อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
สำหรับเรื่องนี้เป็นงาน y ครับ..ถ้าไม่ชอบกากบาทสีแดงขอบบนขวา แต่ถ้าชอบก็จะมีศาสนาประกอบกันไปด้วยครับ เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 49

พิมพ์รวมเล่ม แบบปริ้น ออน ดีมาน
450 หน้า ราคาขาย 350 บาท พร้อมค่าจัดส่งครับ..

สอบถามเพิ่มเติม f_nakhon@hotmail.com


ปล. เคยโพสต์ในบล็อกเมื่อปี 50 มาแล้วหนึ่งครั้งครับ...
Tags: งาน y + ศาสนา

ตอน: 25.

25.

“พ้มร้อยตำรวจตรี..รุ่งโรจน์ ศิริรัตนวงศ์..ครับ”

“พ้มร้อยตำรวจโท..สุริยา ณ กำแพงเพชร..ครับ” สุริยาทำตลกไปด้วย

“พ้มร้อยตำรวจเอก..ว่าที่สามีคุณแสงทองครับ..”

“อ๊าย..ไม่จริง ไม่ใช่..”

“หน้าตาดีนะคุณยะ..พวกเราเทียบไม่ติดเลย..สงสัยจะใช่แน่ ๆ เลย ถอดล้อแบบใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผมเห็นนะเขาพยายามเงยหน้าไปมองแสงทอง แต่รถมันบังไว้..แสงทองก็ใจร้าย ทีนี้เขามองอะไรรู้ไหม..เขามองขาคนสวยของเรา ซึ่งยืนให้ยุงกัดอยู่ได้”

“พี่รุ่งอ่ะ ไม่นะ”

“แล้วเธอรู้ได้อย่างไรว่า เป็นตำรวจคนที่หมายเธออยู่..” รู้ว่าแสงทองอายแต่รุ่งโรจน์ไม่ยอมเลิก

“ไม่รู้อะไรหรอก แค่ไม่อยากโผล่หน้าออกมาดูก็เท่านั้น”

“เซ้นส์มันบอกใช่ไหม ว่าต้องใช่..คุณว่าใช่ไหมคุณยะ..”

“ดูอายุแล้วน่าจะใช่นะ..” พอได้ยินว่าสุริยาช่วยเสริม สีหน้าแสงทองสลดวูบทันที

“พนันกันไหมแสงทอง ว่าใช่คนที่คุณป้าบอกหรือไม่..”

“ไม่..” แสงทองตอบทันควัน แถมดูพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

“แสงทองเอ๊ย ชีวิตคนเรามันเอาแน่ไม่ได้ร้อก..ผมน่ะ มองแว้บเดียวผมก็รู้แล้วว่าเป็นเขานะ ผมถึงไม่ช่วยเขาเปลี่ยนล้อไง จริง ๆ ผมก็ทำไม่ได้หรอก ไม่เคย..และถ้าเขาไม่หมายตาคุณไว้ เขาเคยเห็นหน้าคุณนี่เขาถึงยอมช่วยเรา ทั้งที่จริง ๆ เขาไม่จำเป็นต้องช่วยก็ได้ ..อยากโชว์ออฟให้สาวเห็น ผมก็เลยสนอง..อยากให้ได้คะแนนไปสักนิด..เผื่อสาวเจ้าจะเปลี่ยนใจรับรักโดยเร็วพลัน..”

“พี่รุ่ง ถ้าพี่ยังไม่เลิกพูดนะ เจอดีแน่ ๆ เดี๋ยวหาว่าหนูไม่เตือน”..แสงทองเม้มริมฝีแน่น..หน้าตาบ่งบอกว่ากำลังน้อยใจ

“เจอดีอย่างไง..”

“เหอะ เลิกพูดเถอะ หนูยิ่งกลุ้ม ๆ อยู่ด้วย..จะดี จะร้าย จะหล่ออย่างไรก็ยังไม่อยากแต่งหรอก ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย..”

“ไม่อยากแต่งก็คุยกับเขาดี ๆ บอกว่าขอดูใจไปสักพัก..ทีนี้คบกันแล้ว ค่อยมาพิจารณาอีกที หนทางไกลมันพิสูจน์คนได้นะ..ถ้าเขารักเธอ มั่นคงกับเธอ เขาก็รอเธอได้ แต่ถ้าเขาไม่รักเธอจริง หรือว่าเห็นคนอื่นดีกว่า เหมาะสมกว่า..เธอก็เป็นอิสระ”

“อย่างนั้นรึ แล้วเรื่องโมเมให้ใครสักคนหนึ่งในสองเป็นแฟนหนูนี่ไม่ต้องรึ” แสงทองปรายตาไปทางสุริยา หวังว่าคงจะเห็นอะไรในนั้นบ้าง แต่เปล่าเลย..สุริยาทำเหมือนไม่รับรู้ความรู้สึกของหญิงสาวเลยสักนิด รุ่งโรจน์ก็พูดทำนองเชียร์ให้เห็นดีเห็นงาม..

“อย่าเลยแสงทอง..สงสาร คนมีความรักเสียแล้ว ไม่อยากมีเวรกรรม ถึงคราวที่เราไปรักใครเขาบ้างจะได้ไม่ถูกขัดขวาง..ใช่ไหมคุณยะ..”

คนถูกถามหันมาแยกเขี้ยวเข้าใส่ บอกให้รู้ว่าไม่เกี่ยวนะโว้ย คุยกันเองเถอะ..

เมื่อรถเข้าสู่เขตเมืองปางจันทร์ แสงทองก็ทำท่าประหนึ่งสะบัดร้อนสะบัดหนาวขึ้นมาทันที

“กลัวอ่ะ”

“กลัวอะไร เมื่อกี้ เขาเข้าเมืองไปแล้ว...กว่าจะกลับมา ก็พรุ่งนี้...คืนนี้ทั้งคืน เธอก็ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ ไปแล้วกัน”

รถซีอาร์วีจอดที่ใต้ต้นมะขามใหญ่ ต่อท้ายกับรถคันโก้อีกสามคัน หนึ่งในนั้นเป็นรถของคุณป้าที่สุริยาพอจำได้ แต่อีกสองนั้นอาจจะเป็นของแขกที่มาพักหรือไม่ก็ ‘ว่าที่ลูกเขย’ ของป้าแสงทอง..พอลงจากรถ ผู้เป็นป้าและคนงานก็กรูออกมาต้อนรับคล้ายจะขับไล่คนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่วงศาคณาญาติให้ออกไปด้วย..

แสงทองแนะนำสองหนุ่มให้ยกมือไหว้คุณป้าและคุณลุง..พร้อมกับชะแง้เข้าไปในตัวบ้าน..คนเป็นป้ามีสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก..แล้วหันไปร้องบอกคนงานให้พาสองหนุ่มไปที่ห้องพักหมายเลขสี่..แล้วก็ดึงตัวแสงทองเข้าบ้านไป..

“ไหนว่าจะแต่งลูกสาว ดูท่าแล้วไม่น่าจะใช่นะ ไม่เห็นมีอะไรเลย ทำสีหน้าไม่ค่อยดีด้วยเมื่อเห็นเรา” รุ่งโรจน์ตั้งประเด็นเมื่อเดินเข้ามาในห้องที่เคยพักด้วยกันในเดือนกุมภาพันธ์..

สุริยานั่งลงบนเตียงที่รุ่งโรจน์เคยนอนแล้ว ดึงโทรศัพท์มือถือมาดูเวลา..

“สามทุ่มครึ่งแล้ว”

“สงสัยแสงทองไม่มาวุ่นวายกับเราแล้ว..ออกไปหาอะไรกินกันเถอะ” รุ่งโรจน์ส่งมือให้สุริยาดึงตัวเองขึ้นมาจากเตียง..

“เป็นไง..ห้องเก่าของเราสองคน” รุ่งโรจน์ทำท่าจะรวบกอด แต่สุริยาเบี่ยงตัวหลบ พร้อมกับเปิดประตูห้อง..ทำเป็นไม่สนใจ..

“ไปเถอะ หิวแล้ว..”

รุ่งโรจน์เดินตามออกมาอย่างว่าง่าย

“จะเดินไปหรือว่าเอารถไป..” รุ่งโรจน์ถาม..

“ตลาดแค่นี้เองเดินไปก็ได้..” รุ่งโรจน์เดินนำหน้าออกประตูรั้ว สุริยาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ..ยืนรอสักพัก..หันกลับมาพบว่ารุ่งโรจน์กำลังยืนสนทนาอยู่กับใครบางคน ใบหน้ายิ้มแย้ม อย่างกับได้เจอะคนคุ้นเคย..สุริยาหันกลับเดินเข้าไปในตลาดโดยไม่สนใจว่า รุ่งโรจน์จะเดินตามมาด้วยหรือไม่.. สุริยาเดินไปถึงหน้าโรงพยาบาล เจอร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าที่แสงทองพามาในครั้งนั้น ออกปากสั่งต้มยำเส้นใหญ่ด้วยความรู้สึก แปลก ๆ ..รู้ใจตัวเองว่าหึงหวง..แต่ก็พยายามระงับดับมันให้ได้..เมื่อก๋วยเตี๋ยวตามที่สั่งมาวาง..เจ้าของร้านก็ถามว่า..

“คนที่เคยมากับแสงทองใช่ไหม..นานแล้วซิหลายเดือนแล้ว”

“ครับ” สุริยาตอบสั้น ๆ ต้องการตัดปัญหา ไม่มีอารมณ์จะสนทนา

“นี่กลับมางานแต่งหนูทิพย์อาภาหรือ..”

“ครับ” ตอบรับไปอย่างนั้น

“ได้ข่าวว่าท้องก่อนแต่งนะ นี่ก็แต่งเงียบ ๆ คงมีญาติเจ้าบ่าวมาไม่กี่คน ทางนี้ก็ไม่มีญาติอยู่ที่นี่นอกจากคนงาน กับพวกข้าราชการ อีกอย่างทางผู้ชายเขาก็ยังไม่พร้อมจะมีครอบครัวด้วย แต่ดันมาท้องซะก่อน แล้วแสงทองเป็นอย่างไรบ้างล่ะ ท้องหรือยัง”

สุริยาแทบสำลักก๋วยเตี๋ยว

“ยัง...”

คนถามตาโต...

“คือยังไม่มี ไม่ได้เป็นอะไรกันครับ เราเป็นแค่เพื่อนกัน ” สุริยาช่วยแสงทองแก้ตัว และก็รู้ว่าแสงทองเริ่มไม่พอใจที่เห็นตนพยายามช่วยรุ่งโรจน์ผลักใสให้ไปเสียอีกทาง ยังไม่ทันก๋วยเตี๋ยวจะหมดชาม รุ่งโรจน์ก็เดินจ้ำพรวด ๆ ตามมาด้วยสีหน้าตึง ๆ พอหย่อนก้นลงตรงเก้าอี้ตัวตรงข้าม ก็ถามว่า..

“ทำไมไม่ยืนรอผมก่อน รีบออกมาทำไม ผมเดินหาซะทั่วเลย”

“คือ..ผมคิดว่าคุณคงอยากคุยกันตามลำพังกับคนรู้จัก ก็เลย” สุริยาหยุดพูดไปเสียดื้อ ๆ

“หึงซิ” รุ่งโรจน์ดักคอ สุริยาวางช้อนและตะเกียบยกน้ำขึ้นดื่มทำเป็นไม่ได้ยินประโยคนั้น

“กินอะไรสั่งเลย” สุริยารีบเปลี่ยนเรื่องคุย รุ่งโรจน์หันไปสั่งเส้นเล็กหมูสองชาม ..แล้วก็หันมาจ้องหน้าสุริยา..ถอนหายใจออกมา..ไม่เปิดปากเล่าเรื่องอะไร จนกระทั่งแม่ค้าปากดี เอาก๋วยเตี๋ยวมาวางแล้วก็เมาท์เรื่องนั้นเรื่องนี้ เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง จนรุ่งโรจน์ต้องหาข่าว

“ป้า บน สภอ. มีผู้หมวดเป็นโสดกี่คน”

คนตอบไม่ต้องคิดเลย

“มีคนเดียว ..หมวดก้อง หมวดเกียรติก้อง..โสดอยู่คนเดียวนอกนั้นก็จ่าแก่ ๆ กับจ่าหนุ่ม ๆ ..มีอะไรรึ” ดูจะมีเชื้อพวกปาปารัชซี่เหมือนกัน

“เปล่า ..แล้วหน้าตาเป็นอย่างไรป้า..”

“อู๊ย..หล่อ..หล่อที่สุด..สาว ๆ ในปางจันทร์กรี๊ดสล๊บ เพิ้นหล่อมาก หุ่นก็สม๊าท” ท้ายประโยคเป็นสำเนียงเหนือ

“โสดเฉพาะที่ปางจันทร์หรือเปล่า มีเมียอยู่ที่อื่นรึเปล่าป้า ส่วนใหญ่พวกตำรวจเวลามาอยู่ไกลบ้านไกลช่อง มักจะอ้างว่าตัวยังโสด เอาไว้หลอกสาว ๆ พอเสียตัวให้ ปรากฏว่าเมียหลวงตามมาด่าก็เยอะแยะ”

“ไม่หรอก เพิ้นไม่สนใจสาวคนใด๋หรอก สาว ๆ ที่นี่อกหักกันระนาว..”

สุริยาถอนหายใจออกมา ส่วนรุ่งโรจน์ทำหน้ายิ้ม ๆ กินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ สุริยาจ่ายเงิน แล้วก็ลุกขึ้นเดินนำกลับไปที่เกสเฮ้าส์ คืนนั้นพระจันทร์มีเพียงครึ่งดวง ท้องฟ้าไร้เมฆ จึงกระจ่างด้วยหมู่ดาว กับลมเย็นรำเพยพัดจนต้องเดินกอดอก รุ่งโรจน์เดินมาทันแล้วก็เกาะบ่าเดินไปเคียงกัน

“เป็นอะไร”

“ง่วงนอน” สุริยาตอบไม่ตรงกับความเป็นจริง

รุ่งโรจน์ปล่อยมือ หยุดยืนอยู่กับที่ ปล่อยให้สุริยาเดินกลับบ้านไปเพียงลำพัง พอถึงที่พักสุริยาก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกจากห้องมาเข้าห้องน้ำด้านนอก อาบน้ำเสร็จกลับออกมาพบว่ารุ่งโรจน์กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่กับผู้ชายคนที่คุยกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มยิ่งกว่าตอนสามทุ่มครึ่ง สุริยาไม่สนใจจะเข้าไปร่วมวง พอถึงห้องสวมเสื้อผ้า กินยาแก้แพ้อากาศ นั่งคุกเข่าสวดมนต์ดับอารมณ์พลุ่งพล่านก่อนจะล้มตัวดึงผ้าห่มคลุมกาย

อากาศที่ปางจันทร์เย็นสบายตลอดปี ยิ่งกลางฤดูฝนอย่างนี้ รอบ ๆ บริเวณ น้ำคงเจิ่งนอง พรุ่งนี้เขาจะรีบตื่นแต่เช้าไปหาซื้อของใส่บาตร แล้วก็จะมาเอาจักรยานปั่นออกไปที่น้ำพุร้อน ไปยืนดูจุดเริ่มต้นของชีวิต จะไปดูท้องนาขั้นบันไดสีเขียวซับซ้อน ไปดูวิถีชีวิตชาวบ้านชนเผ่าต่าง ๆ ให้เต็มตา นั่งรถผ่านป่าเขามา รู้สึกประหลาดผิดวันที่นั่งมาและนั่งกลับในครั้งนั้น..รู้สึกเบื่อหน่ายอยากปลีกวิเวกพักกาย..และที่สำคัญพรุ่งนี้เขาจะกลับไปที่ตรงนั้น ที่พบกับคนดี จะเอาใจของตนที่ทำหล่นไว้กลับคืนมา..คิดอะไรเพลิน ๆ เพลีย ๆ แล้วก็ม่อยหลับไป

มาสะดุ้งตื่นอีกทีเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู พร้อมกับเสียงพูดคุยกันระหว่างผู้ชายสองคน..

“วิชช์..โอเค เราไหว นายไม่ต้องห่วง กลับห้องเมียนายไปเถอะ..กลับไปเลย..เราดูแลตัวเองได้ ..”

น้ำเสียงคล้ายประชดประชัน

“แต่นายเมามากนะรุ่ง” น้ำเสียงของคนชื่อวิชช์ฟังอบอุ่นเอื้ออาทรกว่ารุ่งโรจน์เสียอีก..สุริยาไม่กล้าลืมตา ด้วยเกรงว่าจะเห็นภาพอันไม่พึงใจ

“ไม่เปิดไฟหน่อยรึ”

“ไม่ต้อง..เพื่อนรักของเราหลับไปแล้ว เกรงใจ..ไป นายกลับไปห้องนายเถอะ ..เมียนายรออยู่..ไปซิ” และท้ายประโยคทำนองกระซิบถามว่า..

“เฮ้ย..วิชช์นายทำเป็นหรือวะ ลูกนายจริง ๆ หรือวะ เราไม่เชื่อว่ะ เราไม่เชื่อ”

แล้วเสียงประตูก็ปิดดังปึง..พร้อมกับที่รุ่งโรจน์กระโจนมาบนเตียงนอนกอดรัดคนที่แกล้งนอนหลับพร้อมกับระดมจูบไปทั่วใบหน้า

“คุณรุ่ง..” สุริยาผงะ พร้อมกับผลักใสให้พ้นตัว

“คุณรังเกียจผมอีกคนหนึ่งเหรอ คุณจะทิ้งผมไปอีกคนใช่ไหม จะทิ้งผมเหมือนมันใช่ไหม..” เสียงคนเมาดังกว่าปกติ..สุริยาเริ่มประติดประต่อเรื่องราว

“วิชช์ วิชช์” คำละเมอในคืนนั้นที่กำแพงเพชร..ไอ้หมอนี่เอง..กำลังจะแต่งงานกับทิพย์อาภาพี่สาวแสงทอง..ทำได้รึ เป็นไปได้รึ..

“คุณรุ่ง คุณร้องเพลงให้ผมฟังสักเพลงซิ ประมาณว่าเพลง อกหัก หรือว่ารักต้องเลือกทำนองนั้น ผมอยากฟังจัง..เพลงเก่า ๆ ก็ได้ หรือจะเอาเพลงพี่เบิร์ดก็ได้ เพลงถ่านไฟเก่าก็ได้นะ..ผมชอบ เพราะว่าเธอและเขา ถ่านไฟเก่ามันร้อนรอวันรื้อฟื้น แล้วคนมาทีหลังต้องทนต้องฝืน อย่างฉันคนนี้..เธอช่วยบอกวิธีให้ทำใจ”

เสียงของรุ่งโรจน์อ้อแอ้อย่างที่สุริยาไม่เคยเห็น แต่เพลงที่รุ่งโรจน์ร้องมานั้นเนื้อหามันเหมาะกับคนอย่างเขามากกว่า..

‘เธอช่วยบอกวิธีให้ทำใจ ..เพราะถ่านไฟเก่าของเธอยังมีไฟ ..อย่าให้ฉันต้องตายในกองไฟ’

ไม่มีทางที่คนอย่างสุริยาจะตายในกองไฟเด็ดขาด..ไฟคือราคะ ต้องใช้สติช่วย รักมันเกิดขึ้นที่ใจก็ดับมันที่ใจ..ต้องทำให้ได้..ตั้งใจว่าจะหลับโดยไม่เหลียวหลังไม่สนใจคนเมาแล้วเพ้อเจ้อ ..แต่

“คุณยะ ผมปวดห้องน้ำ ประคองผมไปหน่อยได้ปะ ผมเดินไม่ไหว ห้องน้ำที่นี่มันไกลจังเลย ถ้ามีทางเลือกผมไม่พักนะที่นี่ แต่นี่มันมีที่เดียว จำใจครับจำใจ..”


สุริยาจำต้องประคับประคองคนเมาไปที่ห้องน้ำ ..ประคองให้ยืนถ่ายเบาแล้วก็ตักน้ำให้ล้างหน้าล้างปาก ล้างแขนและเท้า

“ผมเคยรักมันมากคุณรู้ไหม..”

คนได้ฟัง กลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ใจที่คิดว่าฝึกไว้ดีแล้วเริ่มพลุ่งพล่าน..เจ็บแปลบประหนึ่งถูกหนามตำหัวอก

“แต่ตอนนี้ผมรักคุณมากกว่ามันอีกตั้งร้อยเท่า ..คุณเชื่อผมไหม...” ว่าพลางคนเมาทำท่าจะจูบ แต่สุริยาบ่ายเบี่ยงแล้วรีบพารุ่งโรจน์กลับเข้าห้อง ด้วยความหวั่นใจ ..กลัว..กลั๊ว..กลัว ว่าจะมีใครสักคนมาได้ยินเรื่องทั้งหมด

เอาไงดี อยู่ต่อหากรุ่งโรจน์ยังมีเมามาย คงได้คายทุกอย่างให้แสงทองและพี่สาวได้รับรู้ แล้วจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วนายวิชช์นั่น ก็ดูยังอาลัยอาวรณ์ต่อกัน

‘บางคนเขาได้ทุกอย่าง หญิงก็ได้ชายก็ได้ พวกเห็นแก่ตัว ต้องการมีแต่สุข แต่ไม่คิดถึงทุกข์ของผู้หญิง’ ต้องขอบคุณนายต้องที่แสดงความคิดเห็นไว้ดังนี้

คืนนั้นเป็นอีกคืนที่สุริยานอนไม่หลับ พลิกซ้ายขวาคิดสะระตะ จนกระทั่งม่อยหลับในตอนใกล้สว่าง

พอสว่าง..คนที่ปลุกให้ตื่น ดึงให้ลุกนั่งก็คือรุ่งโรจน์คนที่เมามายจนเพ้อพบ

“ไหนคุณว่าจะไปใส่บาตรไง..สายแล้วนะ”

“ไม่ไปหรอก ไม่ไหว..ง่วง” สุริยาล้มตัวลงนอนต่อ รุ่งโรจน์ลุกออกจากเตียงเปิดประตูออกไปห้องน้ำ สักพักคงกลับมาเอากระเป๋าสตางค์แล้วก็หายออกไปพักใหญ่ กลับมาอีกทีเกือบสองโมงเช้า

“ตื่นได้แล้วคุณยะ สายแล้วนะ วันนี้คุณเป็นอะไรเนี่ย ไม่เคยอย่างนี้นี่นา” ว่าแล้วก็เอามือตรวจสอบอุณหภูมิบนร่างกาย..เห็นว่าปกติ..

“อยากเป็นคนขี้เกียจดูบ้างก็เท่านั้น..”

รุ่งโรจน์ถือวิสาสะนอนกอดซบอยู่ที่ยอดอก ถ้าสัมผัสลักษณะนี้สุริยาจะไม่กล่าวว่าอะไร

“ตกลง เราจะอย่างไรกับเรื่องที่นี่..”

“กลับ กทม. วันนี้เลย ไม่อยู่แล้วงานแต่ง เพราะเขาคงไม่ต้องการแขกผู้มีเกียรติเช่นเรา”

“แสลงใจหรือเปล่า” สุริยาถาม รุ่งโรจน์สั่นศีรษะ

“รู้ตัวหรือเปล่าคุณรุ่ง เมื่อคืนคุณพูดอะไรออกมาบ้าง”

“รู้ ผมแกล้งเมา และก็รู้ด้วยว่าคุณหึงผมมาก” ว่าแล้วก็จูบตรงหัวใจของสุริยา

“ไปอยู่เมืองนอกกันไหม” รุ่งโรจน์เปรยเบา ๆ สุริยาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยไม่เคยมีความคิดเหล่านี้คิดอยู่ในหัวสมอง

“ที่นั่นจะมีแค่เราเพียงสองคนกับคนที่เขายอมรับเรื่องแบบนี้ได้”

“ฟุ้งซ่านใหญ่แล้วคุณรุ่ง..ไปกินอะไรมาเนี่ย..” สุริยาหาทางออก ไม่ให้รุ่งโรจน์รู้สึกขายหน้า

“คุณพูดคำเดียวว่าคุณรักผม ผมพร้อมจะทำตามใจคุณทุกอย่าง ผมจะทำให้คุณมีความสุขที่สุด”

“ประชดใครหรือเปล่า” สุริยาแกล้งถามด้วยเห็นว่าวันนี้เขาเพ้อผิดปกติ

“เราขาดกันนานแล้วคุณรุ่ง นานหลายปีแล้ว เขาอยากเป็นผู้ชายปกติคนหนึ่ง เขาอยากมีครอบครัว มีเมีย มีลูก ก็หาจนได้นะ แถมมาจุดไต้ตำตอเสียด้วย” รุ่งโรจน์เปิดเผย

“แล้วคุณล่ะ ไม่อยากมีชีวิตที่สมบูรณ์เพียบพร้อมอย่างนั้นบ้างหรือ”

“แล้วคุณล่ะ คุณคิดหรือเปล่า ผมก็เคยคิด เคยที่จะฝืนความรู้สึกของตัวเอง แต่มันไม่มีความสุข...”

“คุณเคยคิดที่จะอยู่อย่างไม่มีใครไหม? อยู่คนเดียว ตามลำพัง”

“ผมดิ้นรนแสวงหาความรักมาตลอด..ผมอยากรักใครสักคนด้วยหัวใจรัก มีใครสักคนรักผมด้วยหัวใจรักเช่นกัน ไม่ได้หวังในสมบัติพัสถานของผม เข้าใจในแบบที่ผมเป็น”

สุริยาหลับตา รุ่งโรจน์จึงค่อย ๆ โน้มจมูกค่อย ๆ เคลียคลอที่หน้าผากไล่เรื่อยมาถึงพวงแก้มและซอกคอ “จะให้ผมพูดอีกกี่รอบผมก็พูดเหมือนเดิม ผมรักคุณนะครับ ..รักแบบไม่มีเหตุผล รักที่เกิดขึ้นมาเอง..และก็ไม่เคยคิดเบื่อที่จะต้องออกไปลำบากกับคุณสักครั้ง”

“คุณรุ่ง” สุริยาเบือนหน้าหนีการสัมผัส เอามือมาปิดบังใบหน้าเป็นเชิงห้ามปรามไว้

“ขอเวลาผมสักพักนะครับ คือผม..ผม..” สุริยาอยากจะบอกว่า

‘ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเข้าใจ’ แต่ก็รู้ว่านั่นคือการโกหก..ตัวเองเป็น แต่ไม่ได้ต้องการสุขจากการร่วมเสพสม สุริยาต้องการเท่าที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้เท่านั้น แต่ก็รู้ว่า ขืนยังอยู่ใกล้ชิดกันอยู่เรื่อย ๆ มันต้องมีการเลยเถิด เพราะอำนาจแห่งกาม ยามที่มันกำเริบขึ้นมาก็ยากที่จะระงับ

“ผมแค่อยากรู้ว่าในหัวใจของคุณมีผมบ้างไหมก็เท่านั้น”

ยังไม่ทันที่สุริยาจะตอบว่าอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น..ไม่เปิดก็รู้ว่าเป็นแสงทอง เพราะจำท่วงจังหวะเว้นเคาะได้ รุ่งโรจน์จูบแรง ๆ ที่หน้าผากสุริยาอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจและลุกขึ้นสำรวจดูเสื้อผ้าของตนแล้วไปเปิดประตูรับสาวสวยหลานสาวเจ้าของบ้านพัก

“พี่ไปกินข้าวกันเถอะ” สีหน้าคนมาชวนไม่ค่อยสู้ดีนัก แสงทองไม่ก้าวเข้ามาในห้องอย่างวันก่อน เมื่ออยู่ในสายตาผู้ใหญ่ดูหญิงสาวรู้จักกาลเทศะ

“ดีหรือ” รุ่งโรจน์ยังกังวล หันไปหาสุริยาใช้สายตาถามความคิดเห็น

“พี่สองคนจะกลับ กทม. กันตอนสาย ๆ ..พอดีแม่พี่โทรมาตามว่ามีธุระสำคัญ..เสร็จงานแต่งพี่สาวเธอแล้ว จะพักอยู่กับคุณป้าก่อนก็ได้นะ” รุ่งโรจน์โกหกนำทาง สุริยาจึงคล้อยตาม

“ไม่ต้องรีบกลับ ไม่ต้องห่วงทางโน้นหรอก สุพรรณบุรี แค่คันเดียวพี่ไปคนเดียวได้” สุริยาช่วยเสริม

สีหน้าแสงทองหม่นลงทันที

“ทิ้งกันเลยเหรอ..อยู่ก่อนได้ไหม..”

“ไม่ได้หรอกแสงทอง บอกตามตรงนะ นายวิชช์ว่าที่เจ้าบ่าวพี่สาวเธอ ผมรู้จัก ผมไม่ค่อยชอบขี้หน้ามันนักหรอก..ไม่อยากอยู่เจอะพ่อแม่มันหรอก น้องเข้าใจนะ” โกหกเพิ่มเติมจะได้สมจริงสมจัง

“เมื่อคืนเห็นนั่งดื่มด้วยกัน” แสงทองยังค้าน

“ดื่ม ทั้งที่ไม่ชอบกันนี่แหละ..มันชวน ก็เอากับมันสักหน่อย เห็นมันมาต่างบ้านต่างเมือง..แต่ไม่ชอบหน้ามันหรอก” รุ่งโรจน์ยังยืนกรานคำเดิม

เมื่ออยู่ในวงข้าว รุ่งโรจน์กับวิชช์แทบไม่มองหน้ากันจริง ๆ สุริยาเองก็พลอยก้มหน้าก้มตาตักอาหารเข้าปากเงียบ ๆ มีแต่พี่ทิพย์อาภาคนเดียวเท่านั้นที่ซักถามคนนั้นคนนี้ ตลอดการรับประทานอาหาร

โดยเฉพาะรุ่งโรจน์หนุ่มไฮโซ ที่บังเอิญ ๆ มาตกระกำลำบาก ณ ปางจันทร์ จนได้รู้จักกับแสงทองและสุริยา จนกลาย เป็นที่มาของรุ่งแสงสุริยาทัวร์

ทิพย์อาภาพยายามคะยั้นคะยอให้ทั้งสองหนุ่มอยู่ร่วมงานแต่งของตน แต่รุ่งโรจน์ก็อ้างว่าติดธุระในเช้าวันอาทิตย์ ต้องเดินทางไปต่างประเทศกับคุณแม่ ทิพย์อาภาก็เฝ้าเพียรพยายาม จนกระทั่งว่าที่สามีต้องเอ่ยขึ้นว่า

“เหตุผลเขามี อย่าไปรั้งเขาไว้เลยครับคุณทิพย์”

“ครับคนจะไป รั้งอย่างไรมันก็ต้องไป ปล่อยให้มันไปเถอะครับ ถ้ามันไปแล้วมีความสุขกว่าอยู่”

สุริยาแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่ารุ่งโรจน์จะพูดเช่นนั้นออกไปได้



รถสองหนุ่มแล่นออกจากรั้วบ้านของป้าแสงทองพร้อมกับข้าวเหนียวหมูทอดและถุงส้มที่แสงทองนำมามอบให้ไว้เป็นเสบียงเลี้ยงตัว

รถมุ่งหน้าไปทางวัดปางจันทร์ ต้นทางสู่รอยพระบาทบนยอดเขาปางจันทร์

“เมื่อเช้าผมมาเดินเล่นในวัด..”

“มาทำไม..”

“มาดูทำเลก่อสร้างพระธาตุปางจันทร์” รุ่งโรจน์พูดจบ สุริยาขนลุกเกรียวจนต้องยกมือขึ้นลูบที่ต้นแขน แล้วรถก็หยุดตรงทางขึ้นเขาลูกเตี้ย ๆ ซึ่งอยู่ท้ายวัด

“ตรงนั้นเหมาะนะ ไม่สูงมากนัก แต่ก็เด่นเชียว ผมถามหลวงพ่อแล้ว ท่านว่าเป็นที่ดินของวัด ข้างบนเป็นลานกว้าง ถางไว้แล้ว เราจะขึ้นไปดูสักหน่อยไหม”

ทั้งสองค่อย ๆ ไต่ดินและหินลาดชันขึ้นไปเรื่อย ๆ ระยะทางสักร้อยกว่าเมตร..ทำให้เหนื่อยหอบ..แต่พอขึ้นไปถึงได้เห็นปางจันทร์ในอีกมุม รู้สึกทันทีว่าใช่เลยตรงนี้..สุริยากวาดสายตามองเนื้อที่..พบศาลาหลังเล็ก กับพระพุทธรูปปูนปั้น จึงชวนรุ่งโรจน์ไปจุดธูปตั้งจิตอธิษฐาน อ้างสัจจะความตั้งใจที่จะกระทำการสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้น

“หากแม้นกระผมมีบุญบารมีที่จะสร้างพระธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์ใดองค์หนึ่ง ณ ที่แห่งนี้ ขอให้พระสารีริกธาตุองค์ที่ผมมีบุญวาสนาร่วมด้วยนั้น จงเสด็จมาสู่กระผมและเราทั้งสอง คนใดคนหนึ่งด้วยเถิด” ว่าจบสุริยาก็ปักธูป สำรวมใจส่งถึงองค์พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานนานแล้ว..พอลืมตาพบรุ่งโรจน์มีสีหน้างุนงง

“เสี่ยงสัตย์อธิษฐานไปก่อนคุณรุ่ง..ถ้าเรามีบุญมีวาสนา คงจะมีสื่อมาเพิ่มกำลังใจ
ให้กับเรา ขืนเราคิดแต่ว่าจะสร้าง ๆ แต่มันไม่ใช่ที่ของเรา ไม่ใช่วาสนาของเรา อุปสรรคมันก็จะเยอะแยะมากมายจนอาจจะสร้างไม่เสร็จก็ได้..ดังนั้นจึงต้องเสี่ยงทายไปก่อน ถ้าเราได้มาจริง ๆ มีมาจริง ๆ เมื่อนั้น ..เราก็ค่อย ๆ ดำเนินการได้เลย ..คุณว่าดีไหม”

“อะไรที่คุณว่าดี ผมก็ดีตามไปด้วยแหละ คุณก็รู้นี่”

“ผมบอกแล้วไง ผมอยากให้คุณคิดจะสร้างด้วยความเลื่อมใสศรัทธาของตัวคุณเอง เพราะถ้าไม่มีผมคุณก็สร้างเสร็จ แต่ถ้าคุณคิดอย่างนี้ ..ไม่มีผม คุณเลิก ก็เหลือเป็นตอหม้อให้ชาวบ้านเขาด่าเอา”


แล้วรถคันนั้นก็มาหยุดตรงที่รุ่งโรจน์ประสบอุบัติเหตุ..

“อ้าวใครมาตัดต้นพุทราออกไปเสียแล้ว” คนที่เคยลิ้มรสหนามแหลมดูจะผิดหวังที่ไม่ได้เห็นคู่กรณี

“อาลัยอาวรณ์อะไรมันรึ อยากจะชนกับมันอีกสักรอบหรือไง”

“เปล่า ผมจะขอบคุณมันที่ทำให้เจอะกับคุณต่างหาก” รุ่งโรจน์ไปเสียอีกทาง

“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้นะคุณรุ่ง ผมอยากจะขับรถออกจากน้ำพุร้อนให้เร็วกว่านี้นิดนึง ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงไม่ได้พบคุณอย่างแน่นอน”

“แต่เราก็แก้ไขอดีตไม่ได้แล้วคุณยะ..เราพบกันแล้วและผมก็รักคุณไปแล้ว”

“วาจาคุณนี่..ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมคงอ่อนปวกเปียกหมดแรงเดิน..”

“คุณคิดว่าผมพูดเล่นซิ ผมพูดจริง ๆ ตั้งใจฟังให้ดีนะ”

ว่าแล้วรุ่งโรจน์ก็เอามือป้องปากตน แล้วก็ตะโกนจนก้องท้องทุ่งและหุบเขากับประโยคที่ว่า

“คุณยะ คุณยะ ผมรักคุณ รักคุณที่สุด คุณได้ยินไหม?”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มิ.ย. 2554, 00:50:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มิ.ย. 2554, 00:50:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1653





<< 24.   26. >>
innam 8 มิ.ย. 2554, 15:14:59 น.
ตามเป็นกำลังใจตลอด แต่ไม่ค่อยได้เมนท์


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account