใช่หรือเปล่า แต่หญิงสาวก็ฉลาดพอที่จะข่มความไม่พอใจเอาไว้แล้วยิ้มรับ
ใครๆ ต่างก็บอกเธอว่าสี่ปีนี้พลวัตเปลี่ยนไปมาก ดังนั้นถ้าเธอยังคงยืนกรานที่จะทำตัวเหมือนเก่า เธอย่อมไม่มีวันได้เขาคืนมา ทางเดียวที่จะเอาชนะใจเขาได้อีกครั้งคือทำให้เขาเห็นว่าเธอเองก็เปลี่ยนไปแล้วและเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จนเขาต้องกลับมาตกหลุมรักเธออีกครั้ง
“แฟนพี่พลเหรอคะ”
“เอ่อ…ก็ไม่เชิงหรอกครับ” พลวัตอึกอักเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ถ้าบอกว่าคู่นอน มธุรัตน์ก็จะเสียหาย จะบอกว่าแฟน เขากับเธอก็ไม่ได้ตกลงกันแบบนั้น
ชมพูนุทแสยะยิ้มชั่วร้ายในใจเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม เธอเข้าข้างตัวเองว่าเขาอึดอัดใจที่จะบอกว่ามีแฟนใหม่เพราะยังอาลัยอาวรณ์ในตัวเธออยู่
“เธออยู่ในบ้านใช่ไหมคะ แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ”
“ผมว่า...อย่าดีกว่า ตอนนี้ยังไม่สะดวกน่ะครับ ไว้วันหลังได้ไหม แล้วพิงค์มาที่นี่มีธุระอะไรหรือเปล่า”
พลวัตยังไม่ต้องการให้มธุรัตน์เจอกับชมพูนุทตอนนี้ เขากลัวว่าชมพูนุทอาจจะพูดอะไรให้มธุรัตน์เข้าใจผิดมากไปกว่าเดิม เขาเลยอยากจะอธิบายให้หญิงสาวเข้าใจก่อน จากนั้นถ้ามีโอกาสจึงค่อยแนะนำให้รู้จักกัน
“แหม...ถามอย่างนี้ใจร้ายจัง ทีเมื่อก่อนไม่เห็นเคยถามอย่างนี้เลย” ชมพูนุทพูดอย่างอารมณ์ดี โดยไม่มีท่าทีขัดเคืองแม้แต่น้อย
ปฏิกิริยาของหญิงสาวสร้างความประหลาดใจให้กับพลวัตเป็นอย่างมาก หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าหล่อนคงกระฟัดกระเฟียดโกรธเขา แล้วโวยวายว่าต้องมีธุระก่อนหรือถึงจะมาหากันได้
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ มองพิงค์อย่างกับมองคนแปลกหน้า”
“ขอโทษครับ แค่รู้สึกว่าพิงค์เปลี่ยนไปน่ะ” พลวัตสารภาพตามตรง
“พิงค์ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนี่คะ คนเรามันก็ต้องเปลี่ยนไปบ้างล่ะ ความจริงวันนี้พิงค์ก็ไม่ได้มีธุระอะไรหรอกค่ะ พอดีตั้งใจว่าจะมาอยู่ที่สระบุรีสักพัก คิดถึงพี่พลขึ้นมาก็เลยแวะมาทักทาย”
“ผมสบายดี แล้วคุณล่ะ” พลวัตเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายขึ้น
ชายหนุ่มเชื่ออย่างสนิทใจว่าหญิงสาวเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอจึงกลายเป็นบวก ชายหนุ่มไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองถูกหลอกเข้าอย่างจัง ชมพูนุทยังคงเป็นชมพูนุทคนเดิม เธอแค่ฉลาดขึ้นและรู้จักวิธีที่จะให้ได้สิ่งที่ต้องการมาโดยไม่ต้องกรีดร้องหรือบีบน้ำตาอย่างแต่ก่อนเท่านั้น
“โดยรวมก็ดีค่ะแต่กลับมาแล้วไม่มีเพื่อน ก็เลยเหงานิดหน่อย” หญิงสาวทำเสียงเศร้าในตอนท้าย
พลวัตนึกถึงเรื่องการหย่าของเธอ จึงเริ่มเห็นใจอีกฝ่ายขึ้นมา ชมพูนุทมีเพื่อนมากแต่กลับมีเพื่อนแท้ไม่กี่คน เธอชอบบ่นให้เขาฟังประจำว่ารอบตัวมีแต่คนไม่จริงใจ จนเธอขยาดที่จะคบหาเพื่อนใหม่
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกผมได้นะ” ชายหนุ่มเผลอหลุดปากออกไปตามมารยาท ซึ่งมันก็เข้าแผนชมพูนุทอย่างจัง
“ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้กินข้าวด้วยกันนะคะ พิงค์จะทำกับข้าวมาให้ อ๊ะ! พิงค์ไม่ได้หมายความว่าแค่เราสองคนนะคะ รวมแฟนพี่พลด้วย จะได้แนะนำให้พิงค์รู้จักไงคะ”
ท่าทีของชมพูนุทที่มาอย่างเพื่อนทำให้เขาปฏิเสธเธอไม่ลง ก็เลยจำใจต้องรับปากไป เมื่อชมพูนุทกลับไปแล้วชายหนุ่มก็เข้าไปในบ้าน เพื่ออธิบายให้มธุรัตน์เข้าใจว่าสิ่งที่เธอเห็นก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ทว่าพอจะอ้าปากพูดมธุรัตน์กลับบอกว่าไม่ต้องอธิบายเพราะเธอได้ยินเต็มสองหูว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด
“ค่อยยังชั่ว คุณไม่ว่าใช่ไหมถ้าเย็นนี้พิงค์จะมากินข้าวกับเรา คือเธอเป็นแฟนเก่าผม ถึงเลิกกันแล้วแต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ พอดีเธอกลับจากเมืองนอกก็เลยแวะมาหา”
“ทำไมต้องว่าด้วย” มธุรัตน์ถามอย่างไม่ใส่ใจ
“เปล่าหรอก ช่างมันเถอะ กินข้าวกันดีกว่า” พลวัตรีบเปลี่ยนประเด็น ด้วยกลัวว่ายิ่งพูดไปก็จะกลายเป็นว่าร้อนตัวเสียเปล่าๆ
ในเมื่อเขากับชมพูนุทเป็นเพื่อนกัน แค่เพื่อนมากินข้าวที่บ้าน ทำไมมธุรัตน์จะต้องไม่พอใจด้วย ทีจิรัสยาเธอยังไม่เคยว่าอะไรสักคำเดียว ทว่าเมื่อคิดในอีกแง่ เพื่อนของเขาคนนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาแต่ว่าเป็นคนรักเก่า มธุรัตน์ก็น่าจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้าง
‘ไม่สิ เธอจะรู้สึกอะไรได้ เธอกับเขาไม่ได้รักกันเสียหน่อย’
ความรู้สึกนี้ทำให้ในใจของพลวัตห่อเหี่ยวอย่างประหลาด วันนั้นทั้งวันแม้จะมีแสงแดดจัดแต่โลกที่มองผ่านสายตาเขากลับดูหม่นหมองกว่าที่เคยเป็น
เมื่อแผนการขั้นแรกสัมฤทธิ์ผล ชมพูนุทก็กลับมาที่รีสอร์ตของตัวเองเพื่อเตรียมแผนการขั้นที่สอง หญิงสาวสั่งให้พ่อครัวของรีสอร์ตทำสตูเนื้อแกะกับอาหารที่พลวัตชอบเตรียมเอาไว้ให้พลวัตในตอนเย็น ส่วนตัวเธอก็ไปสปาเพื่อขัดผิวและเสริมสวย
ชมพูนุทตั้งใจจะบอกว่าเธอทำอาหารเหล่านี้เองทั้งหมด คนซื่ออย่างพลวัตคงไม่สงสัยเพราะเธอมีฝีมือในการทำอาหารอยู่แล้ว ที่เธอไม่ทำเองก็เพราะต้องการเวลามาปรุงโฉมให้สวยพร้อม เพื่อข่มแฟนใหม่ของพลวัตโดยเฉพาะ
วันนี้เธอเห็นหน้ามธุรัตน์แต่แวบเดียวผ่านกระจก แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นพวกหน้าจืดที่มีดีแค่ความขาว ผู้หญิงจำพวกนี้ไม่ใช่สเปกของพลวัตแน่นอน แบบที่เขาชอบจะต้องดูสวยเฉี่ยว มีเสน่ห์เย้ายวนอย่างเธอเท่านั้น
ชมพูนุทบรรจงแต่งหน้าอย่างดี โดยเฉพาะดวงตาที่เน้นให้ดูสวยคมเป็นพิเศษ หญิงสาวเลือกชุดเดรสคล้องคอสีขาวดำมาสวม ส่วนผมเธอมัดรวบเอาไว้แล้วปักด้วยปิ่น เพื่อจะได้อวดแผ่นหลังขาวเนียนและลำคอระหง เมื่อเตรียมตัวจนสวยพร้อมแล้ว หญิงสาวก็ขนเอาอาหารใส่ตะกร้า แล้วขับรถมาที่บ้านของพลวัต
ชายหนุ่มรอต้อนรับอยู่แล้วตอนที่หญิงสาวมาถึง เขาช่วยหิ้วตะกร้าอาหารเข้ามาในบ้าน แล้วแนะนำให้รู้จักกับมธุรัตน์
“นี่น้ำผึ้งครับ เธอเป็นเพื่อนของพิม มาพักอยู่ที่นี่เพื่อหาไอเดียเขียนหนังสือ”
ชายหนุ่มจงใจแนะนำอย่างนี้เพื่อไม่ให้ฟังดูน่าเกลียด เขาเจตนาให้ทุกคนเข้าใจว่าเธอมาหาที่เงียบๆ ทำงาน จะได้ไม่ต้องอธิบายให้เหนื่อยว่าทำไมเธอมาพักอยู่นานเป็นเดือนๆ
ทว่าชมพูนุทกลับคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาแนะนำแบบนี้เพราะอยากกลับไปคืนดีกับเธอ สีหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์ของมธุรัตน์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เธอเชื่ออย่างนั้น
ความจริงมธุรัตน์ไม่ได้ไม่สบอารมณ์ เธอเพียงแต่ทำหน้านิ่งตามปกติของเธอเท่านั้น ชมพูนุทต่างหากที่เข้าใจผิดและคิดเป็นตุเป็นตะไปเอง
“ขอเรียกว่าน้ำผึ้งนะคะ เรียกพี่ว่าพี่พิงค์ก็ได้” หญิงสาวส่งยิ้มให้อย่างพี่สาวใจดี แต่ในใจนั้นกลับดูถูกมธุรัตน์ที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าแขนยาวไร้รสนิยม ดูปอนๆ เหมือนเด็กกะโปโลที่ไม่มีอะไรมาสู้เธอได้เลย
มธุรัตน์พยักหน้ารับ แล้วหันไปช่วยพลวัตจัดของใส่จานโดยไม่พูดอะไร ท่าทีเฉยชาของเธอทำให้ชมพูนุทคิดว่าหญิงสาวประกาศความเป็นศัตรูออกมาอย่างเปิดเผย
‘โง่จริง ไม่สวยแล้วยังกล้าเรียกร้องความสนใจแบบนั้นอีก ก็ดี...จะได้เริ่มแผนต่อไปซะเลย’
ชมพูนุทเริ่มชวนหญิงสาวคุยเรื่องต่างๆ มธุรัตน์ตอบรับบ้างเป็นบางคำถาม แต่ส่วนใหญ่จะก้มหน้าก้มตากินเสียมากกว่า บางทีก็แค่พยักหน้ารับ ไม่ก็ใช้สายตาบอกให้พลวัตช่วยตอบแทนให้ ชมพูนุทจึงสบโอกาสทำหน้าเจื่อนหันไปขอความเห็นใจจากพลวัต หญิงสาวขยับตัวขึ้นมาอิงขอบเก้าอี้ของชายหนุ่ม แล้วกระซิบกระซาบถาม เจตนาเพื่อยั่วมธุรัตน์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“พิงค์พูดอะไรผิดหรือเปล่าคะพี่พล น้ำผึ้งเขาดูตึงๆ กับพิงค์จัง”
“เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดอย่างนี้แหละครับ อย่าถือสาเลย” พลวัตแก้ต่างให้
“แน่นะคะ” หญิงสาวเอามือไปวางบนไหล่พลวัตอย่างสนิทสนม
พลวัตเกือบขยับหนีมือชมพูนุทในทีแรก แต่ก็รักษามารยาทเพราะรู้ว่าหญิงสาวเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชมพูนุทไม่เคยถือสาเรื่องการจับเนื้อต้องตัวกันระหว่างเพื่อนเพศตรงข้าม เธอให้ความสนิทสนมกับทุกคนเกือบจะเท่าเทียมกัน เมื่อก่อนเขากับเธอเลยทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้หลายครั้ง
“โล่งอกไปค่ะ” ชมพูนุทเลื่อนมือออกจากไหล่ของพลวัต เธอเปลี่ยนมากอดแขนเขา แล้วปรายตาไปมองมธุรัตน์อย่างท้าทาย
พลวัตเองก็มองไปทางมธุรัตน์เช่นกัน ชายหนุ่มเป็นคนขี้หวง ถึงจะระบุความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับหญิงสาวไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้เธอไปสนิทสนมกับใครแบบที่ชมพูนุททำกับเขา
มธุรัตน์เงยหน้าขึ้นมามองสองหนุ่มสาวแวบหนึ่ง แล้วผุดลุกขึ้นจากที่นั่งเดินออกไปในทันทีคล้ายกับว่ากำลังไม่พอใจ
‘งานเข้าแล้ว!’ พลวัตอุทานในใจ แล้วลุกตามออกไปอย่างร้อนตัว
“จะรีบลุกไปไหน อิ่มแล้วเหรอ”
“อืม” มธุรัตน์ตอบเสียงเรียบ
พอหันไปมองที่โต๊ะก็เห็นว่าอาหารที่ชมพูนุทเอามาหมดเกลี้ยง จะเหลือก็แต่ที่พวกเขาตักแบ่งเอาไว้ในจานเท่านั้น
“กินเยอะขนาดนั้น เดี๋ยวก็ท้องแตกตายหรอก”
ชมพูนุททำอาหารมาเยอะขนาดที่ว่ากินกันสี่ห้าคนได้สบาย แต่มธุรัตน์กลับยัดลงท้องไปจนหมด
“ก็มันหิวนี่”
มธุรัตน์ยังคงเถียงด้วยน้ำเสียงโทนเดิมเหมือนที่เธอคุยกับเขาประจำ ชายหนุ่มก็เลยได้รู้ว่าเขาคิดมากไปเองเรื่องที่เธอไม่พอใจ มธุรัตน์แค่ก้มหน้าก้มตากินเหมือนทุกที ไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าเขากับชมพูนุทคุยอะไรกันอยู่
“แล้วจะลุกไปไหน”
“อาบน้ำ”
“ไม่ได้! กินอิ่มใหม่ๆ ไม่ควรจะรีบอาบน้ำ ไปนั่งเล่นกับเจ้าไมเคิลหรือไปอ่านหนังสือก่อนไป สักยี่สิบนาทีค่อยไปอาบ”
หญิงสาวหันมาทำหน้าเหนื่อยใจใส่ชายหนุ่ม พลวัตเลยเผลอตัวขยี้ผมหญิงสาวด้วยความมันเขี้ยว แม้จะเดินกลับมากินอาหารที่โต๊ะอาหารแล้ว แต่สายตาของเขาก็ยังคงทอดมองมธุรัตน์เป็นระยะ
ชมพูนุทรู้สึกโกรธกรุ่นอยู่ในใจเมื่อถูกแย่งความสนใจไปแบบไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวเม้มปากเพื่อสะกดอารมณ์ แล้วคิดแผนการใหม่อย่างเร่งด่วน
อึดใจต่อมาหญิงสาวก็รวบช้อนส้อม แล้วไปนั่งคุยกับมธุรัตน์ที่ห้องนั่งเล่น เพื่อที่พลวัตจะได้สังเกตเห็นเสียทีว่านางพญาหงส์กับลูกเป็ดขี้เหร่มันต่างกันอย่างไร
“อาหารฝีมือพี่อร่อยใช้ได้ไหมคะ” ชมพูนุทชวนคุย
“อร่อยเหมือนของรีสอร์ตบ้านล้อมดาว” มธุรัตน์ตอบตามที่คิด พลวัตเคยพาเธอไปกินอาหารที่นั่น มธุรัตน์ก็เลยจำรสชาติได้
ประโยคนี้ทำให้คนโกหกร้อนตัวขึ้นมา หญิงสาวรีบปรายตาไปมองว่าพลวัตฟังอยู่หรือเปล่า โชคร้ายที่เขาได้ยิน ชายหนุ่มดูเหมือนจะเริ่มสงสัยว่าอาหารมื้อนี้เธอไม่ได้เป็นคนทำเอง ชมพูนุทจึงต้องหาทางพูดกลบเกลื่อน
“รีสอร์ตนั้นเป็นของครอบครัวพี่เองค่ะ ก็เลยขอใช้ครัวกับวัตถุดิบเขา แต่สูตรไม่เหมือนกันเสียทีเดียวหรอกนะคะ พี่พลชอบเผ็ด พี่เลยเพิ่มพริกกับเครื่องเทศในสตู แล้วปรับรสไม่ให้เค็มมาก พี่พลไม่ชอบอาหารรสเค็มใช่ไหมคะ” หญิงสาวหันไปส่งยิ้มให้พลวัต สายตาเธอคล้ายจะบอกว่ายังไม่ลืมเรื่องเกี่ยวกับตัวเขา
“ไม่ขนาดนั้นหรอก เค็มนิดเค็มหน่อยผมกินได้”
พลวัตมัวแต่ก้มหน้ากินอาหาร เลยไม่ทันสังเกตแววตาของหญิงสาว ชมพูนุทจึงต้องหาเรื่องเรียกร้องความสนใจจากเขา โดยการใช้เจ้าไมเคิลให้เกิดประโยชน์
“แมวน่ารักจัง ขออุ้มหน่อยนะคะ”
แผนการของชมพูนุทคือเธอจะอุ้มเจ้าแมวน้อยเดินไปหาพลวัต แต่แล้วก็ต้องผิดแผนเมื่อเจ้าไมเคิลขู่ฟ่อใส่ แล้วข่วนเข้าเต็มแรง
“โอ๊ย! มันข่วนพิงค์ค่ะพี่พล ไอ้แมว...” หญิงสาวกัดริมฝีปากได้ทันก่อนจะสบถคำหยาบออกมา
ชมพูนุทเงียบไปเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังเสียกิริยา แล้วฉับพลันแผนการบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัว หญิงสาวพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการถลาไปหาพลวัต ออดอ้อนให้เขาดูอาการให้
“เลือดไหลเลยค่ะ ไม่รู้จะเป็นแผลเป็นหรือเปล่า แมวพี่พลฉีดยารึยังคะ พิงค์จะติดเชื้อไหม”
พลวัตชะโงกหน้าไปมองแผลที่มือซึ่งเป็นรอยข่วนสามรอยเล็กๆ แล้วก็ยิ้มขันท่าทีจะเป็นจะตายของชมพูนุท แผลแค่นี้ยังถือว่าเจ้าไมเคิลแค่สะกิดเท่านั้น เขากับมธุรัตน์เจอยิ่งกว่านี้มาเยอะแล้วเพราะความซนของมัน หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่เขายังหลงเธอไม่ลืมหูลืมตา พลวัตคงคิดว่ากิริยาของชมพูนุทดูน่ารัก แต่พอมาตอนนี้เขาเริ่มตาสว่างก็เลยมองเป็น ‘สำออย’ ไป
“ถลอกนิดหน่อยเอง ไม่ถึงขนาดเป็นแผลเป็นหรอก ใส่ยาหน่อยก็หายแล้ว” ชายหนุ่มลุกไปเปิดตู้ยาหยิบยาใส่แผลกับแอลกอฮอล์มาส่งให้
“ทำแผลให้หน่อยสิคะพี่พล” ชมพูนุทปั้นหน้าน่าสงสาร พลวัตเลยจำใจต้องทำแผลให้อย่างเลี่ยงไม่ได้
หญิงสาวยื่นมือไปวางที่ต้นขาของชายหนุ่ม แล้วช้อนตาขึ้นมามองอย่างให้ท่า ทว่าก่อนที่พลวัตจะทันได้ประสานสายตาด้วย เสียงโต๊ะเลื่อนครูดไปกับพื้นก็ดังลั่น ตามมาด้วยเสียงนิตยสารที่กองอยู่บนนั้นตกลงมา
ต้นเหตุเกิดจากมธุรัตน์เดินไปชนโต๊ะอย่างแรงเพราะความรีบร้อน หญิงสาวไม่คิดจะก้มลงเก็บของที่ตกลงมาแต่กลับสาวเท้ายาวๆ ไปโก่งคออาเจียนในห้องน้ำแทน
“เป็นอะไรไป!” พลวัตร้องด้วยความตกใจ ชายหนุ่มรีบปราดเข้าไปดูแลหญิงสาวในทันที ปล่อยให้ชมพูนุทยืนอึ้งอยู่กับความแผนสูงของมธุรัตน์
‘แกล้งป่วยแล้วเรียกร้องความสนใจ ร้ายลึกจริงนะนังนี่’
หญิงสาวแช่งชักหักกระดูกมธุรัตน์ในใจอย่างดุเดือด แล้วจ้องไปที่มธุรัตน์อย่างอาฆาตเมื่อหญิงสาวเดินโงนเงนออกมาจากห้องน้ำโดยมีพลวัตช่วยประคองออกมา
“ไหวไหม จู่ๆ ก็อาเจียนหนักแบบนี้ รีบไปโรงพยาบาลดีกว่า” พลวัตถามขณะช่วยพาหญิงสาวมานั่งที่โซฟา
“ไม่...ไป” หญิงสาวตอบกลับมาด้วยเสียงอ่อนระโหยโรยแรง
ชายหนุ่มจึงผละออกไปเปิดตู้ยา แล้วหยิบผงน้ำตาลเกลือแร่เอามาชงให้ดื่ม เพื่อเป็นการการปฐมพยาบาลในเบื้องต้น
มธุรัตน์รับน้ำตาลเกลือแร่มาดื่มจนหมดแก้ว แต่สีหน้าก็ดูไม่ดีขึ้นเลย พลวัตจึงตัดสินใจบังคับให้ไปโรงพยาบาล
“ไปหาหมอกัน” ชายหนุ่มบอกเสียงเข้ม
“ไม่ไป ไม่เป็นไรสักหน่อย” มธุรัตน์ส่ายหน้าดิกเหมือนเด็กเล็กที่กลัวการไปหาหมอ
อาการปฏิเสธโรงพยาบาลอย่างแข็งขันทำให้ชมพูนุทยิ่งมั่นใจว่าหญิงสาวแกล้งไปล้วงคออ้วกในห้องน้ำ เธอจึงยิ่งรู้สึกชิงชังในตัวมธุรัตน์มากขึ้นเป็นลำดับ ทั้งที่ความจริงแล้วมธุรัตน์ไม่ได้มีแผนสูงอะไรเลย เธอแค่แพ้อาหารที่กินไปเท่านั้นเอง
“ไม่เป็นไรอะไรเล่า อ้วกซะหมดไส้หมดพุงอย่างนั้น อย่าดื้อได้...แขนคุณเป็นผื่นอะไร”
พลวัตหยุดบ่นชั่วคราวเมื่อหันไปเห็นผื่นแดงๆ ที่ขึ้นมาตามตัวของมธุรัตน์ ชายหนุ่มขยับไปมองใกล้ๆ ก็เห็นว่ามันไม่เหมือนกับผื่นเมื่อคราวที่หญิงสาวแพ้ผ้าห่ม หนนี้มันเหมือนกับเป็นจ้ำเลือดออกมาจากในตัว
“ผื่นแพ้”
“แพ้อะไร”
“เนื้อแกะ”
“รู้ว่าแพ้แล้วกินไปทำไม พิงค์ก็บอกไม่ใช่เหรอว่ามันเป็นสตูเนื้อแกะ”
เขาจำได้ว่าได้ยินไม่ต่ำกว่าห้าครั้งว่าสตูวันนี้เป็นเนื้ออะไร ถึงมธุรัตน์จะไม่ค่อยสนใจใคร แต่เธอก็น่าจะได้ยินเข้าหูไปบ้างว่านี่เป็นของที่ตัวเองแพ้
“ก็มันอร่อย”
คำแก้ต่างทำให้พลวัตตบหน้าผากตัวเองด้วยความปวดหัว
“รู้ว่าแพ้ก็ยังจะกิน อยากตายนักรึไง” ชายหนุ่มแว้ดใส่เสียงดัง พอคิดได้ว่าพูดอะไรออกไปพลวัตก็เป็นฝ่ายใจเสียเอง ตอนนี้ตัวมธุรัตน์เริ่มแดงจนน่ากลัว
“ไปโรงพยาบาลกัน”
“ไม่เอา กินยาแก้แพ้ก็พอ”
มธุรัตน์ไม่ชอบไปโรงพยาบาล เธอไม่ชอบต่อคิวรอ ไม่ชอบกินยา แล้วก็เกลียดสถานที่ที่มีคนเข้าออกเป็นจำนวนมากด้วย
“ไม่ได้! ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้”
ขาดคำพลวัตก็เล่นบทโหดด้วยการรวบตัวหญิงสาวเอามาพาดบ่า แล้วแบกออกมาไปจากบ้าน
“ปล่อยนะ!”
มธุรัตน์พยายามดิ้นแต่เรี่ยวแรงก็หายไปจากการอาเจียนอย่างหนัก เลยทำได้แค่เหวี่ยงมือไปมาทุบหลังพลวัตเท่านั้น ตอนนี้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว จะคันก็ไม่เชิง จะแสบก็ไม่ใช่ ทั้งยังรู้สึกเหมือนเป็นไข้อ่อนๆ อีกด้วย
“อย่าดื้อสิ ถ้าดิ้นแล้วตก จะฟ้องพิมจริงๆ ด้วย”
คำขู่นี้เหมือนจะใช้ได้ผลชะงัด เพราะคนที่กำลังทุบหลังเขาอยู่หยุดดิ้นในทันที
“ไปก็ได้แต่ห้ามบอกพิม” มธุรัตน์ต่อรอง
พิมลตราไม่เหลือวันลาอีกแล้ว เธอจึงไม่อยากให้เรื่องที่เธอต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเหตุทำให้เพื่อนสาวผิดใจกับเจ้านาย และไม่อยากให้ต้องลำบากขับรถมาเยี่ยมถึงที่นี่
“ได้”
พลวัตรีบวางตัวหญิงสาวให้ลงมาเดินเอง แต่ก็โอบเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเพราะไม่ไว้ใจ คนอย่างมธุรัตน์ทำอะไรให้ตกใจได้เสมอ เขาเลยกลัวว่าเธอจะวิ่งหนีไป
ภาพบาดตานี้ทำให้ชมพูนุทแทบจะกรีดร้องออกมาดังๆ วันนี้ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนการของเธอเลยสักอย่าง
“แล้วพิงค์ล่ะคะพี่พล” หญิงสาวเผลอตะโกนอย่างเอาแต่ใจออกมา
“กลับไปได้เลย ก่อนกลับปิดบ้านให้ด้วย” ชายหนุ่มตะโกนตอบโดยไม่หันมามองหน้าสวยๆ ของอีกฝ่ายให้เสียเวลา
ใจของพลวัตพะวงอยู่กับอาการของมธุรัตน์จนไม่ใส่ใจเรื่องอื่น เขาอยากพาเธอไปส่งให้ถึงมือหมอให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้มั่นใจว่าเธอจะปลอดภัย
“พี่พลไล่พิงค์เหรอคะ แล้วกล้าดียังไงมาใช้พิงค์” ชมพูนุทกรีดร้องอย่างหมดความอดทน
ตอนคบกันเขาไม่เคยหมางเมินอย่างนี้ อย่าว่าแต่วานให้ปิดบ้านให้เลย เรื่องเล็กเรื่องน้อยอย่างหยิบของให้เขาก็ยังไม่กล้าใช้เธอ
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวไม่ดังเข้าหูพลวัตเลยสักนิดเดียว เพราะชายหนุ่มออกรถไปตั้งแต่เธอเริ่มโวยวายแล้ว
“เพราะนางนั่นคนเดียว” ชมพูนุทจิกเล็บกับฝ่ามืออย่างแค้นใจ
ดูท่าการทวงคืนหัวใจครั้งนี้จะไม่หมูอย่างที่คิดแล้ว เพราะคู่แข่งของเธอนั้นไม่ได้โง่ แถมยังร้ายลึกอีกต่างหาก
ทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล มธุรัตน์ก็ถูกพาตัวเข้าไปในแผนกฉุกเฉิน ซึ่งเป็นแผนกเดียวที่ยังเปิดรับผู้ป่วยนอกในเวลากลางคืนอย่างนี้ จากนั้นพลวัตนั่งรออยู่หน้าแผนกเพียงลำพัง บรรยากาศเงียบสงบปลอดผู้คนไม่ได้ทำให้ใจของชายหนุ่มคลายความร้อนรุ่มลงเลย ยิ่งรอนานเท่าไรความกังวลในใจเขาก็พอกพูนมากขึ้นเท่านั้น
มธุรัตน์หายเข้าไปในห้องฉุกเฉินนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาแจ้งว่าเธอปลอดภัยหรือไม่ พอเงี่ยหูฟังได้ยินเสียงร้องครวญครางของคนด้านใน ชายหนุ่มก็ยิ่งใจเสีย ก่อนหน้าเขาเห็นบุรุษพยาบาลเข็นผู้ป่วยเข้าไปหลายคนแต่ก็ไม่เห็นมีใครได้กลับออกมาเลย
‘จะเป็นอะไรมากหรือเปล่านะ หมอเก่งหรือเปล่าก็ไม่รู้’
พลวัตชะเง้อมองประตูที่แปะป้ายตัวโตว่า ‘ห้ามบุคคลภายนอกเข้า’ อย่างชั่งใจ เขาอยากจะเข้าไปดูมธุรัตน์แต่ก็รู้ว่าขืนเข้าไปก็รังแต่จะไปเกะกะและคงถูกไล่ออกมา ก็เลยเดินวนไปวนมาอย่างร้อนรน
เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรให้ใจสงบลง พลวัตจึงต้องหวังพึ่งคนอื่น ชายหนุ่มโทรศัพท์ไปหาพี่ชายที่เป็นนายแพทย์ เผื่อว่าพี่จะให้คำตอบหรือคำอธิบายเกี่ยวกับอาการแพ้อาหารที่ทำให้เขาสบายใจขึ้น
“พี่พัน คนแพ้อาหารนี่ไม่ถึงตายใช่ไหม” ชายหนุ่มโพล่งออกไปทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย
“คะ? อะไรนะคะ”
เสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงของผู้หญิง พลวัตเลยต้องพลิกโทรศัพท์ดูอีกทีว่าเขาต่อสายถูกหรือไม่ ผลที่ได้คือมันเป็นเบอร์โทรศัพท์ของพัลลภอย่างแน่นอน
“ขอสายคุณหมอพัลลภครับ” ชายหนุ่มเรียกเต็มยศเพราะเดาว่าพี่ทำงานยุ่งอยู่ พยาบาลเลยรับสายแทนให้
“คุณหมอยังคุยไม่ได้จนกว่าจะพรุ่งนี้ค่ะ ไม่ทราบมีธุระอะไรจะฝากไว้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่มีอะไร” พลวัตตั้งใจจะวางสายแต่อีกฝ่ายเอ่ยแทรกมาก่อน
“เดี๋ยวค่ะ! ที่คุณถามเรื่องคนแพ้อาหารน่ะค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ ฉันพอจะอธิบายให้ได้” เจ้าของเสียงหวานใสเอ่ยอย่างมีน้ำใจ
“ครับ ผมอยากทราบว่าคนที่แพ้อาหาร แล้วกินเข้าไปจะเป็นอันตรายแค่ไหน”
แม้จะไม่รู้ว่าหญิงสาวเป็นใคร แต่พลวัตก็ตัดสินใจคุยกับเธอแทนพี่ชาย ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงจะช่วยให้เขาสบายใจได้
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าแพ้มากแพ้น้อยแค่ไหนค่ะ แล้วกินเข้าไปในปริมาณมากเท่าไร ถ้าแพ้ไม่มากก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะแต่ถ้าแพ้มากๆ อาจจะช็อกแล้วถึงแก่ชีวิตได้”
พลวัตนิ่งคิดตาม แล้วก็ต้องตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามธุรัตน์กินสตูเนื้อแกะไปคนเดียวเกือบหมด
“ถ้าอาเจียนออกมาจะดีขึ้นไหมครับ”
“ไม่แน่เสมอไปค่ะ ถ้าร่างกายดูดซึมสารที่แพ้ไปแล้ว ถึงอาเจียนออกมาก็ไม่เป็นผล”
“แล้วถ้าอาเจียนกับมีผื่นแดงขึ้นตามตัวนี่เรียกว่าเป็นหนักไหมครับ” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่ปิดความกังวลเอาไว้ไม่มิดจนคู่สนทนาจับน้ำเสียงได้
“คุณดูเครียดจังนะคะ คนใกล้ตัวแพ้อาหารเหรอคะ”
“ครับ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน”
“ถ้าถึงมือหมอแล้วก็สบายใจได้ค่ะ ทางการแพทย์ถ้าไม่ช็อกหรือหยุดหายใจก็ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกค่ะ คุณหมอต้องช่วยเพื่อนคุณได้แน่”
คำปลอบช่วยให้พลวัตใจสงบลงได้บ้าง แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นในจังหวะที่เขากำลังจะกล่าวขอบคุณ เขาก็ได้ยินเสียงพยาบาลตะโกนเสียงดังว่า ‘ผู้ป่วยหยุดหายใจ’
อารามตกใจพลวัตเลยเผลอทำมือถือหลุดมือ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจจะเก็บ เขาวิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้วกวาดตามองหามธุรัตน์ในทันที
สองเตียงแรกเป็นผู้ป่วยอุบัติเหตุ ส่วนเตียงด้านในสุดคือเตียงที่ผู้ป่วยหยุดหายใจ ตอนนี้ทั้งแพทย์และพยาบาลต่างก็ไปมุงเตียงนั้นกันหมด เขากวาดตามองไม่เป็นมธุรัตน์ที่เตียงอื่น เลยคิดว่าต้องเป็นเธอแน่ ชายหนุ่มจึงรีบแทรกตัวเข้าไปที่เตียงทันที
“หมอต้องช่วยเธอให้ได้นะครับ” ชายหนุ่มหันไปขอร้องนายแพทย์วัยกลางคน
คุณหมอไม่ตอบอะไรเพราะกำลังวุ่นอยู่กับการรักษา พยาบาลคนหนึ่งจึงหันมาตอบแทน
“ญาติออกไปก่อนนะคะ ถ้าอยากให้คุณยายรอดก็อย่าเพิ่งมารบกวนการทำงานของแพทย์”
คำว่า ‘คุณยาย’ ทำให้ชายหนุ่มหันไปมองหน้าคนไข้ แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงชราสูงวัย
‘แล้วมธุรัตน์ล่ะไปไหน?’
พลวัตขยับหนีออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองเกะกะการทำงานของทีมแพทย์ เขากวาดตามองหาหญิงสาวทั่วห้องอีกครั้ง จึงได้เห็นว่าหญิงสาวแอบอยู่หลังม่าน กำลังมองแพทย์ปั๊มหัวใจของผู้ป่วยอย่างสนอกสนใจ มธุรัตน์ต้องแอบมายืนดูอยู่ตรงนี้เพราะกลัวว่าถ้าพยาบาลเห็นจะไล่ให้เธอกลับไปนอนที่เตียง
“ทำไมไม่อยู่บนเตียง” พลวัตเอ็ดใส่ทันที เขาฉุดมธุรัตน์ออกมาจากหลังม่าน แล้วลากตัวหญิงสาวมาที่เตียงซึ่งว่างอยู่
“ก็มันน่าเบื่อนี่” หญิงสาวแก้ต่างให้ตัวเอง
หลังจากตรวจอาการเธอเสร็จ หมอก็สั่งจ่ายยาแก้แพ้ให้ แล้วให้เธอนอนพักในห้องฉุกเฉินไปก่อนเพื่อเฝ้าสังเกตอาการ จากนั้นก็ไม่ได้มีการรักษาอื่นใดอีก เธอเลยลุกจากเตียงไปดูพยาบาลเย็บแผลแต่ดูได้ไม่เท่าไรก็ถูกห้าม
“เธอนี่มัน...” พลวัตตั้งท่าจะเอ็ดหญิงสาวแต่กลับเป็นฝ่ายถูกพยาบาลดุเสียเอง
“คุณคะ ช่วยออกไปด้วยค่ะ จะไม่เตือนดีๆ เป็นครั้งที่สามแล้วนะคะ”
“ครับ ขอโทษครับ ออกไปแล้วครับ”
ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้อย่างขอลุแก่โทษ จากนั้นก็เดินกลับออกมานอกห้อง แล้วเก็บเอามือถือที่ทำร่วงมาประกอบใหม่ โชคดีเหลือเกินที่มันยังสามารถใช้งานได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงก่นด่าตัวเองมากกว่านี้ที่วิตกจริตจนเกินพอดี
พลวัตรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกราวสองชั่วโมงมธุรัตน์ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้
“เอาใบนี้ไปรับยาที่ห้องยานะคะ” พยาบาลสาวส่งกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งไปให้พลวัต แล้วหันหลังกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
ตอนนี้มธุรัตน์กลับมาเป็นปกติแล้ว ผื่นแดงตามตัวเธอหายไปราวกับว่าไม่เคยมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น เธอเป็นพวกแพ้ง่ายที่หายเร็วจนน่าอัศจรรย์
“ดีนะที่ไม่เป็นอะไร ทีหลังห้ามกินอะไรที่แพ้เด็ดขาดเลยรู้ไหม”
“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร” มธุรัตน์ยักไหล่ใส่ พร้อมกับยัดข้อหาจอมตีโพยตีพายให้พลวัตทางสายตา
“ไม่ต้องมาเถียงเลย รู้หรือเปล่าว่าคนเขาเป็นห่วง หัดใส่ใจความรู้สึกคนอื่นเขาซะบ้าง” พลวัตเอ็ด แล้วเดินหนีเพื่อไปเอายา
เขาตั้งใจว่าจะไม่ยอมพูดกับมธุรัตน์อีกจนกว่าจะกลับบ้าน เพื่อให้หญิงสาวได้สำนึกเสียบ้างจะได้ไม่ขยันสร้างเรื่องให้คนอื่นเป็นห่วง ทว่าระดับมธุรัตน์แล้วไม่มีทางมีคำว่า ‘เข็ด’ อยู่ในพจนานุกรมความรู้สึก พอพลวัตกลับมาที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง หญิงสาวก็หายไปจากที่ตรงนั้นเสียแล้ว
ชายหนุ่มกวาดตามองหาจนทั่วบริเวณ เมื่อมั่นใจว่าเธอไม่ได้หลบอยู่แถวนี้ เขาก็กลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เผื่อเจ้าหล่อนจะยังติดใจอยากดูการทำงานของแพทย์อยู่
“เห็นคนป่วยที่มากับผมไหมครับ เธอหายไป” ชายหนุ่มหันไปถามพยาบาลสาวที่เป็นคนเอาใบสั่งยามาให้เขา
“ไม่ทราบค่ะ ไม่ได้เข้ามาในนี้” พยาบาลสาวหันมาตอบ แล้วก้มหน้าเขียนชาร์จผู้ป่วยต่อไป
พลวัตจึงกวาดตามองหารอบห้องเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอเขาก็รีบออกมาตามหาข้างนอก ชายหนุ่มลองกลับไปที่รถดูแต่ก็ไม่พบตัว
“ไปไหนของเขานะ” ชายหนุ่มเสยผมอย่างหงุดหงิด
มธุรัตน์สร้างเรื่องวุ่นวายให้เขาเป็นตลอดเวลา แต่ที่ร้ายที่สุดคือตัวเขาเองที่ทำเป็นเมินเธอไม่ลง ชายหนุ่มลองเดินดูรอบๆ ตึก แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับป้ายบอกทางไปห้องเก็บศพ
“คงไม่ได้ไปเดินเล่นแถวนั้นหรอกนะ” พลวัลตรองอย่างชั่งใจ “ไม่สิ...ยัยนั่นต้องไปแน่อยู่แล้ว”
ขนาดศพหมาเจ้าหล่อนยังจ้องตาไม่กะพริบ ถ้าเป็นศพคนนี่อาจจะเป็นของชอบเลยก็ได้
พลวัตวิ่งไปตามป้ายทันที แล้วเขาก็พบมธุรัตน์อยู่ที่นั่นจริงๆ หญิงสาวเอาหน้าแนบกับกระจกตรงประตูห้อง แล้วมองเข้าไปด้านในอย่างสนอกสนใจ
“มาอยู่...นี่เอง” พลวัตพูดปนหอบ พอเห็นเธอเขาก็โล่งใจที่หาพบ ในขณะเดียวกันก็ภูมิใจอยู่ลึกๆ ที่สามารถเดาพฤติกรรมสุดเพี้ยนของหญิงสาวได้
มธุรัตน์หันหน้ามาหาพลวัตเมื่อได้ยินเสียงเรียก ชายหนุ่มกำลังก้มหน้าเอามือวางบนเข่าเพื่อพักหายใจอยู่ พอหายเหนื่อยเขาก็ตรงรี่เข้ามาหาเธอ
“อย่าเดินหายไปเฉยๆ ให้คนเขาเป็นห่วงได้ไหมแม่คุณ นี่มันโรงพยาบาลตอนเที่ยงคืนนะ ไม่ใช่ตลาดนัด”
“ห่วงเหรอ”
สีหน้าพลวัตตอนนี้เหมือนผู้ปกครองที่กำลังเอ็ดเด็กซนที่วิ่งหายไปในห้างสรรพสินค้า ท่าทางเหมือนจะโมโหมากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย มันเลยทำให้หญิงสาวรู้สึกดีเสียมากกว่าจะขุ่นเคือง
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ห่วงมากไหม”
“เออสิ...ห่วงจนจะคลั่งเลย”
พอพูดออกไปแล้วพลวัตก็ต้องชะงัก คำพูดจากใจนี้ทำให้เขารู้สึกขัดเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นเพราะมันคล้ายกับคำพูดของพระเอกละครตอนจะสารภาพรักอย่างไรชอบกลอยู่
“กลับกันได้แล้ว ง่วงจะแย่” ชายหนุ่มดึงแขนมธุรัตน์ให้เดินตามมาแก้เก้อ
หญิงสาวขืนตัวเอาไว้อึดใจหนึ่ง แล้วโบกมือให้ประตูห้อง ก่อนจะยอมเดินตามแรงดึงมาแต่โดยดี
“คุณโบกมือให้ใคร”
“คนที่อยู่ในห้อง”
“คุณหมายถึงคนเป็นหรือคนตาย” พลวัตถามเพื่อความแน่ใจ
เขาจำได้ว่าหน้าห้องมีแม่กุญแจคล้องเอาไว้จากด้านนอก ดังนั้นสิ่งที่อยู่ข้างในจึงน่าจะเป็นศพ เว้นเสียแต่ว่ามีใครถูกขังอยู่ในนั้นเพราะความผิดพลาด
“วิญญาณเด็กผู้หญิงตัวเท่านี้” มธุรัตน์ทำมือประกอบความสูง
ตอนนั่งรอพลวัตอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน มธุรัตน์ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กแว่วๆ ก็เลยเดินตามเสียงไป แล้วก็พบว่าเด็กคนนั้นกำลังเดินไปที่ห้องเก็บศพ พอเห็นว่าเธอตามมาเด็กคนนั้นก็หันมาโบกมือให้ แล้วเดินทะลุประตูหายไป
“อย่ามาอำ ไม่รู้รึไงว่าเขาห้ามพูดเรื่องผีเวลากลางคืน”
“เปล่า เห็นกับตาว่าเดินทะลุตรงนี้ไป” มธุรัตน์ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หญิงสาวไม่ชอบให้ใครกล่าวหาว่าตัวเองโกหก ก็เลยทำท่าจะลากพลวัตไปที่ประตูห้อง แล้วชวนให้มองเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มจึงรีบขืนตัวเอาไว้ เขาไม่ใช่คนกลัวผีแต่การต้องไปยืนจ้องศพก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์
“ผมไม่เถียงคุณแล้ว กลับกันดีกว่า” ชายหนุ่มฉุดมือหญิงสาวให้เดินตามมา ด้วยไม่อยากจะล่าท้าผีกับเธอในตอนนี้
เดินก้าวยาวๆ มาได้สักพัก พลวัตก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกัน พอเห็นไปมองก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสองคน กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหย่อมซึ่งติดกับทางเดิน
“เวรเฝ้าห้องดับจิตตอนหลังเที่ยงคืนนี่หาคนไม่ค่อยได้เลย” ชายร่างสูงบ่น
“ช่วยไม่ได้นี่ลูกพี่ ผีเด็กมันชอบออกมาตอนเที่ยงคืน” คนตัวเตี้ยร่างอวบที่เดินมาด้วยกันพูด
“ผีอะไรของแก อ้อใช่! ผีเด็กผู้หญิงที่ป่วยตาย ที่ชอบเดินทะลุประตูห้องดับจิตใช่ไหม”
พลวัตหันขวับมาสบตากับมธุรัตน์ในทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ หญิงสาวไม่ว่ากระไรแต่ยักคิ้วเหมือนจะบอกว่า ‘เห็นไหมว่าไม่ได้โกหก’
“นี่เห็นจริงเหรอ”
“อืม” หญิงสาวรับคำด้วยท่าทีที่ไม่รู้สึกรู้สา
“ไม่กลัวรึไง”
ขนาดพลวัตไม่กลัวผีเขายังขนลุกเกรียวตอนที่ได้ยินเจ้าหน้าที่ทั้งสองคุยกัน แต่มธุรัตน์ไปเจอมากับตัว กลับดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย
“ไม่ ประหลาดดี” มธุรัตน์พูดประหนึ่งเพิ่งไปดูสัตว์หายากในสวนสัตว์มา ไม่ใช่เพิ่งถูกผีหลอก พลวัตก็เลยอดย้อนใส่ไม่ได้
“เธอนั่นแหละประหลาด”
หญิงสาวไม่สนใจคำค่อนของชายหนุ่ม เธอขยับเข้ามาจับมือของเขาเอาไว้ แล้วดึงให้เดินตามไป
“จะไปไหน”
“อ้อมไปทางนั้น อยากชมจันทร์” มธุรัตน์ชี้ให้ดูพระจันทร์ดวงโตที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าประกอบคำพูด
‘เพิ่งเจอผีมาแต่ยังมีอารมณ์ชมจันทร์ เยี่ยมมาก!’
ถ้าพลวัตมากับคนอื่น ป่านนี้คงพากันจ้ำอ้าวกลับไปที่รถแล้วขับออกไปทันทีแต่นี่มากับมธุรัตน์ เขาเลยยังเดินทอดน่องต่อไปได้ เนื่องจากความประหลาดของเธอปราบความกลัวผีเสียราบคาบ
ด้วยเหตุนี้พลวัตเลยได้มีโอกาสสัมผัสความโรแมนติกแบบแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร โดยการเดินเล่นใต้แสงจันทร์ในโรงพยาบาลตอนตีหนึ่ง โดยมีเสียงหมาหอนช่วยสร้างบรรยากาศให้เป็นระยะ
เหตุการณ์เรื่องกำไลกลายเป็นปลอกคอแมวทำให้พลวัตนึกเคืองอยู่กรุ่นๆ ถึงจะรู้ว่าตัวเองก็มีส่วนผิดที่ไม่พูดให้ชัดเจน แต่ระบบความคิดที่ไม่เหมือนปุถุชนทั่วไปของมธุรัตน์ก็ชวนให้โมโห ตกดึกชายหนุ่มเลยเข้ามาในห้องก่อนแล้วนอนหันหลังให้ แสร้งทำเป็นไม่สนใจอีกฝ่ายเพื่อเอาคืนบ้าง
มธุรัตน์รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกไปแต่ก็ไม่ได้สนใจนัก พอรู้สึกหนาวหญิงสาวก็เป็นฝ่ายขยับเข้ามาหา แล้วกอดเขาเอาไว้จากทางด้านหลัง จึงกลายเป็นการง้อแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวไป เพียงเท่านี้อาการงอนของพลวัตก็หายไปอย่างรวดเร็ว เขาพลิกตัวมากอดเธอตอบแล้วหลับสนิททั้งคืน พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก็ลืมเรื่องที่ทำให้เคืองไปเสียสนิท
เช้าวันนี้แดดดีกว่าทุกวัน พลวัตเลยตั้งใจว่าจะซักผ้าก่อนไปทำงาน ทว่าพอหันไปมองที่ตะกร้าก็พบว่าทั้งตะกร้าและเสื้อผ้ากองโตหายไปหมด ชายหนุ่มจึงเดาว่ามธุรัตน์คงจะเอาไปซักให้
ตั้งแต่มาอยู่นี่นอกจากอุ่นอาหารเช้ากับเก็บกวาดของที่ไมเคิลทำรก หญิงสาวก็ไม่เคยหยิบจับงานบ้านอย่างอื่นเลย พฤติกรรมที่แปลกไปของเธอทำให้ต้องแอบย่องไปดูด้วยความสงสัย พอเห็นว่าหญิงสาวกำลังจะซักผ้าให้หัวใจเขาก็พองโต
พิมลตราบอกว่ามธุรัตน์จะใส่ใจและทำอะไรให้กับคนที่เธอห่วงใยเท่านั้น และการที่เธอยอมทำงานบ้านให้นั่นเท่ากับว่าเธอใส่ใจคนคนนั้นเป็นพิเศษ พลวัตยิ้มกว้างขณะมองหญิงสาวบรรจงหยิบผ้าใส่เครื่องซักผ้า แต่แล้วชายหนุ่มก็ได้ยิ้มค้างเมื่อมธุรัตน์เอาเสื้อเชิ้ตที่เลอะคราบน้ำหวานสีแดงเป็นดวงๆ ของเขาออกมาป้ายน้ำยาฟอกขาว ก่อนจะโยนลงถังไปพร้อมเสื้อผ้าตัวอื่น
พลวัตจำได้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำเลอะ ตัวการจะต้องเป็นมธุรัตน์อย่างไม่ต้องสงสัย เขาเดาว่าเจ้าหล่อนคงจะแอบเอาน้ำหวานมากินข้างบน แล้วเผลอทำหกเลยใช้เสื้อผ้าเขาต่างผ้าเช็ดพื้น
‘ที่แท้ก็ทำลายหลักฐานนี่เอง’ ชายหนุ่มทั้งขำแล้วก็อ่อนใจ ที่เผลอคิดเข้าข้างตัวเองได้เป็นตุเป็นตะ
พลวัตออกจะหงุดหงิดอยู่บ้างที่ถูกหลอกให้ดีใจเก้อ แต่เมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายกลัวเขาดุก็เลยรีบเอาผ้ามาซักแต่เช้า จึงรู้สึกขบขันมากกว่าเคือง ชายหนุ่มเดินอย่างเงียบกริบไปที่ห้องครัว แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่ามีคนกำลังพยายามปกปิดความผิดอยู่
มธุรัตน์ตั้งเครื่องชงกาแฟทิ้งเอาไว้ก่อนไปซักผ้า ส่วนขนมปังก็ปิ้งคาเครื่องเอาไว้ พลวัตเห็นว่าหญิงสาวกำลังยุ่งอยู่หลังบ้าน เขาเลยช่วยเธอเตรียมอาหารเช้าด้วยการหยิบขนมปังจากเตาปิ้งมาใส่จาน อุ่นแฮมด้วยไมโครเวฟ แล้วจึงค่อยเดินออกไปรดน้ำต้นไม้ตามปกติ
ขณะที่กำลังรดน้ำต้นไม้เพลินๆ มือนุ่มนิ่มของใครคนหนึ่งก็ยื่นมาปิดตาเขาเอาไว้ ชายหนุ่มคิดว่าเป็นมธุรัตน์ก็เลยจึงกดปิดที่ฉีดน้ำ จากนั้นก็หมุนตัวไปดึงอีกฝ่ายเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
“ว้าย!” เสียงอุทานของคนถูกกอดดังขึ้นอย่างมีจริต
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ กับเสียงคุ้นหูที่ไม่ได้ยินมานานทำให้พลวัตคลายมือ แล้วเบิกตากว้าง
“พิงค์!” ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง ด้วยไม่คิดมาก่อนว่าเธอจะมาหาเขาถึงที่นี่
ยังไม่ทันที่มือเขาจะพ้นไปจากตัวหญิงสาว พลวัตก็แทบช็อกเมื่อเห็นว่ามธุรัตน์หันมาเห็นฉากกอดจากทางหน้าต่างพอดี
“ก็พิงค์น่ะสิคะ พลทำท่าตกใจอย่างกับเห็นผี” ชมพูนุททำเสียงหวาน แล้วส่งยิ้มสดใสกลับมาให้
รอยยิ้มเช่นนี้สะกดพลวัตให้เคลิ้มไปได้เสมอ หากแต่คราวนี้มันกลับทำให้ชายหนุ่มดูลำบากใจเสียมากกว่าจะรู้สึกดี
“ผะ...ผมขอโทษ ผมนึกว่าคุณเป็นคนอื่น” ชายหนุ่มพูดพลางชะเง้อมองเข้าไปในตัวบ้านอย่างวิตก
‘คนอื่น’ ที่เขาเอ่ยถึงทำให้ชมพูนุทตัวชา หญิงสาวอยากจะกรีดร้องแล้วถามว่าเธอคนนั้นเป็นใคร เป็นแฟนใหม่เขาใช่หรือเปล่า แต่หญิงสาวก็ฉลาดพอที่จะข่มความไม่พอใจเอาไว้แล้วยิ้มรับ
ใครๆ ต่างก็บอกเธอว่าสี่ปีนี้พลวัตเปลี่ยนไปมาก ดังนั้นถ้าเธอยังคงยืนกรานที่จะทำตัวเหมือนเก่า เธอย่อมไม่มีวันได้เขาคืนมา ทางเดียวที่จะเอาชนะใจเขาได้อีกครั้งคือทำให้เขาเห็นว่าเธอเองก็เปลี่ยนไปแล้วและเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จนเขาต้องกลับมาตกหลุมรักเธออีกครั้ง
“แฟนพี่พลเหรอคะ”
“เอ่อ…ก็ไม่เชิงหรอกครับ” พลวัตอึกอักเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
ถ้าบอกว่าคู่นอน มธุรัตน์ก็จะเสียหาย จะบอกว่าแฟน เขากับเธอก็ไม่ได้ตกลงกันแบบนั้น
ชมพูนุทแสยะยิ้มชั่วร้ายในใจเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม เธอเข้าข้างตัวเองว่าเขาอึดอัดใจที่จะบอกว่ามีแฟนใหม่เพราะยังอาลัยอาวรณ์ในตัวเธออยู่
“เธออยู่ในบ้านใช่ไหมคะ แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ”
“ผมว่า...อย่าดีกว่า ตอนนี้ยังไม่สะดวกน่ะครับ ไว้วันหลังได้ไหม แล้วพิงค์มาที่นี่มีธุระอะไรหรือเปล่า”
พลวัตยังไม่ต้องการให้มธุรัตน์เจอกับชมพูนุทตอนนี้ เขากลัวว่าชมพูนุทอาจจะพูดอะไรให้มธุรัตน์เข้าใจผิดมากไปกว่าเดิม เขาเลยอยากจะอธิบายให้หญิงสาวเข้าใจก่อน จากนั้นถ้ามีโอกาสจึงค่อยแนะนำให้รู้จักกัน
“แหม...ถามอย่างนี้ใจร้ายจัง ทีเมื่อก่อนไม่เห็นเคยถามอย่างนี้เลย” ชมพูนุทพูดอย่างอารมณ์ดี โดยไม่มีท่าทีขัดเคืองแม้แต่น้อย
ปฏิกิริยาของหญิงสาวสร้างความประหลาดใจให้กับพลวัตเป็นอย่างมาก หากเป็นเมื่อก่อนเจ้าหล่อนคงกระฟัดกระเฟียดโกรธเขา แล้วโวยวายว่าต้องมีธุระก่อนหรือถึงจะมาหากันได้
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคะ มองพิงค์อย่างกับมองคนแปลกหน้า”
“ขอโทษครับ แค่รู้สึกว่าพิงค์เปลี่ยนไปน่ะ” พลวัตสารภาพตามตรง
“พิงค์ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนี่คะ คนเรามันก็ต้องเปลี่ยนไปบ้างล่ะ ความจริงวันนี้พิงค์ก็ไม่ได้มีธุระอะไรหรอกค่ะ พอดีตั้งใจว่าจะมาอยู่ที่สระบุรีสักพัก คิดถึงพี่พลขึ้นมาก็เลยแวะมาทักทาย”
“ผมสบายดี แล้วคุณล่ะ” พลวัตเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายขึ้น
ชายหนุ่มเชื่ออย่างสนิทใจว่าหญิงสาวเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกที่เขามีต่อเธอจึงกลายเป็นบวก ชายหนุ่มไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองถูกหลอกเข้าอย่างจัง ชมพูนุทยังคงเป็นชมพูนุทคนเดิม เธอแค่ฉลาดขึ้นและรู้จักวิธีที่จะให้ได้สิ่งที่ต้องการมาโดยไม่ต้องกรีดร้องหรือบีบน้ำตาอย่างแต่ก่อนเท่านั้น
“โดยรวมก็ดีค่ะแต่กลับมาแล้วไม่มีเพื่อน ก็เลยเหงานิดหน่อย” หญิงสาวทำเสียงเศร้าในตอนท้าย
พลวัตนึกถึงเรื่องการหย่าของเธอ จึงเริ่มเห็นใจอีกฝ่ายขึ้นมา ชมพูนุทมีเพื่อนมากแต่กลับมีเพื่อนแท้ไม่กี่คน เธอชอบบ่นให้เขาฟังประจำว่ารอบตัวมีแต่คนไม่จริงใจ จนเธอขยาดที่จะคบหาเพื่อนใหม่
“ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกผมได้นะ” ชายหนุ่มเผลอหลุดปากออกไปตามมารยาท ซึ่งมันก็เข้าแผนชมพูนุทอย่างจัง
“ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้กินข้าวด้วยกันนะคะ พิงค์จะทำกับข้าวมาให้ อ๊ะ! พิงค์ไม่ได้หมายความว่าแค่เราสองคนนะคะ รวมแฟนพี่พลด้วย จะได้แนะนำให้พิงค์รู้จักไงคะ”
ท่าทีของชมพูนุทที่มาอย่างเพื่อนทำให้เขาปฏิเสธเธอไม่ลง ก็เลยจำใจต้องรับปากไป เมื่อชมพูนุทกลับไปแล้วชายหนุ่มก็เข้าไปในบ้าน เพื่ออธิบายให้มธุรัตน์เข้าใจว่าสิ่งที่เธอเห็นก่อนหน้านี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ทว่าพอจะอ้าปากพูดมธุรัตน์กลับบอกว่าไม่ต้องอธิบายเพราะเธอได้ยินเต็มสองหูว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด
“ค่อยยังชั่ว คุณไม่ว่าใช่ไหมถ้าเย็นนี้พิงค์จะมากินข้าวกับเรา คือเธอเป็นแฟนเก่าผม ถึงเลิกกันแล้วแต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ พอดีเธอกลับจากเมืองนอกก็เลยแวะมาหา”
“ทำไมต้องว่าด้วย” มธุรัตน์ถามอย่างไม่ใส่ใจ
“เปล่าหรอก ช่างมันเถอะ กินข้าวกันดีกว่า” พลวัตรีบเปลี่ยนประเด็น ด้วยกลัวว่ายิ่งพูดไปก็จะกลายเป็นว่าร้อนตัวเสียเปล่าๆ
ในเมื่อเขากับชมพูนุทเป็นเพื่อนกัน แค่เพื่อนมากินข้าวที่บ้าน ทำไมมธุรัตน์จะต้องไม่พอใจด้วย ทีจิรัสยาเธอยังไม่เคยว่าอะไรสักคำเดียว ทว่าเมื่อคิดในอีกแง่ เพื่อนของเขาคนนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดาแต่ว่าเป็นคนรักเก่า มธุรัตน์ก็น่าจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจบ้าง
‘ไม่สิ เธอจะรู้สึกอะไรได้ เธอกับเขาไม่ได้รักกันเสียหน่อย’
ความรู้สึกนี้ทำให้ในใจของพลวัตห่อเหี่ยวอย่างประหลาด วันนั้นทั้งวันแม้จะมีแสงแดดจัดแต่โลกที่มองผ่านสายตาเขากลับดูหม่นหมองกว่าที่เคยเป็น
เมื่อแผนการขั้นแรกสัมฤทธิ์ผล ชมพูนุทก็กลับมาที่รีสอร์ตของตัวเองเพื่อเตรียมแผนการขั้นที่สอง หญิงสาวสั่งให้พ่อครัวของรีสอร์ตทำสตูเนื้อแกะกับอาหารที่พลวัตชอบเตรียมเอาไว้ให้พลวัตในตอนเย็น ส่วนตัวเธอก็ไปสปาเพื่อขัดผิวและเสริมสวย
ชมพูนุทตั้งใจจะบอกว่าเธอทำอาหารเหล่านี้เองทั้งหมด คนซื่ออย่างพลวัตคงไม่สงสัยเพราะเธอมีฝีมือในการทำอาหารอยู่แล้ว ที่เธอไม่ทำเองก็เพราะต้องการเวลามาปรุงโฉมให้สวยพร้อม เพื่อข่มแฟนใหม่ของพลวัตโดยเฉพาะ
วันนี้เธอเห็นหน้ามธุรัตน์แต่แวบเดียวผ่านกระจก แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นพวกหน้าจืดที่มีดีแค่ความขาว ผู้หญิงจำพวกนี้ไม่ใช่สเปกของพลวัตแน่นอน แบบที่เขาชอบจะต้องดูสวยเฉี่ยว มีเสน่ห์เย้ายวนอย่างเธอเท่านั้น
ชมพูนุทบรรจงแต่งหน้าอย่างดี โดยเฉพาะดวงตาที่เน้นให้ดูสวยคมเป็นพิเศษ หญิงสาวเลือกชุดเดรสคล้องคอสีขาวดำมาสวม ส่วนผมเธอมัดรวบเอาไว้แล้วปักด้วยปิ่น เพื่อจะได้อวดแผ่นหลังขาวเนียนและลำคอระหง เมื่อเตรียมตัวจนสวยพร้อมแล้ว หญิงสาวก็ขนเอาอาหารใส่ตะกร้า แล้วขับรถมาที่บ้านของพลวัต
ชายหนุ่มรอต้อนรับอยู่แล้วตอนที่หญิงสาวมาถึง เขาช่วยหิ้วตะกร้าอาหารเข้ามาในบ้าน แล้วแนะนำให้รู้จักกับมธุรัตน์
“นี่น้ำผึ้งครับ เธอเป็นเพื่อนของพิม มาพักอยู่ที่นี่เพื่อหาไอเดียเขียนหนังสือ”
ชายหนุ่มจงใจแนะนำอย่างนี้เพื่อไม่ให้ฟังดูน่าเกลียด เขาเจตนาให้ทุกคนเข้าใจว่าเธอมาหาที่เงียบๆ ทำงาน จะได้ไม่ต้องอธิบายให้เหนื่อยว่าทำไมเธอมาพักอยู่นานเป็นเดือนๆ
ทว่าชมพูนุทกลับคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาแนะนำแบบนี้เพราะอยากกลับไปคืนดีกับเธอ สีหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์ของมธุรัตน์ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เธอเชื่ออย่างนั้น
ความจริงมธุรัตน์ไม่ได้ไม่สบอารมณ์ เธอเพียงแต่ทำหน้านิ่งตามปกติของเธอเท่านั้น ชมพูนุทต่างหากที่เข้าใจผิดและคิดเป็นตุเป็นตะไปเอง
“ขอเรียกว่าน้ำผึ้งนะคะ เรียกพี่ว่าพี่พิงค์ก็ได้” หญิงสาวส่งยิ้มให้อย่างพี่สาวใจดี แต่ในใจนั้นกลับดูถูกมธุรัตน์ที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าแขนยาวไร้รสนิยม ดูปอนๆ เหมือนเด็กกะโปโลที่ไม่มีอะไรมาสู้เธอได้เลย
มธุรัตน์พยักหน้ารับ แล้วหันไปช่วยพลวัตจัดของใส่จานโดยไม่พูดอะไร ท่าทีเฉยชาของเธอทำให้ชมพูนุทคิดว่าหญิงสาวประกาศความเป็นศัตรูออกมาอย่างเปิดเผย
‘โง่จริง ไม่สวยแล้วยังกล้าเรียกร้องความสนใจแบบนั้นอีก ก็ดี...จะได้เริ่มแผนต่อไปซะเลย’
ชมพูนุทเริ่มชวนหญิงสาวคุยเรื่องต่างๆ มธุรัตน์ตอบรับบ้างเป็นบางคำถาม แต่ส่วนใหญ่จะก้มหน้าก้มตากินเสียมากกว่า บางทีก็แค่พยักหน้ารับ ไม่ก็ใช้สายตาบอกให้พลวัตช่วยตอบแทนให้ ชมพูนุทจึงสบโอกาสทำหน้าเจื่อนหันไปขอความเห็นใจจากพลวัต หญิงสาวขยับตัวขึ้นมาอิงขอบเก้าอี้ของชายหนุ่ม แล้วกระซิบกระซาบถาม เจตนาเพื่อยั่วมธุรัตน์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“พิงค์พูดอะไรผิดหรือเปล่าคะพี่พล น้ำผึ้งเขาดูตึงๆ กับพิงค์จัง”
“เขาเป็นคนไม่ค่อยพูดอย่างนี้แหละครับ อย่าถือสาเลย” พลวัตแก้ต่างให้
“แน่นะคะ” หญิงสาวเอามือไปวางบนไหล่พลวัตอย่างสนิทสนม
พลวัตเกือบขยับหนีมือชมพูนุทในทีแรก แต่ก็รักษามารยาทเพราะรู้ว่าหญิงสาวเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ชมพูนุทไม่เคยถือสาเรื่องการจับเนื้อต้องตัวกันระหว่างเพื่อนเพศตรงข้าม เธอให้ความสนิทสนมกับทุกคนเกือบจะเท่าเทียมกัน เมื่อก่อนเขากับเธอเลยทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้หลายครั้ง
“โล่งอกไปค่ะ” ชมพูนุทเลื่อนมือออกจากไหล่ของพลวัต เธอเปลี่ยนมากอดแขนเขา แล้วปรายตาไปมองมธุรัตน์อย่างท้าทาย
พลวัตเองก็มองไปทางมธุรัตน์เช่นกัน ชายหนุ่มเป็นคนขี้หวง ถึงจะระบุความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับหญิงสาวไม่ได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้เธอไปสนิทสนมกับใครแบบที่ชมพูนุททำกับเขา
มธุรัตน์เงยหน้าขึ้นมามองสองหนุ่มสาวแวบหนึ่ง แล้วผุดลุกขึ้นจากที่นั่งเดินออกไปในทันทีคล้ายกับว่ากำลังไม่พอใจ
‘งานเข้าแล้ว!’ พลวัตอุทานในใจ แล้วลุกตามออกไปอย่างร้อนตัว
“จะรีบลุกไปไหน อิ่มแล้วเหรอ”
“อืม” มธุรัตน์ตอบเสียงเรียบ
พอหันไปมองที่โต๊ะก็เห็นว่าอาหารที่ชมพูนุทเอามาหมดเกลี้ยง จะเหลือก็แต่ที่พวกเขาตักแบ่งเอาไว้ในจานเท่านั้น
“กินเยอะขนาดนั้น เดี๋ยวก็ท้องแตกตายหรอก”
ชมพูนุททำอาหารมาเยอะขนาดที่ว่ากินกันสี่ห้าคนได้สบาย แต่มธุรัตน์กลับยัดลงท้องไปจนหมด
“ก็มันหิวนี่”
มธุรัตน์ยังคงเถียงด้วยน้ำเสียงโทนเดิมเหมือนที่เธอคุยกับเขาประจำ ชายหนุ่มก็เลยได้รู้ว่าเขาคิดมากไปเองเรื่องที่เธอไม่พอใจ มธุรัตน์แค่ก้มหน้าก้มตากินเหมือนทุกที ไม่ได้ใส่ใจด้วยซ้ำว่าเขากับชมพูนุทคุยอะไรกันอยู่
“แล้วจะลุกไปไหน”
“อาบน้ำ”
“ไม่ได้! กินอิ่มใหม่ๆ ไม่ควรจะรีบอาบน้ำ ไปนั่งเล่นกับเจ้าไมเคิลหรือไปอ่านหนังสือก่อนไป สักยี่สิบนาทีค่อยไปอาบ”
หญิงสาวหันมาทำหน้าเหนื่อยใจใส่ชายหนุ่ม พลวัตเลยเผลอตัวขยี้ผมหญิงสาวด้วยความมันเขี้ยว แม้จะเดินกลับมากินอาหารที่โต๊ะอาหารแล้ว แต่สายตาของเขาก็ยังคงทอดมองมธุรัตน์เป็นระยะ
ชมพูนุทรู้สึกโกรธกรุ่นอยู่ในใจเมื่อถูกแย่งความสนใจไปแบบไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวเม้มปากเพื่อสะกดอารมณ์ แล้วคิดแผนการใหม่อย่างเร่งด่วน
อึดใจต่อมาหญิงสาวก็รวบช้อนส้อม แล้วไปนั่งคุยกับมธุรัตน์ที่ห้องนั่งเล่น เพื่อที่พลวัตจะได้สังเกตเห็นเสียทีว่านางพญาหงส์กับลูกเป็ดขี้เหร่มันต่างกันอย่างไร
“อาหารฝีมือพี่อร่อยใช้ได้ไหมคะ” ชมพูนุทชวนคุย
“อร่อยเหมือนของรีสอร์ตบ้านล้อมดาว” มธุรัตน์ตอบตามที่คิด พลวัตเคยพาเธอไปกินอาหารที่นั่น มธุรัตน์ก็เลยจำรสชาติได้
ประโยคนี้ทำให้คนโกหกร้อนตัวขึ้นมา หญิงสาวรีบปรายตาไปมองว่าพลวัตฟังอยู่หรือเปล่า โชคร้ายที่เขาได้ยิน ชายหนุ่มดูเหมือนจะเริ่มสงสัยว่าอาหารมื้อนี้เธอไม่ได้เป็นคนทำเอง ชมพูนุทจึงต้องหาทางพูดกลบเกลื่อน
“รีสอร์ตนั้นเป็นของครอบครัวพี่เองค่ะ ก็เลยขอใช้ครัวกับวัตถุดิบเขา แต่สูตรไม่เหมือนกันเสียทีเดียวหรอกนะคะ พี่พลชอบเผ็ด พี่เลยเพิ่มพริกกับเครื่องเทศในสตู แล้วปรับรสไม่ให้เค็มมาก พี่พลไม่ชอบอาหารรสเค็มใช่ไหมคะ” หญิงสาวหันไปส่งยิ้มให้พลวัต สายตาเธอคล้ายจะบอกว่ายังไม่ลืมเรื่องเกี่ยวกับตัวเขา
“ไม่ขนาดนั้นหรอก เค็มนิดเค็มหน่อยผมกินได้”
พลวัตมัวแต่ก้มหน้ากินอาหาร เลยไม่ทันสังเกตแววตาของหญิงสาว ชมพูนุทจึงต้องหาเรื่องเรียกร้องความสนใจจากเขา โดยการใช้เจ้าไมเคิลให้เกิดประโยชน์
“แมวน่ารักจัง ขออุ้มหน่อยนะคะ”
แผนการของชมพูนุทคือเธอจะอุ้มเจ้าแมวน้อยเดินไปหาพลวัต แต่แล้วก็ต้องผิดแผนเมื่อเจ้าไมเคิลขู่ฟ่อใส่ แล้วข่วนเข้าเต็มแรง
“โอ๊ย! มันข่วนพิงค์ค่ะพี่พล ไอ้แมว...” หญิงสาวกัดริมฝีปากได้ทันก่อนจะสบถคำหยาบออกมา
ชมพูนุทเงียบไปเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังเสียกิริยา แล้วฉับพลันแผนการบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัว หญิงสาวพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการถลาไปหาพลวัต ออดอ้อนให้เขาดูอาการให้
“เลือดไหลเลยค่ะ ไม่รู้จะเป็นแผลเป็นหรือเปล่า แมวพี่พลฉีดยารึยังคะ พิงค์จะติดเชื้อไหม”
พลวัตชะโงกหน้าไปมองแผลที่มือซึ่งเป็นรอยข่วนสามรอยเล็กๆ แล้วก็ยิ้มขันท่าทีจะเป็นจะตายของชมพูนุท แผลแค่นี้ยังถือว่าเจ้าไมเคิลแค่สะกิดเท่านั้น เขากับมธุรัตน์เจอยิ่งกว่านี้มาเยอะแล้วเพราะความซนของมัน หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่เขายังหลงเธอไม่ลืมหูลืมตา พลวัตคงคิดว่ากิริยาของชมพูนุทดูน่ารัก แต่พอมาตอนนี้เขาเริ่มตาสว่างก็เลยมองเป็น ‘สำออย’ ไป
“ถลอกนิดหน่อยเอง ไม่ถึงขนาดเป็นแผลเป็นหรอก ใส่ยาหน่อยก็หายแล้ว” ชายหนุ่มลุกไปเปิดตู้ยาหยิบยาใส่แผลกับแอลกอฮอล์มาส่งให้
“ทำแผลให้หน่อยสิคะพี่พล” ชมพูนุทปั้นหน้าน่าสงสาร พลวัตเลยจำใจต้องทำแผลให้อย่างเลี่ยงไม่ได้
หญิงสาวยื่นมือไปวางที่ต้นขาของชายหนุ่ม แล้วช้อนตาขึ้นมามองอย่างให้ท่า ทว่าก่อนที่พลวัตจะทันได้ประสานสายตาด้วย เสียงโต๊ะเลื่อนครูดไปกับพื้นก็ดังลั่น ตามมาด้วยเสียงนิตยสารที่กองอยู่บนนั้นตกลงมา
ต้นเหตุเกิดจากมธุรัตน์เดินไปชนโต๊ะอย่างแรงเพราะความรีบร้อน หญิงสาวไม่คิดจะก้มลงเก็บของที่ตกลงมาแต่กลับสาวเท้ายาวๆ ไปโก่งคออาเจียนในห้องน้ำแทน
“เป็นอะไรไป!” พลวัตร้องด้วยความตกใจ ชายหนุ่มรีบปราดเข้าไปดูแลหญิงสาวในทันที ปล่อยให้ชมพูนุทยืนอึ้งอยู่กับความแผนสูงของมธุรัตน์
‘แกล้งป่วยแล้วเรียกร้องความสนใจ ร้ายลึกจริงนะนังนี่’
หญิงสาวแช่งชักหักกระดูกมธุรัตน์ในใจอย่างดุเดือด แล้วจ้องไปที่มธุรัตน์อย่างอาฆาตเมื่อหญิงสาวเดินโงนเงนออกมาจากห้องน้ำโดยมีพลวัตช่วยประคองออกมา
“ไหวไหม จู่ๆ ก็อาเจียนหนักแบบนี้ รีบไปโรงพยาบาลดีกว่า” พลวัตถามขณะช่วยพาหญิงสาวมานั่งที่โซฟา
“ไม่...ไป” หญิงสาวตอบกลับมาด้วยเสียงอ่อนระโหยโรยแรง
ชายหนุ่มจึงผละออกไปเปิดตู้ยา แล้วหยิบผงน้ำตาลเกลือแร่เอามาชงให้ดื่ม เพื่อเป็นการการปฐมพยาบาลในเบื้องต้น
มธุรัตน์รับน้ำตาลเกลือแร่มาดื่มจนหมดแก้ว แต่สีหน้าก็ดูไม่ดีขึ้นเลย พลวัตจึงตัดสินใจบังคับให้ไปโรงพยาบาล
“ไปหาหมอกัน” ชายหนุ่มบอกเสียงเข้ม
“ไม่ไป ไม่เป็นไรสักหน่อย” มธุรัตน์ส่ายหน้าดิกเหมือนเด็กเล็กที่กลัวการไปหาหมอ
อาการปฏิเสธโรงพยาบาลอย่างแข็งขันทำให้ชมพูนุทยิ่งมั่นใจว่าหญิงสาวแกล้งไปล้วงคออ้วกในห้องน้ำ เธอจึงยิ่งรู้สึกชิงชังในตัวมธุรัตน์มากขึ้นเป็นลำดับ ทั้งที่ความจริงแล้วมธุรัตน์ไม่ได้มีแผนสูงอะไรเลย เธอแค่แพ้อาหารที่กินไปเท่านั้นเอง
“ไม่เป็นไรอะไรเล่า อ้วกซะหมดไส้หมดพุงอย่างนั้น อย่าดื้อได้...แขนคุณเป็นผื่นอะไร”
พลวัตหยุดบ่นชั่วคราวเมื่อหันไปเห็นผื่นแดงๆ ที่ขึ้นมาตามตัวของมธุรัตน์ ชายหนุ่มขยับไปมองใกล้ๆ ก็เห็นว่ามันไม่เหมือนกับผื่นเมื่อคราวที่หญิงสาวแพ้ผ้าห่ม หนนี้มันเหมือนกับเป็นจ้ำเลือดออกมาจากในตัว
“ผื่นแพ้”
“แพ้อะไร”
“เนื้อแกะ”
“รู้ว่าแพ้แล้วกินไปทำไม พิงค์ก็บอกไม่ใช่เหรอว่ามันเป็นสตูเนื้อแกะ”
เขาจำได้ว่าได้ยินไม่ต่ำกว่าห้าครั้งว่าสตูวันนี้เป็นเนื้ออะไร ถึงมธุรัตน์จะไม่ค่อยสนใจใคร แต่เธอก็น่าจะได้ยินเข้าหูไปบ้างว่านี่เป็นของที่ตัวเองแพ้
“ก็มันอร่อย”
คำแก้ต่างทำให้พลวัตตบหน้าผากตัวเองด้วยความปวดหัว
“รู้ว่าแพ้ก็ยังจะกิน อยากตายนักรึไง” ชายหนุ่มแว้ดใส่เสียงดัง พอคิดได้ว่าพูดอะไรออกไปพลวัตก็เป็นฝ่ายใจเสียเอง ตอนนี้ตัวมธุรัตน์เริ่มแดงจนน่ากลัว
“ไปโรงพยาบาลกัน”
“ไม่เอา กินยาแก้แพ้ก็พอ”
มธุรัตน์ไม่ชอบไปโรงพยาบาล เธอไม่ชอบต่อคิวรอ ไม่ชอบกินยา แล้วก็เกลียดสถานที่ที่มีคนเข้าออกเป็นจำนวนมากด้วย
“ไม่ได้! ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้”
ขาดคำพลวัตก็เล่นบทโหดด้วยการรวบตัวหญิงสาวเอามาพาดบ่า แล้วแบกออกมาไปจากบ้าน
“ปล่อยนะ!”
มธุรัตน์พยายามดิ้นแต่เรี่ยวแรงก็หายไปจากการอาเจียนอย่างหนัก เลยทำได้แค่เหวี่ยงมือไปมาทุบหลังพลวัตเท่านั้น ตอนนี้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว จะคันก็ไม่เชิง จะแสบก็ไม่ใช่ ทั้งยังรู้สึกเหมือนเป็นไข้อ่อนๆ อีกด้วย
“อย่าดื้อสิ ถ้าดิ้นแล้วตก จะฟ้องพิมจริงๆ ด้วย”
คำขู่นี้เหมือนจะใช้ได้ผลชะงัด เพราะคนที่กำลังทุบหลังเขาอยู่หยุดดิ้นในทันที
“ไปก็ได้แต่ห้ามบอกพิม” มธุรัตน์ต่อรอง
พิมลตราไม่เหลือวันลาอีกแล้ว เธอจึงไม่อยากให้เรื่องที่เธอต้องเข้าโรงพยาบาลเป็นเหตุทำให้เพื่อนสาวผิดใจกับเจ้านาย และไม่อยากให้ต้องลำบากขับรถมาเยี่ยมถึงที่นี่
“ได้”
พลวัตรีบวางตัวหญิงสาวให้ลงมาเดินเอง แต่ก็โอบเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อยเพราะไม่ไว้ใจ คนอย่างมธุรัตน์ทำอะไรให้ตกใจได้เสมอ เขาเลยกลัวว่าเธอจะวิ่งหนีไป
ภาพบาดตานี้ทำให้ชมพูนุทแทบจะกรีดร้องออกมาดังๆ วันนี้ไม่มีอะไรเป็นไปตามแผนการของเธอเลยสักอย่าง
“แล้วพิงค์ล่ะคะพี่พล” หญิงสาวเผลอตะโกนอย่างเอาแต่ใจออกมา
“กลับไปได้เลย ก่อนกลับปิดบ้านให้ด้วย” ชายหนุ่มตะโกนตอบโดยไม่หันมามองหน้าสวยๆ ของอีกฝ่ายให้เสียเวลา
ใจของพลวัตพะวงอยู่กับอาการของมธุรัตน์จนไม่ใส่ใจเรื่องอื่น เขาอยากพาเธอไปส่งให้ถึงมือหมอให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้มั่นใจว่าเธอจะปลอดภัย
“พี่พลไล่พิงค์เหรอคะ แล้วกล้าดียังไงมาใช้พิงค์” ชมพูนุทกรีดร้องอย่างหมดความอดทน
ตอนคบกันเขาไม่เคยหมางเมินอย่างนี้ อย่าว่าแต่วานให้ปิดบ้านให้เลย เรื่องเล็กเรื่องน้อยอย่างหยิบของให้เขาก็ยังไม่กล้าใช้เธอ
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวไม่ดังเข้าหูพลวัตเลยสักนิดเดียว เพราะชายหนุ่มออกรถไปตั้งแต่เธอเริ่มโวยวายแล้ว
“เพราะนางนั่นคนเดียว” ชมพูนุทจิกเล็บกับฝ่ามืออย่างแค้นใจ
ดูท่าการทวงคืนหัวใจครั้งนี้จะไม่หมูอย่างที่คิดแล้ว เพราะคู่แข่งของเธอนั้นไม่ได้โง่ แถมยังร้ายลึกอีกต่างหาก
ทันทีที่มาถึงโรงพยาบาล มธุรัตน์ก็ถูกพาตัวเข้าไปในแผนกฉุกเฉิน ซึ่งเป็นแผนกเดียวที่ยังเปิดรับผู้ป่วยนอกในเวลากลางคืนอย่างนี้ จากนั้นพลวัตนั่งรออยู่หน้าแผนกเพียงลำพัง บรรยากาศเงียบสงบปลอดผู้คนไม่ได้ทำให้ใจของชายหนุ่มคลายความร้อนรุ่มลงเลย ยิ่งรอนานเท่าไรความกังวลในใจเขาก็พอกพูนมากขึ้นเท่านั้น
มธุรัตน์หายเข้าไปในห้องฉุกเฉินนานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาแจ้งว่าเธอปลอดภัยหรือไม่ พอเงี่ยหูฟังได้ยินเสียงร้องครวญครางของคนด้านใน ชายหนุ่มก็ยิ่งใจเสีย ก่อนหน้าเขาเห็นบุรุษพยาบาลเข็นผู้ป่วยเข้าไปหลายคนแต่ก็ไม่เห็นมีใครได้กลับออกมาเลย
‘จะเป็นอะไรมากหรือเปล่านะ หมอเก่งหรือเปล่าก็ไม่รู้’
พลวัตชะเง้อมองประตูที่แปะป้ายตัวโตว่า ‘ห้ามบุคคลภายนอกเข้า’ อย่างชั่งใจ เขาอยากจะเข้าไปดูมธุรัตน์แต่ก็รู้ว่าขืนเข้าไปก็รังแต่จะไปเกะกะและคงถูกไล่ออกมา ก็เลยเดินวนไปวนมาอย่างร้อนรน
เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไรให้ใจสงบลง พลวัตจึงต้องหวังพึ่งคนอื่น ชายหนุ่มโทรศัพท์ไปหาพี่ชายที่เป็นนายแพทย์ เผื่อว่าพี่จะให้คำตอบหรือคำอธิบายเกี่ยวกับอาการแพ้อาหารที่ทำให้เขาสบายใจขึ้น
“พี่พัน คนแพ้อาหารนี่ไม่ถึงตายใช่ไหม” ชายหนุ่มโพล่งออกไปทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย
“คะ? อะไรนะคะ”
เสียงที่ตอบกลับมากลับเป็นเสียงของผู้หญิง พลวัตเลยต้องพลิกโทรศัพท์ดูอีกทีว่าเขาต่อสายถูกหรือไม่ ผลที่ได้คือมันเป็นเบอร์โทรศัพท์ของพัลลภอย่างแน่นอน
“ขอสายคุณหมอพัลลภครับ” ชายหนุ่มเรียกเต็มยศเพราะเดาว่าพี่ทำงานยุ่งอยู่ พยาบาลเลยรับสายแทนให้
“คุณหมอยังคุยไม่ได้จนกว่าจะพรุ่งนี้ค่ะ ไม่ทราบมีธุระอะไรจะฝากไว้ไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่มีอะไร” พลวัตตั้งใจจะวางสายแต่อีกฝ่ายเอ่ยแทรกมาก่อน
“เดี๋ยวค่ะ! ที่คุณถามเรื่องคนแพ้อาหารน่ะค่ะ มีอะไรหรือเปล่าคะ ฉันพอจะอธิบายให้ได้” เจ้าของเสียงหวานใสเอ่ยอย่างมีน้ำใจ
“ครับ ผมอยากทราบว่าคนที่แพ้อาหาร แล้วกินเข้าไปจะเป็นอันตรายแค่ไหน”
แม้จะไม่รู้ว่าหญิงสาวเป็นใคร แต่พลวัตก็ตัดสินใจคุยกับเธอแทนพี่ชาย ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงจะช่วยให้เขาสบายใจได้
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าแพ้มากแพ้น้อยแค่ไหนค่ะ แล้วกินเข้าไปในปริมาณมากเท่าไร ถ้าแพ้ไม่มากก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะแต่ถ้าแพ้มากๆ อาจจะช็อกแล้วถึงแก่ชีวิตได้”
พลวัตนิ่งคิดตาม แล้วก็ต้องตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามธุรัตน์กินสตูเนื้อแกะไปคนเดียวเกือบหมด
“ถ้าอาเจียนออกมาจะดีขึ้นไหมครับ”
“ไม่แน่เสมอไปค่ะ ถ้าร่างกายดูดซึมสารที่แพ้ไปแล้ว ถึงอาเจียนออกมาก็ไม่เป็นผล”
“แล้วถ้าอาเจียนกับมีผื่นแดงขึ้นตามตัวนี่เรียกว่าเป็นหนักไหมครับ” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงที่ปิดความกังวลเอาไว้ไม่มิดจนคู่สนทนาจับน้ำเสียงได้
“คุณดูเครียดจังนะคะ คนใกล้ตัวแพ้อาหารเหรอคะ”
“ครับ ตอนนี้อยู่ในห้องฉุกเฉิน”
“ถ้าถึงมือหมอแล้วก็สบายใจได้ค่ะ ทางการแพทย์ถ้าไม่ช็อกหรือหยุดหายใจก็ไม่มีอะไรน่าห่วงหรอกค่ะ คุณหมอต้องช่วยเพื่อนคุณได้แน่”
คำปลอบช่วยให้พลวัตใจสงบลงได้บ้าง แต่ก็เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นในจังหวะที่เขากำลังจะกล่าวขอบคุณ เขาก็ได้ยินเสียงพยาบาลตะโกนเสียงดังว่า ‘ผู้ป่วยหยุดหายใจ’
อารามตกใจพลวัตเลยเผลอทำมือถือหลุดมือ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจจะเก็บ เขาวิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้วกวาดตามองหามธุรัตน์ในทันที
สองเตียงแรกเป็นผู้ป่วยอุบัติเหตุ ส่วนเตียงด้านในสุดคือเตียงที่ผู้ป่วยหยุดหายใจ ตอนนี้ทั้งแพทย์และพยาบาลต่างก็ไปมุงเตียงนั้นกันหมด เขากวาดตามองไม่เป็นมธุรัตน์ที่เตียงอื่น เลยคิดว่าต้องเป็นเธอแน่ ชายหนุ่มจึงรีบแทรกตัวเข้าไปที่เตียงทันที
“หมอต้องช่วยเธอให้ได้นะครับ” ชายหนุ่มหันไปขอร้องนายแพทย์วัยกลางคน
คุณหมอไม่ตอบอะไรเพราะกำลังวุ่นอยู่กับการรักษา พยาบาลคนหนึ่งจึงหันมาตอบแทน
“ญาติออกไปก่อนนะคะ ถ้าอยากให้คุณยายรอดก็อย่าเพิ่งมารบกวนการทำงานของแพทย์”
คำว่า ‘คุณยาย’ ทำให้ชายหนุ่มหันไปมองหน้าคนไข้ แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงชราสูงวัย
‘แล้วมธุรัตน์ล่ะไปไหน?’
พลวัตขยับหนีออกมาเพื่อไม่ให้ตัวเองเกะกะการทำงานของทีมแพทย์ เขากวาดตามองหาหญิงสาวทั่วห้องอีกครั้ง จึงได้เห็นว่าหญิงสาวแอบอยู่หลังม่าน กำลังมองแพทย์ปั๊มหัวใจของผู้ป่วยอย่างสนอกสนใจ มธุรัตน์ต้องแอบมายืนดูอยู่ตรงนี้เพราะกลัวว่าถ้าพยาบาลเห็นจะไล่ให้เธอกลับไปนอนที่เตียง
“ทำไมไม่อยู่บนเตียง” พลวัตเอ็ดใส่ทันที เขาฉุดมธุรัตน์ออกมาจากหลังม่าน แล้วลากตัวหญิงสาวมาที่เตียงซึ่งว่างอยู่
“ก็มันน่าเบื่อนี่” หญิงสาวแก้ต่างให้ตัวเอง
หลังจากตรวจอาการเธอเสร็จ หมอก็สั่งจ่ายยาแก้แพ้ให้ แล้วให้เธอนอนพักในห้องฉุกเฉินไปก่อนเพื่อเฝ้าสังเกตอาการ จากนั้นก็ไม่ได้มีการรักษาอื่นใดอีก เธอเลยลุกจากเตียงไปดูพยาบาลเย็บแผลแต่ดูได้ไม่เท่าไรก็ถูกห้าม
“เธอนี่มัน...” พลวัตตั้งท่าจะเอ็ดหญิงสาวแต่กลับเป็นฝ่ายถูกพยาบาลดุเสียเอง
“คุณคะ ช่วยออกไปด้วยค่ะ จะไม่เตือนดีๆ เป็นครั้งที่สามแล้วนะคะ”
“ครับ ขอโทษครับ ออกไปแล้วครับ”
ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้อย่างขอลุแก่โทษ จากนั้นก็เดินกลับออกมานอกห้อง แล้วเก็บเอามือถือที่ทำร่วงมาประกอบใหม่ โชคดีเหลือเกินที่มันยังสามารถใช้งานได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงก่นด่าตัวเองมากกว่านี้ที่วิตกจริตจนเกินพอดี
พลวัตรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกราวสองชั่วโมงมธุรัตน์ก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้
“เอาใบนี้ไปรับยาที่ห้องยานะคะ” พยาบาลสาวส่งกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งไปให้พลวัต แล้วหันหลังกลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
ตอนนี้มธุรัตน์กลับมาเป็นปกติแล้ว ผื่นแดงตามตัวเธอหายไปราวกับว่าไม่เคยมีความผิดปกติอะไรเกิดขึ้น เธอเป็นพวกแพ้ง่ายที่หายเร็วจนน่าอัศจรรย์
“ดีนะที่ไม่เป็นอะไร ทีหลังห้ามกินอะไรที่แพ้เด็ดขาดเลยรู้ไหม”
“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร” มธุรัตน์ยักไหล่ใส่ พร้อมกับยัดข้อหาจอมตีโพยตีพายให้พลวัตทางสายตา
“ไม่ต้องมาเถียงเลย รู้หรือเปล่าว่าคนเขาเป็นห่วง หัดใส่ใจความรู้สึกคนอื่นเขาซะบ้าง” พลวัตเอ็ด แล้วเดินหนีเพื่อไปเอายา
เขาตั้งใจว่าจะไม่ยอมพูดกับมธุรัตน์อีกจนกว่าจะกลับบ้าน เพื่อให้หญิงสาวได้สำนึกเสียบ้างจะได้ไม่ขยันสร้างเรื่องให้คนอื่นเป็นห่วง ทว่าระดับมธุรัตน์แล้วไม่มีทางมีคำว่า ‘เข็ด’ อยู่ในพจนานุกรมความรู้สึก พอพลวัตกลับมาที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง หญิงสาวก็หายไปจากที่ตรงนั้นเสียแล้ว
ชายหนุ่มกวาดตามองหาจนทั่วบริเวณ เมื่อมั่นใจว่าเธอไม่ได้หลบอยู่แถวนี้ เขาก็กลับเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เผื่อเจ้าหล่อนจะยังติดใจอยากดูการทำงานของแพทย์อยู่
“เห็นคนป่วยที่มากับผมไหมครับ เธอหายไป” ชายหนุ่มหันไปถามพยาบาลสาวที่เป็นคนเอาใบสั่งยามาให้เขา
“ไม่ทราบค่ะ ไม่ได้เข้ามาในนี้” พยาบาลสาวหันมาตอบ แล้วก้มหน้าเขียนชาร์จผู้ป่วยต่อไป
พลวัตจึงกวาดตามองหารอบห้องเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอเขาก็รีบออกมาตามหาข้างนอก ชายหนุ่มลองกลับไปที่รถดูแต่ก็ไม่พบตัว
“ไปไหนของเขานะ” ชายหนุ่มเสยผมอย่างหงุดหงิด
มธุรัตน์สร้างเรื่องวุ่นวายให้เขาเป็นตลอดเวลา แต่ที่ร้ายที่สุดคือตัวเขาเองที่ทำเป็นเมินเธอไม่ลง ชายหนุ่มลองเดินดูรอบๆ ตึก แล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับป้ายบอกทางไปห้องเก็บศพ
“คงไม่ได้ไปเดินเล่นแถวนั้นหรอกนะ” พลวัลตรองอย่างชั่งใจ “ไม่สิ...ยัยนั่นต้องไปแน่อยู่แล้ว”
ขนาดศพหมาเจ้าหล่อนยังจ้องตาไม่กะพริบ ถ้าเป็นศพคนนี่อาจจะเป็นของชอบเลยก็ได้
พลวัตวิ่งไปตามป้ายทันที แล้วเขาก็พบมธุรัตน์อยู่ที่นั่นจริงๆ หญิงสาวเอาหน้าแนบกับกระจกตรงประตูห้อง แล้วมองเข้าไปด้านในอย่างสนอกสนใจ
“มาอยู่...นี่เอง” พลวัตพูดปนหอบ พอเห็นเธอเขาก็โล่งใจที่หาพบ ในขณะเดียวกันก็ภูมิใจอยู่ลึกๆ ที่สามารถเดาพฤติกรรมสุดเพี้ยนของหญิงสาวได้
มธุรัตน์หันหน้ามาหาพลวัตเมื่อได้ยินเสียงเรียก ชายหนุ่มกำลังก้มหน้าเอามือวางบนเข่าเพื่อพักหายใจอยู่ พอหายเหนื่อยเขาก็ตรงรี่เข้ามาหาเธอ
“อย่าเดินหายไปเฉยๆ ให้คนเขาเป็นห่วงได้ไหมแม่คุณ นี่มันโรงพยาบาลตอนเที่ยงคืนนะ ไม่ใช่ตลาดนัด”
“ห่วงเหรอ”
สีหน้าพลวัตตอนนี้เหมือนผู้ปกครองที่กำลังเอ็ดเด็กซนที่วิ่งหายไปในห้างสรรพสินค้า ท่าทางเหมือนจะโมโหมากแต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย มันเลยทำให้หญิงสาวรู้สึกดีเสียมากกว่าจะขุ่นเคือง
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ห่วงมากไหม”
“เออสิ...ห่วงจนจะคลั่งเลย”
พอพูดออกไปแล้วพลวัตก็ต้องชะงัก คำพูดจากใจนี้ทำให้เขารู้สึกขัดเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นเพราะมันคล้ายกับคำพูดของพระเอกละครตอนจะสารภาพรักอย่างไรชอบกลอยู่
“กลับกันได้แล้ว ง่วงจะแย่” ชายหนุ่มดึงแขนมธุรัตน์ให้เดินตามมาแก้เก้อ
หญิงสาวขืนตัวเอาไว้อึดใจหนึ่ง แล้วโบกมือให้ประตูห้อง ก่อนจะยอมเดินตามแรงดึงมาแต่โดยดี
“คุณโบกมือให้ใคร”
“คนที่อยู่ในห้อง”
“คุณหมายถึงคนเป็นหรือคนตาย” พลวัตถามเพื่อความแน่ใจ
เขาจำได้ว่าหน้าห้องมีแม่กุญแจคล้องเอาไว้จากด้านนอก ดังนั้นสิ่งที่อยู่ข้างในจึงน่าจะเป็นศพ เว้นเสียแต่ว่ามีใครถูกขังอยู่ในนั้นเพราะความผิดพลาด
“วิญญาณเด็กผู้หญิงตัวเท่านี้” มธุรัตน์ทำมือประกอบความสูง
ตอนนั่งรอพลวัตอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน มธุรัตน์ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กแว่วๆ ก็เลยเดินตามเสียงไป แล้วก็พบว่าเด็กคนนั้นกำลังเดินไปที่ห้องเก็บศพ พอเห็นว่าเธอตามมาเด็กคนนั้นก็หันมาโบกมือให้ แล้วเดินทะลุประตูหายไป
“อย่ามาอำ ไม่รู้รึไงว่าเขาห้ามพูดเรื่องผีเวลากลางคืน”
“เปล่า เห็นกับตาว่าเดินทะลุตรงนี้ไป” มธุรัตน์ยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หญิงสาวไม่ชอบให้ใครกล่าวหาว่าตัวเองโกหก ก็เลยทำท่าจะลากพลวัตไปที่ประตูห้อง แล้วชวนให้มองเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มจึงรีบขืนตัวเอาไว้ เขาไม่ใช่คนกลัวผีแต่การต้องไปยืนจ้องศพก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์
“ผมไม่เถียงคุณแล้ว กลับกันดีกว่า” ชายหนุ่มฉุดมือหญิงสาวให้เดินตามมา ด้วยไม่อยากจะล่าท้าผีกับเธอในตอนนี้
เดินก้าวยาวๆ มาได้สักพัก พลวัตก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงคนคุยกัน พอเห็นไปมองก็พบว่ามีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสองคน กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหย่อมซึ่งติดกับทางเดิน
“เวรเฝ้าห้องดับจิตตอนหลังเที่ยงคืนนี่หาคนไม่ค่อยได้เลย” ชายร่างสูงบ่น
“ช่วยไม่ได้นี่ลูกพี่ ผีเด็กมันชอบออกมาตอนเที่ยงคืน” คนตัวเตี้ยร่างอวบที่เดินมาด้วยกันพูด
“ผีอะไรของแก อ้อใช่! ผีเด็กผู้หญิงที่ป่วยตาย ที่ชอบเดินทะลุประตูห้องดับจิตใช่ไหม”
พลวัตหันขวับมาสบตากับมธุรัตน์ในทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ หญิงสาวไม่ว่ากระไรแต่ยักคิ้วเหมือนจะบอกว่า ‘เห็นไหมว่าไม่ได้โกหก’
“นี่เห็นจริงเหรอ”
“อืม” หญิงสาวรับคำด้วยท่าทีที่ไม่รู้สึกรู้สา
“ไม่กลัวรึไง”
ขนาดพลวัตไม่กลัวผีเขายังขนลุกเกรียวตอนที่ได้ยินเจ้าหน้าที่ทั้งสองคุยกัน แต่มธุรัตน์ไปเจอมากับตัว กลับดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย
“ไม่ ประหลาดดี” มธุรัตน์พูดประหนึ่งเพิ่งไปดูสัตว์หายากในสวนสัตว์มา ไม่ใช่เพิ่งถูกผีหลอก พลวัตก็เลยอดย้อนใส่ไม่ได้
“เธอนั่นแหละประหลาด”
หญิงสาวไม่สนใจคำค่อนของชายหนุ่ม เธอขยับเข้ามาจับมือของเขาเอาไว้ แล้วดึงให้เดินตามไป
“จะไปไหน”
“อ้อมไปทางนั้น อยากชมจันทร์” มธุรัตน์ชี้ให้ดูพระจันทร์ดวงโตที่ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าประกอบคำพูด
‘เพิ่งเจอผีมาแต่ยังมีอารมณ์ชมจันทร์ เยี่ยมมาก!’
ถ้าพลวัตมากับคนอื่น ป่านนี้คงพากันจ้ำอ้าวกลับไปที่รถแล้วขับออกไปทันทีแต่นี่มากับมธุรัตน์ เขาเลยยังเดินทอดน่องต่อไปได้ เนื่องจากความประหลาดของเธอปราบความกลัวผีเสียราบคาบ
ด้วยเหตุนี้พลวัตเลยได้มีโอกาสสัมผัสความโรแมนติกแบบแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร โดยการเดินเล่นใต้แสงจันทร์ในโรงพยาบาลตอนตีหนึ่ง โดยมีเสียงหมาหอนช่วยสร้างบรรยากาศให้เป็นระยะ
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2554, 10:40:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ก.พ. 2555, 14:45:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 2663
<< บทที่ 9 คนรักเก่า | บทที่ 11 สงครามรัก >> |
saralun 6 มิ.ย. 2554, 11:12:50 น.
ฮ า า หนูน้ำผึงนี่สุดยอดจริง ๆ
ฮ า า หนูน้ำผึงนี่สุดยอดจริง ๆ
ลูกกวาดสีส้ม 6 มิ.ย. 2554, 12:17:46 น.
ฮาตลอดอ่ะ
ฮาตลอดอ่ะ
Pat 6 มิ.ย. 2554, 12:52:13 น.
555 ร้ายอย่างนี้เจอคนแบบน้ำผึ้งนี่ เด็กๆไปเลย นางเอกเรายากจะรับมือจริงๆ
555 ร้ายอย่างนี้เจอคนแบบน้ำผึ้งนี่ เด็กๆไปเลย นางเอกเรายากจะรับมือจริงๆ
ดารานิล 6 มิ.ย. 2554, 13:02:14 น.
"เพราะคู่แข่งของเธอไม่ได้โง่ แถมร้ายลึกอีกตะหาก" โถๆๆๆๆๆ ยัยพิงจ๋า นางเอกเค้าไม่ได้ร้ายลึกเหมือนหร่อนหรอกย่ะ แต่เค้าไม่ได้สนใจหร่อนด้วยซ้ำ กร๊ากกกกกกกก
"เพราะคู่แข่งของเธอไม่ได้โง่ แถมร้ายลึกอีกตะหาก" โถๆๆๆๆๆ ยัยพิงจ๋า นางเอกเค้าไม่ได้ร้ายลึกเหมือนหร่อนหรอกย่ะ แต่เค้าไม่ได้สนใจหร่อนด้วยซ้ำ กร๊ากกกกกกกก
หมูอ้วน 6 มิ.ย. 2554, 13:05:13 น.
พี่พลเริ่มเก่งแล้วนะ เดาใจหนูน้ำผึ้งได้แล้ว ฮิ...
พี่พลเริ่มเก่งแล้วนะ เดาใจหนูน้ำผึ้งได้แล้ว ฮิ...
ariesleo 6 มิ.ย. 2554, 13:53:24 น.
น่ารัก
น่ารัก
ปูสีน้ำเงิน 6 มิ.ย. 2554, 16:14:04 น.
สมน้ำหน้ายัยพิ้ง
สมน้ำหน้ายัยพิ้ง
MYsister 6 มิ.ย. 2554, 17:42:02 น.
55555
55555
dino 8 มิ.ย. 2554, 17:28:28 น.
น้ำผึ้งนี้มีอารมณ์โรแมนติก ให้สถานที่แปลก ๆ
น้ำผึ้งนี้มีอารมณ์โรแมนติก ให้สถานที่แปลก ๆ
cherryfirm 14 มิ.ย. 2554, 01:06:30 น.
ฮา ได้หลอนๆ ดีแท้.....555+++
ฮา ได้หลอนๆ ดีแท้.....555+++
ป้าภา 12 ก.ค. 2554, 17:00:25 น.
แหมคนแต่งนี่อารมณ์เขียนได้ใจป้าจริงๆ ฮากระจัดกระจาย น้ำหมากป้าเกือบกระเด็น
แหมคนแต่งนี่อารมณ์เขียนได้ใจป้าจริงๆ ฮากระจัดกระจาย น้ำหมากป้าเกือบกระเด็น