สาปรักซ่อนกล
เมื่อคำสาปรัก(ร้าย)ทำพิษ เปลี่ยนมิสเตอร์ไนซ์กายเป็นผู้ชายตบจูบ เรื่องรักวุ่นชุลมุนหัวใจจึงเกิด

***

เมื่อรวิสรา ดีไซเนอร์สาวเปรี้ยวเข็ดฟันที่ตาม ‘จับ’ พี่ชายสุดที่รักของเธออยู่ขับรถชนจนปุษยาตกอยู่ในสภาพโคม่า วิญญาณหลุดจากร่าง วิญญาณสาวน้อยจึงยอมปล่อยให้ตัวต้นเหตุลอยนวลไปไม่ได้!

ปัญหาคือคำสาปแช่งส่งเดชของเธอให้รวิสราต้องใช้ชีวิตเป็น ‘นางเอกน้ำเน่า’ กลับขลังเกินเหตุ ย้อนศรจนพี่ชายแสนดีของเธอกลายเป็น ‘พระเอกตบจูบ’ ที่คิดแต่จะแก้แค้น แล้วใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่านิยายตบจูบลงเอยแบบไหน งานนี้ปุษยาจึงต้องบีบคอขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ที่เห็นเธอ (ต่อให้คนคนนั้นไม่เต็มใจ) เพื่อหยุดยั้งคำสาปก่อนผู้หญิงที่เธอเหม็นหน้าคนนั้นจะกลายเป็นพี่สะใภ้แบบถาวร!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 3

ผู้หญิงที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านคนนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ในโลก ไม่เหมือนใครเลยที่เขาเคยได้พบมา

ไตรไม่เคยเชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาส ไม่เคยเชื่อเรื่อง ‘คนพิเศษ’ ผู้เป็นอีกครึ่งของตัวตนซึ่งรอเราอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งของโลก แต่เมื่อเขามองหญิงสาวตรงหน้า เขารู้สึกเหมือนตัวเองต้องแรงดึงดูด

...ตั้งแต่เกิด เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลยสักครั้ง มันเหมือนชะตาลิขิตให้เขาได้มาพบเธอ วันนี้ ที่นี่...

เมื่อเช้าเขาไม่ได้นึกอยากออกจากบ้านมาที่ร้านนี้เลยสักนิด ‘ลา เมมัวร์’ ร้านอาหารหรูราคาแพงลิบซึ่งขึ้นชื่อเรื่องของหวานแห่งนี้ไม่ใช่สไตล์ของเขา ไม่เหมือน ‘ไฟร์ฟลาย’ ร้านแนวเท่เก๋เฮฮาซึ่งเขาดำเนินกิจการอยู่แถวสุขุมวิท มันต่างกันเหมือนที่เขากับพี่สาวคนรองผู้เป็นเจ้าของร้านต่างกันนั่นละ ติณณาเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ขณะที่เขา...พูดตามตรงก็เป็นแกะดำของครอบครัวอยู่นิดหน่อย

ทางบ้านของเขามีกิจการร้านอาหาร เป็นเชนที่ถ้าได้ยินชื่อ หลายคนก็คงร้องอ๋อ เขาเป็นลูกคนที่สาม...ลูกชายคนเดียวของครอบครัว แต่คนคงรู้จักหน้าเขาน้อยที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด คงเพราะแต่ไหนแต่ไรมาไตรเชื่อเรื่องการใช้ชีวิตให้สุดเหวี่ยง ตั้งแต่เริ่มเข้าวัยรุ่น เขาไม่เคยลังเลที่จะ ‘ลองของ’ ทำอะไรบ้าๆ และเกือบเสียผู้เสียคนก็หลายหน บิดามารดาเขาได้แต่ถอนใจ สั่นศีรษะเมื่อเขาสอบเอ็นทรานซ์ไม่ติด และตัดสินใจโยนเขาไปเรียนต่อต่างประเทศ

ไตรอยู่ที่นั่นเกือบสิบปีก่อนกลับมาบ้านเกิดเมื่อต้นปีนี้เอง ไม่ยักเสียคนอย่างที่ใครคาดคิด ซ้ำได้ปริญญาโทติดมือกลับมาใบหนึ่ง ถือว่าประสบความสำเร็จพอกู้หน้ากู้ตาได้ แม้ว่าติณณาซึ่งเป็นพี่น้องแบบคู่รักคู่แค้นกับเขาจะประกาศว่านิสัยเขาไม่ได้พัฒนาขึ้นเลย แถมดูจะ ‘รอบจัด’ ขึ้นนิดหน่อยด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มแค่ยักไหล่กับคำกล่าวหานั้น ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป เขามีความสุขกับการเป็นตัวของตัวเอง และเพราะอย่างนั้นแหละ...เขาถึงเปิดร้านไฟร์ฟลายแทนที่จะช่วยกิจการของครอบครัวเฉยๆ

เมื่อมองในแง่หนึ่ง...‘ไฟร์ฟลาย’ เป็นลูกของเขา เหมือนที่ ‘ลา เมมัวร์’ เป็นลูกของติณณา ความจริงแต่ละร้านมีคนคอยบริหารดูแลอยู่ ไม่จำเป็นที่เขาและพี่สาวจะต้องไปคอยเกาะติดอยู่ตลอด แต่ก็เหมือนที่คนเรารักลูก ทั้งคู่อดที่จะเข้าไปดูร้านของตัวเองไม่ได้

...อย่างน้อยก็จนกระทั่งตอนนี้ที่พี่สาวของเขากำลังจะมีลูกจริงๆ ติณณาท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว และแน่ละ...เมื่อฝ่ายนั้นไม่สะดวกมาดูร้าน ก็เค้นคอให้เขามาดูแทนให้...

ไตรไม่อยากมานัก แต่เมื่อพี่สาวขอ เขาก็มา ทำให้ตอนนี้เขาได้มายืนอยู่ในร้านของเธอ ได้เจอผู้หญิงที่ทำให้โลกของเขาสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

กว่าจะรู้ตัว เท้าเขาก็สาวออกไปจากที่ที่มันยืนอยู่ สืบไปถึงข้างโต๊ะริมหน้าต่างที่ ‘เป้าสายตา’ ของเขานั่งลงเมื่อครู่ และส่งยิ้มให้สาวสวยในชุดเดรสสไตล์เฉี่ยวสีเปลือกไม้คนนั้น

“รับเครื่องดื่มอะไรก่อนไหมครับ”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากเมนูสีครีมเล่มเล็กเก๋ไก๋ที่วางอยู่บนโต๊ะ ต่างหูรูปดาวโปร่งขนาดใหญ่ซึ่งปลายเป็นพู่ขนนกสีแดงแกว่งไหวเล่นล้อแดดตามการขยับศีรษะของเจ้าตัว ขับเน้นใบหน้าเล็กเรียวที่ล้อมกรอบด้วยผมยาวบิดเกลียวหยักศก เธอเป็นผู้หญิงประเภทที่สวยบอบบางเหมือนตุ๊กตา ปากนิดจมูกหน่อย ผิวใสราวกับเครื่องกระเบื้องพอร์ซเลนตัดกับริมฝีปากแดงจัด

ทว่าที่สะกดเขาไว้คือดวงตาสีเข้มใต้ขนตายาวงอนอ่อนหยับที่แลสบตาเขา...ทอประกายพร่างไม่ต่างจากดวงดาว กระชากลมหายใจเขาหายไปในห้วงอวกาศ ไตรได้แต่ยืนนิ่งสะดุดค้าง พูดไม่ออก

...เขาแทบจะได้ยินเสียงดนตรีทั้งวงบรรเลงเพลงรักอยู่ในหัวเลยทีเดียว...

“เพิ่งมาทำงานใหม่ที่นี่เหรอคะ”

เสียงใสๆ ของเธอฉุดเขาขึ้นมาจากภวังค์ หวานราวกับน้ำทิพย์ เธอทำให้เขานึกอยากเป็นกวี นักแต่งเพลง หรือจิตรกร เขาคงทำอะไรสักอย่าง เขียนกลอนสักบท แต่งเพลงสักเพลงหรือวาดภาพสักภาพ...หลายสิบภาพก็ได้ และอุทิศมันเพื่อเธอ

...เพื่อนางฟ้าของเขา...

...นางฟ้า? ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาเรียกใครว่านางฟ้า?

ไตรนิ่วหน้า สะบัดศีรษะ ความรู้สึกกึ่งมึนกึ่งเคลิ้มจางไป แต่ยังไม่หมด มันเหมือนเขาโดนมนต์สะกด หรือใช้ยาที่มีฤทธิ์หลอนประสาทอะไรเข้าไปสักอย่าง... นี่ถ้าไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรตกถึงท้องเขามาสามชั่วโมงแล้วละก็ ไตรคงคิดว่าตัวเองถูกวางยาเข้าให้แล้ว

“คะ...ครับ จะว่าแบบนั้นก็ได้”

หญิงสาวคงรู้สึกขันกับเสียงตะกุกตะกักและสีหน้าสับสนของเขา เพราะเธอหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะบอกด้วยเสียงนุ่มนวล

“ขอชาแอปเปิลค่ะ แล้วก็เอาซีซาร์สลัดมาก่อนแล้วกัน”

“อ่า... ครับ”

ชายหนุ่มรับคำ รู้สึกตาพร่าขึ้นมาอีกรอบเพราะเสียงหัวเราะนั่น เขาเดินอย่างเบลอๆ เข้าไปหลังร้าน อาการผิดปกติที่ทำให้คนทำงานอยู่ตรงนั้นหันมามองเป็นตาเดียวกัน จนกระทั่งหญิงสาวผู้มีตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการร้านเดินมาโบกมือไปมาผ่านหน้าเขาและถาม “คุณไตรเป็นอะไรไปคะ” นั่นแหละ...คนถูกถามจึงเพิ่งรู้สึกตัว เขากะพริบตาถี่ๆ ทวนออเดอร์ออกมา

“ลูกค้าจะเอาชาแอปเปิลกับซีซาร์สลัดแน่ะ โต๊ะสาม”

“ข้างนอกไม่มีใครอยู่รับออเดอร์เหรอคะ” อรวดีขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะสาวเท้าออกไปดู และไตรก็รีบดึงแขนห้ามไว้ พยายามระงับอาการ ‘เพ้อ’ ออกนอกหน้าแบบที่คงจะทำให้อีกฝ่ายผิดสังเกตมากขึ้นแน่ๆ

“เปล่า เปล่า ผมเข้าไปคุยกับเขาเองแหละ”

ความฉงนสงสัยผุดขึ้นมาบนดวงหน้าของหญิงสาว และเธอก็อดจะชะโงกหน้าออกไปมองโต๊ะที่เขาพูดถึงเสียไม่ได้ ภาพที่เห็นทำให้เจ้าตัวห่อปาก ร้องอ๋อออกมา แล้วจึงหันมายิ้มให้ไตรด้วยประกายตาพราวอย่างมีเลศนัย

“นึกว่าใคร คุณเชรีนี่เอง คุณไตรสนใจเขาหรือคะ”

ชายหนุ่มพยายามทำท่าเหมือนไม่สนใจ แต่ฉากหน้านั้นก็พังครืนลงมาตั้งแต่ยังไม่ทันได้สร้าง เขาไม่เข้าใจตัวเอง...เขาไม่ใช่ไก่อ่อน ห่างไกลจากวัยรุ่นคลั่งรัก ให้ตายสิ...อีกปีสองปีเขาก็จะสามสิบแล้ว และใช่ว่าเขาไม่คุ้นเคยกับผู้หญิงเสียเมื่อไร

...เพียงแต่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาเสียศูนย์เหมือนผู้หญิงคนนี้...

...เสียศูนย์อย่างรุนแรงเสียด้วย...

“คุณอรรู้จักเขาหรือครับ”

“ลูกค้าประจำค่ะ”

อรวดีว่า รอยยิ้มยังไม่จางไปจากริมฝีปาก “คุณเชรีมาที่นี่บ่อยเหมือนกัน บางทีก็มาช่วงกลางวันแบบนี้ บางทีก็มากับเพื่อนช่วงเย็น สตูดิโอเขาอยู่แถวนี้น่ะค่ะ แฟชั่นดีไซน์”

“อ้อ ครับ”

ไตรทำเสียงรับรู้ ลังเลที่จะถาม แต่ก็ยังคงหลุดปากไปอย่างห้ามไม่อยู่

“เพื่อนหรือครับ”

“ผู้หญิงค่ะ” อรวดีตอบเหมือนอ่านใจเขาได้ และชายหนุ่มก็ได้แต่กลอกตา เตะตัวเองในใจ นี่ท่าทางเขามันอ่านออกชัดขนาดนั้นเชียว?

...ทางเดียวที่เขาจะกู้หน้าตัวเองไว้ได้...ถ้ายังอยากกู้ คือทำเป็นไม่สนใจสายตาขบขันของคนรอบตัวและเดินหน้าเต็มสตีม...

ระหว่างนั้นเอง พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งถือถาดชาแอปเปิล ทำท่าจะเดินออกไปทางหน้าร้าน แต่ไตรก็ตาไวเห็นเข้าก่อน เขาถาม “ของโต๊ะสามเหรอ”

“ครับ”

ชายหนุ่มคว้าถาดนั้นไว้หน้าตาเฉยแบบที่ทำให้พนักงานผู้นั้นและอรวดีอ้าปากค้าง แต่เขาก็เพียงกระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่งเหมือนไม่แยแสสายตามนุษย์ มองไปยัง ‘เป้าหมาย’ ของตนอีกรอบ และเอ่ยด้วยเสียงร่าเริง เย็นใจ

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องออกไป เดี๋ยวฉันเอาออกไปเสิร์ฟเขาเอง”

--------

“ชาแอปเปิลครับ”

เสียงทุ้มดังขึ้น นุ่มนวลและมั่นคงกว่าเดิมเมื่อชายหนุ่มวางถ้วยชาสีขาวลงเบื้องหน้าเธอ และวางกาลงใกล้ๆ อย่างมีพิธีรีตอง รวิสรายิ้มรับโดยอัตโนมัติ เอ่ยคำ “ขอบคุณค่ะ” พลางตวัดตาขึ้นมองเขาอีกรอบอย่างกึ่งสงสัยเมื่อแทนที่จะถอยไป เขากลับยืนอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้น

เมื่อดูดีๆ อีกทีแล้วผู้ชายตรงหน้าแต่งตัวไม่เหมือนพนักงานเสิร์ฟคนอื่น พนักงานในร้านลา เมมัวร์ใส่เชิ้ตขาว แต่เสื้อของเขาเป็นสีครีมจาง เจ้าตัวหน้าตาดี...แม้จะไม่ใช่ระดับดาราหรือนายแบบ และบุคลิกดี…ถ้าจะไม่นึกถึงคำพูดที่ออก ‘เอ๋อ’ ตะกุกตะกักไปบ้างในตอนแรก

นี่ถ้าเธอไม่ใช่ลูกค้าประจำที่นี่และรู้จักคนทำงานที่ร้านนี้ดี เธอคงคิดว่าเขาเป็นผู้จัดการ แต่ก็อีกนั่นแหละ ผู้จัดการคงไม่เอาอาหารออกมาเสิร์ฟเองแบบนี้ เว้นแต่จะเป็นลูกค้าสำคัญจริงๆ

“คุณอรบอกว่าคุณเป็นลูกค้าประจำที่นี่ ยินดีที่ได้รู้จักคุณเชรีนะครับ ผมชื่อไตร”

เสียงชวนคุยพลางแนะนำตัวเสร็จสรรพทำให้หญิงสาวต้องกะพริบตาอีกครั้ง แต่เธอก็ตอบกลับอย่างสุภาพ แม้น้ำเสียงจะปนรอยสงสัย

“ยินดีค่ะ ว่าแต่ขอโทษนะคะ คุณแต่งตัวไม่เหมือนพนักงาน ไม่ทราบว่าคุณ...”

“อ๋อ ผมไม่ใช่พนักงานหรอกครับ”

ชายหนุ่มขัดขึ้นก่อนเธอจะทันพูดจบประโยค และเขาก็เปิดรอยยิ้มกว้างขึ้นเหมือนเจ้าเล่ห์ บอกแกมหัวเราะ “จะว่ามาทำงานพิเศษแค่วันนี้ก็ได้ พอดีที่นี่ขาดคน รับรองว่าไม่ใช่ผู้ร้ายปลอมตัวมาแน่นอนครับ”

รอยยิ้มของเขาเหมือนจะระบาดได้ เพราะมันทำให้รวิสราต้องอมยิ้มตาม เธอพึมพำ “แหม ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นสักหน่อย” แล้วเขาก็ยิ่งยิ้มมากขึ้นไปอีก

“ขอโทษค่ะ คุณตะ...”

เสียงเรียกของอรวดีที่ดังมาทำให้ทั้งเธอทั้งไตรหันไปมอง และมันก็ขาดไปครึ่งคำเช่นนั้นเมื่อฝ่ายนั้นสบตาชายหนุ่ม ถ้ารวิสราหูไม่ฝาดละก็ เธอคงต้องบอกว่าผู้ช่วยผู้จัดการร้านสาวทำเสียงเหมือนสำลัก และสีหน้าที่ผุดขึ้นมาต่อจากนั้นก็ยิ่งยากจะบรรยาย

เจ้าหล่อนขยับปาก ทำท่าเหมือนจะพูดอะไร แต่แล้วก็ปิดปากลงอีกรอบ อารมณ์บนดวงหน้าแปรจากมึนงงไปเป็นเหลือเชื่อ ก่อนจะกลายเป็นขบขันอยู่จางๆ ทั้งหมดในเวลาเพียงไม่ถึงนาที ตลอดเวลานั้นอรวดีไม่ชำเลืองมาทางรวิสราเลยสักนิด จ้องเป๋งอยู่แต่ ‘คนทำงานพิเศษ’ ผู้น่าสงสัยคนนั้น มันทำให้เธอต้องหันไปมองไตรตามสายตานั้นบ้าง

ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงเมื่อเธอหันมอง รีบปิดปากที่ขมุบขมิบอะไรอยู่ ลดมือที่ขยับคล้ายกำลัง ‘ส่งซิก’ ลง และเขาก็รีบพ่นคำถามออกมาทันควันคล้ายเพิ่งรู้สึกตัวว่าควรถาม

“อ่า... มีอะไรหรือเปล่าครับคุณอร”

“อะ อ๋อ ค่ะ ค่ะ”

อรวดีเหมือนจะเกิดอาการติดอ่างตามไปด้วย เธอยิ้มแหยออกมาแวบหนึ่ง หันมาสบตารวิสรา แล้วจึงรีบเอ่ยอย่างขอโทษขอโพย

“ขอโทษนะคะคุณเชรี พอดีอรมีธุระอยากคุยกับคะ...เอ่อ...เขาสักเดี๋ยวค่ะ”

“งั้น...ผมขอตัวก่อนนะครับ”

ไตรรีบ ‘รับลูก’ และหันมาบอกเธอบ้าง แต่ในสายตารวิสรา มันให้ความรู้สึกเหมือนเธอกำลังดูละครฝีมือนักแสดงห่วยๆ ที่บทกำลังจะล่มคาเวทีอย่างไรก็อย่างนั้น ซ้ำเป็นละครที่ดูแล้วจับต้นชนปลายไม่ถูกเสียด้วย เธอได้แต่กะพริบตาปริบๆ ครั้งที่หนึ่ง... ครั้งที่สอง...

“ค่ะ เชิญค่ะ ตามสบาย”

อรวดีหันไปมองไตรอีกแวบ พยักหน้าให้เขา ก่อนจะรีบผลุบหายไปหลังร้าน ส่วนชายหนุ่มยังคงไม่ยอมตามไปเสียง่ายๆ อย่างน้อยก็ไม่ก่อนที่เขาจะส่งยิ้มจืดๆ ให้เธอ และกล่าวคำ

“หวังว่าจะได้เจอคุณอีกเร็วๆ นี้นะครับ”

“เอ้อ ค่ะ”

รวิสรารับคำไปอย่างงงๆ ยังมึนอยู่เมื่อเธอเฝ้ามองไตรเดินลับหายเข้าไปหลังร้าน ไม่เข้าใจว่าในเมื่อเขาบอกว่ามาทำงานพิเศษแค่วันนี้ เขากับเธอจะพบกันได้อีกที่ไหน แต่ก็ไม่ได้ถาม เพราะคิดว่าถ้าไม่ไปต่อความยาวสาวความยืดจะเป็นการดีกว่า

พฤติกรรมของไตรประหลาดเกินกว่าที่เธอจะอยากไปวุ่นวายด้วยในตอนนี้ และพูดไปอีกที อรวดีก็ดูไม่ปกตินัก ทั้งที่ตลอดเวลาที่เธอมาเป็นลูกค้าที่ลา เมมัวร์ ฝ่ายนั้นดูเป็น ‘มืออาชีพ’ อย่างมากและไม่เคยทำหน้าที่ขาดตกบกพร่อง ทำให้เธอนึกสงสัยขึ้นมาตงิดๆ ว่าทั้งคู่กำลังเล่นอะไรกันอยู่

ที่เธอเห็นเมื่อครู่ ดูคล้ายกับไตรพยายามปิดบังอะไรไว้ และพยายามให้อรวดีช่วยเขาปิดบัง แต่เขาจะเอาอะไรไปห้ามอรวดี ในเมื่อเขาเป็นแค่คนทำงานพิเศษ

...เว้นแต่ว่าเขาจะเป็นใครปลอมตัวมา...

รวิสราถอนใจเฮือก ปัดความคิดนั้นทิ้งและดึงสมุดสเก็ตช์ออกมาจากกระเป๋า พยายามทำงาน เธอไม่ได้อยู่ในละครนะ จะได้มีท่านชายปลอมตัวมาเป็นเด็กเสิร์ฟหรือร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมาสืบคดีลึกลับ และใครจะสนใจกันถ้าอรวดีกับไตรจะทำตัวประหลาดเหมือนเมายา

แค่ปุรณะคนเดียวก็ทำเธอปวดหัวอย่างที่ไม่เคยปวดมาก่อน หมกมุ่นจนเธอเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่าตนจะเป็นได้ขนาดนี้

ถ้าเพื่อนๆ สมัยเรียนที่อังกฤษมาเห็นเธอตอนนี้คงหัวเราะขัน สาวเปรี้ยวที่ใครก็จับไม่ติดอย่างเชรี...ต้องมาตกม้าตายกับจูบเดียวของผู้ชายที่เธอยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าคิดยังไงกับเธอ

หลังจากเขาทำท่าเหมือนโกรธเกลียดเธอเสียเต็มประดา ลั่นปากว่าเธอจะต้องชดใช้เรื่องน้องสาวเขาอย่างนั้นอย่างนี้ รวิสราก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้เห็นพันธิตรานั่งยิ้มกริ่มเหมือนแมวที่กินครีมเข้าไปทั้งชามในวันรุ่งขึ้นเมื่อเธอโผล่เข้าไปที่สตูดิโอ และเมื่อเธอถามว่า ‘มีอะไร’ ฝ่ายนั้นก็หยิบเอาช่อดอกไม้ช่อหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ขึ้นมา ยื่นส่งให้เธอ ทำให้รวิสราซึ่งยังตั้งตัวไม่ติดขมวดคิ้ว ถามว่า ‘ใครให้แกมาเหรอ’

‘ไม่ใช่ของฉัน คุณเป้เขาแวะมาแต่เช้า พอรู้ว่าแกไม่อยู่เลยฝากไว้’

‘คุณเป้?’

‘ช่ายยยย’ เพื่อนเธอลากเสียงยาว ‘ไหนว่าเขาจูบแก้แค้นแก สงสัยจะไม่ใช่ซะละมั้ง’

หญิงสาวรับดอกไม้ช่อนั้นมาอย่างมึนงง หัวใจเต้นผิดจังหวะไปนิดหนึ่งกับช่อกุหลาบขาวจัดแซมกับไฮยาซินธ์ม่วง ผูกริบบิ้นสวยงาม การ์ดใบเล็กที่ผูกแนบมาเขียนด้วยลายมือเจ้าของดอกไม้เอง เส้นหมึกกดหนักเป็นระเบียบเขียนเพียงว่า ‘Please forgive me.’ และลงท้ายว่า ‘เป้’ เสียงพันธิตราลอยมา

‘หายากนะ ผู้ชายพูดจาภาษาดอกไม้เนี่ย เห็นเงียบๆ นิ่งๆ แอบโรแมนติกเหมือนกันนะคุณเป้’

‘อะไรนะ’

‘ความหมายดอกไม้ไง ไฮยาซินธ์ม่วงหมายถึงขอโทษ’

‘แล้วกุหลาบขาว?’

บทสนทนานั้นถูกขัดขึ้นก่อนที่รวิสราจะได้คำตอบเมื่อผู้จัดจำหน่ายรายหนึ่งโทรเข้ามาสอบถามเรื่องสินค้า แต่ความสงสัยยังคาอยู่ในใจเธอจนแม้แต่หลังจากพันธิตราออกไปติดต่องานข้างนอกแล้ว เธอก็ยังนั่งเหลือบมองช่อดอกไม้ของปุรณะเป็นระยะๆ ขณะทำงาน เรียกว่ามองบ่อยกว่าแบบกับตัวอย่างผ้าที่กลัดไว้เรียงรายบนบอร์ดเสียอีก

และสุดท้ายเมื่ออดรนทนไม่ได้ เธอก็เข้ากูเกิล เสิร์ชหาความหมายของกุหลาบขาว เพื่อจะพบว่าแต่ละแหล่งต่างให้ความหมายสารพัดแบบที่ตีความไปได้ทุกอย่าง

...ความบริสุทธิ์ คุณธรรม ศักดิ์ศรี ความเห็นใจ... เธอพ่นลมออกจมูก โยนความหมายเหล่านี้ทิ้งใส่ตะกร้าผงในใจขณะกวาดตาอ่านต่อ ...ความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ มิตรภาพ รักแท้ รักนิรันดร์ การแต่งงาน การเริ่มต้นใหม่...

พอกันที รวิสราบอกตัวเองพลางปิดหน้าเวบไซต์อย่างฉุนๆ เธอไม่ได้อยากรู้สักนิดว่าเขาหมายความว่ายังไง เขาอาจจะหมายถึงเขาบริสุทธิ์ใจกับคำขอโทษของตัวเอง อาจจะหมายถึงให้เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม หรืออาจจะแค่เห็นว่ากุหลาบขาวกับไฮยาซินธ์ม่วงจัดช่อรวมกันแล้วสวยดีและไม่รู้เรื่องราวอะไรกับภาษาดอกไม้ของพันธิตราเลยก็ได้ มันก็แค่นั้น เธอไม่คิดหรอกว่าเขาจะหมายถึงเขารักเธอไปชั่วนิรันดร์ หรือคิดไปถึงการแต่งงาน!

แต่ทั้งที่บอกว่าไม่คิดและไม่สนใจ เธอก็ยังเก็บเอาช่อดอกไม้ของเขากลับบ้าน ปักลงแจกัน และเผลอดึงกุหลาบขาวขึ้นมามองอยู่หลายที

...และที่เธอไม่อยากยอมรับ เก็บจูบของเขากับดอกไม้ช่อนั้นไปฝันเลื่อนเปื้อนจนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก...

หญิงสาวดึงตัวเองขึ้นมาจากภวังค์ ก้มลงมองหน้ากระดาษของสมุดสเก็ตช์ และเกือบกรี๊ดออกมาเมื่อเห็นว่าตัวเองไม่ได้สเก็ตช์แบบเสื้อผ้า แต่เผลอวาดดอกไม้พร้อมกับรูปหัวใจและเครื่องหมายคำถามตัวโตๆ ลอยเต็มหน้าลงไป รวิสราครางในคอ “โอ๊ยตาย” ฉีกกระดาษหน้านั้นดังแควก ขยำเป็นก้อนกลม (และคงฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างสิ้นหวังตัวเองแล้วถ้านั่นจะไม่หมายถึงการเอาหน้าจุ่มลงไปในถ้วยชา)

จะใจอ่อนกับสงครามประสาทของเขาไม่ได้นะเชรี! อย่าฝัน! เขาฝังใจแค้นเธอจนหลุดอาการตบจูบออกมาขนาดนั้น เห็นชัดๆ ว่าแฮปปี้เอนดิ้งเป็นเรื่องเหลวไหล

แค่คำขอให้ยกโทษให้กับดอกไม้ช่อเดียว เธอยังเพ้อได้ขนาดนี้ แล้วต่อไปเธอจะทำอะไร เฝ้าโทรศัพท์รอเขาเหมือนลูกหมารอเจ้าของ เขียนชื่อตัวเองต่อด้วยนามสกุลเขา นั่งเลื่อนลอยเด็ดดอกไม้ทีละกลีบเสี่ยงทายว่าเขารักหรือไม่รักเธอหรือไง

หญิงสาวตัวสั่นเทา ยกถ้วยชาขึ้นดื่มรวดเดียวเกือบหมด ...ไม่! เธอไม่ใช่คนแบบนั้น อาการเพ้อนั่นมันเรื่องของสาวน้อยวัยรุ่นอ่อนต่อโลกที่เพิ่งมีรักแรก ไม่ใช่เชรี สาวสังคมคนนี้เด็ดขาด เธอจะไม่ยอมตกเป็นทาสรักปุรณะขนาดนั้นหรอก ความสัมพันธ์ป่วยๆ ชนิดรักกลางรอยแค้นมันเป็นเรื่องของพระเอกนางเอกในนิยายเท่านั้นแหละ แล้วเธอใช่นางเอกเสียที่ไหน

พวกผู้ช่วยที่สตูดิโอไม่ค่อยยอมเข้าหน้าเธอด้วยซ้ำเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกนั้นมักวิ่งไปหาพันธิตราให้เป็นล่าม เพราะกลัวเธอจะวีนใส่ (ไม่ใช่ว่าเธอวีนบ่อยนัก แต่ถ้ามี...ทุกคนรู้ว่าเรื่องใหญ่) เธอยังรู้ด้วยว่าพวกนั้นแอบขนลุกขนพองเรื่องหมอนปักเข็มเย็บเองแสนน่ารักที่เธอเรียกว่าน้องวูดี้ (แผลงมาจากวูดู) และอารมณ์ดีที่ได้รู้ว่ามีคนสะดุ้งทุกครั้งที่เธอเอาเข็มหมุดจิ้มมันแรงๆ (พวกนั้นน่าแกล้งจะตาย)

นี่ถ้ามีใครจับเธอไปขังไว้บนเกาะแบบนางเอกละครแล้วบังคับให้ทำกับข้าวให้กิน มีความเป็นไปได้ว่าเธอคงเอายาพิษใส่...

พอมาคิดสะระตะให้ครบถ้วนแล้ว รวิสราก็ลงความเห็นด้วยความรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมค่อนข้างมาก ว่าถ้าใครยังมองเธอเป็นผู้หญิงแสนดีเหมือนนางฟ้าจนพอจะเป็นนางเอกนิยายน้ำเน่าได้ คนนั้นก็คงตาบอดหรือต้องมนตร์อะไรสักอย่างเข้าแล้วละ!

-----------

...ทั้งหมดนี่มันน่ากลัวกว่าที่เธอนึกเสียอีก...

ปุษยาตัวสั่นเมื่อเธอมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความสยดสยอง ผู้ชายที่ชื่อไตรเดินกลับไปกลับมาอยู่หลังร้านเหมือนกำลังวุ่นวายในอารมณ์ แล้วเขาก็หยุดเท้ากึกลง หันไปมองหน้าคนชื่ออร ก่อนจะทำตาปรอย

“น่า ช่วยผมหน่อยนะครับ คุณอร”

หญิงสาวที่ชื่ออรสั่นศีรษะ ทำท่าเหมือนยังไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ปุษยาไม่โทษฝ่ายนั้นหรอก ตัวเธอเองยังไม่อยากเชื่อเลยว่าคำสาปแช่งบ้าบอของเธอมันจะขลังอะไรขนาดนั้น

“อรอยากให้คุณแต้วมาได้ยินคุณตอนนี้จริงๆ เลย”

“พี่แต้วได้หัวเราะผมตายน่ะสิ” ไตรทอดถอนใจกับคำพูดนั้น เขาอิงตัวเข้ากับเคาน์เตอร์ ก่อนจะพึมพำออกมา “ไม่ใช่ว่าผมคิดว่าจะปิดเขาได้หรอกนะ”

“คงปิดไม่มิดหรอกค่ะ ถ้าคุณจะทำอย่างที่คุณบอกอร”

เสียงสนองตอบนั้นเหมือนกึ่งปลง กึ่งเห็นใจ กึ่งขัน และกึ่งอะไรอีกสารพัดที่ปุษยาจำแนกไม่หมด “ทำไมคุณไม่บอกคุณเชรีไปตรงๆ ล่ะคะว่าคุณเป็นน้องชายคุณแต้ว จะต้องมาวางแผนแกล้งทำตัวเป็นเด็กเสิร์ฟทำไมคะ”

ไตรถอนใจออกมาอีกรอบ คราวนี้หน้ามีรอยเคลิ้มฝันแวบขึ้นมาแบบที่ทำให้เด็กสาวอยากกรี๊ดให้โลกแตก

...ไม่ใช่เพราะเขาหล่อ เออใช่ เธอยอมรับว่าเขาหล่อ แต่ว่ารอยเคลิ้มแบบนั้นมันไม่เข้ากับหน้าหล่อๆ ของเขาเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้าม กลับทำให้เขาดู...เอ่อ...ปัญญาอ่อน

และปุษยาก็สังหรณ์ว่ามันเป็นความผิดของเธอแบบเน็ตๆ

“ผมอยากรู้จักเขาแบบไม่ต้องมีเรื่องฐานะเงินทองมาเกี่ยวข้องนี่ครับ”

ปุษยาครางอ๋อย ยกมือขึ้นปิดตา ก่อนจะขยับนิ้วแง้มดูอีกรอบ

...เธอเกือบทนฟังไม่ได้แล้ว...

“คุณเชรีเขาก็มีเงิน ใช่ว่าเขาจะอยากได้เงินทองของคุณนี่คะ”

เหตุผลนั้นดูจะไม่ทะลุผ่านเข้าไปในสมองของไตร เพราะเขายังคงพูดด้วยสายตาเลื่อนลอยเหมือนคนละเมอ

“แต่ถ้าเรามีวาสนาต่อกัน ผมก็อยากให้เขาชอบผมที่ผมเป็นผม ไม่ใช่เพราะความเหมาะสม”

“อ๊ายยยยยยยย!”

ปุษยากรีดร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ เธอโจนทะลุเคาน์เตอร์เข้าใส่เขา พยายามคว้าไหล่เขย่า แม้มือจะจับได้แค่อากาศธาตุ

“นายอย่าบ้านะ ได้สติได้แล้ว! ไอ้เลิฟฟีลลิ่งนั่นมันไม่ใช่ของนาย แผนนั่นมันก็ไม่ใช่ของนาย ความคิดบ้าๆ นั่นด้วย ยัยนั่นก็ไม่ใช่คนที่นายควรชอบ ได้ยินมั้ย ได้ยินมั้ย! อย่ามาทำให้ฉันรู้สึกผิดมากขึ้นกว่านี้นะ!”

และต่างจากปุรณะ ชายหนุ่มไหวตัวขึ้นเหมือนถูกกระชากจากภวังค์ เขาหันไปโดยรอบ หน้าซีดลงนิด ก่อนจะกะพริบตาและออกปากถาม

“คุณอรได้ยินเสียงอะไรไหมครับ”

“เสียงอะไรคะ”

คำถามย้อนกลับบอกอารมณ์สงสัยจริงจัง และไตรก็อ้าปากขึ้นเหมือนจะตอบ แต่แล้วก็นิ่วหน้า ว่าอย่างเปลี่ยนใจ

“ไม่...ไม่มีอะไรครับ ผมคงหูฝาด”

“ไม่ได้หูฝาดย่ะ! ฉันอยู่นี่!”

ปุษยาตะเบ็งเสียงใส่หูเขาเข้าเต็มที่ และอย่างที่เธอไม่คาดคิด...ไตรสะดุ้ง ดีดตัวขึ้นจากท่าอิงกายกับเคาน์เตอร์ และทำหน้าเลิ่กลั่ก

“เอิ่ม ผมว่าวันนี้ผมกลับแล้วดีกว่า ไว้ค่อยคุยกันอีกทีนะครับคุณอร”

“อะฮ้า นายได้ยินฉัน?”

เด็กสาวร้องอย่างมีชัย เกือบๆ จะเป็นลิงโลด เธอไม่คิดว่าจะมีใครรับรู้ถึงเธอแล้วนะนี่

ตั้งแต่ตกอยู่ในสภาพนี้ ปุษยารับรู้ว่ายิ่งออกห่างจากโรงพยาบาลที่ร่างของเธออยู่ ‘พลัง’ ของเธอก็ยิ่งอ่อนลง จากที่มีใครแว่วเสียงได้ยินเธอบ้าง ก็กลายเป็นไม่ได้ยิน เมื่อเธอคว้าตัวใคร...ก็ไม่มีใครรู้สึกหนาววูบๆ เหมือนที่เธอทำให้รู้สึกได้ตอนอยู่ในห้องพักคนไข้

ในตอนแรก เรื่องแบบนั้นทำให้เธอกลัว เธอคิดไปสารพัดว่าถ้าออกห่างร่างแล้วจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า วิญญาณเธอจะถูกกระชากขาดออกจากร่างกลายเป็นตายไปเลยไหม และนั่นทำให้เธอไม่กล้าไปไหนไกล ได้แต่วนเวียนอยู่ใกล้ร่างของตัวเองตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้จะเบื่อจนแทบกระอัก

แต่ตอนนี้เป็น ‘สถานการณ์ฉุกเฉิน’ ที่ทำให้เธอฮึด ตัดสินใจว่าตายเป็นตายสิน่า ปุษยาใช้วิธีทดลองด้วยการแวบออกมาแล้วก็กลับไปดู ทีแรกก็สิบห้านาที ครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง

วันนี้เธอตามรวิสรามาจะหกชั่วโมงแล้ว และทุกอย่างก็ยังดูปกติดี

เด็กสาวทำปากยื่น รู้อย่างนี้เธอออกมาเสียนานแล้ว ไม่แกร่วอยู่ในโรงพยาบาลนั่นให้โง่หรอก พลังอ่อนลงนิดหน่อยใครจะไปแคร์กัน

ไตรยังหน้าขาวเป็นกระดาษเมื่อเขามองไปรอบห้องเป็นครั้งสุดท้าย และจ้ำอ้าวออกไปเหมือนกลัวจะมีใครตาม ฮึ ก็มีจริงๆ นั่นแหละ...เขาคิดว่าจะสลัดเธอไปได้ง่ายๆ งั้นเหรอ

ในเมื่อเฉพาะตัวเธอ เธอทำให้ใครรับรู้ไม่ได้ เธอก็จะตะโกนใส่ไตรให้หูพังไปเลย เขาต้องช่วยเธอแก้คำสาปแช่งที่เธอสาปไปนั่น

ก็แค่ค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ เอง มันจะไปยากอะไรกัน แค่ช่วยกันพี่ชายเธอออกมาจากรวิสรา แล้วก็กันไม่ให้ผู้ชายที่ไหนไปตกหลุมแม่นั่นดังโครมเข้าอีก

แลกกับการที่เธอจะช่วยไม่ให้เขาตกหลุมคำสาปกลายเป็นตาทึ่มเหยื่อนางมาร เรื่องแค่นี้มันจิ๊บๆ เล็กน้อยจะตาย

และปุษยาก็ชะโงกหน้าไป กระซิบใส่หูไตรแบบที่ทำให้ชายหนุ่มผวาเฮือก

“คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มค่า ปิ๊งรับรอง!”



พัทธมน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ส.ค. 2556, 20:33:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ส.ค. 2556, 20:33:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1634





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account