สะพานแห่งคำสัญญา
พายุกับน้ำฝน เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีความแตกต่างกันมากที่สุด ต้องมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อการเรียนและชีวิตวันหยุดของทั้งสองต้องมาข้องเกี่ยวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเฉยชากลายเป็นความสัมพันธ์ กลายเป็นความรัก ความรักที่ยากจะดึงทั้งสองออกจากกัน
Tags: คำสัญญา หนุ่มเกเร สาวเรียบร้อย

ตอน: สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 3

ตลอดอาทิตย์ ผมพยายามหมกตัวอยู่แต่บ้าน ไม่รับโทรศัพท์เพื่อน ไ ไม่นานก็ทนไม่ไหว ต้องไปที่อื่นจนได้แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ออกไปในที่ที่ผมรู้ว่าเหล่าเพื่อนพ้องของผมอยู่ที่นั่น ผมพยายามเลี่ยงที่จะเจอเพื่อนทุกคน แม้จะต้องวิ่งหรือหมอบอยู่หลังชั้นหนังสือการ์ตูนในห้างผมก็ยินดีทำ มันช่างเป็นชีวิตที่น่าสมเพชเหลือเกิน
ตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลาย ผมไม่เคยอยู่บ้านนานอย่างนี้มาก่อนเลย การอยู่บ้านนานๆถือว่าเป็นชีวิตที่ผมไม่คุ้นเคยเสียแล้ว ผมแกร่วอยู่บ้าน ดูหนัง เล่นเกม พอนักเรียนของแม่มา ผมก็จะหนีเข้าไปหลับหรือไม่ก็นอนอ่านการ์ตูนจนกว่าชั้นเรียนของแม่จะเลิก การทำแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกไม่เบื่อและไม่ต้องเจอหน้าน้ำฝน แม้จะชั่วระยะเวลาหนึ่งก็เถอะ
ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าที่ผมอยู่แต่ในห้อง ผมมักจะนอนมองเข็มนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะดูเชื่องช้าอย่างบอกไม่ถูก เป็นอย่างนี้ทุกวัน ผมไม่รู้หรอกว่าจะมีใครแปลกใจกันบ้างไหม แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่แม่ของผม แม่ดูจะพอใจที่ผมเป็นแบบนี้

เสียงเคาะประตูห้องดังสองครั้งทำให้ผมต้องเลิกมองเข็มนาฬิกาอันเป็นกิจวัตรประจำวันของผม ผมคิดว่าคงจะเป็นแม่ บางทีอาจจะมาเรียกไปกินข้าว ผมเลยเก็บหนังสือการ์ตูนแล้วเดินไปเปิดประตู
“พ่อ…”
“ไปหาอะไรกินข้างนอกบ้านกัน ถ้าไป…พ่อจะรอที่รถ”
ผมไม่ขัดอยู่แล้วหากเป็นคำชวนของพ่อ ผมพยักหน้าตอบรับแล้วปิดประตูห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาแล้วรีบตามไปที่รถ พ่อนั่งรออยู่ในนั้นแล้ว พอผมเดินไปเปิดประตูเหล็ก พ่อก็ขับรถออกไปรอข้างนอก ผมเดินตามออกไป มือจับประตูเหล็กเตรียมจะเลื่อนปิด พักหลังๆมานี้ผมมีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่งซึ่งผมเองไม่รู้ว่าทำไม ผมมักจะหันไปมองที่ศาลาในสวนทุกครั้งเวลาอยู่หน้าบ้านแล้วก็จะมองดูว่าน้ำฝนมาไหม อยู่ตรงไหนและมองมาที่ผมหรือเปล่า เหมือนกับวันนี้ ตอนที่ผมเลื่อนประตูปิด แม้จะมองเพียงแวบเดียว ผมก็เห็นเธอนั่งอยู่ตรงที่เดิมคือใกล้ๆกับแม่ที่กำลังสอนตีขิม เธอมองมาที่ผม ผมสะอึกไปนิดหนึ่งก่อนจะหลบสายตาเธอแล้วเดินไปขึ้นรถ รู้สึกโล่งใจที่รถแล่นออกมาเสียที

“พักนี้ลูกทำตัวแปลกๆนะ”
ผมนิ่งเมื่อพ่อพูดมาแบบนั้น ไม่รู้จะพูดอะไรดี
“แปลกยังไงพ่อ”
“ก็ลูกเอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้อง ลูกรู้ไหมว่าลูกไม่ไปเล่นบอล ไม่ไปหาเพื่อนมาเกือบ2อาทิตย์แล้ว ทั้งที่เมื่อก่อนลูกไม่เคยพลาดสักวัน”
“ผมเปลี่ยนไปเยอะ ตอนพ่อไม่อยู่”ผมแก้ตัว หัวเราะกลบเกลื่อน
พ่อหัวเราะนิดหนึ่งเหมือนกัน “วันที่พ่อมาลูกยังออกไปข้างนอกตั้งแต่ก่อนเที่ยงเหมือนไม่อยากอยู่บ้าน แต่พออีกวันลูกกลับไม่ไปเสียอย่างนั้น ลูกหลบหน้าใครอยู่”
“เปล่าครับ”
“พ่อเลี้ยงลูกมา พ่อรู้ดีน่ายุ”
“ไม่ได้หลบหน้าใครจริงๆพ่อ”
พ่อเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม เพ่งสายตาผ่านแว่นที่ใส่มานานปี “พ่อไม่บังคับให้ลูกบอกหรอกนะ แต่ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดกันได้ รู้ไหม”
“ครับพ่อ” ผมตอบไปแค่นั้น ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ทั้งๆที่ปกติผมมีเรื่องคุยกับพ่อมากมายก่ายกอง ตลอดเวลาหลายเดือนที่พ่อไปทำงาน ผมอยากจะเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้พ่อฟัง แต่พอมาถึงตอนนี้ ผมอยากสงบปากสงบคำมากกว่า
พ่อเลือกพาผมไปกินอาหารเวียดนามแถวกลางเมือง ที่ร้านนั้นเงียบสงบ ตกแต่งด้วยไม้แกะสลักซึ่งเป็นฝีมือของเจ้าของร้าน รั้วและเสามีไม้ประดับตกแต่งพองาม พอมองไปรอบๆผมถึงรู้ว่าเราเป็นลูกค้าเพียงโต๊ะเดียวในร้านนี้
“ยุ…”
ผมเลิกสนใจไม้แกะสลักรูปร่างประหลาด หันมาหาพ่อ “ครับ”
“พ่อยังสงสัยในสิ่งที่ลูกกำลังทำ”
“อะไรครับ”
“ก็ที่ลูกไม่ไปหาเพื่อน หมกอยู่แต่ในห้อง”
พ่อเอาเรื่องเดิมมาพูดกับผมอีกแล้ว แล้วผมก็ไม่รู้จะตอบพ่อยังไงเหมือนเคย
“พ่อชวนผมออกมาเพื่อจะคุยเรื่องนี้ใช่ไหม”
“ก็ไม่เชิง พ่ออยากชวนออกมาหลายวันแล้ว แต่ลูกเอาแต่อยู่ในห้องหรือไม่ก็ออกไปข้างนอก พ่อเลยไม่ทันได้ชวน”
เราสองคนหยุดคุยกันเมื่ออาหารถูกนำมาวางบนโต๊ะ ผมพึ่งเคยกินอาหารเวียดนามจริงๆครั้งนี้ครั้งแรก พ่อบอกว่าเจ้าของร้านรู้จักกัน อาหารเป็นฝีมือภรรยาที่เป็นคนเวียดนาม ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอาหารเวียดนามก็อร่อยเหมือนกัน พ่อบอกว่าพ่อพาแม่มาบ่อย พอถามว่ามาตอนไหนพ่อก็ตอบว่ามาวันที่ผมไปเรียน ผมรู้สึกน้อยใจนิดๆแต่ก็ไม่ว่าอะไร พ่อคงอยากมีเวลากับแม่สองคนบ้าง ผมคิดแบบนั้น

จากร้านอาหารเวียดนาม พ่อชวนมานั่งที่ร้านกาแฟแถวบ้าน พ่อชอบมานั่งที่นี่เวลากลับมาเชียงราย พี่เจ้าของร้านกับพ่อรู้จักกันดี พ่อเคยบอกว่าพี่เขาเคยเป็นช่างภาพสำนักพิมพ์พ่อ เคยไปถ่ายสารคดีสัตว์ป่าด้วยกันที่ป่าแถวอินเดีย ที่ชั้นวางหนังสือมีนิตยสารที่พ่อทำงานให้ฉบับล่าสุดวางอยู่ ผมหยิบมันติดมือมาด้วยตอนที่พ่อกำลังยืนสั่งกาแฟที่เคาน์เตอร์
“เรื่องที่พ่อไปแก่งกระจานครั้งก่อนลงเล่มนี้หรือเปล่า ยังไม่ได้อ่านเลยเพราะยังไม่มาส่งที่บ้าน”
พ่อพยักหน้า ยกกาแฟขึ้นจิบ“ลงซิ ครั้งนั้นไปลำบากมาก แต่ก็สนุกดี”
“ผมอยากไปแบบพ่อบ้าง”
พ่อยิ้ม “ก็ไม่แน่ ลูกเองก็ถ่ายรูปเป็น เขียนบทความก็ดี ฝึกตัวเองไปเรื่อยๆ จบ ม.ปลายก็ไปต่อพวกนิเทศศาสตร์หรือวารสารศาสตร์ก็ได้”
“ครับ”
พ่อจิบกาแฟอีกครั้ง มองหน้าผมด้วยสายตาเดียวกันกับตอนมื้อกลางวัน ผมพยามทำตัวปกติ แกล้งทำเป็นอ่านหนังสือ ไม่อยากตอบคำถามที่พ่อถามมาแล้วหลายหน
“ลูกกำลังกลัวโดนเพื่อนล้อใช่ไหม”
“ล้อเรื่องอะไรครับ”
“คืนนั้นที่ไปกับน้ำฝน ลูกไปเจอเพื่อนมาใช่ไหม”
ผมรู้สึกเหมือนถูกยิงหน้าอก มันแปลบเข้าไปในหัวใจ ตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ ถ้าถูกยิงไม่รู้สึกแบบนี้ก็ใกล้เคียงล่ะนะ
“เปล่านะ ไม่มีอะไรจริงๆ”ผมรีบแก้ตัว ไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม
พ่อจิบกาแฟอีก มองหน้าผมเหมือนเดิม
“น้ำฝนเล่าให้พ่อฟังหมดแล้ว”
“หา น้ำฝนเล่าให้พ่อฟังแล้ว”
พ่อพยักหน้า “แม่ด้วย”
นรกชัดๆ คำนี้ลอยเข้ามาในสมองของผมที่กำลังสับสน เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองจะเจออะไรบ้างหลังจากนี้
“แล้วทำไมพ่อไม่บอกผมเลยล่ะว่าพ่อรู้แล้ว”
“พ่ออยากจะรู้ว่าลูกจะตอบพ่อว่ายังไง ถ้าพ่อถาม แล้วมันก็เป็นคำตอบที่พ่อเดาไว้แล้ว”
ผมมองหน้าพ่อ ปิดหนังสือ“พ่อหมายความว่าไง”
“พ่อรู้ว่าลูกไม่กล้าบอกพ่อตรงๆ”
ผมนิ่ง ไม่รู้จะพูดอะไร นึกถึงแต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป
“เรามาพูดกันแบบลูกผู้ชายดีกว่านะยุ”
“ครับ”ผมตอบ ยกชาเย็นขึ้นมาดูดจนลดไปครึ่งแก้ว ความเย็นเรียกสติกลับมาได้มาก
“พ่อว่าลูกน่ะ ทำแบบนี้ไม่ถูก”
“ไม่ถูกยังไงพ่อ แล้วทำยังไงถึงจะถูก”
พ่อดูใจเย็นเสมอ แต่ผมเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ เดินให้รถชนตายผมยังพอใจกว่า
“ยุ ลูกหนีหน้า หลบเพื่อนๆที่ล้อลูกไปตลอดไม่ได้หรอก ยังไงลูกก็ต้องเจอพวกเขาตอนเปิดเทอมอยู่ดี”
“พ่อไม่รู้หรอกว่าผมโดนอะไรมาบ้าง พ่อไม่ใช่ผม พ่อไม่รู้หรอก”
“ใช่…พ่อไม่ใช่ยุ แต่พ่อเคยอายุเท่าลูก สมัยอายุเท่าลูก พ่อก็โดนแบบนี้เหมือนกัน ผู้ชายเกือบทุกคนหรืออาจเป็นทุกคนในโลกต้องเคยเจอเรื่องพวกนี้ มันต้องมีสักเรื่องที่เขาไม่ชอบแล้วมีคนเอามาล้อ”
“แต่ผมไม่ชอบ ผมไม่เคยล้อใคร ทำไมต้องเป็นผมที่โดนล้อด้วย”เสียงของผมเริ่มแข็ง ดีที่ในร้านไม่มีใครนอกจากเราสองคนพ่อลูก เพราะพี่เจ้าของร้านรดน้ำต้นไม้อยู่ข้างนอกอย่างสบายใจเฉิบ
“แล้วลูกคิดเหรอว่าน้ำฝนเค้าชอบ น้ำฝนก็โดนเหมือนลูกทั้งๆที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย อีกอย่างน้ำฝนเขาเป็นผู้หญิง เขายิ่งเสียหายนะ เราเป็นผู้ชายต้องให้เกียรติผู้หญิงนะลูก ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตามก็ต้องทำให้เสมอ เท่าเทียมกัน”
“ครับ”ผมจนปัญญาจะหาอะไรมาโต้แย้งกับพ่อ ได้แต่นั่งดูดชาเย็นจืดๆเพราะน้ำแข็งเริ่มละลาย
“น้ำฝนเครียดมากที่มันเกิดเรื่องแบบนี้ เขาเป็นคนเล่าให้พ่อกับแม่ฟังตอนแม่บ่นเรื่องลูกแปลกไปให้เขาฟัง ตอนนั้นพ่อก็อยู่ ”
“ว่าแล้วเชียว ว่าแต่น้ำฝนเครียดด้วยเหรอ เห็นปกติก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อยู่แล้วนี่ โดนล้อเท่าไหร่ก็ยังเฉย มีผมคนเดียวนี่แหละคอยแก้ตัว แก้ต่างให้”
พ่อยิ้ม “นั่นเป็นวิธีการสู้กับเรื่องนี้ในแบบของเขา เขาคงคิดว่าเฉยไว้ดีที่สุด ลูกเองก็ควรจะทำแบบนั้น พูดแก้ตัวไปใครเขาก็ไม่หยุดหรอกลูก เรื่องแบบนี้คนล้อมันสนุก”
“อยู่เฉยๆมันจะได้ผลเร้อ”
“เพื่อนล้อลูกเพราะอยากเห็นลูกโมโห ถ้าลูกเฉย ใช้ชีวิตตามปกติไปเรื่อยๆ อีกหน่อยเขาก็เลิกกันไปเอง ลองดู”
“ก็ได้ ลองก็ลอง”ผมตอบตกลงหลังจากใครครวญอยู่นาน พ่อยิ้มกว้างออกมาในที่สุด
“ต้องอย่างนี้ซิลูกพ่อ”


หลังจากบ่ายวันที่ผมนั่งคุยกับพ่อ ผมพยายามทำตัวปกติ ผมพยายามไม่หลบหน้าน้ำฝนที่มาซ้อมดนตรีที่บ้านเกือบทุกวัน ดูเหมือนเธอเองก็พยายามทำให้ทุกอย่างเป็นปกติเหมือนกัน เธอทักทายและพยายามคุยกับผมเหมือนปกติ จนบางครั้งผมรู้สึกว่าตัวเองใจร้ายกับเธอมากเหลือเกิน ทั้งๆที่เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เลวร้ายอย่างไม่น่าให้อภัย
ถึงแม้ที่บ้านผมจะทำตัวปกติ แต่ผมยังไม่กล้าไปเจอเพื่อน แม้จะออกจากบ้านแบบไม่หลบซ่อนๆแล้วก็ตาม ผมเลือกไปเล่นบอลกับกลุ่มผู้ใหญ่ที่รู้จักกันแทนที่จะไปเล่นกับเพื่อนของผม ยอมรับตามตรงว่าผมยังไม่กล้าพอจะไปเจอเพื่อนๆ เวลากลางคืนผมไม่เล่นอินเตอร์เน็ต ไม่เล่นMSN เพราะไม่อยากให้เพื่อนทักแล้วก็มาแซวผมเล่น ผมเลือกอ่านหนังสือ ตอนบ่ายที่ร้านกาแฟ พ่อบอกว่าผมมีความสามารถในการเขียนบทความ อยากให้ลองศึกษาดู
“ลูกเขียนแบบที่อยากเขียนดู หาสไตล์การเขียนของลูก หาภาษาและสำนวนของลูกเอง โดยเอาของพ่อเป็นตัวอย่าง อ่านให้มากๆ”
พ่อบอกกับผมแบบนั้นตอนเรานั่งคุยกันเมื่อบ่าย ผมเลยลองเอางานหลายๆชิ้นของพ่อและเพื่อนนักเขียนของพ่อที่ผมรู้จักมาอ่านดู ต้องยอมรับตามตรงว่าผมสนใจมันระดับหนึ่งในตอนนี้ บางทีอาจลองเขียนดูสักครั้ง ต้องหาสักเรื่องที่สนใจมาลองเขียนดูหน่อย ผมบอกกับตัวเองก่อนจะปิดหนังสือแล้วปิดโคมไฟ แม้กระนั้นก็ยังข่มให้ตัวเองหลับไม่ได้ อีกไม่ถึงสองสัปดาห์ก็วันสงกรานต์แล้ว ยังไงเพื่อนๆก็ต้องมาลากตัวผมไปเล่นน้ำจนได้ไม่ว่าด้วยวิธีไหน ผมไม่อยากคิดเลยว่าตัวเองจะต้องเจออะไรบ้าง อยากนอนแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

ผมกำลังเคลิ้มเตรียมจะหลับอยู่แล้วตอนที่มีเสียงเคาะประตูห้อง ตามด้วยเสียงของแม่ที่เรียกชื่อผมอยู่สองครั้งก่อนที่ผมจะเปิดประตู
“ยุ มีคนมาหา”
“ใครเหรอแม่ มาเอาดึกป่านนี้” ผมยอมรับว่าผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะเพื่อนๆไม่ค่อยมาหาผมที่บ้านเวลานี้โดยไม่โทรมาก่อน
“ดึกที่ไหน นี่สามทุ่มครึ่งเอง ไปใส่เสื้อผ้าดีๆ แล้วก็ออกไปหาเค้าซะ”
ผมก้มลงมองตัวเองพลางพยักหน้า แน่ล่ะ…ผมคงไม่ใส่กางเกงขาสั้นลายตารางตัวเดียวกับท่อนบนเปลือยเปล่าอวดซี่โครงไปรับแขกอยู่แล้ว ผมปิดประตูแล้วออกจากห้อง คงจะเป็นต้องกับเต้เพื่อนฝาแฝดฉายาแฝดนรก ที่แม่ไม่บอกว่าสองคนนี้มาก็อาจจะเป็นเพราะสองคนนั้นขอไว้เพื่อจะทำให้ผมประหลาดใจ
“ยุ”
ผมยืนจังงัง ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกร้อนวาบไปทั้งตัว ไม่ใช่ ไม่ใช่ต้องกับเต้ ไม่ใช่แฝดนรกอย่างที่ผมคิดไว้แต่แรก คนที่เอนกายพิงโซฟาและนั่งหันหน้ามาทางผมเป็นผู้ชายตัวสูง ผมเกรียน อีกคนที่นั่งหันหลังให้เป็นผู้หญิงผมยาว แวบแรกที่เห็นผมยังจำไม่ได้ แต่พอได้สติกลับมาผมก็นึกออก
“พี่ฝาง!!”
“เออ…ฉันเอง ไปเตะบอลที่ไหนเดี๋ยวนี้”
“ก็ไปเตะสนามโรงเรียนสามัคคี แล้วนี่พี่มาทำไมเนี่ย ละมาบ้านผมถูกได้ไง”
“มากับน้องสาว น้องสาวเค้ารู้ ไอ้ฉันไม่มีธุระอะไรกับนายหรอก แต่น้องฉันมี”
ผมค่อนข้างงงกับคำพูดของพี่ฝาง พี่ที่เคยสอนผมเตะบอลสมัยยังอยู่ประถม เพราะตัวผมเองไม่เคยรู้จักน้องสาวของพี่เขามาก่อน แล้วน้องสาวของพี่ฝางจะมีธุระอะไรกับผมล่ะ
“อ้าวฝน มีอะไรกับไอ้ยุก็รีบๆคุยเข้าซิ นี่ก็สามทุ่มกว่าแล้วนะ”
มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้นมั้ง ผมคิดในใจ ไม่ใช่อย่างที่ผมคิดไว้ใช่ไหม มันคงไม่ใช่อย่างที่ผมคิดเอาไว้

คำตอบทุกอย่างกระจ่างชัดเมื่อกับตาเมื่อคนที่หันหน้ามาคือคนที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ ใบหน้าที่ไม่เคยแต่งหน้าทาปากตบแป้งกับผมยาวสลวยอันเป็นจุดเด่นหันมายิ้มให้ผม
“ยุ ขอโทษนะที่มากวนดึกๆดื่นๆ”
ผมอึกอักอยู่อึดใจก่อนจะตอบไปว่า“ไม่เป็นไร มีอะไรเหรอ” ผมบอกตามตรงว่าผมค่อนข้างประหม่าตอนที่ตอบ หน้าชา หลังแข็ง
“ฉันมีเรื่องอยากให้เธอช่วย ไม่รู้เธอจะช่วยไหม”เธอบอกยิ้มๆ “เอ้า เอานี่ไปอ่านดูก่อน”
ผมรับแฟ้มมาจากเธอ
“ลองคิดดูนะ พ่อเธอบอกว่าเธอช่วยได้”
ผมพยักหน้า ตาอ่านกระดาษแผ่นบนสุด ในใจแอบบ่นพ่อที่หาเรื่องให้ผมต้องมาเจอกับเธอคนนี้อีกแล้ว พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเธอยิ้มมาเหมือนทุกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่ผมเบื่อเต็มที







สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ส.ค. 2556, 02:01:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2556, 14:20:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 887





<< สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 2   สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account