สะพานแห่งคำสัญญา
พายุกับน้ำฝน เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีความแตกต่างกันมากที่สุด ต้องมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อการเรียนและชีวิตวันหยุดของทั้งสองต้องมาข้องเกี่ยวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเฉยชากลายเป็นความสัมพันธ์ กลายเป็นความรัก ความรักที่ยากจะดึงทั้งสองออกจากกัน
Tags: คำสัญญา หนุ่มเกเร สาวเรียบร้อย

ตอน: สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 6

“เฮ้ย ไหนบอกว่าไม่มาไง”บุ๊คถามผมเมื่อผมมาต่อท้ายตอนเข้าแถวเคารพธงชาติ ผมยักไหล่พอดีกับที่เพลงชาติเริ่มบรรเลง
“ต้องมาสัมภาษณ์อาจารย์ฉกรรจ์”
“ที่ส่งเป็นสารคดีน่ะเหรอ”
ผมพยักหน้า “น้ำฝนโทรไปตาม เซ็งชิบเลย”
“ดีนะไอ้พวกนั้นไม่อยู่กัน ไม่งั้นนายโดนแน่”บุ๊คบอกยิ้มๆ
ผมหัวเราะ ชักชินเสียแล้ว แต่ก็ดีใจอยู่อย่างคือบุ๊คเองก็ไม่ใช่หนึ่งในพวกจอมแกล้งของห้อง เลยทำให้ผมสบายใจขึ้นมากทีเดียว

วันนี้ห้องเรียนของเราเงียบเหงาเพราะมีนักเรียนไม่ถึงครึ่งห้อง เรานั่งเรียนกันเงียบๆรอเวลาพักมาถึง อาจารย์เองก็สอนแบบสบายๆเพราะพวกตัวแสบของห้องเราขาดเรียนกันหลายคน ผู้ชายมาเพียงสี่คนเท่านั้น หนึ่งในสี่คนคือผมด้วย
“ยุ…นายจะไปสัมภาษณ์อาจารย์กี่โมง”บุ๊คถามผม มือคว้ากระเป๋ามาถือ “จะไปกินข้าวก่อนหรือเปล่า”
ผมมองคนอื่นที่กำลังลงบันไดไปโรงอาหาร ปกติพวกเราจะกินข้าวกลางวันตอนเวลาพักช่วงสาย แต่วันนี้เราเลือกจะกินตามเวลาปกติแทน ด้วยเหตุใดไม่มีใครอธิบายได้ แต่ทุกคนตกลงใจว่ายังไม่กินตอนพัก ผมหยิบกระเป๋ากล้องมาสะพาย“คงหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จแหละ ถึงจะไป”
หลังจากมื้อกลางวัน ผมไปเจอกับน้ำฝนที่ห้องพักครูตามที่ได้นัดกันไว้เมื่อวานนี้ทางอีเมล์ พอเราสองคนขึ้นไปอาจารย์ฉกรรจ์นั่งรออยู่ในห้องพักครูก่อนแล้ว อาจารย์หลายท่านดูแปลกใจที่ผมเห็นมาทำงานกับน้ำฝน บางท่านถึงกับถามว่าน้ำฝนคิดยังไงถึงเอาผมมาทำงานด้วย เธอตอบว่าผมสนใจเรื่องนี้ ส่วนผมสงบปากสงบคำเอาไว้และยิ้มสู้อย่างเดียว ไม่อยากตอบและไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น
การสัมภาษณ์ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง ถือว่าเสร็จเร็วกว่าที่คิดไว้ เหตุหนึ่งเพราะน้ำฝนเตรียมตัวและเตรียมคำถามมาดี ในขณะที่เธอสัมภาษณ์ ผมที่ถ่ายรูปก็ทำหน้าที่อย่างไม่บกพร่อง เราสองคนพยายามทำให้เสร็จและออกมาดีที่สุดในเวลาอันสั้น เพื่อจะได้กลับไปเรียนคาบต่อไปทันเวลา
“วันเสาร์นี้ไปบ้านครูซิ มีอะไรอีกหลายอย่างที่จะเป็นข้อมูลให้สารคดีของเธอ ช่วงนี้นาครูกำลังเขียวด้วย ถ่ายรูปออกมาคงสวยดี”อาจารย์ยิ้ม นานๆทีจะมีใครสนใจเรื่องนี้สักคน ผมมองว่าการชวนของอาจารย์มันเหมือนการชวนนักเรียนไปเรียนรู้วิชาเกษตร คล้ายกับการเรียนพิเศษ แต่วิชานี้ไม่มีสอนในโรงเรียนกวดวิชา
“หนูกับยุกำลังจะขออนุญาตอาจารย์อยู่พอดี”น้ำฝนยิ้ม มองผมที่กำลังเก็บกล้องถ่ายรูปแวบหนึ่ง “จะให้ไปอาทิตย์นี้เลยใช่ไหมคะ”
“อาทิตย์นี้เลยซิ พาเพื่อนไปหลายๆคนก็ได้ ไปนอนบ้านอาจารย์สักคืน ที่นอนเยอะแยะ”
น้ำฝนหัวเราะแก้อาการประหม่า“เกรงใจแย่ค่ะอาจารย์”เธอพูดอย่างสุภาพ หันมามองผม ผมยืนนิ่งไม่อยากพูดอะไร
“ที่จริงฝนกะจะไปกลับน่ะค่ะอาจารย์”
“ไม่พอหรอก มีอะไรเยอะแยะที่พวกเธอต้องไปเห็นเอง”อาจารย์ยังไม่ยอมแพ้ในการชวนพวกเราไปค้างที่บ้าน แต่พอเราไม่ตอบอาจารย์ก็เลยบอกว่า
“ไปคุยกันดูก่อนก็ได้ อาจารย์ไม่บังคับหรอก”
เป็นอันตกลงตามนั้น เราสองคนกลับไปปรึกษากัน ผมเองก็ไม่ได้อยากไปค้างบ้านอาจารย์เท่าไหร่ แต่หากจำเป็นผมก็ต้องทำเพื่องานชิ้นนี้ ฝ่ายน้ำฝนไม่ได้พูดอะไรตอนที่เดินกลับตึกเรียน ตอนที่เราเดินไปนั้นทุกห้องเริ่มเรียนคาบบ่ายกันแล้ว


ผมไปส่งบุ๊คกลับหอหลังเลิกเรียน แวะนั่งเล่นเกมพักหนึ่งก็ตรงกลับบ้าน ตอนแรกผมตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ แต่พอมาถึงหน้าโรงเรียน อะไรบางอย่างดลใจให้ผมเลี้ยวรถเข้าไป อาจเพราะอยากแวะมาดูว่าพวกนั้นมาเล่นบอลกันไหมหรืออาจเพราะผมเองยังไม่อยากกลับบ้านแม้ตอนที่มาถึงหน้าโรงเรียนก็เวลามันก็ปาเข้าไป5โมงเย็นแล้ว ซึ่งเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่โรงเรียนนั้นเริ่มเงียบเพราะนักเรียนและอาจารย์ทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว ผมเลี้ยวรถเข้าไปในใจหวังว่าจะได้เห็นเพื่อนๆเล่นบอลอยู่สนามหลัง แต่พอเลี้ยวเข้าไปสิ่งที่ผมเห็นคือสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นและไม่เคยอยากเห็นเลยสักครั้ง
ตรงสระน้ำหน้าตึกเรียนชั้นมัธยมต้น มีพวกผู้หญิงสี่ห้าคนยืนล้อมใครบางคนอยู่ ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักจนผมขับเฉียดเข้าไปใกล้เพื่อจะไปสนามที่อยู่ด้านหลังโรงเรียน ตรงหน้าสระที่มีสถานการณ์วุ่นวายของสาวๆ ผมไม่รู้ว่าพวกที่ล้อมเป็นวงอยู่นั้นเป็นนักเรียนชั้นไหนแต่ที่แน่นอนคือทั้งหมดไม่ใช่รุ่นเดียวกับผม อาจเป็นรุ่นน้อง แต่พอชะลอรถผมถึงได้เห็นหน้าคนที่อยู่ตรงกลางว่าเป็นน้ำฝน วินาทีนั้นผมจอดรถ ไม่รู้ว่าผมมีพลังวิเศษหรือมีเวทมนต์อะไร แต่ผมรู้ตัวอีกทีผมก็ดึงน้ำฝนออกมาจากตรงนั้นแล้ว นาทีนั้นผมไม่ทันได้สนใจร่างบางๆของเธอที่หลบอยู่ข้างหลัง แต่พอหันไปจะถามก็เห็นเธอเปียกไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
“งานของเรายังวางอยู่ตรงนั้น”เธอชี้
ผมเดินไปหยิบกระเป๋าของน้ำฝนและงานสารคดีของเราที่น้ำฝนเอาใส่ถุงผ้าไว้ ไม่มีใครคนไหนกล้าขวางผมหรือพูดต่อว่าอะไรเลยในตอนนั้น อาจเป็นเพราะหน้าที่ถมึงทึงเหมือนยักษ์ที่ชอบแสดงออกมาเวลาโกรธ แต่พอผมเดินกลับมาหาน้ำฝนพวกนั้นก็เริ่มออกอาการไม่พอใจผม
“ไปเถอะ ฉันไปส่งเธอที่บ้าน”ผมจูงมือน้ำฝนออกมาจากตรงนั้น ไม่สนว่าใครจะด่าไล่หลังมาว่าอย่างไร ผมวางกระเป๋าของน้ำฝนและแฟ้มงานลงในตะกร้า สตาร์ทรถ ผมหันมองเธอและเธอเหมือนจะรู้ดีว่านั่นคือการบอกให้เธอซ้อนท้ายโดยที่ผมไม่ต้องพูด

ตลอดทางเราสองคนไม่พูดอะไรกันเลยและผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ถามอะไร แค่นี้น้ำฝนก็แย่พออยู่แล้ว จากกระจกมองหลังผมเห็นเธอร้องไห้ แม้จะไม่ใช่การร้องไห้ฟูมฟายแต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเธอเสียใจแค่ไหนและผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย น้ำฝนที่ผมรู้จักไม่ใช่คนอ่อนแอแม้ภายนอกจะดูอ่อนแอก็ตาม น้ำตาของน้ำฝน คนที่ไม่เคยทำอะไรให้ใครยิ่งทำให้ผมโกรธคนพวกนั้นมากขึ้นๆ หรือมันมีบางอย่างเกิดขึ้นกับผมและเธอที่นั่งซ้อนท้ายแถมตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ข้างหลังผม
“เดี๋ยวถึงแล้วนะ พ่อกับแม่อยู่ใช่ไหม”ผมถาม พยายามทำเสียงปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เธอไม่ตอบอะไรเลยจนผมหันไปมองตอนติดไฟแดงตรงสี่แยก เธอถึงพยักหน้าให้แทนคำตอบ “ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
แทนที่น้ำฝนจะหยุดร้องไห้ เธอกลับร้องหนักขึ้นกว่าเดิมจนผมกลัวว่าคนอื่นที่ขับรถสวนไปมาจะเข้าใจเราผิดจากความจริง จากถนนที่รถคับคั่งพอประมาณ ผมเลี้ยวรถเข้าซอยบ้านเธอด้วยความรู้สึกที่โล่งใจเหลือเกิน ในที่สุดผมก็พาเธอมาส่งถึงบ้านเสียที ต่อจากนี้คนที่จะรับรู้คือครอบครัวของน้ำฝน ผมที่เป็นคนมาส่งไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น แค่เห็นน้ำตาของเธอ ผมก็รู้สึกแย่พออยู่แล้ว
น้ำฝนปาดน้ำตา ตาของเธอแดงก่ำเพราะร้องไห้มาตลอดทาง “ขอบคุณนะยุ”เสียงของเธอสั่นเครือและผสมกับอาการสะอึกสะอื้นที่ทำให้ผมรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
“ฉันพาเธอเข้าบ้านเอง มาเถอะ” ผมหยิบกระเป๋าและถุงผ้าที่ตะกร้ารถแล้วเปิดประตูรั้วก่อนจะเดินนำเข้าไป บ้านของน้ำฝนเป็นบ้านสองชั้นหลังใหญ่สมฐานะครอบครัวที่มีธุรกิจร้านหนังสือทั้งในและต่างประเทศเกือบสิบสาขา พอผมปิดประตูรั้ว เจ้าชินหมาน้อยพันธุ์บีเกิ้ลของน้ำฝนก็ออกมาต้อนรับเคลียแข้งเคลียขาเราจนถึงหน้าประตูบ้าน
“เข้าไปเถอะ ฉันกลับละ ไม่เป็นไรนะ”ผมบอก ส่งประเป๋าให้เธอ น้ำฝนรับกระเป๋ามาโดยไม่พูดอะไรสักคำ ยังดีอยู่บ้างที่เธอเลิกร้องไห้แล้ว จะมีก็แต่คราบน้ำตาที่ไม่รู้จะลบออกอย่างไรในตอนนี้
“ขอบคุณนะยุ”เสียงของน้ำฝนสั่น ผมพยักหน้า
“อืม เข้าบ้านเถอะ” ผมเดินออกมาเงียบๆ แต่ในใจเดือดปุดๆเหมือนน้ำร้อนในกาที่ถึงต้มทิ้งไว้จนเดือดจะทะลักออกมา ผมต้องสะกดและเตือนตัวเองให้เย็นไว้ อย่างไรเสียนั่นคือพวกผู้หญิงที่เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและเพราะอะไร เรื่องควรจบแค่นี้ และผมพาน้ำฝนมาส่งที่บ้านอย่างปลอดภัยแค่นั้นก็พอแล้ว อย่างอื่นผมคงไม่มีสิทธิ์ยุ่ง

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมถึงได้รู้ว่าผู้หญิงที่มีปัญหากับน้ำฝนวันนั้นเป็นนักเรียนรุ่นน้อง ม.5 เรื่องนี้เริ่มแพร่สะพัดไปถึงหูนักเรียนในโรงเรียนโดยเฉพาะนักเรียนชั้น ม.ปลาย มีการพูดคุยกันไปต่างๆนานาซึ่งตัวผมเองก็ตอบอะไรไม่ได้เวลามีคนถามแม้ผมจะเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็เถอะ

“ฉันไม่รู้ว่ะ” ผมตอบบุ๊คตอนที่บุ๊คโทรมาถามในคืนนั้น
“แล้วไปอยู่ที่นั่นได้ไง”
“ก็กะจะแวะไปหาเพื่อนเตะบอล ก็ไปเจอเข้า แล้วมันก็เป็นอย่างที่เขาพูดกัน แค่นั้นแหละ”
ปลายสายหัวเราะ “เออ…เรื่องมันก็พอดีจังว่ะ กลายเป็นยายน้ำฝนกับนายไปได้”
ผมเออออ ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ตอนนี้ผมคิดแต่ว่า พรุ่งนี้น้ำฝนยังจะไปบ้านอาจารย์ฉกรรจ์อยู่ไหมถ้าเจอเรื่องแบบนี้เข้าเสียก่อน งานอาจจะหยุดเอาดื้อๆถ้าน้ำฝนเกิดไม่ไปหรือไม่ทำขึ้นมาเพราะเรื่องนี้
“ฉันว่าวันจันทร์นี้นายโดนไอ้พวกนั้นถามกระจายแน่เลยว่ะ”เสียงบุ๊คฟังดูค่อนข้างมั่นใจ
“ก็คงอย่างนั้น วันพรุ่งนี้ก็คงมีคนมาถามบ้างแหละ ฉันว่านะ”ผมตอบ ทุกอย่างมันเป็นแบบนั้นจริงๆและเริ่มบ่อยขึ้นในระยะหลังๆมานี้ แต่ก็ไม่รู้จะแก้อย่างไร



สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ส.ค. 2556, 16:46:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ส.ค. 2556, 18:14:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 884





<< สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 5   สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account