สาปรักซ่อนกล
เมื่อคำสาปรัก(ร้าย)ทำพิษ เปลี่ยนมิสเตอร์ไนซ์กายเป็นผู้ชายตบจูบ เรื่องรักวุ่นชุลมุนหัวใจจึงเกิด

***

เมื่อรวิสรา ดีไซเนอร์สาวเปรี้ยวเข็ดฟันที่ตาม ‘จับ’ พี่ชายสุดที่รักของเธออยู่ขับรถชนจนปุษยาตกอยู่ในสภาพโคม่า วิญญาณหลุดจากร่าง วิญญาณสาวน้อยจึงยอมปล่อยให้ตัวต้นเหตุลอยนวลไปไม่ได้!

ปัญหาคือคำสาปแช่งส่งเดชของเธอให้รวิสราต้องใช้ชีวิตเป็น ‘นางเอกน้ำเน่า’ กลับขลังเกินเหตุ ย้อนศรจนพี่ชายแสนดีของเธอกลายเป็น ‘พระเอกตบจูบ’ ที่คิดแต่จะแก้แค้น แล้วใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่านิยายตบจูบลงเอยแบบไหน งานนี้ปุษยาจึงต้องบีบคอขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ที่เห็นเธอ (ต่อให้คนคนนั้นไม่เต็มใจ) เพื่อหยุดยั้งคำสาปก่อนผู้หญิงที่เธอเหม็นหน้าคนนั้นจะกลายเป็นพี่สะใภ้แบบถาวร!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 4

ปุรณะรู้สึกว่าความอดทนของเขาลดต่ำลงเรื่อยๆเมื่อก้มลงดูนาฬิกาข้อมือสลับกับมองออกไปนอกร้านอาหารเป็นครั้งที่ร้อย ความกระวนกระวายเริ่มพุ่งสูงขึ้นเป็นระลอกทุกนาทีที่รวิสรามาช้า...หรืออาจจะไม่มาตามนัด

เท่าที่เขาจับอารมณ์ได้หลังจากโทรไปหาเธอเมื่อตอนบ่ายว่าเมื่อวานได้ดอกไม้ไหม...เธอยังไม่พร้อมจะอภัยให้เขาเต็มที่นัก แต่อย่างน้อยเขาก็ใจชื้นที่เธอยอมรับโทรศัพท์ แม้จะด้วยน้ำเสียงไม่ปกติเท่าไร เขาออกปากขอโทษอีกรอบ บอกว่าจะเข้าไปหาหลังเลิกงาน แต่เธอบ่ายเบี่ยง อาจเพราะไม่อยากเจอเขาในที่รโหฐาน เขาจึงยื่นข้อเสนอให้เธอออกมากินอาหารค่ำกับเขาที่ร้านอาหารข้างนอกแทน และลงท้ายด้วยไพ่ใบที่ไม่อยากใช้ แต่ประเมินว่าจะทำให้เธอรู้สึกผิดและยอมตามว่า ‘แล้วเราไปเยี่ยมน้องปิ๊งกัน’

ตอนนี้เขาเริ่มคิดว่าเธออาจจะเปลี่ยนใจ อาจจะแค้นเขา อาจจะแกล้งรับนัดแล้วหลอกเขามานั่งเก้อที่นี่เพื่อให้ทรมานใจเล่นๆ

...อาจจะ อาจจะ และอาจจะ...

สาวสวยโต๊ะข้างๆ ส่งยิ้มมาให้ แต่เขาเลี่ยงไม่สบตา เท่านี้เขาก็มีปัญหามากพอแล้วโดยไม่ต้องพยายามหาเหามาใส่หัวเพิ่ม ใช่ว่าการสานสัมพันธ์กับสาวโต๊ะนั้นจะต้องใช้ความพยายามมากนัก... แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

และเพราะไม่รู้จะทำอะไรดีกว่านั้น ชายหนุ่มจึงระบายลมหายใจยาว พุ่งเป้าความสนใจของตัวเองไว้กับแก้วน้ำตรงหน้า

ท้องฟ้าภายนอกยังไม่มืดดีนัก ทางร้านจึงยังไม่ได้จุดเทียนบนโต๊ะ ไม่อย่างนั้นเขาอาจเพ่งเปลวไฟจนเข้าฌานเห็นลูกแก้ว แต่ในเมื่อไม่มีทั้งเปลวไฟ ไม่เห็นทั้งลูกแก้ว และแก้วน้ำตรงหน้าก็ไม่ได้น่าสนใจด้วยประการใดทั้งสิ้น ความพยายามรวบรวมสมาธิของเขาจึงล้มเหลวอย่างน่าอนาถ และเมื่อรู้แน่ว่ามันไม่สำเร็จ ชายหนุ่มก็ได้แต่หลับตา ถอนใจออกมาอีกครั้ง เอนหลังพิงพนักเก้าอี้และกดปลายนิ้วลงกับขมับ

ปกติเขาไม่เคย ‘จิตป่วน’ ขนาดนี้ แม้แต่ช่วงที่ชีวิตเขาพลิกคว่ำจนถึงที่สุด...เมื่อหกปีก่อน แต่ตอนนี้ทุกอย่างในโลกของเขาเหมือนกำลังหมุนกลับทิศ เขาคงโชคดีถ้าไม่เป็นโรคประสาทไปจริงๆ

...ผู้หญิง... ปุรณะยิ้มออกมาเหนื่อยๆ เมื่อคิด เขาไม่ควรประหลาดใจที่ตัวเองว้าวุ่นผิดปกติ สมการที่มีผู้หญิงเข้ามาเป็นตัวแปรสามารถสร้างความยุ่งยากซับซ้อนให้ชีวิตผู้ชายได้เสมอ

“คุณคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”

เสียงเรียกอ่อนหวานทำให้เขาต้องปรือตามอง แต่แทนที่จะเห็นพนักงานเสิร์ฟแบบที่คาดเดา คนที่เขาเห็นคือสาวโต๊ะข้างๆ นั่นแหละ เธอกระแซะสะโพกไซส์ดินระเบิดเข้ามาชิดโต๊ะของเขา ส่งยิ้มมาอีกรอบแบบที่ทำให้สัญญาณอันตรายดังปี๊บๆๆ ขึ้นมาในหัวเขา

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ”

ปุรณะส่งยิ้มอย่างสุภาพ แบบที่เตือนว่า ‘ผมไม่ต้องการอะไรเกินความสุภาพ’ ไปให้ แต่สะโพกนั้นก็ยังขยับเข้ามาใกล้ขึ้น และชายหนุ่มก็พยายามไม่ดูท่อนบนที่เหมือนจะ ‘บึ้ม’ ไม่น้อยไปกว่ากัน

...เขาพยายามบอกตัวเองว่ามันคงเป็นซิลิโคน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ...

“ไม่เป็นไรแน่นะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ”

รอยยิ้มของเขาเริ่มเลือนไป แต่อีกฝ่ายยังทำท่าไม่รู้สึกรู้สม เธอยังคงส่งยิ้มมา ทักต่อ

“คุณมาที่นี่บ่อยหรือเปล่าคะ”

คราวนี้ปุรณะทำหน้านิ่ว เขาเหลียวซ้ายแลขวา ไม่แน่ใจว่าตนตกเป็นเหยื่อรายการเล่นตลกทางโทรทัศน์อะไรอยู่หรือเปล่า แต่เพ่งเท่าไรก็ไม่เห็นกล้อง เขาหันไปมองหน้าหญิงสาวอีกครั้ง...คราวนี้ด้วยสีหน้าขุ่นมัวปนข้องใจ แต่อีกนั่นแหละ...เธอไม่รู้สึก

ชายหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจว่าเธอบ้าหรือดี ที่พยายามจีบผู้ชายที่ทำหน้าเหมือนกำลังอยากกัดคอคน แต่ตอนนี้เท่าที่คิด เขาไล่ชอยส์ได้สี่ข้อ ก. ข. ค. และ ง.

ก. เจ้าหล่อนมีรสนิยมพิศวาสแวมไพร์ (ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเขานั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง และอย่างที่เขาคิดอยู่ก่อนหน้านี้ ฟ้ายังไม่มืดดี)

ข. เจ้าหล่อนกำลังขายยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อหรือยาระงับประสาท (ขึ้นกับว่าเขาดูเหมือนคนอาหารไม่ย่อยมาสามอาทิตย์หรือคนบ้ามากกว่ากัน) และคิดว่าเขาจะเป็นลูกค้าที่ดี

ค. เจ้าหล่อนเห็นว่าเขายังหล่ออยู่ดีไม่ว่าจะทำหน้าแบบไหน (ซึ่งเขายังคลางแคลงกับความเป็นไปได้ของชอยส์นี้อยู่)

ง. เจ้าหล่อนเป็นมิจฉาชีพ และคิดจะหลอกพาเขาไปที่เปลี่ยวสองต่อสองเพื่อมอมยาปลดทรัพย์

ข้อสุดท้ายนี้ดูจะเป็นไปได้มากที่สุด เมื่อคิดถึงโชคชะตาของเขาตอนนี้

ปุรณะถอนใจเฮือก นึกอยากจะถอดแหวนนาฬิกากระเป๋าสตางค์ถวายอีกฝ่ายไปให้หมดเรื่องหมดราว ขอแค่เขาได้อยู่เงียบๆ ไม่กี่นาทีเถอะ

“เปล่าครับ มาไม่บ่อย ไม่คิดจะมาอีก ไม่อยากคุยกับใครนอกรอบ และขอโทษครับผมมีนัดแล้ว”

“แหม ปิดทางซะหมดเชียว”

เธอหัวเราะเบาๆ ประกายตาพรายรอยขันขึ้นมานิด แต่ไม่ถอย และเธอก็นั่งแปะลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามเขาดื้อๆ ทั้งที่ยังไม่ได้รับเชิญสักคำ “สงสัยคุณจะจำผึ้งไม่ได้จริงๆ ด้วย”

“ครับ?”

ชายหนุ่มกะพริบตา ไม่แน่ใจว่าเธอจะมาไม้ไหน และหญิงสาวก็แสร้งถอนใจ ทำเสียงแง่งอน

“เราเคยเจอกันในงานเปิดตัวเครื่องสำอางตัวใหม่ของบริษัทคุณไงคะ ตอนนั้นผึ้งทำงานกับนิตยสารชิค แต่โอเคค่ะ คนเยอะจะตาย แล้วคุณก็ยุ่งเชียว เข้าใจหรอกว่าคงจำคนทำงานตัวเล็กๆ แบบผึ้งไม่ได้”

...ไม่เล็กเท่าไรหรอก...

ปุรณะคิดอย่างเผลอไผลเมื่อเธอโน้มตัวมาข้างหน้าจนอะไรต่ออะไรเกือบจะ ‘หก’ ลงมา แล้วก็เกือบจะสะดุ้งความคิดตัวเองขึ้นมาอีกรอบ อย่า...อย่าเชียวนะโว้ยไอ้เป้! นี่มันไม่ใช่เวลา!

ชายหนุ่มกัดกรามกรอด ขยับตัว ก่อนจะท่องบทปลงอนิจจังสังขารไปอีกสามรอบ หวังว่ามันจะช่วยเขาได้

“นี่ใจคอจะไม่พูดอะไรกับผึ้งเลยเหรอคะ เย็นช้า...เย็นชา”

เธอชะโงกเข้ามาใกล้ขึ้นอีก ยื่นมือมาแตะมือเขา ไล้ขึ้นมาตามท่อนแขน ปกติชายหนุ่มจัดการกับสถานการณ์แบบนี้ได้...ถ้ามันเกิดขึ้นและเขาไม่คิดต่อความสัมพันธ์ ดึงมือกลับ ไม่ตอบสนอง ปรามอย่างสุภาพ ลุกหนี

แต่วันนี้ไม่รู้ทำไม เขารู้สึกเหมือนสมองของเขาถูกแช่ฟรีซ...

“ไม่ยักรู้นะคะว่าคุณติดนัดกับคนอื่นอยู่ก่อน”

เสียงเย็นชาของแท้ที่ดังมาน่าจะทำให้ปุรณะสะดุ้ง แต่สมองแช่ฟรีซของเขาดูจะส่งความรู้สึกให้ประสาทส่วนอื่นช้าไปด้วย เพราะเขาได้แต่เงยหน้าขึ้นมองรวิสรา เอ่ยออกมาด้วยเสียงเหมือนไม่เป็นของตัวเอง

“เชรี”

เธอมองตรงมาด้วยสายตาที่เขาอ่านไม่ออก ก่อนจะปรายตาไปมอง ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ ชื่อผึ้งที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา และมือที่ยังทาบแขนเขาอยู่อย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ชายหนุ่มมองตามสายตานั้น กระตุกแขนออกอย่างเพิ่งรู้สึกตัว สายไปหน่อย... รวิสราทำหน้าเหมือนเพิ่งถูกบังคับให้กลืนทากเป็นๆ ลงคอ

“คนรู้จักเหรอคะคุณเป้ ไม่ยักแนะนำให้ผึ้งรู้จักบ้าง”

หญิงสาวชื่อผึ้งว่าพลางทำหน้าซื่อใส เธอส่งยิ้มหวาน กระพือขนตา (ปลอม?) ใส่เขาอีกรอบ แล้วจึงหันไปมองรวิสราเหมือนจะถามว่าฝ่ายนั้นมาจากไหน คราวนี้แก้มของคนถูกมองก่ำสีจัดขึ้น ปุรณะใจหายวูบ เขาขยับปาก ตั้งใจจะบอกให้แขกไม่ได้รับเชิญลุกไปเสีย และขอโทษรวิสรา

แต่ก่อนเขาจะทันได้ทำอะไร หญิงสาวก็ขยับยิ้มอำมหิตออกมาแล้วจึงนั่งแปะลงดื้อๆ ข้างตัวเขา...จริงๆ คือเกยขึ้นมาบนตักเขา...บนเบาะที่ตั้งใจออกแบบมาให้นั่งได้คนเดียว ซ้ำเบียดสะโพกยุกยิกเข้าหาให้เขาเขยิบไปข้างๆ

เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย?

ชายหนุ่มตัวแข็ง เลือดร้อนฉ่าขึ้นมาในบัดดลกับความแนบชิดที่รู้สึก อย่างน้อยก็จนกระทั่งหญิงสาวลอบกระทุ้งศอกเข้าสีข้างเขาแบบไม่เบานัก หันมองมาด้วยสายตาร้อนแรง...แรงจนเหมือนจะฌาปณกิจเขาให้เหลือแค่ขี้เถ้า ก่อนจะเกี่ยวแขนคล้องคอเขา กรายปลายเล็บไล่มาตามใต้คางอย่างสนิทสนม...ท่วงท่าที่ดูคล้ายหลุดออกมาจากหนังอีโรติก

...แต่ทำให้ปุรณะหวาดผวาว่าตัวเองกำลังจะโดนปาดคอ...

“ฉันแนะนำตัวเองก็ได้ค่ะ ฉันชื่อเชรี” หญิงสาวลากเสียงอ่อนหวานจนเขาขนลุกเกรียว “เป็นเพื่อนสนิท...ม้ากมาก...ของคุณเป้”

คู่สนทนาของเธอมองมาอย่างกึ่งจะคลางแคลง แบบที่ทำให้รวิสรากระชับมือเข้ากับคอชายหนุ่มแน่นขึ้น และทำให้ปุรณะสำลักลม รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะหน้าเขียว เขากลั้นใจ หันไปกระซิบกับเธอ

“เบา...หน่อย...อ๊อก...เชรี”

รวิสราเบิกตาขึ้น คลายมือ ทำเสียงคล้ายๆ “อุ๊บ!” เบาๆ ในคอ และปุรณะก็หันไปกระซิบอีกรอบด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ขอบคุณครับ” ท่าที ‘เหมือน’ สนิทสนมที่ทำให้หญิงสาวผู้นั่งบนที่นั่งฝั่งตรงข้ามทำหน้าไม่พอใจขึ้นมานิด ทว่าเสียงแนะนำตัวยังอ่อนหวานไม่เปลี่ยนเมื่อเธอบอกชื่อตัวเองด้วยชื่อเล่น...ตามด้วยชื่อจริงคล้ายตัวเองเป็นดารา

“ผึ้ง มธุกรค่ะ”

“สวัสดี และลาก่อนค่ะ คุณผึ้ง”

รวิสราเอ่ยอย่างเนิบนาบ สุภาพ...เปี่ยมรอยยิ้มหวานอาบยาพิษ ก่อนจะหันมาทำตาปรอยใส่ปุรณะอีกรอบ ขยับสะโพกเกยตักเขามากขึ้นอีก ลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดอยู่ที่ซอกคอเมื่อเธอเอ่ยเสียงนุ่ม สถานการณ์ที่ทำให้เขานึกถึงจูบเมื่อวันก่อนขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

...และการหวนระลึกนั้นทำให้เขาเริ่มหัวหมุน...

เขารู้สึกคล้ายคนเมายา... เหมือนวันก่อน...อีกแล้ว มือเขาสั่น ความแค้นแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว เขาอยากทำลายรวิสราให้สมกับสิ่งที่เธอทำ ให้เธอต้องร้องไห้สมกับที่ควรจะร้อง ดึงเธอเข้ามาจูบเพื่อเป็นการลงทัณฑ์ แล้วก็...

“ตัวจริงมาถึง ตัวสำรองก็ต้องถอย ถูกมั้ยคะ คุณเป้”

เสียงของรวิสราแทรกเข้ามาในจิตสำนึกอย่างที่ทำให้ปุรณะได้สติขึ้นมาวูบ ไม่ ไม่ ไม่ นี่เขาเป็นบ้าอะไรไปอีกวะ? เขาไม่ได้แค้นอะไรเธอเรื่องปุษยาสักหน่อย

...แต่เมื่อกี้ หรือแม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังอยากกระชากตัวเธอมานั่งบนตักแบบเต็มๆ แล้วจูบ แล้ว...

ปุรณะรู้สึกอยากครางออกมาดังๆ แล้ววิ่งเอาหัวไปโขกฝา

...เขาสติแตกไปแล้วจริงๆ ด้วย ไม่งั้นก็เป็นโรคหื่นแตกแบบเฉียบพลัน!

“เชรี ผม...”

ชายหนุ่มสูดหายใจ ก่อนจะรีบกลั้นใจเมื่อกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ระคนกลิ่นผิวเนื้อของเธอรวยรินมาแตะจมูก...เกือบจะทำให้เขาคลั่งตาย... เขาขยับ ตั้งใจจะรุนหญิงสาวออกห่างก่อนจะเกิดเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลขึ้นอีก แต่รวิสรากลับขืนตัว ยื่นหน้าเข้ามาชิดหูเขาอีกและขู่ฟ่อ

“อย่ากล้าดีมาปฏิเสธฉันตอนนี้นะคุณเป้!”

กับถ้อยนั้น ชายหนุ่มได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ หลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาใหม่อย่างยากเย็น ไม่รู้จะเปิดปากอธิบายสถานการณ์ให้เธอฟังอย่างไร

...พุทโธ ธัมโม สังโฆ มายก็อด จีซัส...

นี่มันบ้าชัดๆ เลยโว้ย! เธอไม่รู้หรือไงว่าเขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนน่ะหา?

ปฏิกิริยาของเขาจะดูเป็นอย่างไรในสายตาของมธุกร เขาก็สุดรู้ แต่มันดูเหมือนจะยิ่งเรียกแรงเดือดหรือความอยากเอาชนะขึ้นมาในตัวฝ่ายนั้น ประกายเอาเรื่องแวบขึ้นมาในตาหญิงสาว และปุรณะก็เริ่มไม่อยากคิดว่า ‘ศึกชิงนาย’ ระหว่างสองสาวจะดุเดือดขึ้นไปถึงขั้นไหน แม้จริงๆ รวิสราจะดูเหมือนแค่พยายามกำจัดมธุกรมากกว่าชิงเขาก็ตาม แต่เธอดูเหมือนจะ ‘อิน’ กับบทบาทมากไปแล้ว

ทว่าก่อนที่มธุกรจะได้เปิดปากตอบโต้อะไร สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เผือดลงยามเจ้าตัวถามเสียงสั่น

“คุณ...ได้ยินเสียงอะไรไหมคะ”

ปุรณะกะพริบตา หลุดผลัวะออกมาจากห้วงอารมณ์ ‘หน้ามืด’ แปลกประหลาดเมื่อครู่ เขาพยายามเงี่ยหูฟัง เงียบ ไม่มีเสียงอะไรสักนิด และรวิสราก็ทำหน้างงๆ เช่นกัน

“ไม่นี่ครับ เสียงอะไร?”

“เหมือน...ผู้หญิงกรี๊ด” มธุกรยกมือขึ้นกอดอก “หนาว! ทำไมจู่ๆ แอร์มันเย็นวูบขึ้นมาล่ะคะ แล้ว...สะ...เสียงกรี๊ดอีกแล้ว”

ชายหนุ่มขมวดคิ้วเข้า...คำพูดของเธอทำให้เขานึกถึงคำพูดของพยาบาลพิเศษบางคนที่มาบอกเขาว่าจะไม่เฝ้าปุษยาต่อแล้ว เมื่อเขาซัก คนเหล่านั้นบอกว่าได้ยินเสียงแว่ว รู้สึกหนาวเหมือนมีมือเย็นๆ ที่มองไม่เห็นมาแตะ เขย่า...

...มันคงไม่เกี่ยวกัน ไม่น่าจะเกี่ยวกัน แต่...

หญิงสาวตรงหน้าเขาเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ บอกปากคอสั่นมากขึ้น “มันเหมือน...เหมือนมีใครเอามือเย็นๆ มาแตะตัวผึ้ง น่ากลัว ผึ้งกลัว...”

...ทว่าแทนที่จะถอยไป เจ้าหล่อนดันโผเข้ามาหาเขา...

“ถอยไปค่ะ” คราวนี้คราบความสุภาพที่พอจะมีอยู่ของรวิสราหล่นหายลงไปบนพื้นเมื่อเธอผลุดลุกขึ้นบ้าง...ทำให้ปุรณะหายใจเข้าได้เต็มปอดอีกรอบ และหญิงสาวก็ยกมือขึ้นกันมธุกรไว้ก่อนจะทันได้ถึงตัวเขา เธอสั่นศีรษะด้วยท่าทีเสียใจเหลือแสน บอกชัดถ้อยชัดคำแบบนางมารเต็มพิกัด

ภาคนี้ของรวิสรานั่นแหละ ที่เขาสังหรณ์ว่าปุษยาเกลียดนักหนา

“อกคุณเป้ไม่มีที่ว่างให้คนสำออยซบ”

“อ๊ายยยยยยยยยยยย!”

แก้วหูของปุรณะเกือบลั่นเปรียะแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปกับเสียงกรีดร้องนั้น เขาไม่ยักรู้มาก่อนว่าโลกนี้จะมีใครกรี๊ดในชีวิตจริงได้เหมือนนางอิจฉาละครหลังข่าว แต่นี่...โอ้โหเว้ย...

ชายหนุ่มยกมือขึ้น ตบหูตัวเองให้หายอื้อ ก่อนจะพยายามออกปากเกลี้ยกล่อม

“เอ้อ คุณผึ้ง ใจเย็นๆ ครับ”

“จะให้ผึ้งเย็นได้ยังไงคะ ยัยนี่... ยัยนี่...” เจ้าตัวเหมือนจะพูดไม่ออกเพราะเลือดขึ้นหน้า เธอยกมือขึ้นชี้ซ้ำๆ และอาจจะเต้นก๋าเข้าไปเอาเรื่องกับรวิสราเสียแล้ว ถ้าชายหนุ่มจะไม่ดึงคนปากกล้ากลับไปไว้ข้างหลังและเสนอหน้าเข้าไปขวางแทน แม้จะค่อนข้างกลัวถูกลูกหลง

“ไม่เอาน่ะครับ อย่ามีเรื่องกันเลย”

“มันหาเรื่องผึ้งก่อน”

“แล้วใครจะแย่งของใครก่อนแน่? ฉันรู้ว่าผู้ชายสมัยนี้น่ะมันหาย้ากยากกกกกก แต่เสียใจด้วยนะคะ ของของฉัน ฉันไม่แชร์”

รวิสราลอยหน้าตอบแบบที่ทำให้มธุกรอ้าปากขึ้น ปุรณะไม่แน่ใจว่าเธอจะเถียงหรือจะกรี๊ด แต่สัญชาตญาณการป้องกันตัวบอกให้เขายกมือขึ้นอุดหูล่วงหน้าไว้ก่อน

...ดีที่มีเจ้าชายบางองค์ขี่ม้าขาวมาจากหลังร้าน...

“เกิดอะไรขึ้นครับ”

ชายหนุ่มผู้ที่ก้าวตรงเข้ามาเป็นหนุ่มบุคลิกดี อาจจัดว่าหน้าตาดี...แม้จะไม่ถึงกับคมคายสะดุดตาจนชวนตะลึง สีหน้าของเจ้าตัวเจือแววค่อนข้างวิตก แต่เขาก็แสดงท่าใจเย็นกลบไว้อีกชั้น ถ้าดูจากบุคลิกท่าทางแล้ว ปุรณะเดาว่าฝ่ายนั้นคงเป็นเจ้าของหรือผู้จัดการร้าน และเขาก็แทบจะถอนใจยาวออกมาอย่างโล่งใจที่จะมีคนมาช่วยห้ามทัพเสียที

ทว่าก่อนใครจะทันได้ออกปากอธิบายอะไร รวิสราก็เป็นฝ่ายเบิกตาขึ้น ทักออกมาเป็นคนแรก

“คุณ...ไตร?”

“คุณเชรี?”

ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่าไตรทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก เขาเหลียวไปข้างหลัง ทำท่าเหมือนอยากหาทางถอยหรือดำดินหายไป แต่แน่นอน...ว่าในร้านอาหารแห่งนี้ไม่มีประตูเปิดมิติ และเขาก็ไม่สามารถสลายสสารตัวเองให้หายไปที่ไหนได้

พูดตามตรง ปุรณะก็ยังไม่เข้าใจว่าฝ่ายนั้นมีคดีอะไรกับรวิสรา ถึงทำท่าผวาราวกับเจอเจ้าหนี้หรือเจ้ากรรมนายเวรเก่าแบบไม่คาดฝันแบบนั้น

“คุณทำงานที่นี่ด้วยหรือคะ”

“เอ่อ...ครับ ครับ”

ไตรทำท่าเหมือนติดอ่างขึ้นมาทันควัน เขาถูมือเข้ากับหลังต้นคอ ก้มหน้าลง หลบตาหญิงสาวแบบมีพิรุธเต็มประตู เพียงแต่ปุรณะก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่ามันเป็นพิรุธอะไร

“กลางวันที่ เย็นที่เลยหรือคะ”

“ช่วงนี้ผมวิ่งรอกนิดหน่อยครับ” ไตรพยายามยิ้ม แต่มันออกมาดูเฝื่อนๆ อย่างไรชอบกล “ตกลง เอ่อ... เมื่อกี้มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าครับ”

มธุกรทำหน้าชั่งใจเหมือนอยากจะโพล่งความไม่พอใจของตนออกมา แต่เจ้าหล่อนก็ดูเหมือนฉลาดพอที่จะรู้ว่าตนกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โดยเฉพาะเมื่อเห็นได้ชัดว่ารวิสรารู้จักกับคนของทางร้าน

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่เคลียร์เรื่องอะไรกันนิดหน่อย”

ที่สุดเธอก็ตอบเสียงสะบัด และเดินสะบัดๆ กลับไปนั่งที่โต๊ะตัวข้างๆ เช่นเดิม แม้จะไม่ก่อนที่เจ้าตัวจะส่งสายตาไปทางรวิสราอย่างอาฆาตมาดร้าย และส่งสายตามาทางปุรณะอย่างมาดหมายไปอีกแบบ

โอย...นี่มันอะไรกัน

ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บ้าง ยกมือขึ้นคลึงที่หว่างคิ้วเหมือนว่ามันจะช่วยให้หายปวดหัวได้ ใช่ว่าชีวิตนี้เขาจะไม่เคยเจอผู้หญิงเข้าหาหรอกนะ แต่รุกหนักแบบมธุกรนี่...เขาสาบานว่าไม่เคยเจอ เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีเสน่ห์ตรึงใจ ส่งฟีโรโมนกระจายอะไรขนาดจะต้องตกเป็นเป้าให้สาวตบตีแก่งแย่งกันกลางร้านอาหาร

ว่ากันตรงๆ ชีวิตเขาชักจะเหมือนละครหรือนิยายน้ำเน่ามากขึ้นทุกวัน

...ยังไม่นับอาการประสาทระเบิดเอาแต่หื่นเข้าหารวิสรานั่น...

ปุรณะถอนใจ แล้วก็ถอนใจอีกรอบ...ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของนามนั้นด้วยซ้ำว่าเธอจะซักไซ้พูดคุยอะไรกับไตรไปถึงไหน เขารู้แต่เขาชักเริ่มอยากมุดแผ่นดินหายลงไปบ้างเหมือนกัน

...เขาต้องพักร้อน พักร้อนเท่านั้น...

...อ้อ แล้วก็หาทางนัดพบจิตแพทย์ด่วนเลย ยิ่งเร็วยิ่งดี...



พัทธมน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ย. 2556, 17:38:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ย. 2556, 17:40:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1053





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account