สาปรักซ่อนกล
เมื่อคำสาปรัก(ร้าย)ทำพิษ เปลี่ยนมิสเตอร์ไนซ์กายเป็นผู้ชายตบจูบ เรื่องรักวุ่นชุลมุนหัวใจจึงเกิด

***

เมื่อรวิสรา ดีไซเนอร์สาวเปรี้ยวเข็ดฟันที่ตาม ‘จับ’ พี่ชายสุดที่รักของเธออยู่ขับรถชนจนปุษยาตกอยู่ในสภาพโคม่า วิญญาณหลุดจากร่าง วิญญาณสาวน้อยจึงยอมปล่อยให้ตัวต้นเหตุลอยนวลไปไม่ได้!

ปัญหาคือคำสาปแช่งส่งเดชของเธอให้รวิสราต้องใช้ชีวิตเป็น ‘นางเอกน้ำเน่า’ กลับขลังเกินเหตุ ย้อนศรจนพี่ชายแสนดีของเธอกลายเป็น ‘พระเอกตบจูบ’ ที่คิดแต่จะแก้แค้น แล้วใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่านิยายตบจูบลงเอยแบบไหน งานนี้ปุษยาจึงต้องบีบคอขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ที่เห็นเธอ (ต่อให้คนคนนั้นไม่เต็มใจ) เพื่อหยุดยั้งคำสาปก่อนผู้หญิงที่เธอเหม็นหน้าคนนั้นจะกลายเป็นพี่สะใภ้แบบถาวร!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 5

เวรกรรม กรรมเวร เวรกรรม

ไตรคิดกลับไปกลับมาอยู่ในใจเมื่อเขาล่าถอยหนีการซักฟอกของรวิสรากลับเข้ามาหลังร้าน บอกผู้จัดการว่าเขาจะกลับแล้ว ก่อนจะเผ่นออกประตูไปด้วยความเร็วทำสถิติ โลกมันจะกลมอะไรขนาดนั้นละเนี่ย

ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามีความน่าจะเป็นขนาดไหน...ที่รวิสราจะไปกินข้าวที่ร้านลา เมมัวร์ในช่วงกลางวัน แล้วมานั่งร้านไฟร์ฟลายของเขาตอนค่ำ แต่เมื่อคิดถึงจำนวนร้านอาหารในกรุงเทพมหานครและที่ตั้งของทั้งสองร้านซึ่งไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย เขาคิดว่าความน่าจะเป็นที่ว่าคงไม่มากกว่าโอกาสในการถูกล็อตเตอรี่นักหรอก

แล้วความน่าจะเป็นที่จำเพาะเขาจะต้องโผล่มาเจอเธอสองรอบในวันที่เธอมานั่งทั้งสองร้านก็คงมีน้อยกว่าการที่เขาจะขุดเจอสมบัติโจรสลัดกลางสยามสแควร์

วันนี้เขาไม่ได้คิดจะมาที่ร้านไฟร์ฟลายด้วยซ้ำ เขาอยากกลับไปนอนฝันถึงรวิสรา วางแผนการทั้งหลายทั้งมวลที่จะปลอมตัวไปทดลองใจสาวเจ้า แต่แค่เขาขึ้นรถจะขับกลับบ้านเท่านั้นแหละ...ก็เหมือนมีมือยะเยือกมาจับไหล่เขา และมีเสียงแว่วๆ อยู่ริมหู

‘จะรีบกลับไปไหนค้า’

ไตรพยายามบอกตัวเองว่าเขาหูแว่ว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดาว่ามีจริงสักที แต่เมื่อมือเย็นๆ ไร้ตัวตนนั้นเริ่มเขย่าๆ เสียงแว่วเริ่มเร่งร้อน ‘อย่ากลับบ้านเลยนะ นะ นะ....’ เขาก็ขนลุกซู่ ไอ้ที่ไม่เชื่อๆ เริ่มกลายเป็นไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่

สิบห้านาทีถัดมา หลังจากสวดมนต์แผ่เมตตาทุกบทเท่าที่นึกออกและยังกำจัด ‘สิ่งแปลกปลอม’ ไม่ได้ ชายหนุ่มก็กลับรถพรืด ตัดสินใจดิ่งตรงมาไฟร์ฟลายแทนที่จะกลับไปคอนโดซึ่งตนอาศัยอยู่ตามลำพังประสาหนุ่มโสด ถ้าเขาป่วย...ไข้ขึ้นจนประสาทหลอน เขาก็ไม่ควรอยู่คนเดียว เดี๋ยวตายไปจะไม่มีใครรู้

และ...ข้อนี้เขาเผื่อไว้ แค่เผื่อ... คือถ้าเขาโดนผีเกาะบ่ามาจริงๆ เขาก็ไม่อยากอยู่ตามลำพังคนเดียวนักหรอก

ไตรแทบจะสาบานได้เลยว่าเขาได้ยินเสียงใสๆ กรี๊ดอยู่ข้างหู

‘อิ๊! ผีเกาะบ่า? อย่ามาเรียกชาวบ้านเค้าน่าเกลียดๆ แบบนั้นนะ! ฉันไม่ใช่จูออนหรืออะไรทำนองนั้นนะยะ แค่อยากจะช่วยนายแท้ๆ ทำคุณบูชาโทษ!’

...บรื๋อ...

แค่คิดเขาก็ยังตัวสั่นอยู่เลย

เพียงแต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ฉุกเฉินที่เขาต้องด้นบทสดต่อหน้ารวิสราเมื่อครู่...ตอนนี้เขาชักสำนึกเสียใจขึ้นมาครามครันที่ไปใส่ใจกับอาการหูแว่วครั่นเนื้อครั่นตัวแบบประหลาดนั่น เขาบอกหญิงสาวว่าตัวเองทำงานประจำอยู่ที่ไฟร์ฟลายนี่...แต่ไม่รู้เธอจะเชื่อแค่ไหน เพราะเขายังทรงชุดเดียวกับตอนอยู่ที่ร้านลา เมมัวร์ ซึ่งยิ่งต่างจากบรรดาพนักงานที่ใส่เสื้อยืดดำสกรีนโลโก้ร้าน

ช่วยไม่ได้ มันเป็นคำอธิบายเดียวที่เขาพอนึกออกตอนนั้นนี่หว่า ใครจะคิดว่าเขาจะเจอะเธอเข้าให้จังๆ แบบนี้ และยังมากับผู้ชายอื่น

ชายหนุ่มถอนหายใจ กดรีโมทเปิดประตูรถที่ตนจอดทิ้งไว้และเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยอย่างใจลอย...รู้สึกเหมือนหัวใจสลายไปครึ่งหนึ่ง แต่นั่นแหละ ดอกไม้งามย่อมมีหมู่ภมรมารุมล้อม คงเป็นไปไม่ได้ที่สาวสวยอย่างรวิสราจะไม่มีหนุ่มหมายปอง ใช่ว่าแปลว่าเขาจะถอย คนอย่างเขาน่ะ...ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ขนาดนั้นอยู่แล้ว

‘ไม่ยอมแล้วนายหนีมานั่งถอนใจอยู่ตรงนี้ทำไมฮึ? เข้าไปขวางเค้าซี่ก่อนพี่ชายฉันจะโดนงาบ!’

ไตรเกือบสะดุ้งกับเสียงที่แว่วขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ฟังหงุดหงิด...คล้ายผู้พูดกำลังเหลืออด แล้วมันจึงตามมาด้วยเสียงวิงวอน ออกหลอนหน่อยๆ

‘น่า เข้าไปสิ กลับเข้าไป ช่วยกันหน่อยน่า นะ นะ’

“ใครพี่ชายใคร...เอ่อ...”

ชายหนุ่มรีบหุบปากฉับเมื่อรู้ตัวว่าเขากำลังพูดกับอาการหูแว่วของตัวเอง ไม่ ไม่ เขาจะไม่พูดกับเสียงนั่น ถ้าพูด เขาก็จะยิ่งเชื่อว่ามันมีอยู่จริง เขาไม่เชื่อ

ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อโว้ย!

‘นายจะมาบอกว่าตัวเองหูแว่วอะไร ฉันอยู่นี่ ฉันพูดกับนายอยู่นี่ เมื่อไรนายจะฟังฮะ? แล้วนั่น...ผู้ชายคนที่มากับยัยเชรีนั่นน่ะ พี่ชายฉัน’

ใช่ เขาต้องคิดไปเองแน่นอนเลย คงเพราะเขาคิดเรื่องรวิสรามากเกินไป เป็นไปไม่ได้หรอกที่เขาจะเจอ...เอ่อ...

...เอ่อ...

ไตรกลืนน้ำลายลงคอ ไม่อยากคิดถึงคำที่ขึ้นต้นด้วยตัว ผ.ผึ้ง นั้น เพราะแค่คิดเฉียดๆ เขาก็เริ่มจะขนลุกขึ้นมาอีกรอบ ชายหนุ่มเข้าเกียร์จะถอยรถ ทำท่าจะหันไปมองข้างหลังแล้วชะงัก ภาพจากรายการและภาพยนตร์สยองขวัญทั้งหลายแหล่เริ่มตามมาหลอน

...เกิดมีใครนั่งอยู่ที่เบาะหลังนั่นล่ะวะ...

แค่คิดเขาก็อยากเปิดกลับเข้าไปในร้านอีกรอบแล้ว มือจับกำพวงมาลัยแน่น บอกตัวเองว่ายังไงสุดท้ายเขาก็ต้องกลับคอนโดอยู่ดี ร้านเขาไม่ใช่เซเว่นอีเลฟเว่นจะได้เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่มีใครปกป้องเขาได้ตลอดไปถ้าผีนั่นเกาะติดเขาอยู่

...ไม่สิ ไม่มีผี โลกนี้ไม่มีผี...

เสียงถอนใจยาวดังแว่วมา ประโยคต่อไปสุภาพขึ้น

‘เมื่อไรจะเลิกหลอกตัวเองเสียที ปิ๊งไม่หักคอคุณหรอกน่า’

คำสัญญานั้นไม่ช่วยให้เขาใจชื้นขึ้นได้เลย เขาหลับตา กลืนน้ำลายอีกรอบ อยากหันแต่ไม่กล้าหันไปข้างหลัง...

‘แล้วปิ๊งก็ไม่ได้อยู่ข้างหลังนั่นด้วย’

เสียงใสๆ นั้นบอกพลางถอนใจอีกรอบ กระแสเย็นวูบแตะลงกับแขนเขาเหมือนมีใครสะกิด ‘อยู่ข้างๆ นี้ต่างหากล่ะ’

ไตรตัวแข็งทื่อ ขยับไม่ออกอยู่สามอึดใจ ก่อนจะแข็งใจรวบรวมสติอีกรอบ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้หรอกโว้ย!

โลกนี้ไม่มีผี!

ชายหนุ่มหันขวับไปทางเบาะที่นั่งข้างๆ อย่างจะยืนยันกับตัวเอง ...เห็นไหมล่ะ ว่างเปล่า เขาคิดไปเองทั้งนั้น...

...ว่าง...

ความคิดนั้นขาดหายไปในหัวเมื่อเขาสังเกตเห็นร่างใสเลือนรางนั่งอยู่ข้างเขาในรถยนต์ ใสจนเขาเกือบมองไม่เห็น...คงมองไม่เห็นถ้าร่างนั้นจะไม่เรืองแสงอยู่จางๆ ในความมืด

ไตรอ้าปาก ปิดปาก แล้วก็อ้าปากออกอีกรอบเหมือนปลาสำลักน้ำ หลับตา ลืมตา มองซ้ำ ก่อนจะร้อง “เหวออออออออ!” ลั่นออกมา

เสียงถอนใจดัง ‘เฮ่อ’ แว่วมาเข้าหูเขาอีกครั้ง เกือบจะไม่แทรกเข้าไปในสติที่แตกไปเรียบร้อยแล้วของชายหนุ่ม ตามมาด้วยเสียงบ่นพึมพำเหมือนอ่อนระอา ‘เห็นปิ๊งแล้วสินะคะ คราวนี้เชื่อได้หรือยังว่าผีน่ะมีจริง?’

++++++++

...ผู้ชายตรงหน้าเป็นคนหัวรั้นที่สุดเท่าที่เธอพานพบมาเลยละ ถ้าเป็นคนอื่นก็คงเชื่อไปตั้งหลายชั่วโมงแล้วว่ามีผีพยายามติดต่อกับตัวเองอยู่...

ปุษยาคิดอย่างอ่อนใจเมื่อเธอจ้องหน้าไตร ดูเขาพยายามรวบรวมสติที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลับคืนมา ก็ยังโชคดีที่เจ้าตัวดูขวัญแข็งพอสมควร เธอยังไม่อยากให้เขาตกใจจนเพี้ยนถาวรไปเลยหรอก แบบนั้นจะได้ประโยชน์ตรงไหนกัน

“ดีขึ้นยังคะ”

เธอถามออกไปดื้อๆ และชายหนุ่มก็สะดุ้งโหยงขึ้นอีกรอบ เขาหลับตา ยกมือขึ้นปิดหน้า ส่งเสียงคราง “อย่าเพิ่งพูดอะไรได้ไหม” อย่างที่ทำให้ปุษยาต้องกลอกตา เริ่มรู้สึกฉุนขึ้นมานิดหน่อย

“นี่ฉันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ เลือดโชก ตัวเละหรือยังไงกัน อย่ามาทำผวาเกินเหตุแบบนั้นนะ ฉันไม่เชื่อว่าสภาพฉันมันสยองอะไรนักหนา ร่างฉันในโรงพยาบาลยังอยู่ดีแท้ๆ”

“บอกว่าอย่าพูด! ผมไม่อยากได้ยินเรื่องศพคุณ!”

ไตรแหกปากร้องเสียงหลง ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากมือตัวเอง และปุษยาก็ยิ่งฉุนขึ้นไปอีก เธอสวนกลับเกือบเป็นกรี๊ด

“ไม่ใช่ศพย่ะ! ฉันยังไม่ตาย แค่โคม่า อย่ามาแช่งกันนะ!”

“หือ?”

คำว่า ‘ยังไม่ตาย’ เหมือนจะเรียกสติชายหนุ่มกลับคืนมาได้นิดหน่อย เพราะเขาเงยหน้าขึ้น แยกนิ้วออก มองผ่านช่องว่างนั้นมาทางเธอ...เพ่งพินิจขึ้นกว่าเดิม และที่สุดเขาก็ยอมลดมือลง ถามอย่างลังเล และคราวนี้ความกลัวเหมือนจะหายไปกว่าค่อน

“คุณยังไม่ตายจริงอ้ะ”

ปุษยาทำหน้าคว่ำ กำมือเข้า นึกอยากซัดคนตรงหน้าเสียให้เต็มรัก... เสียงเอ่ยออกปนแหว

“ตายไม่ตายมันต่างกันตรงไหนยะ? ถ้าฉันตายแล้วนายจะไม่ยอมพูดกับฉันใช่ไหม”

“ก็วิญญาณคนเป็นมันสยองน้อยกว่า หรือคุณจะเถียง เอาเป็นว่าผมยังไม่อยากเที่ยวบอกใครต่อใครว่ามีคนตายมาพูดกับผมก็แล้วกัน” ไตรตอบหน้าตาเฉย เขาเพ่งมา ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจขึ้นเล็กน้อย “เออ ดูดีๆ แล้วคุณไม่เละจริงๆ ด้วย”

“ฮึ้ยยยย!” เด็กสาวไม่รู้จะว่าอย่างไรดีกับคำพูดของอีกฝ่าย ได้แต่ค้อนขวับก่อนจะแค่นเสียงออกมา “ต้องดูกี่รอบนายถึงจะตัดสินใจได้ว่าฉันไม่เละ ของแบบนั้นมันน่าจะเห็นตั้งแต่แรกนะ”

“ก็คุณตัวใส” ชายหนุ่มบอก “ใสมากเลย...เหมือนเงาจางๆ ซีดๆ ผมเห็นคุณไม่ชัดหรอก เว้นแต่จะตั้งใจมอง แล้วทีแรกผมก็ไม่อยากตั้งใจมองด้วย กลัวว่าคุณจะมาแบบเฟะๆ เน่าๆ...”

ปุษยาทำตาเขียว ทำให้วาจานั้นขาดหายไป และไตรก็หดหัวคล้ายเพิ่งรู้สึกว่าตนพูดอะไรผิดไป เขาสั่นศีรษะ ทำท่าเหมือนกลัวเธอจะจับหักคอแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “ช่างมันเถอะ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแน่ คุณบอกว่าคุณโคม่าอยู่งั้นเหรอ” เขามองมาอีกรอบ ความสงสัยเข้ามาแทนที่ความกลัว “ขอโทษนะ ผมรู้ว่าไม่ควรถามอายุผู้หญิง แต่คุณดู...ยังเด็กมากเลย”

ถ้าฟังจากน้ำเสียงเขา ใครมาได้ยินคงนึกว่าเธออายุสักห้าขวบ ปุษยารู้ว่าตัวเองดูอ่อนกว่าอายุนิดหน่อย... แต่ถ้ามีอะไรที่เธอไม่อยากได้ยินที่สุด ก็คือการได้ยินหนุ่มหล่อชวนกรี๊ด (แม้จะเสียเครดิตความน่ากรี๊ดไปบ้างหลังเขาชิงกรีดร้องกลัวผีใส่หน้าเธอ) ตราหน้ากันซึ่งๆ ว่าเธอเป็นเด็กนี่แหละ เด็กสาวจึงทำเสียงขึ้นจมูก สวนคำกลับ

“ไม่ได้เด็กขนาดนั้นสักหน่อย ปิ๊งเลือกตั้งได้แล้วนะ”

กับถ้อยนั้น...ไตรมองมาเหมือนไม่อยากเชื่อ และเธอก็รู้สึกหน้าร้อนขึ้น เธอไม่คิดว่าวิญญาณจะหน้าแดงได้หรอก โดยเฉพาะถ้าตัวเธอใสขนาดที่เขาพูด แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะน่า...ฮึ้ย...

และเมื่อชายหนุ่มยังไม่ยอมละสายตา เด็กสาวก็ถลึงตาใส่เขาอีกรอบ ก่อนจะเอ่ยอุบอิบอย่างไม่อยากสารภาพนัก “ปิ๊งไม่ได้โกหกนะ ปิ๊งครบสิบแปดแล้ว...เมื่อสามวันก่อน”

คราวนี้ไตรหัวเราะพรืดออกมา คนบ้าอะไรหัวเราะใส่ผี? ปุษยาคิดแล้วได้แต่เข่นเขี้ยว นี่ถ้าเธอมีอิทธิฤทธิ์กว่านี้ละก็...จะจับเขาเขย่าให้หัวหลุด

“ไม่เด็กก็ไม่เด็ก”

ชายหนุ่มว่า แต่น้ำเสียงเหมือนกำลังตามใจเธอมากกว่าจะคิดแบบนั้นจริงๆ และเขาก็ออกปากถามอย่างผ่อนคลายกว่าเดิม เหมือนเริ่มลืมไปแล้วว่าเธอเป็นวิญญาณ หรือไม่...ก็ไม่แคร์ “คุณชื่อปิ๊งหรือ”

“ค่ะ” เด็กสาวเสริมด้วยชื่อจริงนามสกุลจริงของตัวเองเสร็จสรรพ ก่อนจะตามด้วยคำขยายเพิ่มเติมเป็นชุดเมื่อตระหนักขึ้นมาได้ว่าคนตรงหน้าเริ่มยอมฟังเธอโดยไม่เอาแต่แหกปากร้องโวยวายแล้ว

ฮูเร!

“แล้วเหมือนที่บอกไป ผู้ชายคนที่อยู่กับยัยเชรีในร้านนั่นอ้ะ พี่เป้ พี่ชายของปิ๊ง คุณช่วยปิ๊งนะ นะ นะ กันยัยนั่นออกจากพี่ชายปิ๊งที ปิ๊งพยายามแล้วแต่ไม่มีใครได้ยินปิ๊ง อ้อ ยกเว้นยัยคนชื่อผึ้งอะไรนั่น แต่สงสัยจะเพราะตอนนั้นปิ๊งโมโหสุดๆ มากกว่า นี่ถ้าไม่ใช่...”

“เดี๋ยว เดี๋ยว”

ไตรรีบขวางทัพก่อนเธอจะทันได้เอ่ยอะไรมากไปกว่านั้น เขายกมือขึ้นกุมขมับ ทำท่าเหมือนเริ่มปวดกะโหลกขึ้นมาอีกรอบ “เอาทีละเรื่อง บอกผมก่อนได้ไหมว่าทำไมคุณถึงมาเป็นวิญญาณอยู่อย่างนี้ถ้าคุณยังไม่ตาย แล้วค่อยไปเรื่องทำไมคุณถึงมาตามตื๊อผม”

“ปิ๊งไม่ได้ตามตื๊อคุณ ปิ๊งแค่พยายามขอให้คุณช่วย แล้วปิ๊งจะมาเป็นงี้ได้ไงมันก็ไม่สำคัญสักหน่อย นี่มันสถานการณ์ฉุกเฉิน เกิดยัยเชรีนั่นจับพี่ชายปิ๊งได้สำเร็จล่ะ ปิ๊ง...”

เสียงของปุษยาขาดไปกลางประโยคเมื่อเธอมองผ่านกระจกรถออกไปเห็นปุรณะกำลังกึ่งลากกึ่งดึงรวิสราออกมาจากร้าน หญิงสาวผู้นั้นขืนตัว จิกเท้ากับพื้น และพ่นคำพูดอะไรบางอย่างออกมาไม่หยุด แต่ชายหนุ่มไม่ฟังเสียง ท่าทางเขา ‘โหด’ จนผิดตาเมื่อหันกลับไปเถียงด้วยท่าทีเยาะหยัน และนี่เป็นครั้งแรก...ที่เด็กสาวเห็นอิทธิพลของคำสาปนั่นที่มีต่อพี่ชายของเธอจะๆ

เธอดีดตัวผึงขึ้นยืน...ร่างทะลุหลังคารถขึ้นไปครึ่งตัว และได้ยินเสียงไตรร้องเสียงหลงตามมาอีกรอบเหมือนหัวใจจะวายให้ได้

“เฮ้ยยยยยย!”

อึดใจนั้นเด็กสาวไม่สนใจ...ว่าเขาจะช็อกตายไปไหม เธอขยับจะเผ่นผึงตามปุรณะไป ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าฝ่ายนั้นคงไม่ได้ยินเธออยู่ดี พี่ชายเธอ...และอาจจะรวมรวิสราด้วย...มีภูมิต้านทานวิญญาณดีเป็นบ้า

...เรียกว่าไร้เซนส์ด้วยประการใดๆ ทั้งปวงเชียวละ...ศูนย์ ซิป ซีโร่...

เธอจึงหดหัวกลับเข้ามาในรถ คว้าตัวไตร (จริงๆ คว้าไม่ติด แต่ชายหนุ่มก็คงรู้สึกอะไรบางอย่างเพราะเขาผวาเฮือกขึ้นมาอีกรอบ) ก่อนจะยกมือขึ้นชี้ไปทางพี่ชายซึ่งกำลังพยายามลากรวิสราขึ้นรถ ส่งเสียงละล่ำละลัก

“นี่คุณ ไปห้ามเขาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไปเลยๆๆ เร็วสิ!”

“เดี๋ยวซี่ จะให้ผมสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไป พี่ชายคุณท่าทางกำลังบ้าเลือดแบบนั้นเกิดหันมาตื้บผมล่ะ”

ชายหนุ่มร้อง ก่อนจะส่งเสียงประท้วงเมื่อเธอผลักเขาไปทางประตูอีกรอบ...หรือจะพูดให้ถูกคือเอามือยันทะลุตัวเขาไปทางประตูฝั่งคนขับ “ผมยังไม่รู้อะไรเลย แฟนเขาทะเลาะกันอยู่ๆ จะให้ผมเข้าไปเสื...เอ่อ...จุ้นจ้านได้ยังไง”

“ยัยนั่นไม่ใช่แฟนพี่ฉัน”

ปุษยาเกือบกรี๊ดกับความหัวทึบของคนตรงหน้า รู้สึกอยากลุกขึ้นมาเต้นด้วยความเหลืออด “แล้วนั่นก็ไม่ใช่แค่ทะเลาะกันตามปกติด้วย มันคำสาป นายต้องไปหยุดเขาเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เลยนะ หรือจะรอให้พี่ฉันฉุดนางในฝันของนายไปปล้ำแค่เพราะนายกลัวโดนตื้บ?”

ไตรอ้าปากขึ้นมาอีก เธอไม่รู้ว่าด้วยความอยากถามหรืออยากเถียง แต่แล้วก็หุบปากฉับเมื่อมองไปทางชายหนุ่มหญิงสาวที่ยุดยื้อกันอยู่ไกลออกไป ฝ่ายหญิงกระทืบรองเท้าส้นสูงแหลมปรี๊ดขยี้ลงบนเท้าฝ่ายชาย ถลันจะหนีเมื่ออีกฝ่ายชักเท้าหนีอย่างเจ็บปวด ปล่อยมือ แต่แล้วปุรณะก็ถลันตามและคว้าตัวเธอไว้ได้ ลากกลับมา

...ดูท่าไม่ดีอย่างแรง...ตามความเห็นของปุษยา และไตรก็เหมือนจะเห็นด้วย เพราะเขาทำหน้าเคร่งขึ้น ดึงกุญแจออกจากรูกุญแจสตาร์ท หย่อนลงกระเป๋าและเปิดประตูรถ ก้าวออกไป แต่ก่อนเด็กสาวจะทันได้ขยับตาม เขาก็ยื่นหัวกลับเข้ามา

“โอเค สถานการณ์ฉุกเฉิน ผมเชื่อแล้ว แต่อย่าเพิ่งหนีไปไหนนะ จบเรื่องแล้วผมมีอะไรจะถามคุณอีกเยอะ”

จบคำเขาก็ปิดประตูรถดังปัง กดรีโมทล็อกและจ้ำอ้าวตรงไปทางปุรณะและรวิสรา ทิ้งให้ปุษยาอ้าปากค้างอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนเธอจะพุ่งออกจากรถตามไปบ้าง (แน่นอนว่าไม่ใช่ทางประตู) ส่งเสียงไล่หลัง

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ปิ๊งก็มีธุระกับคุณอีกเยอะ คุณน่ะแหละอย่ามาเปลี่ยนใจไล่ปิ๊งทีหลังก็แล้วกัน เพราะจ้างให้ก็ไม่ไป!”



พัทธมน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ย. 2556, 17:40:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ย. 2556, 17:40:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1069





<< บทที่ 4   บทที่ 6 >>
pseudolife 3 ก.ย. 2556, 22:14:25 น.
ยัยน้องปิ๊งนี่ก็น่ารักเหมือนกันน้า ^^


Amarilys 7 ก.ย. 2556, 15:26:45 น.
บรรยายเห็นภาพ ต่อมหัวเราะแตก ฮานายไตรกับปิ๊งฝุด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account