ใต้ปีกรักสีเพลิง {นวนิยายชุด ความลับของผีเสื้อ สนพ.อรุณ}
สร้อยผีเสื้อสีเพลิงจากคนแปลกหน้า
เปลี่ยนเธอให้กลายเป็นคนใหม่
เธอไม่รู้ว่ารักเขาจริงๆ
หรือเป็นเพราะอำนาจของผีเสื้อตัวนี้กันแน่
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ ๗ (จบตอน)

เสียงนักร้องบนเวทีค่อยๆเบาลงพร้อมกับจังหวะเคาะบนกีตาร์ที่กลืนไปกับเสียงปรบมือของแขกสาวท่าทางเรียบร้อยที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าสุดข้างเวที ขณะที่ร้านอาหารยังค่อนข้างโล่งด้วยเพิ่งผ่านเวลาเปิดร้านมาไม่นาน และคนส่วนใหญ่ก็ยังติดฝนอยู่บนท้องถนน

เมื่อนักดนตรีขึ้นเพลงใหม่ พรนางฟ้าจึงเลื่อนจานกับข้าวไปชิดขอบโต๊ะด้านไกลตัว เปิดพื้นที่ตรงหน้าและใช้สีเทียนวาดรูปขีดเขียนข้อความไปเรื่อยเปื่อย ปากก็ร้องเพลงคลอโดยไม่เกรงใจใคร ด้วยเธอเป็นแขกเพียงหนึ่งในสองโต๊ะของร้านในค่ำคืนนี้

หญิงสาวเพลิดเพลินอยู่ไม่นาน เงาของใครบางคนก็มายืนบังแสงไฟทำให้เธอไม่สามารถลงสีบ้านได้ถนัด พรนางฟ้าทำเสียงจิ๊จ๊ะในคอ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่รู้ตัว สุดท้ายเธอจึงโยนสีเทียนลงบนโต๊ะ พลางเงยขึ้นตวัดตาดุๆ ตั้งใจฟาดฟันพนักงานไร้มารยาทให้ถูกสายตาเธอฉีกเป็นริ้วๆเลยทีเดียว!

ทว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เธออุทานด้วยความแปลกใจ “เอ๊ะ! คุณ! คุณคิรินทร์มายังไงเนี่ย”

“แท็กซี่สิครับ” คิรินทร์ถือวิสาสะนั่งลงตรงข้าม “ทำไมมาที่นี่ครับคุณแพน รู้หรือเปล่าว่าร้านแบบนี้มาคนเดียวมันไม่ปลอดภัย”

พรนางฟ้าอึ้ง หาข้ออ้างด่วนจี๋ “อ้อ...ฉันนัดเพื่อนไว้น่ะ” เธอตอบไว้ท่า ประโยคหลังที่จะประกาศความในใจว่าเธอกำลังเหงาที่สุดในโลกถูกซ่อนด้วยการเม้มปากแน่นให้อู้อี้อยู่ในลำคอเท่านั้น!

“คุณโกหก! ลืมแล้วหรือว่าผมเป็นคนช่วยคุณคิดวิธีซ่อนความในใจนั่นเองน่ะ”

หญิงสาวหน้าบู้ “คุณจะมารู้อะไรว่าฉันโกหกหรือเปล่า”

“งั้นผมนั่งอยู่ด้วยจนกว่าเพื่อนคุณจะมาก็ละกัน”

“ฉันไม่อนุญาต”

“ผมไม่ลุกซะอย่างนี่” คนหน้าตาราวมหาโจร บทจะดื้อก็ทำตาใสเหมือนเด็กเล็กๆ!

“แล้วคุณไม่ได้นัดเพื่อนไว้หรือไง ถึงมานั่งตรงนี้น่ะ” พรนางฟ้าเสียงอ่อย หมดปัญญาขับผู้ชายคนนี้ออกจากที่นั่ง

“ผมมานี่ก็เพราะเจ้าของร้านโทร.ไปบอกว่า เพื่อนผมมานั่งร้องเพลงอยู่ที่นี่คนเดียว”

“นักร้องนี่เพื่อนคุณเหรอ” พรนางฟ้าตาโต ชี้ไปทางเวทีพลางถามด้วยความข้องใจระคนทึ่ง

คู่สนทนาส่ายหน้า ท่าทางระอา “เขาหมายถึงคุณต่างหากล่ะ! เจ้าของร้านมันจำได้ว่าคราวก่อนคุณมากับผม วันนี้เห็นฉายเดี่ยว มันเป็นห่วง กลัวว่ายิ่งดึกเดี๋ยวมีพวกหนุ่มๆมากินเหล้ากันเยอะ คุณจะไม่ปลอดภัย”

พรนางฟ้าหน้าจ๋อย ดูเวลาจากนาฬิกาที่ข้อมือแล้วขยับตัว “นี่ความเหงาทำให้เราเพี้ยนขนาดมานั่งที่นี่คนเดียวเกือบสองชั่วโมงเข้าไปแล้วหรือเนี่ย งั้นฉันกลับเลยดีกว่า คุณจะได้ไม่ต้องลำบาก”

“แต่ผมเพิ่งมาถึง ยังไม่ได้กินอะไรเลย” อีกฝ่ายงอแงแทน

“หา! นี่คุณจะให้ฉันเลี้ยงอีกแล้วเหรอ” พรนางฟ้าตระหนก “อีตานี่คิดอะไรของเขาอยู่กันแน่ คนหน้าตาดีอย่างนี้ไม่มีวันคิดมาจีบเราเด็ดขาด ถ้างั้นเขาต้องการอะไร”

“ไม่ได้จะเอาอะไรหรอก ไม่ให้คุณเลี้ยงด้วย สู้ให้คุณติดเลี้ยงข้าวผมมื้อนึงไปเรื่อยๆก่อนดีกว่า จนกว่าผมจะคิดออกว่าอยากกินอะไร ส่วนมื้อนี้ผมจะกินฟรี แล้วให้เพื่อนเลี้ยง” คิรินทร์เรียกพนักงานมาสั่งอาหารอย่างคล่องแคล่ว แล้วจึงหันกลับมาทางเจ้าของโต๊ะ “ตกลงคุณไม่ได้นัดเพื่อนไว้จริงๆหรอกใช่ไหม”

“คุณก็รู้อยู่แล้ว ยังจะมาถามอีก” พรนางฟ้าหน้ามุ่ย และเธอก็ชะงัก อ้าปากค้างเมื่อนักดนตรีบนเวทีลุกขึ้น “อ้าว...ไม่ร้องแล้วเหรอคะ” เพราะความที่อยู่ใกล้เวทีจึง เธอจึงถามโดยไม่ต้องตะโกน

“ผมต้องไปร้องต่อที่ร้านอื่นน่ะครับ” นักร้องหนุ่มน้อยเก็บกีตาร์ใส่กระเป๋า

เมื่อเห็นพรนางฟ้าหน้าม่อย เพื่อนร่วมโต๊ะจึงอธิบาย “เดี๋ยวนักร้องคนใหม่ก็มา วันนี้ฝนตกทั้งเมือง รถอาจติด เขาก็เลยมาสาย”

“ระหว่างนี้ก็ต้องนั่งเงียบๆอย่างนี้น่ะเหรอคะ”

คิรินทร์มองรอบร้านแวบเดียวแล้วหันกลับมายิ้มเจ้าเล่ห์ “ร้องคาราโอเกะกันไหม เดี๋ยวผมจัดให้”

“ทำได้ด้วยเหรอ” เธอถามด้วยท่าทางสนใจ จินตนาการถึงจอที่มีเนื้อเพลงวิ่งให้ร้องตามอย่างครึ้มๆ

ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่ลุกหายไปหลังร้านครู่ใหญ่ และกลับมาพร้อมกีตาร์ตัวหนึ่ง เขาก้าวขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้สตูลบนเวที แล้วส่งยิ้มให้ผู้อำนวยการหมาดๆซึ่งยังคงทำท่าไม่เชื่อสายตา “เรามีเวลาถึงแค่นักร้องมา แล้วก็ต้องคืนเวทีให้เขานะ คุณอยากร้องเพลงอะไรล่ะ” พนักงานของร้านยกสตูลอีกตัวขึ้นไปวางบนเวที และชายหนุ่มก็เอื้อมไปตบเบาะนั่นเบาๆ “จะร้องเพลงก็ต้องขึ้นมาบนเวทีนี่สิ”

พรนางฟ้าส่ายหน้ายิกด้วยความประหม่า “นี่ไม่ใช่คาราโอเกะสักหน่อย ไม่เอาหรอก อายเขา!”

“นี่ละคาราโอเกะ ผมเล่น คุณร้อง ไม่มีอะไรต้องอายหรอก คิดซะว่าเป็นห้องคาราโอเกะที่คุณไปเมารั่วหนก่อนก็ได้” เขาตบเบาะนั่งซ้ำ พลางหยิบหนังสือเพลงที่มีติดไว้ประจำร้านขึ้นมากางบนขาตั้งสูง

หญิงสาวชั่งใจ มองไปบนยกพื้นเตี้ยๆ “ตรงนี้ไม่มีคนรู้จัก เราไม่มีอะไรจะเสียนี่นา อย่างมากก็แค่ร้องเพลงทุเรศๆให้คนฟังทรมานหูเล่นเท่านั้นเอง” ทั้งคิดและพูดดังๆเช่นนั้นแล้ว พรนางฟ้าจึงยอมก้าวขึ้นไปนั่งบนสตูลสูงข้างคิรินทร์อย่างว่าง่าย

นักดนตรีจำเป็นพลิกสมุดกางหาเพลง แล้วหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามความเห็น เมื่อพรนางฟ้าพยักหน้า เขาจึงส่งยิ้มให้กำลังใจมาอีกหน

มือที่ถือไมโครโฟนชื้นเหงื่อนิดๆ ด้วยเธอเคยแต่ร้องคาราโอเกะแบบที่มีจอภาพบอกจังหวะว่าต้องขึ้นเพลงตรงท่อนไหน แต่นี่...

เสียงเกากีตาร์ดังเป็นจังหวะสนุกสนาน และคิรินทร์ก็พยักหน้าให้จังหวะเธอเพื่อขึ้นต้นท่อนแรกของเพลง เมื่อจับจังหวะได้ พรนางฟ้าก็หายเกร็ง และปล่อยใจสนุกสนานไปกับการโยกและใส่อารมณ์ จากหนึ่งเพลงเป็นสอง จากสองเป็นสามสี่ห้าหกโดยไม่รู้ตัว

ตอนที่นักร้องเจ้าของเวทีตัวจริงมาถึง เธอจึงก้าวลงจากยกพื้นเตี้ยด้วยความอาวรณ์ และยิ่งครึ้มใจกว่าเก่า เพราะแขกอีกโต๊ะที่มุมด้านในสุดของร้านปรบมือให้และตะโกนชมมากับสายลม

“เพราะมากเลยคร้าบ...” เสียงน่ะบอกให้รู้ว่าไม่ใช่แค่กรึ่ม แต่น่าจะถึงขั้นเมาแล้ว

ปกติพรนางฟ้าไม่ถือคนเมาเพราะรู้ว่าขาดสติ แต่วันนี้เธอไม่ใส่ใจว่าเขาครองสติไว้ครบถ้วนหรือไม่ และน้อมรับคำชมนั้นด้วยความเต็มใจ!

“สนุกจังเลย” เธอบอกคนข้างๆเมื่อกลับมานั่งที่โต๊ะ ซึ่งตอนนี้อาหารที่คิรินทร์สั่งมาวางเรียงคอยจนเย็นชืดหมดแล้ว

“หายเซ็งแล้วใช่ไหม” คิรินทร์ถามพลางเลื่อนกับข้าวไปตรงหน้าหญิงสาว “ร้องเพลงใช้พลังงานตั้งเยอะ กินอะไรอีกสักหน่อยสิ ไม่งั้นคืนนี้คุณหิวโซแน่ๆ”

หญิงสาวรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย “เห็นทีเราต้องเพิ่มคุณสมบัติของแฟนไว้อีกข้อว่าเขาต้องเล่นกีตาร์ได้ด้วย เพิ่งรู้ว่าร้องเพลงกับกีตาร์สนุกกว่าร้องกับเปียโนหรือหน้าจอคาราโอเกะตั้งเยอะ”

เสียงหัวเราะหึๆจากคนตรงข้ามทำให้เธอสะดุ้งตวัดตาขึ้นมองอย่างตกใจ “ตายละ! ฉันพูดมันอีกแล้วใช่ไหม”

“อยู่กับพรสวรรค์ใหม่นี่มาตั้งหลายอาทิตย์แล้ว ยังไม่ชินอีกหรือ”

“ก็...” พรนางฟ้าถอนใจ “อาจเป็นความผิดของฉันเองแหละ เพราะแทนที่จะใช้ชีวิตไปตามปกติ แล้วพยายามตั้งสติคิดแต่เรื่องดีๆ จะได้ไม่พูดผิดหูใคร ฉันกลับเปลี่ยนไปใช้วิธีอยู่ห่างๆจากคนอื่น แล้วปล่อยตัวเองให้พูดตามใจคิดไปเรื่อยๆ ระยะหลังมานี้ ถ้าไม่จำเป็นฉันแทบไม่เข้าใกล้ใครหรือคุยกับใครตามลำพังเลย”

เห็นคิรินทร์ส่ายหน้าระอา เธอก็รีบเอ่ยต่อ “ฉันรู้ว่าแก้ปัญหาผิดวิธี แต่...เวลาคุยกับคนอื่น ฉันเครียดมากเลยนะ ทั้งกังวลแล้วก็ระแวงไปหมด รู้ไหม...ฉันเหงาจะตายอยู่แล้ว” แม้คำพูดและน้ำเสียงนั้นเศร้าระโหยเพียงใด แต่พรนางฟ้ารู้ว่ามันยังอธิบายได้ไม่ถึงเศษเสี้ยวของความเหงาจริงๆที่เธอรู้สึกด้วยซ้ำ

“ก็มัวแต่จดคุณสมบัติแฟนไว้เป็นหางว่าวอย่างนี้ ถึงไม่มีผู้ชายตรงตามสเป็คของคุณซะทีน่ะสิ” เขาเจตนาล้อเลียน “ถามหน่อยเหอะว่าคุณสมบัติของแฟนที่คุณต้องการน่ะมีกี่ข้อ”

“ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่เคยนับเหมือนกัน” พรนางฟ้ายิ้มเขิน

“แล้วคุณเคยเจอผู้ชายที่มีคุณสมบัติครบทุกข้อตามต้องการไหม”

“ถ้าไม่นับข้อเล่นกีตาร์ ฉันว่ามีแล้วนะ”

“แล้วทำไมคุณถึงยังไม่ตกลงปลงใจกับคนที่ว่านั่นสักทีล่ะ”

เธออึ้งไปเล็กน้อย รอยยิ้มฝืดเฝื่อนเต็มที “ก็ฉันมีคุณสมบัติไม่ครบทุกข้อที่อีกฝ่ายต้องการไง”

คิรินทร์ไม่เอ่ยอะไร แต่เลื่อนถ้วยน้ำแกงมาให้เธออย่างเอาใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลดุจพี่ชายปลอบโยนให้กำลังใจน้องน้อย “ถ้าผู้ชายคนไหนพูดแบบนั้นกับคุณ เชื่อผมเถอะว่าเขาไม่มีค่าพอให้คุณรักหรอก”

“แล้วต้องผู้ชายแบบไหน ถึงจะมีค่าพอให้ฉันรัก”

คิรินทร์วางช้อนส้อม สบตาเธอจริงจัง “ผู้ชายที่ไม่คาดหวังอะไรกับคุณ แต่รักคุณในแบบที่คุณเป็นไง คนแบบนั้นค่อยน่ารักหน่อย”

ดวงหน้าหลังแว่นตลกๆที่เงยขึ้นสบตาเขาสดใสกระจ่างอยู่ใต้แสงไฟสีส้ม พรนางฟ้าแต้มยิ้มทั้งริมฝีปากและดวงตา แววตาโรยแสงที่คอยแต่หลบตาคนอื่นทอประกายอ่อนโยนจนไม่เหลือมาดคุณครูจอมเฮี้ยบคนเดิม

เพียงเสี้ยววินาทีสั้นๆ คิรินทร์เผลอยิ้มไปกับเธอโดยไม่รู้ตัว

“ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์ให้กำลังใจ ฉันดีใจจังที่มีคุณอยู่ตรงนี้ด้วยน่ะ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน นุ่มนวล

คิรินทร์หัวเราะร่วน

“หัวเราะอะไร ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่า” หญิงสาวเสียงเขียว

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่ขันตัวเองน่ะ” สายตาของเธอทำให้คิรินทร์รู้สึกแปลกๆ จึงเสมองไปทางอื่น พึมพำเบาๆ “คุณเป็นคนแรกที่พูดแบบนั้นกับผม ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่ดีใจหรอก ส่วนใหญ่จะเบื่อหรือรำคาญมากกว่า ใครๆชอบหาว่าผมขวางโลก”

“คุณไม่ได้ขวางโลกสักหน่อย ฉันว่าคุณแค่มีวิธีแสดงออกในแบบของตัวเองเท่านั้นเอง ตั้งแต่ฉันรู้จักคุณ คุณทำให้ฉันสบายใจทุกครั้งเลยจริงๆนะ” พรนางฟ้าตักกับข้าวใส่จานอีกฝ่าย “คนขวางโลกที่ไหนชอบแกงเขียวหวานไก่ คนที่สั่งเมนูพื้นฐานแบบนี้ ฉันรับรองพันเปอร์เซ็นต์เลยว่าเป็นแค่คนขวางโลกแบบเก๊ๆชัวร์”

ชายหนุ่มกลั้นยิ้ม สุดท้ายก็อดไม่ได้ ย้อนถาม “เคยมีคนบอกไหม ว่าคุณปลอบคนไม่ได้เรื่องเลย”

หญิงสาวหัวเราะ “ไม่มีคนพูดหรอก แต่รู้ว่ามีคนคิดหลายคน แค่ไม่กล้าพูดตรงๆเท่านั้นเอง”

พรนางฟ้าก้มลงช้อนจี้ผีเสื้อไว้ในฝ่ามือ ยิ้มด้วยความพอใจ “แปลกนะ เมื่อก่อนฉันรู้สึกว่าการพูดในสิ่งที่คิดนี่มันยากชะมัด แต่เดี๋ยวนี้ฉันกลับต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้พูดสิ่งที่คิด โลกเรานี่ก็ตลกชะมัด”

“ยังอยากถอนคำสาปอยู่ไหม ไว้เราไปตามหาหมอนั่นดูอีกทีก็ได้นะ” คิรินทร์เสนออย่างใจดี

“ไม่รู้สิ บางทีฉันว่าการพูดสิ่งที่คิดก็ดีเหมือนกันนะ คุณรู้ไหมวันนี้นายใหญ่ชมฉันด้วยนะ ฉันดีใจมากเลย แถมผู้หญิงที่ฉันชื่นชมก็ยังฝากชมมาทางเจ้านายด้วย บอกว่าฉันมีแววเก่งแบบเธอได้ โอย...นี่มันเยี่ยมกว่าความฝันที่ดีที่สุดของฉันเลยนะเนี่ย” เธอพูดปนหัวเราะ บอกความผาสุกชัดเจน

“แปลว่า...คุณไม่อยากไปตามหาหมอดูนั่นแล้วใช่ไหม”

“สำหรับตอนนี้ก็ใช่ ขอบคุณคุณมากนะที่ไปเป็นเพื่อนฉันตามหาเขาคราวก่อนน่ะ คิดย้อนกลับไปฉันว่ามันไร้สาระจังเลย”

“ไม่เป็นไร ผมถือว่าเป็นความรับผิดชอบของผมครึ่งนึงละกันที่ปล่อยให้คุณไปลากหมอดูนั่นมาสาปเวทมนตร์ใส่คุณน่ะ”

“คุณประชดฉันนี่” พรนางฟ้าโวยกระเง้ากระงอด โลกหม่นมืดเมื่อตอนเย็นกลายเป็นอดีตที่ถูกลืมไปเลย เพียงแค่ได้พูดคุยแหย่เย้ากับผู้ชายคนนี้

“เก่งขึ้น! เมื่อกี้พูดมาเลยนะเนี่ย เดี๋ยวนี้คุณแทบไม่ต้องคิดก่อนปล่อยให้เวทมนตร์บ้าๆนั่นทำงานแล้ว”

“ถ้าไม่ประชดฉันสักวัน ฉันจะพาคุณไปเลี้ยงอาหารฝรั่งเศสเลย”

“พูดจริงหรือเปล่า ถ้าเลี้ยงอาหารฝรั่งเศส ผมจะล้างท้องคอยเลยนา อย่ามาหลอกให้มีความหวังนะ”

น้ำเสียงกระตือรือร้นจากคู่สนทนาทำให้พรนางฟ้าอมยิ้ม เห็นสภาพของจิตรกรหนุ่มทุกครั้งที่พบกันแล้วก็อดเห็นใจไม่ได้ ฐานะอย่างเขา อาหารฝรั่งเศสคงเป็นเรื่องที่อยู่ไกลเกินเอื้อมสุดๆ หากเธอจะเลี้ยงเขาสักมื้อหนึ่งก็คงไม่เปลืองเงินไปสักกี่มากน้อยหรอก คิดดังนั้นเธอจึงตัดสินใจ “คุณนี่หาเรื่องกินฟรีเก่งชะมัดเลย นอกจากได้ตำแหน่งแล้ว ฉันได้เงินเดือนขึ้นด้วยนะ คุณรู้ไหม...ฉันได้เพิ่มตั้งเท่านี้แน่ะ” เธองอนิ้วโป้งชูสี่นิ้วอวด”

“เท่าไหร่เหรอ สี่ร้อยหรือว่าสี่พัน”

“บ้า! สี่สิบเปอร์เซ็นต์ย่ะ! เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากกินจริงๆ ฉันจะเลี้ยงอาหารฝรั่งเศสคุณก็ได้ มีร้านนึงอาหารอร่อยมาก แถมยังแต่งร้านซ้วยสวย ถ้าได้ไปเห็น คุณต้องชอบแน่ๆ”

“งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนา...”
“ได้เลย จะล้างท้องจริงๆก็ได้นะ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว” พรนางฟ้ายิ้มกว้าง แวบหนึ่งที่แปลกใจตัวเอง เมื่อนึกได้ว่าตลอดการพูดคุยกัน เธอไม่หลุดความในใจออกไปเลยสักคำ หรือเป็นเพราะความนึกคิดที่มีต่อผู้ชายคนนี้ไม่แตกต่างกันทั้งในความคิดและทางคำพูดก็สุดรู้!



สิริณ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ย. 2556, 00:43:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ก.ย. 2556, 00:43:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1373





<< ตอนที่ ๗ (ครึ่งแรก)   ตอนที่ ๘ (ครึ่งแรก) >>
สิริณ 2 ก.ย. 2556, 01:29:18 น.
ตอนนี้ใต้ปีกรักสีเพลิง
กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดพิมพ์ค่ะ
คาดว่าในเร็วๆนี้จะได้เห็นกันบนแผงแน่นอน

ระหว่างนี้ ชวนเพื่อนไปกดไล้ค์เพจของสิริณไว้นะคะ
จะมีกิจกรรมแจกหนังสือกันอย่างต่อเนื่อง
ไปจนถึงช่วงงานหนังสือเลยค่ะ :D
ท่านไหนมีใจเมตตา
ไปร่วมสนุกกันได้ที่ facebook.com/SirinFC นะคะ

เนื่องจากตอนที่แล้วไม่ได้ตอบคอมเม้นต์
เพราะภารกิจเพียบจนแทบไม่ได้หลับได้นอน
เลยขอรวบยอดมาตอบที่วันนี้เลยนะคะ

บอกก่อนว่า สำหรับเว็บเลิฟ สิริณเลิฟมาก
นอกจากจะส่งโปสต์การ์ดให้ทุกคนที่คอมเม้นต์แล้ว
เดี๋ยว "อาจจะ" คัดเลือกคนที่คอมเม้นต์มาแจกรางวัลเพิ่ม
ขอไปนอนคิดก่อน ว่าจะให้คอมเม้นต์ไหนดี

ระหว่าง เจ้าของคอมเม้นต์ที่ถูกใจ
หรือ ให้คนที่คอมเม้นต์ครบทุกตอน
หรือ ให้คนที่แย่งคอมเม้นต์แรกไปได้มากที่สุด
อันนี้ ให้เพื่อนๆรอลุ้นกันต่อไปนะคะ 55555

@Pat : นี่ยังแค่เบาะๆค่ะ
พิษสงยายเกรซยังมีมากกว่านี้อีกเพียบ
นางจะขับเคี่ยวกับพรนางฟ้าไปจนถึงตอนสุดท้ายเลย ขอบอก!
คุณแพทต้องเอาใจช่วยพรนางฟ้าอย่างหนักเลยแหละ อิอิ


@lovemuay : คนแบบยายเกรซมีเยอะซะด้วยสิคะ
แต่พรนางฟ้าเองก็ใช่ย่อยค่ะ
นางเอกของสิริณไม่งอมืองอเท้าแน่ๆ (กี๊ดดด กล้าพูดเนอะ)
ตามอ่านกันต่อไป เดี๋ยวก็รู้เอ๊งงงงงง


@พันธุ์แตงกวา : รับรองว่าที่ยายเกรซเจอ
จะต้องสะใจคนอ่านแน่นอนค่ะ
สิริณจัดไปหลายดอกแล้ว
ไม่ให้เพื่อนนักอ่านผิดหวัง โฮ่ๆๆๆ

คาดว่าอ่านตอนนี้จบ
คุณแตงกวาคงรู้แล้วว่าพรนางฟ้าไปไหน อิอิ


@ จิรารัตน์ : ณ จุดนี้ เกรซยังแค่ร้ายเบาะๆค่ะ
นางยังสามารถทำให้คุณจิรารัตน์เพลียได้มากขึ้นเรื่อยๆ
คอนเฟิร์มด้วยยิ้มแป้นๆของสิริณเล้ยยยยย

และ...ถูกต้องนะค้า....
คุณคิรินทร์รู้แหละ ว่าจะไปหาพรนางฟ้าที่ไหน 55555


@Sukhumvit66 : เอิ่ม...เหมือนจะมีคนอินนนนนน
อย่าบอกนะคะ ว่าเคยเจอคนแบบยายเกรซ อิอิ

คนเรา...เวลาประสบความสำเร็จ
การมีคนคอยร่วมยินดีนี่สำคัญมากๆๆเลยนะคะ
ตอนนิยายเล่มแรกของสิริณตีพิมพ์
ขนาดแม่และน้องอยู่รอบๆคอยยินดีด้วย
สิริณก็ยังแอบเหงาอยู่ดี
แบบว่า...อยากให้พ่อยังอยู่ด้วยกันตรงนั้น
พ่อคงดีใจที่ฝันของสิริณเป็นจริงแล้ว

จะว่าไปสิริณนี่...ได้คืบจะเอาศอกเนอะ แหะแหะ


@goldensun : ผู้จัดการที่มีห้องส่วนตัว
เรียกลูกน้องเข้าไปสั่งงานในห้อง
แล้วลูกน้องก็เอาผลงานเข้าไปนำเสนอในห้องแบบนี้
โอกาสทที่เพื่อนร่วมงานจะไม่รู้เห็นเลย เป็นไปได้ค่ะ
ที่พูดอย่างมั่นใจแบบนี้
เพราะสิริณเคยเจอหัวหน้าสไลต์เกรซมาแล้วกับตัวเอง
เพียงแต่ไม่ร้ายแรงมากเท่านี้เท่านั้นเอง

หลักๆการขายโปรเจ็กต์งานไอที
เราไม่ค่อยเปิดเผยข้อมูลให้เพื่อนร่วมงานทราบ
เพราะมันมีความเสี่ยงว่าข้อมูลจะรั่วไหลไปถึงคู่แข่ง
และทำให้เราแพ้ประมูลงานน่ะค่ะ ^^


@lovereason : น้องนุ่นได้รับโปสต์การ์ดหรือยังค้า
ส่งไปรอบเดียวกัน ดูเหมือนเขาจะได้รับกันถ้วนหน้าแล้วน้า
เดี๋ยวพี่จะส่งรอบใหม่แล้ว
หวังว่านุ่นจะได้รับก่อน คนรับของรอบใหม่นาาาา อิอิ


@อสิตา : สารภาพว่าเพลงนี้แอบส่วนตัวนิดนุง
เป็นเพลงโปรดของข้าพเจ้าเอง 55555
แอบอยากเป็นนางเอกนี่นา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้คุณคิรินทร์เป็นพระเอกนี่เริ่ดสุดเลย
เพราะคุณคิรินทร์นี่เป็นพระเอกที่อิฉันเลิฟๆๆๆ
ชนิดไร้ข้อแม้กันเลยทีเดียว โฮ่ๆๆๆ


สิริณขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกคนนะคะ
ที่กดไล้ค์ และเข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้
สำหรับคนเขียนหนังสือแล้ว
กำลังใจคนละเล็กน้อยนี่แหละค่ะ
ที่เป็นแรงใจให้ฮึดสู้ต่อไป

ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ^_________^


Sukhumvit66 2 ก.ย. 2556, 01:40:20 น.
พรนางฟ้ามีภาคแต่งสวยไหมค่ะ อยากให้แปลงโฉมเหมือนนางฟ้าจัง


นักอ่านเหนียวหนึบ 2 ก.ย. 2556, 02:01:09 น.
ฟินอ่ะ จินตนาการภาพผู้ชายมาดเซอร์ กับผู้หญิงมาดเฮี้ยบ นั่งเล่นกีต้าร์ร้องเพลงรั่วๆ ในร้าน ไฟสลัวๆ โอยยย แค่คิดก็อยากจะไปเป็นหางเครื่องอยู่หน้าเวทีจิงๆๆ


พันธุ์แตงกวา 2 ก.ย. 2556, 02:33:52 น.
แอบสะใจรอค่า ขอบคุณไรท์เตอร์ที่ช่วยจัดหนักยายเกรซ ^^
สองคนนี้คุยกันธรรมชาติจริงๆ เหมือนนั่งฟังเพื่อนคุยกันในโต๊ะอาหาร น่าร้ากกก เหมาะสมกันมาก


จิรารัตน์ 2 ก.ย. 2556, 11:47:36 น.
จากตอนนี้คิดว่าคิรินทร์คงเซอร์สุดสุดไปเลย

เกรซยังทำให้เพลียได้มากกว่านี้อีกเหรอค่ะ ขอเวลาทำใจเตรียมเพลียกับนางก่อน จะขนให้ทุกรางวัลนางร้ายที่มีให้นางเลย


goldensun 3 ก.ย. 2556, 18:53:34 น.
ตายละ พรนางฟ้า คิรินทร์คงเซอร์จัดจนคิดว่าเป็นจิตรกรไส้แห้งซะแล้ว
งานนี้ได้แค่คลายเครียด เพราะเรื่องที่ทำงาน คงต้องพิสูจน์ฝีมือกันอีกยาว แถมเรื่องเกรซก็ยังค้างคา คอยเลื่อยขาเก้าอี้อยู่ เอาใจช่วยพรนางฟ้าคนเก่งละกันค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account