สะพานแห่งคำสัญญา
พายุกับน้ำฝน เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีความแตกต่างกันมากที่สุด ต้องมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อการเรียนและชีวิตวันหยุดของทั้งสองต้องมาข้องเกี่ยวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเฉยชากลายเป็นความสัมพันธ์ กลายเป็นความรัก ความรักที่ยากจะดึงทั้งสองออกจากกัน
Tags: คำสัญญา หนุ่มเกเร สาวเรียบร้อย

ตอน: สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 2

ฟ้าเริ่มมืดแล้วเมื่อผมกลับมาถึงบ้าน วางรองเท้ากีฬาไม่ทันไร แม่ก็เดินออกมาหยุดมองที่ประตูบ้าน สายตาของแม่ดูดุอยู่หน่อยตอนที่ผมสบตา
“นายพายุ”
“ครับ”
“ไปอาบน้ำอาบท่าเดี๋ยวนี้เลย”
ผมมองเสื้อที่โชกไปด้วยเหงื่อและเปรอะฝุ่นดินของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาแม่อีกครั้ง
“ทำไมครับ พ่อจะออกไปกินข้าวแล้วเหรอ”
แม่ส่ายหน้า “ไม่หรอก วันนี้เราจะทำหมูกระทะกินที่บ้าน”
“อ้าว นึกว่าจะออกไปกินข้างนอก อุตส่าห์นึกออกว่าจะชวนไปไหน”
“ไม่ไป เพราะวันนี้แม่กับพ่อชวนเหมียวกับน้ำฝนแล้วก็นักเรียนของแม่อีกสองสามคนไว้ว่าจะทำหมูกระทะกินกันที่บ้าน”แม่เหลียวไปหลังไปนาฬิกาแขวนผนังแล้วหันกลับมามองผม
“ไป อาบน้ำ”
“แต่ผมไม่อยากกินข้าวกับ…”
“กับใคร กับนักเรียนแม่เหรอ”
ผมพยักหน้า “ขอกินมาม่าแทนได้ไหม”
“นายพายุ นี่มีของดีให้กิน ยังจะกินมาม่าอีก แล้วเด็กๆที่มาเขาไม่ดีตรงไหน แม่ก็เห็นทุกคนเป็นเด็กดีน่ารักทั้งนั้น”
“ก็ผมไม่อยากกินข้าวกับพวกนั้นจริงๆนะ อยากกินข้าวกับพ่อแม่ แค่พวกเราสามคน วันนี้พ่อพึ่งมาถึงด้วย”
“นายพายุ มื้อนี้น่ะ…พ่อเธอนั่นแหละเป็นต้นคิด”
ผมอ้ำอึ้ง ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียงอีก
“เดี๋ยวตามมากันละ ถ้ายังไม่ไปอาบน้ำ จะนั่งกินในสภาพมอมแมมแบบนี้ก็ตามใจลูกเถอะ”
แม่เดินกลับเข้าบ้าน ทิ้งผมยืนเป็นใบ้อยู่ที่ชั้นวางรองเท้า รู้สึกเหมือนโลกบีบอัดผมจนบี้แบน ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี จะไปกินข้าวนอกบ้านก็เหนื่อย ไม่อยากขับรถออกไปแล้ว แต่จะนั่งกินข้าวที่บ้านก็ต้องเจอยายน้ำฝนอีก ถ้าพวกเพื่อนๆตัวแสบรู้เข้า ผมจะทำอย่างไรดี พวกมันคงล้อผมหนักกว่าเดิมแน่ ผมแทบไม่อยากคิดเลยว่าหลังจากนี้อะไรจะเกิดขึ้น แล้วพอมาดูนาฬิกาก็ยิ่งใจแป้ว ไม่รู้ว่าอีกไม่นานข้างหน้าจะทำยังไงดี แล้วเผลอๆจะมีแค่ผมกับพ่อเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย คงอึดอัดดีพิลึก หลังจากถอนหายใจสองสามเฮือก ผมก็เดินเข้าบ้าน ไปอาบน้ำอาบท่าตามบัญชาของแม่พร้อมกับขบคิดว่าจะทำยังไงให้รอดไปจากสถานการณ์นี้ได้

น้ำจากฝักบัวที่ฉีดใส่ไล่ความเหนื่อยเมื่อยล้าไปได้มาก ระหว่างที่ยืนให้น้ำฉีดหัว สมองก็คิดหาทางเลี่ยงข้าวเย็นมื้อนี้ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จะแกล้งป่วยก็ไม่ทันเพราะพึ่งไปเตะบอลมา จะหนีไปกินข้างนอก ดูนาฬิกาก็ไม่น่าจะทัน ยืนเป็นใบ้เบื้ออยู่อึดใจหนึ่ง รู้สึกเหมือนว่าภาพของเพื่อนๆร่วมก๊วนกำลังเอาเรื่องที่พ่อกับแม่ชวนน้ำฝนมากินข้าวที่บ้านมาล้อสนุกสนานกันยกใหญ่ก็ผุดขึ้นมาเหมือนวีดีโอ
คิดมากไปแล้ว…เลิกคิดๆ
แต่ผมก็หยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเดินออกจากห้องแล้วเจอยายทอมนั่น แถมต้องนั่งร่วมวงกินข้าวด้วยกันอีก เหมือนตกนรกชัดๆ แล้วไหนจะมียายเหมียวข้างบ้าน รายนี้ก็ใช่ย่อย ชอบแกล้งผมเหมือนกัน คิดแล้วอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียให้พ้นๆ
เสียงเคาะประตูปลุกผมจากห้วงคิด คงเป็นแม่แน่เลยที่เคาะ สงสัยจะมาเร่งให้ออกไปเจอภัยพิบัติบนโต๊ะอาหาร
“ยุ แม่เธอให้มาเรียก”
วิญญาณผมแทบจะหลุดลอยออกไปทางหน้าต่าง เพราะเสียงนั่นไม่ใช่เสียงแม่ แต่เป็นเสียงน้ำฝน ผมขยี้ผมเปียกโชกแรงๆ เรียกสติและบอกว่ามันไม่จริง นี่แค่ความฝัน แต่พอข้างนอกเรียกอีก ผมก็รู้ว่านี่ของจริง ภัยพิบัติมายืนรอหน้าประตูห้อง
“เดี๋ยวออกไป”ผมตอบ
เธอไม่ตอบ เธอคงไปแล้ว ภัยพิบัติไปแล้ว รู้สึกเหมือนสติและวิญญาณที่กำลังจะลอยออกจากร่างกลับคืนมาเหมือนเดิม
เอาไง เอากัน เลี่ยงไม่ได้แล้ว พอคิดได้แบบนั้นแล้ว ผมก็เดินไปเปิดประตู
น้ำฝนยังยืนรออยู่หน้าห้อง ผมตกใจจนแทบจะร้องลั่น แต่ยังดีที่ระงับอาการของตัวเองไว้ได้ เลยถามเธอว่า
“ยังไม่ไปหรอกเหรอ”
“แม่เธอให้มารอเธอ เอาเธอไปให้ได้ แม่เธอบอกว่าเธอดูเหมือนไม่อยากกินข้าวกับเรา”
ผมสะอึกนิดหนึ่ง แม่นี่รู้ทันไปหมด ในใจกำลังนึกทบทวนว่ามีอะไรบ้างที่พวกนี้จะพูดออกมาเกี่ยวกับผมแล้วผมจะโดนแม่ดุเอา
“ยุ”
“หา”
“เป็นอะไรหรือเปล่า เห็นนิ่งๆเหม่อๆ”
ผมหันมามองหน้าเธอ ชั่วแวบที่สบตาเหมือนถูกเวทย์มนต์สะกดให้จังงังอยู่อย่างนั้น
“ยุ”
“…ไปเถอะๆ เดี๋ยวคนอื่นรอ”ผมตัดบทแล้วรีบเดินไปก่อน


กลิ่นของหมูที่ย่างบนกระทะแม้จะเย้ายวนใจ ชวนให้น้ำลายสอ ปกติแล้วผมจะกินมันอย่างเอร็ดอร่อย แต่ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่อย่างเด็ดขาด ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆในตอนที่ผมนั่งตัวลีบ คีบเนื้อหมูมากินทีละชิ้นอย่างเงียบๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก มองดูคนอื่นๆคุยเล่น หัวเราะกันสนุกสนาน แต่ก็ยังดีที่เรื่องผมทำกระจกแตกกับพฤติกรรมร้ายๆของผมที่โรงเรียนยังไม่ถูกพวกนี้เอามาเล่าให้แม่ฟัง
“นี่นายพายุ ไม่สบายหรือเราน่ะ”แม่หันมาถาม สายตาแม่ดูเหมือนทนายที่กำลังมองหน้าพยาน มองจ้องเข้าไปในดวงตาเพื่อค้นหาความจริง
“เปล่าครับ”ผมตอบ คีบหนวดปลาหมึกมาใส่ชาม “คุยกันต่อเถอะ”
แม่ไม่ถามอะไรอีก แต่ผมรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่ หลังจากคืนนี้ไปคงมีการล่าหาความจริงจากผมโดยพ่อและแม่
“กินกันต่อเถอะ ยุคงหิวเลยตั้งหน้าตั้งตากินจนลืมพูด”
พ่อบอกกับทุกคน พ่อยิ้มด้วยในตอนที่พ่อพูดจบแล้วหันมายิ้มให้ผม ผมว่าพ่อคงไม่อยากให้เสียบรรยากาศ พอพ่อพูดแบบนั้นแล้ว พวกผู้หญิงก็เริ่มคุยกัน เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องเรียน เรื่องแต่งตัว สุดแต่จะคิดออก ส่วนผมก็นั่งทำตัวลีบๆ คีบอะไรกินคนเดียวอยู่ในมุมของผม
“ยุ ไปเอาน้ำมาให้หน่อยลูก”
ผมหันไปมองแม่ แต่แม่หันไปคุยกับคนอื่นๆแล้ว ผมเลยเข้าไปเอาน้ำในครัว ผมเปิดตู้เย็น หยิบขวดน้ำมาสองขวด ขวดหนึ่งเปิดเทใส่แก้วแล้วดื่มเอง เสร็จแล้วก็ถืออีกขวดไปให้แม่ที่กำลังคุยอย่างออกรสกับลูกศิษย์ทั้งเด็กหญิง ทั้งสาวๆ ผมวางขวดน้ำเอาไว้แล้วหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
“ยุ…นี่ลูกกินอิ่มแล้วรึ”
“ครับ ง่วงแล้วด้วย”ผมตอบแล้วเดินกลับเข้าบ้าน

ที่จริงแล้วผมไม่ยังกินไม่อิ่มเหมือนที่ตอบกับทุกคน แต่ผมเบื่อที่จะต้องมานั่งฟังพวกผู้หญิงคุยกันเรื่องความสนใจของพวกเขา ในใจผมยังสงสัยว่าทำไมพ่อถึงนั่งทนได้ทนดีอยู่ที่นั่นแบบนั้น ถ้าผมเป็นพ่อ ผมคงเบื่อแทบดิ้นทีเดียว
พอผมปลีกตัวออกมาแล้ว ผมไม่ได้กลับเข้าห้องไปนอนเหมือนที่บอกกับแม่ แต่เดินเอื่อยเฉื่อยมานั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งยาวหน้าบ้าน ความเงียบสงบทำให้ผมผ่อนคลาย ผมอยากจะนั่งอยู่แบบนี้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ผมรู้ดีว่าความสงบมันคงอยู่กับผมไม่นานนักหรอก
“นั่งอยู่นี่เอง ยุ”
ผมจำเสียงนี้ได้ เสียงของน้ำฝน ยายทอมที่ทำให้ผมโดนล้ออยู่เรื่อย ตอนนี้มายืนอยู่ข้างหลังผม
“ว่าไง”ผมตอบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก
“เธอคงอึดอัดซินะ ที่พวกเรามา โดยเฉพาะฉัน”
“เปล่าหรอก”ผมแสร้งกลบเกลื่อน ทั้งๆที่ไม่ชอบเธอแต่ถ้าบอกเธอแบบนั้น ผมเองก็กลัวทำเธอเสียความรู้สึกอยู่
เหมือนกัน
“เธอคงกลัวจะโดนล้อซินะ”
“อืม หรือเธอไม่กลัว”
“ใครบ้างล่ะไม่กลัวโดนล้อ แต่จะให้ทำยังไงล่ะ”
มันก็ถูกของเธอ เราสองคนแก้ไขอะไรไม่ได้ ทุกอย่างเราไม่ได้อยากให้มันเกิดขึ้นและเราก็ห้ามไม่ให้พวกนั้นล้อเราไม่ได้ด้วย แล้วจะทำอย่างไรล่ะ
“แล้วนี่เธออิ่มละเหรอ”ผมถามโดยไม่หันไปมองเธอ
“เปล่าหรอก แค่เบื่อเรื่องที่พวกเขาคุยกัน”
ผมหัวเราะนิดหนึ่ง แล้วรู้สึกเหมือนถูกเธอมองจากข้างหลัง
“เธอหัวเราะอะไร…ยุ”
“เปล่า ๆ”
เราสองคนนิ่งไปนานหลังจากนั้น ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่มารู้สึกตัวเมื่อตอนที่ได้ยินเสียงแม่เรียกหาน้ำฝน
“ฉัน….ไปก่อนนะ”เธอบอก น้ำเสียงดูประหม่าเล็กน้อย ผมเองพยักหน้าไม่ได้พูดอะไร

สมองของผมโล่ง ไม่มีความคิดใดๆเลยช่วงเวลาหนึ่ง รู้แต่เพียงว่าผมนั่งอยู่ที่เดิมอีกพักใหญ่ก่อนจะกลับเข้าห้องเพราะได้ยินเสียงเหมียวเดินมากับใครบางคน แล้วผมก็สวนกับเหมียวและคนที่มาด้วยอีกคนคือพี่แก้วตรงทางลงครัวซึ่งอยู่ใกล้ห้องนอนผม ทั้งสองคงจะมาเข้าห้องน้ำห้องเล็กที่อยู่ตรงข้ามกับห้องของผม
พอเข้ามาในห้อง ผมล็อกประตู กระโดดขึ้นบนเตียงที่ผ้าห่มกองไม่เป็นระเบียบ กลิ่นที่นอนอันคุ้นเคยชวนให้ง่วงนอนเสียนี่กระไร ผมคลานไปหนุนหมอน คิดอะไรที่ไม่อยากคิดแล้วคว่ำหน้าลงถอนใจ อยากจะหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย จะได้ไม่เจอพวกเพื่อนตัวแสบมันล้ออีก
ผมได้แต่คิดว่าตัวผมนี่มันซวยสุดๆไปเลย ตอนที่นอนคิดอยู่นั้นเอง แม่ก็มาเคาะประตูเรียก คงเรียกให้ไปช่วยกันเก็บกระทะกับเตา มันมักจะเป็นงานของผู้ชายเสมอเลย แล้วรู้อะไรไหม การเก็บเตากับกระทะมันไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยเลย ผมเคยโดนน้ำร้อนที่เหลืออยู่ในกระทะแบบนี้ลวกเอาครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันฉลองสำหรับพี่ยอด พี่ชายของผมที่พึ่งได้งานทำ จริงซิ…ผมยังไม่เคยพูดเรื่องพี่ชายเลย ที่จริงครอบครัวเรามีกันสี่คนพ่อแม่ลูก พี่ยอดกับผมห่างกันห้าปี ตอนที่ผมเรียน ม.4 พี่ยอดก็ได้งานทำแล้ว เป็นครูอยู่ที่โรงเรียนมงฟอร์ด โรงเรียนเอกชนชื่อดังของจังหวัดเชียงใหม่ พักหลังๆพอไปทำงาน พี่ยอดก็ไม่ค่อยกลับบ้านเหมือนช่วงที่เรียนอยู่ คงเพราะต้องสอนหนังสือและสอนพิเศษ พอคำนวณดูแล้วก็นานพอๆกับที่พ่อไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ คือ2-3เดือนถึงจะกลับมาเสียทีหนึ่ง
ผมเลิกคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเมื่อได้ยินเสียงแม่เรียกมาจากในครัว ผมรีบยกกระทะที่ความร้อนกำลังเริ่มลดเข้าไปในครัว แม่บอกให้ผมแช่มันไว้ในกะละมังที่แม่เตรียมไว้ พรุ่งนี้กระทะใบนี้มันคงเป็นหน้าที่รับผิดชอบของผมแน่ พอแช่กระทะเสร็จ รายการต่อมาคือเตา พอยกเตาไปเก็บข้างบ้านแล้ว ผมก็เริ่มจัดการเก็บกวาดโต๊ะ
“มา ฉันช่วย”
ผมหันไปเห็นเหมียวกับน้ำฝนกำลังเดินเข้ามา ผมรีบบอกปัดเธอทั้งสอง
“เหลืออีกตั้งเยอะ นายเก็บไม่ไหวหรอก ดูซิทำอะไรเลอะไปหมด”เหมียวบอกพลางช่วยเก็บจานวางซ้อนกัน“นายมันทำอะไรช้าอยู่เรื่อย”
“ฉันทำคนเดียวได้น่า พวกเธอกลับบ้านเถอะ ดึกแล้ว”
“นี่ยุ บ้านฉันอยู่ติดกับบ้านนายนะ อย่าลืม แล้วคืนนี้น้ำฝนก็ค้างบ้านฉัน”
“ขอบคุณที่บอกนะ”ผมตัดบทแล้วยกจานชามที่วางซ้อนๆกัน มุ่งหน้าไปยังห้องครัว ตอนเดินมายังนึกอยู่ว่าสองคนนั้นคงนินทาผมลับหลังแน่

ผมวางจานลงในอ่างล้างจาน แม่กำลังล้างบางส่วนแล้วครอบไว้บนชั้นวาง
“วันนี้พวกเรากะว่าจะดูหนังกัน เดี๋ยวลูกไปซื้อขนมกับน้ำอัดลมให้หน่อยนะ”แม่บอกโดยไม่หันมามอง
ผมล้างมือแล้วเช็ดกับขากางเกง “ผมง่วงแล้วแม่ ให้พวกนั้นไปซิ”
“ไม่ได้ๆ นี่มันกลางคืนแล้ว อันตราย เด็กผู้หญิงสองคนออกไปข้างนอกเวลานี้อันตรายมาก ลูกก็รู้ น่า…ไปให้แม่หน่อย”
“ครับ”ผมรับคำในที่สุด มีรึผมจะขัดราชโองการของสมเด็จแม่ของผมได้
“น้ำฝน เดี๋ยวหนูไปกับยุนะ อยากกินอะไรก็ซื้อมา วันนี้อากับเหมียวกะจะดูหนังแบบมาราธอน เพราะตอนเช้าไม่มีสอน”
น้ำฝนมองหน้าผมเหมือนจะขออนุญาตผมด้วย ผลหลบตาเธอแล้วเดินไปเอากุญแจรถ ตอนคว้ากุญแจยังได้ยินเสียงแม่บอกให้น้ำฝนรีบตามผมมา ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังถูกทุกคนเอาไปจับคู่กับน้ำฝน รวมถึงแม่ของผมเองที่ดูเหมือนจะเป็นใจให้เสียด้วยจะให้ผมทำอะไร ไปไหนก็ให้น้ำฝนไปด้วย ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันบ้าไปแล้ว

หลังจากขับมอเตอร์ไซค์เงียบๆเป็นเวลา 5 นาที เราก็มาถึงเซเว่นอีเลฟเว่นสาขาใกล้บ้าน ผมล็อกคอรถแล้วก้าวพรวดๆเข้าไปในร้าน ไม่อยากจะเดินอ้อยอิ่งกับน้ำฝน กลัวจะมีใครเห็น แต่พอเข้ามาในร้านแล้วก็ต้องหันกลับไปดูว่าเธอเข้ามาหรือยัง ดูเหมือนว่าผมทำเกินไปหน่อยเธอเองคงรู้สึกแย่น่าดู
ผมเดินถือตะกร้าไปหาเธอ “แม่ให้ซื้ออะไรบ้างเหรอ”ผมถาม พยายามบังคับเสียงตัวเองให้ปกติที่สุดหวังจะไม่ให้เธอรู้สึกแย่ที่ผมแสดงอาการไม่ชอบเธออย่างชัดแจ้ง
“แม่เธอบอกว่าอยากซื้ออะไรก็ซื้อ แม่กับพ่อของเธอชอบกินอะไรล่ะ”
“ซื้อพวกน้ำผลไม้แล้วก็คุกกี้หรือขนมปังให้ก็ได้ พ่อกับแม่ฉันไม่เรื่องมาก”
“แล้วเธอล่ะ”
“อ้อ…ไม่ต้องถามฉันหรอก เธออยากกินอะไรก็หยิบมาใส่ตะกร้าเถอะ”
“เธอไม่อยากกินอะไรเพราะฉันเหรอ”
ผมรู้สึกเหมือนโดนเธอเอาปืนจิ้มตรงอกแล้วเหนี่ยวไก นิ่งอึ้งไปครู่แล้วรวบรวมสติกลับมา “ไม่หรอก ไม่เกี่ยวกับเธอ แต่เพราะฉันง่วงแล้ว ฉันเลยไม่อยากกิน”
“เธอไม่ดูหนังด้วยกันหรอกหรือ”
“หนังพวกนั้นฉันดูคนเดียวหมดแล้ว เอ้า…อยากกินอะไรก็หยิบมาใส่ ฉันจะเดินถือตะกร้าตาม”
“เธอนี่เป็นคนดีจัง…พายุ” เธอยิ้มหวาน เป็นรอยยิ้มที่ผมเคยเห็นครั้งแรก
“ไม่ขนาดนั้นหรอก”ผมรีบออกตัว “รีบซื้อเถอะจะได้รีบกลับ มานานๆ ที่บ้านจะห่วง”

ทุกอย่างควรจะจบลงที่เราเอาของไปวางบนเคาน์เตอร์แล้วจ่ายเงิน ขับรถกลับบ้าน แต่ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะตอนที่เรากำลังถือของไปจ่ายเงิน เต้กับต้องซึ่งกำลังเลือกข้าวกล่องอยู่ที่ตู้แช่ติดกับเคาน์เตอร์คิดเงินหันมาเจอเราพอดี ทั้งสองมองผมกับน้ำฝนอย่างไม่เชื่อสายตา ผมกับน้ำฝนเองก็เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างมองกัน ผมย้อนนึกไปถึงตอนเข้ามา ผมจำได้ว่าผมไม่เห็นสองคนนี้เลย สงสัยพึ่งเข้ามาและเราไม่เห็นเพราะเราเลือกน้ำอัดลมอยู่อีกมุมหนึ่ง อะไรมันช่างบังเอิญปานนั้น
“ไอ้เต้ ไอ้ต้อง”
“ไอ้ยุ”
แวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือตาฝาด แต่ผมเห็นแววตาของเต้วาวโรจน์ ราวกับจะบอกว่านายเสร็จฉันแน่ทั้งปิดเทอมจนถึงเทอมหน้า นายไม่รอดแน่ ผมรู้ทันทีว่าประตูแห่งการกลั่นแกล้งกำลังเปิดรับผม และครั้งนี้มันหนักหนากว่าเดิมอย่างแน่นอน







สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ส.ค. 2556, 16:52:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ส.ค. 2556, 16:52:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 905





<< ตอนที่ 1   สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account