Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: คำตอบในใจกับการแยกจาก
พีรพงษ์ตื่นมาในตอนสายของวันใหม่ เมื่อคืนกุญแจห้องพักที่โรงแรมแล้ว ชายหนุ่มก็มาเยี่ยมฝ้ายที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ภาพแรกที่เห็นคือเด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งเฝ้าคนป่วยอยู่ก่อน
“เฮ้ย... นุ่นมาไงวะ?” พีรพงษ์ประหลาดใจ
“พี่ไนท์หวัดดี” อีกฝ่ายยกมือไหว้
“บินมาถึงเมื่อตอนเย็น แล้วก็นั่งรถต่อมาคืนครับพี่ ตอนที่พี่กลับไปแล้ว”
“ทำไมไม่โทรหาวะ?” เขาถาม
“ขอโทษทีพี่ไนท์ เห็นฝ้ายแล้วผมก็ลืมไป” อีกฝ่ายตอบพลางมองคนที่หลับอยู่ด้วยสายตาเศร้าๆ
“แล้วนี่ไอ้ฝ้ายเป็นไงบ้าง?”
“หมอมาดูเมื่อครู่ ให้ย้ายเข้ากรุงเทพฯได้ตอนบ่ายนี้ครับ แม่ฝ้ายเลยไปติดต่อรถพยาบาลอยู่” นุ่นตอบ
พีรพงษ์นั่งคุยกันกับรุ่นน้องหนุ่มเพื่อรอจนแม่คนป่วยมา นุ่นรู้ข่าวนี้เพราะติดต่อกับเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งอยู่ตลอด พอรู้ข่าวเขาก็จองตั๋วเครื่องบินมาจากอเมริกาทันที ด้วยเหตุผลเดียวคือเขายังคงรักและเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้เกินกว่าจะหลบทำใจอยู่เงียบๆ คนเดียว
คำบอกเล่าของรุ่นน้องหนุ่มทำเอาก้อนบางอย่างพุ่งขึ้นมาติดคอ มันคำความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ของเขาเอง ความรู้สึกที่ยังคงมีต่อเกมที่พยายามเท่าไหร่มันก็คล้ายไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ผมจะพาฝ้ายไปอเมริกาด้วยครับพี่” อีกฝ่าย
“มันอาจจะยุ่งยากนิดหน่อยแต่ไม่น่ามีปัญหาอะไร” เด็กหนุ่มขยายความ
“บอกแม่ฝ้ายยัง?”
“บอกแล้วครับพี่ แม่ก็ไม่ว่าอะไร แต่คงต้องแต่งงานกันก่อน”
“แต่งงาน???” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง เรื่องราวปุบปับจนตั้งรับไม่ทัน
“ใช่พี่ น่าจะทำแบบง่ายๆ จดทะเบียนแล้วก็บินไปนู่น”
“อืม” พีรพงษ์พูดไม่ออกและคิดอะไรไม่ทัน
“ถ้ามันดีก็ทำตามนั้นเถอะ” เขาบอก
“แล้วพี่ล่ะ?” ฝ่ายนั้นเงียบครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม
“อะไร?”
“พี่กอล์ฟบอกผมว่าพี่เป็นโรคซึมเศร้าเพราะยังคิดถึงพี่เกมอยู่”
“มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกนะพี่ แต่ชีวิตพี่มันน่าจะดีกว่านี้ถ้าพี่ผ่านมันไปเสียที” เด็กหนุ่มแนะนำอย่างมีน้ำหนักต้องฟัง เพราะเขาเดินทางไปเรียนแพทย์ต่อที่นู่น
“พี่ก็พยายามอยู่” เขาบอก
“ผมว่าพี่มีอะไรค้างคาที่จะพูดกับพี่เกมหรือเปล่า?” นุ่นยิงคำถามเพราะคิดว่ารู้จักพี่ชายของเขาดี
“พี่ยังรักพี่เกมอยู่ใช่ไหม?” คนเป็นน้องถาม
“มีอะไรค้างในใจก็เคลียร์ๆ มันซะนะพี่” ฝ่ายนั้นพูดเมื่อเห็นเขาปิดปากเงียบ
พอดีกับแม่ของฝ้ายกลับเข้ามาที่ห้อง พีรพงษ์จึงถือโอกาสกล่าวลาเพื่อกลับเข้ากรุงเทพฯ ก่อน
....................
ชายหนุ่มคิดมาระหว่างนั่งรถกลับเข้ากรุงเทพฯ แน่นอนว่าหญิงสาวอย่างสรัญญาทำให้ชีวิตของเขาเดินหน้าไปอีกก้าว แต่ก้าวมันอาจจะยาวและเร่งเกินกว่าที่ชายหนุ่มคาดหวังไว้
“พี่ยังรักพี่เกมอยู่ใช่ไหม?”
คำถามของรุ่นน้องหนุ่มผุดย้อนขึ้นมา มันมีเพียงคำตอบเดียวที่เขารู้ แต่ก็เป็นคำตอบเดียวกันที่เขาไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น
“ใช่พี่ยังรักเกมเท่านั้น”
มันจริงอยู่ที่เขายังรักเกมไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป แต่ชีวิตที่ยังต้องใช้ การห่างหายไปของเกมโดยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง มันค่อยๆ เกาะกินความรู้สึกนึกคิดของเขาต่อการแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอยู่ให้จบแบบรู้แล้วรู้รอดเสียที
พีรพงษ์คิดและโกรธตัวเอง มันไม่แฟร์เลยที่หย่อนให้กับชีวิตจนอยู่ในสภาพนี้ ทั้งที่ผู้คนมากมายต่างมีชีวิตต่อไป มีความฝันและหนทางที่จะเดินไปต่อจากเมื่อวาน แต่มีแต่เขาคนเดียวที่ยังอยู่กับที่
เขาเคยคิดว่าช่วงเวลาตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่ดีที่จะทิ้งคืนวันเก่าๆ ตัดเกมให้ขาดจากใจเสียที ถ้าเป็นจูน—เขาอาจจะยอมรับได้ที่เธอจะเข้ามาเป็นคนที่อยู่ข้างกันในคืนวันหลังจากนี้ แต่ที่ไหนได้ เขากำลังทำร้ายผู้หญิงอีกคนที่เดินเข้ามา รักเขา และยินดีที่จะอยู่กับเขาอย่างเปิดเผย ไม่ปิดบังความรู้สึกเลย
ทำไมคนที่กำหนดชีวิตเขาเป็นแบบนี้ไม่รอให้เขาลืมเกมได้จนหมดเสียก่อนถึงได้พาเธอคนนี้เข้ามา ทำไม?
เขากดโทรศัพท์ไปหาจูนเพื่อบอกว่ากำลังเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ และตั้งใจจะบอกว่าเขาคิดว่ายังไมพร้อมที่จะย้ายไปใช้ชีวิตร่วมกับเธอ
“ไนท์กลับมาเร็วก็ดีค่ะ เดี๋ยวเย็นนี้ไปทานข้าวกับพ่อแม่จูนนะ เดี๋ยวจูนไปรับที่ท่ารถตู้นะ” หญิงสาวอ้อนเสียงหวานแบบคนมีความสุข
“เอ่อ... ผม” ชายหนุ่มอึกอัก
“นะคะ พ่อแม่จูนบินลงมาธุระพอดี จูนจะแนะนำให้รู้จักนะ” สรัญญาบอก
“ผมคงไม่สะดวกไปวันนี้นะจูน” พีรพงษ์บอก
“อะไรนะคะ?” น้ำเสียงขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ
“ผมว่าจะนัดคุยกับจูนเรื่องยังไม่พร้อมที่จะย้ายไปอยู่ด้วย” เขาพูด
“ไม่พร้อม...”
“ไนท์พูดเล่นใช่ไหม จูนบอกพ่อกับแม่แล้วนะว่าเราคบกัน แล้วก็จะย้ายมาอยู่ที่คอนโดด้วยกันด้วย”
“ผมยังมีเรื่องที่...” ชายหนุ่มพยายามพูด
“ไนท์ไม่รักจูนใช่ไหม?” คำถามที่ไม่เคยหลุดออกจากปากหญิงสาว ที่สุดมันก็ถูกเอ่ยออกมา
“ไนท์ไม่รักจูนใช่ไหม? ไม่เคยรักใช่ไหม?” หญิงสาวถามรัว ชายหนุ่มรู้ว่าเธอถามทั้งน้ำตา
“จูน...ผม...” ชายหนุ่มพูดไม่ออก เสียงร้องไห้ของคนอีกปลายข้างสนทนาดังให้ได้ยิน
“ไนท์ไม่รักจูนเหรอ?” หญิงสาวเพ้อเสียงสั่น
“จูนรักไนท์นะ รักๆๆๆๆๆๆๆๆ” ทั้งพูดและฟูมฟาย ก่อนจะหวีดร้องยาวๆ จนชายหนุ่มตกใจ เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินคือเสียงกระแทกของอะไรบางอย่างแล้วสายก็ตัดไป
....................
เกือบสัปดาห์สรัญญาไม่เคยโทรมาหาเขาอีกเลย ตัวเขาเองก็พยายามโทรหาแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ เขาไปหาหญิงสาวที่คอนโดยามก็แจ้งว่าเธอออกไปจากคอนโดวันนั้นก็ไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย ที่ออฟฟิศของจูนก็ติดต่อเธอไม่ได้เหมือนกัน แถมการที่เธอหายไปยังทำให้ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการเคลียร์ร้านสาขาที่พัทยาซึ่งกำลังจะเปิดอยู่มะลอมมะล่อเสียด้วย
แต่แล้วพีรพงษ์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อกลายเป็นพ่อแม่ของจูนที่ติดต่อมาถึงเขา พร้อมกับขอนัดเจอเขาในเย็นวันต่อมา
“จูนกลับไปพักที่บ้านแล้ว แต่อาว่าแกยังไม่พร้อมเจอใครหรอกนะ” พ่อของจูนบอก หลังตัดสินใจชวนผู้เป็นภรรยาบินลงมาคุยเรื่องนี้กับเขา
“ผมอยากไปเยี่ยม” พีรพงษ์อยากพูดตามตรง
“พ่อหนุ่มไม่ต้องไปเยี่ยมหรอก อาขอร้อง” คำขอของอีกฝ่ายทำเอาเขาประหลาดใจ มองสลับไปมาระหว่างชายหญิงทั้งคู่
“ทำไมล่ะครับ?” เขาถามเพราะแปลกใจที่อีกฝ่ายขอร้องเช่นนั้น ในกรณีแบบนี้ควรเป็นเขาที่ต้องไปให้หญิงสาวเจอหน้า เผื่อว่าการได้พูดคุยกันจะช่วยเธอให้ดีขึ้น
“คือว่าจริงๆ จูนมีแฟนอยู่แล้ว แต่เลิกกันมาพักใหญ่ ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นก็กำลังมาดูแลจูนอยู่” อาผู้ชายเล่าเสียงเรียบแฝงความเกรงใจ ชายหนุ่มเองก็รู้สึกตกใจกับเรื่องที่หญิงสาวปิดบังเขาไว้
“เค้าแต่งงานกันมาหลายปีแล้วล่ะ แต่แยกกันอยู่สามปีแล้วเพราะผิดใจกันบางเรื่อง” คนเป็นแม่ช่วยเสริม
“ครับ...” คำบอกเล่าทำชายหนุ่มเงียบและเครียด
“จูนเค้าเป็นเด็กขาดความอบอุ่น เค้าเลยเรียกร้องคนเอาใจใส่และเอาแต่ใจตัวเอง” คนเป็นแม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้า เธอไม่ใช่แม่จริงๆ ของหญิงสาว สรัญญาเป็นลูกติดของผู้ชายที่มาแต่งงานใหม่กับเธอ และจูนก็ไม่เคยยอมรับคนเป็นแม่ใหม่
จากคำบอกเล่าในเรื่องราวของสรัญญาที่ผ่านจากปากผู้เป็นพ่อและแม่เลี้ยง ชายหนุ่มได้รู้ว่าหญิงสาวเป็นคนขาดความรักและแสวงหาความรัก เมื่อไม่ได้ดั่งใจเธอจะหวีดร้องและทรมานตัวเอง เธอเคยถูกพาไปหาหมอมาก่อนและได้ข้อสรุปว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะเบื้องต้นของอาการฮีสทีเรีย
ชายหนุ่มขออนุญาตเล่าเรื่องของเขากับหญิงสาวให้ผู้สูงวัยทั้งสองฟัง เขาเล่าถึงตอนที่เจอกันว่าคงเป็นเพราะความมีน้ำใจที่หญิงสาวรู้สึกในวันนั้น ที่ทำให้หญิงสาวคิดว่าเธอต้องการคนคนนี้ และเมื่ออยู่ใกล้กันก็มีแต่ความรู้สึกและวันเวลาที่ดีๆ ทำให้เธอเกิดอาการหวงแหนเวลาที่เขาได้อยู่ด้วย ดังนั้นจึงรู้สึกอยากให้เขาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาและตลอดไป ดังนั้นเมื่อเขาปฏิเสธที่จะย้ายมาอยู่กับเธอ ความเสียใจและผิดหวังเลยแสดงอาการออกมาเช่นนั้น
เขาเชื่อว่าสรัญญาคบกับเขาเพราะต้องการใครสักคนไว้คอยอยู่ใกล้ๆ ส่วนสาเหตุที่เธอแยกกันอยู่กับแฟนเพราะอะไรนั้นเขายังไม่รู้ แต่ชายหนุ่มก็ตกปากรับคำกับพ่อแม่ของจูนว่าจะหายตัวไปจากชีวิตหญิงสาวแบบเงียบๆ
....................
พีรพงษ์กลับมาใช้ชีวิตเหมือนก่อนเจอจูน ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะหลังเลิกงาน ไปถนนข้าวสารในตอนค่ำก่อนกลับห้องพัก สภาพจิตใจย่ำแย่นิดหน่อย แต่ก็ยังคงรายงานผลการบำบัดโรคซึมเศร้ากับคุณหมอสุรพิชัยอยู่เนืองๆ จะมีที่ชวนให้รู้สึกดีก็ตรงที่คุณหมอบอกว่าสภาพตอนนี้ดูดีขึ้น
เขาแวะไปเยี่ยมฝ้ายที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วที่บ้าน นุ่นก็อยู่ที่นั่น ทั้งสองคนไปจดทะเบียนสมรสกันแล้วเมื่อสองสามวันก่อน ตอนนี้ก็รอแค่ขอวีซ่าเข้าอเมริกาสำหรับฝ้ายให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นนุ่นก็จะบินกลับก่อนและให้เด็กสาวบินตามไป
“ผมตั้งใจจะดูแลฝ้ายให้ดีที่สุด” นุ่นบอก
“ไม่ใช่แค่ในส่วนของผม แต่ในส่วนของเอ็มมันด้วย” เขาว่าต่อ ส่วนพีรพงษ์ได้แต่นั่งฟัง
“แล้วพี่ล่ะ? จะทำยังไงเรื่องพี่เกม?” รุ่นน้องถาม
“ไม่รู้ว่ะ พี่ยังหาทางออกไม่ได้เลย”
“ผมว่าพี่น่าจะไปหาพี่เกมสักครั้งนะ จะได้รู้ว่าที่จริงแล้วพี่รู้สึกอย่างไร?” นุ่นเสนอแนะ
มันเป็นข้อเสนอที่พีรพงษ์ไม่เคยแม้แต่จะคิด การไปเจอเกมมันจะช่วยอะไรได้นอกจากทำให้เจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายคำพูดของเด็กหนุ่มที่ว่าในเมื่อเขาอยู่แบบแบกความทรงจำไว้เพียงลำพังมันไม่ได้ช่วยให้มีคำตอบสักที ทำไมไม่เผชิญหน้ากับมันดูซะเลย
“เฮ้ย... นุ่นมาไงวะ?” พีรพงษ์ประหลาดใจ
“พี่ไนท์หวัดดี” อีกฝ่ายยกมือไหว้
“บินมาถึงเมื่อตอนเย็น แล้วก็นั่งรถต่อมาคืนครับพี่ ตอนที่พี่กลับไปแล้ว”
“ทำไมไม่โทรหาวะ?” เขาถาม
“ขอโทษทีพี่ไนท์ เห็นฝ้ายแล้วผมก็ลืมไป” อีกฝ่ายตอบพลางมองคนที่หลับอยู่ด้วยสายตาเศร้าๆ
“แล้วนี่ไอ้ฝ้ายเป็นไงบ้าง?”
“หมอมาดูเมื่อครู่ ให้ย้ายเข้ากรุงเทพฯได้ตอนบ่ายนี้ครับ แม่ฝ้ายเลยไปติดต่อรถพยาบาลอยู่” นุ่นตอบ
พีรพงษ์นั่งคุยกันกับรุ่นน้องหนุ่มเพื่อรอจนแม่คนป่วยมา นุ่นรู้ข่าวนี้เพราะติดต่อกับเพื่อนในกลุ่มคนหนึ่งอยู่ตลอด พอรู้ข่าวเขาก็จองตั๋วเครื่องบินมาจากอเมริกาทันที ด้วยเหตุผลเดียวคือเขายังคงรักและเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้เกินกว่าจะหลบทำใจอยู่เงียบๆ คนเดียว
คำบอกเล่าของรุ่นน้องหนุ่มทำเอาก้อนบางอย่างพุ่งขึ้นมาติดคอ มันคำความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ของเขาเอง ความรู้สึกที่ยังคงมีต่อเกมที่พยายามเท่าไหร่มันก็คล้ายไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
“ผมจะพาฝ้ายไปอเมริกาด้วยครับพี่” อีกฝ่าย
“มันอาจจะยุ่งยากนิดหน่อยแต่ไม่น่ามีปัญหาอะไร” เด็กหนุ่มขยายความ
“บอกแม่ฝ้ายยัง?”
“บอกแล้วครับพี่ แม่ก็ไม่ว่าอะไร แต่คงต้องแต่งงานกันก่อน”
“แต่งงาน???” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง เรื่องราวปุบปับจนตั้งรับไม่ทัน
“ใช่พี่ น่าจะทำแบบง่ายๆ จดทะเบียนแล้วก็บินไปนู่น”
“อืม” พีรพงษ์พูดไม่ออกและคิดอะไรไม่ทัน
“ถ้ามันดีก็ทำตามนั้นเถอะ” เขาบอก
“แล้วพี่ล่ะ?” ฝ่ายนั้นเงียบครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม
“อะไร?”
“พี่กอล์ฟบอกผมว่าพี่เป็นโรคซึมเศร้าเพราะยังคิดถึงพี่เกมอยู่”
“มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรหรอกนะพี่ แต่ชีวิตพี่มันน่าจะดีกว่านี้ถ้าพี่ผ่านมันไปเสียที” เด็กหนุ่มแนะนำอย่างมีน้ำหนักต้องฟัง เพราะเขาเดินทางไปเรียนแพทย์ต่อที่นู่น
“พี่ก็พยายามอยู่” เขาบอก
“ผมว่าพี่มีอะไรค้างคาที่จะพูดกับพี่เกมหรือเปล่า?” นุ่นยิงคำถามเพราะคิดว่ารู้จักพี่ชายของเขาดี
“พี่ยังรักพี่เกมอยู่ใช่ไหม?” คนเป็นน้องถาม
“มีอะไรค้างในใจก็เคลียร์ๆ มันซะนะพี่” ฝ่ายนั้นพูดเมื่อเห็นเขาปิดปากเงียบ
พอดีกับแม่ของฝ้ายกลับเข้ามาที่ห้อง พีรพงษ์จึงถือโอกาสกล่าวลาเพื่อกลับเข้ากรุงเทพฯ ก่อน
....................
ชายหนุ่มคิดมาระหว่างนั่งรถกลับเข้ากรุงเทพฯ แน่นอนว่าหญิงสาวอย่างสรัญญาทำให้ชีวิตของเขาเดินหน้าไปอีกก้าว แต่ก้าวมันอาจจะยาวและเร่งเกินกว่าที่ชายหนุ่มคาดหวังไว้
“พี่ยังรักพี่เกมอยู่ใช่ไหม?”
คำถามของรุ่นน้องหนุ่มผุดย้อนขึ้นมา มันมีเพียงคำตอบเดียวที่เขารู้ แต่ก็เป็นคำตอบเดียวกันที่เขาไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น
“ใช่พี่ยังรักเกมเท่านั้น”
มันจริงอยู่ที่เขายังรักเกมไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป แต่ชีวิตที่ยังต้องใช้ การห่างหายไปของเกมโดยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง มันค่อยๆ เกาะกินความรู้สึกนึกคิดของเขาต่อการแก้ไขปัญหาที่ค้างคาอยู่ให้จบแบบรู้แล้วรู้รอดเสียที
พีรพงษ์คิดและโกรธตัวเอง มันไม่แฟร์เลยที่หย่อนให้กับชีวิตจนอยู่ในสภาพนี้ ทั้งที่ผู้คนมากมายต่างมีชีวิตต่อไป มีความฝันและหนทางที่จะเดินไปต่อจากเมื่อวาน แต่มีแต่เขาคนเดียวที่ยังอยู่กับที่
เขาเคยคิดว่าช่วงเวลาตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่ดีที่จะทิ้งคืนวันเก่าๆ ตัดเกมให้ขาดจากใจเสียที ถ้าเป็นจูน—เขาอาจจะยอมรับได้ที่เธอจะเข้ามาเป็นคนที่อยู่ข้างกันในคืนวันหลังจากนี้ แต่ที่ไหนได้ เขากำลังทำร้ายผู้หญิงอีกคนที่เดินเข้ามา รักเขา และยินดีที่จะอยู่กับเขาอย่างเปิดเผย ไม่ปิดบังความรู้สึกเลย
ทำไมคนที่กำหนดชีวิตเขาเป็นแบบนี้ไม่รอให้เขาลืมเกมได้จนหมดเสียก่อนถึงได้พาเธอคนนี้เข้ามา ทำไม?
เขากดโทรศัพท์ไปหาจูนเพื่อบอกว่ากำลังเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ และตั้งใจจะบอกว่าเขาคิดว่ายังไมพร้อมที่จะย้ายไปใช้ชีวิตร่วมกับเธอ
“ไนท์กลับมาเร็วก็ดีค่ะ เดี๋ยวเย็นนี้ไปทานข้าวกับพ่อแม่จูนนะ เดี๋ยวจูนไปรับที่ท่ารถตู้นะ” หญิงสาวอ้อนเสียงหวานแบบคนมีความสุข
“เอ่อ... ผม” ชายหนุ่มอึกอัก
“นะคะ พ่อแม่จูนบินลงมาธุระพอดี จูนจะแนะนำให้รู้จักนะ” สรัญญาบอก
“ผมคงไม่สะดวกไปวันนี้นะจูน” พีรพงษ์บอก
“อะไรนะคะ?” น้ำเสียงขึ้นสูงด้วยความแปลกใจ
“ผมว่าจะนัดคุยกับจูนเรื่องยังไม่พร้อมที่จะย้ายไปอยู่ด้วย” เขาพูด
“ไม่พร้อม...”
“ไนท์พูดเล่นใช่ไหม จูนบอกพ่อกับแม่แล้วนะว่าเราคบกัน แล้วก็จะย้ายมาอยู่ที่คอนโดด้วยกันด้วย”
“ผมยังมีเรื่องที่...” ชายหนุ่มพยายามพูด
“ไนท์ไม่รักจูนใช่ไหม?” คำถามที่ไม่เคยหลุดออกจากปากหญิงสาว ที่สุดมันก็ถูกเอ่ยออกมา
“ไนท์ไม่รักจูนใช่ไหม? ไม่เคยรักใช่ไหม?” หญิงสาวถามรัว ชายหนุ่มรู้ว่าเธอถามทั้งน้ำตา
“จูน...ผม...” ชายหนุ่มพูดไม่ออก เสียงร้องไห้ของคนอีกปลายข้างสนทนาดังให้ได้ยิน
“ไนท์ไม่รักจูนเหรอ?” หญิงสาวเพ้อเสียงสั่น
“จูนรักไนท์นะ รักๆๆๆๆๆๆๆๆ” ทั้งพูดและฟูมฟาย ก่อนจะหวีดร้องยาวๆ จนชายหนุ่มตกใจ เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินคือเสียงกระแทกของอะไรบางอย่างแล้วสายก็ตัดไป
....................
เกือบสัปดาห์สรัญญาไม่เคยโทรมาหาเขาอีกเลย ตัวเขาเองก็พยายามโทรหาแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ เขาไปหาหญิงสาวที่คอนโดยามก็แจ้งว่าเธอออกไปจากคอนโดวันนั้นก็ไม่ได้กลับเข้ามาอีกเลย ที่ออฟฟิศของจูนก็ติดต่อเธอไม่ได้เหมือนกัน แถมการที่เธอหายไปยังทำให้ทุกคนกำลังวุ่นวายกับการเคลียร์ร้านสาขาที่พัทยาซึ่งกำลังจะเปิดอยู่มะลอมมะล่อเสียด้วย
แต่แล้วพีรพงษ์ก็ต้องประหลาดใจเมื่อกลายเป็นพ่อแม่ของจูนที่ติดต่อมาถึงเขา พร้อมกับขอนัดเจอเขาในเย็นวันต่อมา
“จูนกลับไปพักที่บ้านแล้ว แต่อาว่าแกยังไม่พร้อมเจอใครหรอกนะ” พ่อของจูนบอก หลังตัดสินใจชวนผู้เป็นภรรยาบินลงมาคุยเรื่องนี้กับเขา
“ผมอยากไปเยี่ยม” พีรพงษ์อยากพูดตามตรง
“พ่อหนุ่มไม่ต้องไปเยี่ยมหรอก อาขอร้อง” คำขอของอีกฝ่ายทำเอาเขาประหลาดใจ มองสลับไปมาระหว่างชายหญิงทั้งคู่
“ทำไมล่ะครับ?” เขาถามเพราะแปลกใจที่อีกฝ่ายขอร้องเช่นนั้น ในกรณีแบบนี้ควรเป็นเขาที่ต้องไปให้หญิงสาวเจอหน้า เผื่อว่าการได้พูดคุยกันจะช่วยเธอให้ดีขึ้น
“คือว่าจริงๆ จูนมีแฟนอยู่แล้ว แต่เลิกกันมาพักใหญ่ ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นก็กำลังมาดูแลจูนอยู่” อาผู้ชายเล่าเสียงเรียบแฝงความเกรงใจ ชายหนุ่มเองก็รู้สึกตกใจกับเรื่องที่หญิงสาวปิดบังเขาไว้
“เค้าแต่งงานกันมาหลายปีแล้วล่ะ แต่แยกกันอยู่สามปีแล้วเพราะผิดใจกันบางเรื่อง” คนเป็นแม่ช่วยเสริม
“ครับ...” คำบอกเล่าทำชายหนุ่มเงียบและเครียด
“จูนเค้าเป็นเด็กขาดความอบอุ่น เค้าเลยเรียกร้องคนเอาใจใส่และเอาแต่ใจตัวเอง” คนเป็นแม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้า เธอไม่ใช่แม่จริงๆ ของหญิงสาว สรัญญาเป็นลูกติดของผู้ชายที่มาแต่งงานใหม่กับเธอ และจูนก็ไม่เคยยอมรับคนเป็นแม่ใหม่
จากคำบอกเล่าในเรื่องราวของสรัญญาที่ผ่านจากปากผู้เป็นพ่อและแม่เลี้ยง ชายหนุ่มได้รู้ว่าหญิงสาวเป็นคนขาดความรักและแสวงหาความรัก เมื่อไม่ได้ดั่งใจเธอจะหวีดร้องและทรมานตัวเอง เธอเคยถูกพาไปหาหมอมาก่อนและได้ข้อสรุปว่าอาการที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะเบื้องต้นของอาการฮีสทีเรีย
ชายหนุ่มขออนุญาตเล่าเรื่องของเขากับหญิงสาวให้ผู้สูงวัยทั้งสองฟัง เขาเล่าถึงตอนที่เจอกันว่าคงเป็นเพราะความมีน้ำใจที่หญิงสาวรู้สึกในวันนั้น ที่ทำให้หญิงสาวคิดว่าเธอต้องการคนคนนี้ และเมื่ออยู่ใกล้กันก็มีแต่ความรู้สึกและวันเวลาที่ดีๆ ทำให้เธอเกิดอาการหวงแหนเวลาที่เขาได้อยู่ด้วย ดังนั้นจึงรู้สึกอยากให้เขาอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาและตลอดไป ดังนั้นเมื่อเขาปฏิเสธที่จะย้ายมาอยู่กับเธอ ความเสียใจและผิดหวังเลยแสดงอาการออกมาเช่นนั้น
เขาเชื่อว่าสรัญญาคบกับเขาเพราะต้องการใครสักคนไว้คอยอยู่ใกล้ๆ ส่วนสาเหตุที่เธอแยกกันอยู่กับแฟนเพราะอะไรนั้นเขายังไม่รู้ แต่ชายหนุ่มก็ตกปากรับคำกับพ่อแม่ของจูนว่าจะหายตัวไปจากชีวิตหญิงสาวแบบเงียบๆ
....................
พีรพงษ์กลับมาใช้ชีวิตเหมือนก่อนเจอจูน ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะหลังเลิกงาน ไปถนนข้าวสารในตอนค่ำก่อนกลับห้องพัก สภาพจิตใจย่ำแย่นิดหน่อย แต่ก็ยังคงรายงานผลการบำบัดโรคซึมเศร้ากับคุณหมอสุรพิชัยอยู่เนืองๆ จะมีที่ชวนให้รู้สึกดีก็ตรงที่คุณหมอบอกว่าสภาพตอนนี้ดูดีขึ้น
เขาแวะไปเยี่ยมฝ้ายที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วที่บ้าน นุ่นก็อยู่ที่นั่น ทั้งสองคนไปจดทะเบียนสมรสกันแล้วเมื่อสองสามวันก่อน ตอนนี้ก็รอแค่ขอวีซ่าเข้าอเมริกาสำหรับฝ้ายให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นนุ่นก็จะบินกลับก่อนและให้เด็กสาวบินตามไป
“ผมตั้งใจจะดูแลฝ้ายให้ดีที่สุด” นุ่นบอก
“ไม่ใช่แค่ในส่วนของผม แต่ในส่วนของเอ็มมันด้วย” เขาว่าต่อ ส่วนพีรพงษ์ได้แต่นั่งฟัง
“แล้วพี่ล่ะ? จะทำยังไงเรื่องพี่เกม?” รุ่นน้องถาม
“ไม่รู้ว่ะ พี่ยังหาทางออกไม่ได้เลย”
“ผมว่าพี่น่าจะไปหาพี่เกมสักครั้งนะ จะได้รู้ว่าที่จริงแล้วพี่รู้สึกอย่างไร?” นุ่นเสนอแนะ
มันเป็นข้อเสนอที่พีรพงษ์ไม่เคยแม้แต่จะคิด การไปเจอเกมมันจะช่วยอะไรได้นอกจากทำให้เจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายคำพูดของเด็กหนุ่มที่ว่าในเมื่อเขาอยู่แบบแบกความทรงจำไว้เพียงลำพังมันไม่ได้ช่วยให้มีคำตอบสักที ทำไมไม่เผชิญหน้ากับมันดูซะเลย

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ส.ค. 2556, 20:39:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ส.ค. 2556, 20:39:35 น.
จำนวนการเข้าชม : 967
<< ทำถูก? กับทำผิด? | คำสารภาพกับคำอวยพร >> |