อยากให้พระอาทิตย์ตกดินตอนสามทุ่มครึ่ง # ชอนตะวัน (จบแล้ว)
สำหรับเรื่องนี้เป็นงาน y ครับ..ถ้าไม่ชอบกากบาทสีแดงขอบบนขวา แต่ถ้าชอบก็จะมีศาสนาประกอบกันไปด้วยครับ เรื่องนี้เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ปี 49

พิมพ์รวมเล่ม แบบปริ้น ออน ดีมาน
450 หน้า ราคาขาย 350 บาท พร้อมค่าจัดส่งครับ..

สอบถามเพิ่มเติม f_nakhon@hotmail.com


ปล. เคยโพสต์ในบล็อกเมื่อปี 50 มาแล้วหนึ่งครั้งครับ...
Tags: งาน y + ศาสนา

ตอน: 26.

ตอนที่ 26.

ถ้าเป็นคนอื่น โลกทั้งใบคงกลายเป็นสีชมพู แต่สำหรับนายสุริยาคนนี้ พอได้ยินประโยคนั้น โลกที่เป็นสีฟ้าสดใส ไร้แรงลม กลับคล้ายจะมีเมฆครึ้มและพายุตามกระหน่ำ

คำว่า “รัก” เมื่อได้ยิน สุขและทุกข์มันวิ่งมาพร้อม ๆ กัน..เป็นไปได้ มีด้วยรึ ชายรักชายมั่น..ไม่ทิ้งกัน..ไม่สนคำคน..ไม่จนมุมพ่อแม่..บุญแล้วที่มีสติยับยั้งชั่งใจ วันหนึ่งข้างหน้า ถ้าต้องเจ็บ จะได้ไม่เจ็บมาก..

พอรถเคลื่อนออกจากตรงนั้นมุ่งหน้าไปน้ำพุร้อน และวกกลับมาสู่ทางหลวงมุ่งไปอำเภออมก๋อย..และสุริยาก็เพิ่งจะสังเกตว่าทางซ้ายมือขาออกจากเมืองสักสามกิโลเมตรมีป้ายชี้ให้เลี้ยวซ้าย แจ้งให้รู้ว่ามีสำนักปฏิบัติธรรมอยู่ด้านใน สุริยาสั่งให้คนขับเลี้ยวซ้าย..เข้าไปได้สักกิโล ก็พบกับภูเขาลูกเตี้ย ๆ และต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมจนร่มครึ้ม รอบ ๆ ป่าไม้ก็เป็นสระบัวยาวโอบรอบขนานกับถนนพอรถวิ่งได้โอบรอบสระบัวอีกชั้น

พอลงจากรถ สุริยาก็เดินนำรุ่งโรจน์ข้ามสะพานไม้ ไปพบกับศาลา ครึ่งอิฐครึ่งไม้หันหลังให้กับภูเขา มีป้ายไม้เขียนว่า ‘ธรรมสถานปางจันทร์ สถานที่ปฏิบัติธรรม ขอความสงบ’..บรรยากาศในเวลาหลังเที่ยงนั้นร้างไร้ผู้คนเดินวุ่นวาย เห็นเพียงที่ไกล ๆ มีแม่ขาวเดินย่างก้าวซ้ายขวาด้วยความสำรวมระวัง

“ทำอะไร” รุ่งโรจน์กระซิบถาม

“เดินจงกลม”

“จงกลม” รุ่งโรจน์ทวนประโยคนั้นอีกรอบ แล้วดวงตาก็มีคำถาม

“เป็นวิธีฝึกสมาธิอีกอย่างหนึ่ง..ฝึกให้มีสติ ตัวระลึกรู้ รู้อยู่ที่อาการเคลื่อนไหว..รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิด..ให้เห็นความต่อเนื่องการเกิดการดับฯ” สุริยาอธิบายเพียงแค่นั้น แล้วก็พาเดินเข้าไปที่จุดประชาสัมพันธ์ พบพระภิกษุวัยหนุ่มนั่งหลับตา หลังตรงพิงเก้าอี้ดูสบาย ๆ พอเขาชะโงกหน้ามอง ท่านก็ลืมตา สุริยายกมือไหว้

“มาทำอะไรกัน”

“มาเที่ยวครับ”


โลกเป็นสีฟ้าสดใสอีกครั้งเมื่อรถแล่นออกจากธรรมสถาน สุริยาถือแผ่นพับไว้ในมือ ตามองสองข้างทาง หูได้ยินเสียงเพลง แต่ใจล่องลอยกลับไป ณ ที่เพิ่งจากมา..สงบ สะอาด สว่าง..สถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม.. นั่ง นอน ยืน เดิน กำหนดระลึกให้รู้ทุกอิริยาบถ..มีคอร์สสำหรับญาติโยม มีคอร์สสำหรับพระภิกษุ มีกุฏิและศาลาปฏิบัติธรรมแยกเป็นสัดส่วนระหว่าง พระ อุบาสก แม่ชี และอุบาสิกาผู้ไม่โกนผม ยินดีต้อนรับเสมอหากมีใจที่จะเดินทางข้ามป่าข้ามเขามา แต่ต้องมาเพื่อค้นหาตน ค้นหาธรรมเท่านั้น..ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว ไม่เน้นกราบพระยัดเงินใส่ตู้

“ผมคิดว่า..ผมยังไม่กลับกรุงเทพฯ วันนี้หรอก แต่ผมจะไปแพร่ และน่านก่อน..ผมอยากไป พระธาตุช่อแฮ และแช่แห้ง ..แบบไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว คุณบอกเองไม่ใช่รึ ตั้งสัตย์แล้วต้องทำให้ได้..ผมตั้งใจมาไหว้พระธาตุในภาคเหนือ..ได้ไม่ครบ ก็ขอให้ครบทุกราศีที่มี..ส่วนปีวอกที่พระธาตุพนมนั้นเอาไว้มีเวลา..ผมไปอย่างแน่นอน..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์มุ่งมั่น

“ตามใจคุณแล้วกัน..แต่อย่างไรผ่านลี้ ก็อย่าลืมแวะพระธาตุห้วยต้มกับพระธาตุเจดีย์หนึ่งดวงกับ ห้าดวงให้ผมด้วยแล้วกัน”

“ได้ครับเจ้านาย สั่งมา ผมจะทำให้ทุกอย่าง...” พูดจบก็ถอนหายใจออกมา

“ป่านนี้แสงทองจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้นะ...ผมสงสารมันจังเลย...คุณไม่นึกสงสารมันบ้างรึ”

“ไอ้หนูมันรู้มันคงดีใจจนน้ำตาไหลอีก”

“คุณป้าเธอแปลก ๆ ..ถ้าเขาไม่ให้แสงทองกลับมาทำงานกับเราอีก คุณจะทำอย่างไร”

“ไม่หรอก แสงทองฉลาดกว่าที่เราคิดไว้เยอะ..เธอเอาตัวรอดได้”

“คุณยะ คุณคิดว่าแสงทองจะรู้เรื่องของเราสองคนไหม”

“เรื่องอะไร” สุริยาทำหน้าฉงน

“เรื่องที่เรารักกัน”


รถซีอาร์วีคันนั้นถึงกรุงเทพฯ ในตอนเกือบพลบค่ำของวันจันทร์ รุ่งโรจน์ส่งสุริยาที่บ้านคุณป้าแล้วก็ขอตัวกลับไปที่บ้านของตน เนื่องด้วยผู้เป็นแม่โทรตามอ้างว่ามีธุระสำคัญ..พอลงจากรถสุริยาก็ขนขนมและเสื้อผ้าที่ซื้อมาฝากป้าและลุง รวมถึงหลาน ๆ เข้าบ้าน

เข้าห้องนอน ตั้งใจจดบันทึกสถานที่สำคัญต่าง ๆ ที่ได้ไปพานพบ..รู้เห็น ..ตลอดระยะเวลา 11 วัน 10 คืน..จดทำบัญชีรายจ่ายค่าน้ำมันค่าที่พักทั้งหมด รวมถึงค่าอาหารที่กินด้วยกันลงบัญชีไว้ แต่พอวางกระเป๋าเตรียมรื้อเสื้อผ้าออกไปซัก พลัน ใจหายอย่างประหลาด น้ำตาแห่งความอาลัยอาวรณ์ต่อคนที่เพิ่งจากไปไหลออกมาไม่หยุดหย่อน รู้สึกคิดถึงอย่างจับจิตจับใจ โอ้ว่าความใกล้ชิดผูกพัน ก่อให้เกิดความรักแนบแน่น เพิ่งจะรู้ว่าในใจมีเขามากมายเพียงใด ก็ตอนที่ไม่เห็นกัน

นึกทบทวนวันเวลาที่ร่วมเดินทางครั้งใหญ่ ร่วมกินนอนด้วยกัน..ไม่มีสักครั้งเดียวที่ผู้ชายคนดีคนนั้นจะทำให้รู้สึกทุกข์ร้อนใจ จะมีก็แต่ตัวเองเท่านั้นทีมีเง้างอนใจแข็ง ใจดำ แค่คำว่า ผมก็รักคุณ คำเดียวก็บอกไม่ได้..ยิ่งในช่วงที่อยู่กันตามลำพังสองคนในสองวันหนึ่งคืนสุดท้าย เขาก็ยิ่งแสดงให้เห็นมากมายว่าทั้งรักและหลงใหล ดีใจได้ปลื้มที่ได้อยู่กันตามลำพัง

ตัวอีกนั่นแหละที่เล่นเนื้อเล่นตัว จูบนิดหอมหน่อยก็ผลักใสห้ามปราม พอได้อยู่ตามลำพังข้างกายร้างไร้คนจมูกโด่งเป็นสันถึงได้รู้ถึงความเดียวดายเวิ้งว้างและทุกข์ทรมาน

สุริยาเหลือบตาดูปฏิทินเห็นว่าเป็นวันพระ..สติ..ตัวระลึกรู้ไม่ปล่อยให้ใจดำดิ่ง หลงทางสายกลาง..เช็ดน้ำตา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจจะสวดมนต์ พลันโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

“คุณยะ คิดถึงผมไหม”

“คิดถึง” เป็นครั้งแรกที่สุริยาตอบเต็มปากเต็มคำ เต็มใจที่จะตอบ

“คิดถึงมากด้วย”

“ผมก็คิดถึงคุณนะ คิดถึงมากด้วย คุณยะ คืนนี้ผมจะบินนะ จะไปดูงานที่เมืองนอกกับพี่ชายสักเดือน ผมคงคิดถึงคุณ คุณอย่าลืมคิดถึงผมนะ..ดูแลตัวเองนะครับ..จุ๊บ..”

ใจหายอย่างประหลาด อีกหนึ่งบทเรียนเรื่องหัวใจ นายต้องผ่านมันไปให้ได้สุริยา..สัญญากับตัวเองก่อนจะจุดธูปเทียน บูชาพระรัตนตรัย แล้วก็สวดมนต์เสียงดังเจื้อยแจ้ว หวังว่าใจจะลืมและนิ่งดังวันวาน..


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปแสงทองก็แบกกระเป๋ากลับมาด้วยใบหน้าไม่สดใสนัก

“ทางป้าหนูเขารุกหนักน่าดู..ต้องการให้หนูแต่งกับอีตาก้องเกียรติ เกียรติก้องเกรียงไกรให้ได้..”

“แล้วเธอรอดพ้นมาได้อย่างไร”

“หนูแอบคุยกับเขา..เอาแบบที่พี่รุ่งแนะนำ บอกว่าถ้ารักกันจริง ๆ ก็ขอเวลาศึกษานิสัยใจคอกันสักพัก หนูบอกว่าหนูไม่ชอบฟังน้ำคำลวงทางโทรศัพท์ อยากอ่านความในใจมากกว่า เขียนอะไรมาหาหนูก็ได้..สักสัปดาห์ละหนึ่งฉบับ เป็นเวลาสักปี..ถ้าเขียนจนหนูใจอ่อน..หนูก็จะแต่ง..หรือถ้าเจอคนดีกว่าหนูก็แต่งไปเลย หนูไม่ว่าอะไร”

“ทำไมป้าเธออยากให้แต่งกับเขา”

“คุณป้าแกเป็นเมียตำรวจ..ก็อยากให้ลูกหลานเป็นเมียตำรวจ..เป็นคุณนายตั้งแต่ยังสาว”

“แล้วนายวิชช์”

“ป้าเขาบังคับอะไรพี่ทิพย์อาภาไม่ได้หรอกค่ะ..สี่ห้าเดือนแล้ว..โชคดีที่ผู้ชายยอมรับ..ได้ข่าวว่าเป็นเพื่อนกับพี่รุ่งด้วย..โลกมันกลมจริง ๆ ..แกไม่อยู่ก็เหงานะคะ”

“อือ..ฮึ”..อือ..ฮึ ของสุริยาก็คือ เกือบทุกค่ำคืนเขาจะได้รับโทรศัพท์จากแดนไกล บอกเล่าเรื่องราวภายในหัวใจและสิ่งที่ได้พบเห็น พร้อมกับสัญญาว่า ถ้าแสงทอง ทำงานจนวางมือได้ เมื่อนั้น ‘เรา’ จะไปท่องโลกกว้างด้วยกัน รุ่งโรจน์ให้ความหวังกันถึงขนาดนี้ โลกจะไม่เป็นสีชมพูหรอกรึ

“ผิวหน้าพี่ยา เปล่งปลั่ง..มีอะไรพิเศษหรือเปล่าคะ”

“เปล่า..สบายใจมั้ง..เธอเองก็เหมือนกันแสงทอง มีประกายแห่งความสุข”

แล้วแสงทองก็ส่งจดหมายฉบับแรกให้สุริยาอ่านอย่างไม่ปิดบัง..

“คุณแสงทอง..ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณที่คุณให้โอกาสตำรวจบ้านนอกคนนี้ ให้มีโอกาสทำคะแนน..ผมอาจจะสู้หนุ่มกรุงเทพฯ ไม่ได้..แต่อย่างว่า..ใจมันไปอยู่กับคุณเสียแล้ว..”

สุริยาไอแค๊ก ๆ

“เขินจัง” ใบหน้าของสุริยามีสีแดงด้วยความเขินจริง ๆ ..เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสำนวนชายจีบหญิง

“อ่านได้ หนูไม่ปิดพี่หรอก..” เพราะน้ำเสียงขื่น ๆ สุริยาจึงต้องเหลือบตาขึ้นไปมองเจ้าของจดหมาย..เห็น..ความหมดหวัง..เจ็บปวด..ผิดรึที่ตนไม่ได้แสดงอาการหึงหวง

“พี่ไม่อ่านดีกว่า มันน่าจะเป็นความลับระหว่างเธอสองคนนะ..”

“อ่านเถอะค่ะ เป็นวิทยาทาน จะได้ช่วยหนูตัดสินใจได้ว่า เขาควรที่หนูจะเดินไปด้วยหรือไม่..บางทีพี่ยา สายตาของเราว่าเขาดี เขาอาจจะไม่ดีในสายตาของคนอื่นก็ได้ ไม่ใช่หรือคะ..”

“ก็ได้..” สุริยาไล่สายตาไปทีละบรรทัด..ตามคำร้องขอ

“ใจมันไปอยู่กับคุณเสียแล้ว..แล้วผมก็ต้องพยายามเอาตัวตามหัวใจผมไป อาจจะตามไปได้หรือไม่ได้ มันก็ขึ้นอยู่กับคุณ ขึ้นอยู่กับผมจะมีความเพียรพยายามขายขนมจีบเพียงใด..ดีใจนะครับที่คุณยอมคุยกับผมดี ๆ ไม่มีเง้างอนอย่างนางเอกหนัง...ประมาณว่าถูกคลุมถุงชนแล้วก็พยายามวิ่งหนี..แต่สุดท้าย..ชีวิตของผมคงไม่ง่ายอย่างนั้น..อากาศที่ปางจันทร์ตอนนี้ถือว่าดีทีเดียว ปลายฝนต้นหนาวแล้ว...รู้สึกว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าปกติ..เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวฝน..อากาศแปรปรวน...ตอนนี้ต้นข้าวสองข้างทางเข้าสู่เมืองเหลืองอร่ามทีเดียว..ทุกเช้าเย็นที่ผมวิ่งออกกำลังกาย ผมคิดถึงคุณจังเลย คุณรู้ไหมว่าผมเห็นคุณครั้งแรกเมื่อไหร่ ..ตุลาคมปี 46 ช่วงปิดเทอมของคุณหรืออย่างไรนี่แหละ ตอนเย็นผมเห็นคุณขี่จักรยานมุ่งหน้าไปทางน้ำพุร้อน..คุณขี่ผ่านผมไปด้วยนะ แต่คุณคงไม่ได้สนใจ นำหน้าผมไปสักห้าร้อยเมตร แล้วรถของคุณก็ล้มคว่ำ ผมตั้งใจว่าจะไปช่วยพยุงขึ้น แต่คุณช่วยเหลือตัวเองได้เสียก่อน..พอผมวิ่งไปถึงน้ำพุร้อน คุณก็ปั่นออกมาแล้ว เราจึงไม่ได้เจอะกันอีก..จนกระทั่งหลังปีใหม่ คุณกลับมาอีกรอบหนึ่ง ผมเห็นคุณนั่งอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งหน้าห้องฉุกเฉินคงรอทำแผลให้ใครสักคนมั้ง..และวันหนึ่งผมก็มีโอกาสไปที่บ้านคุณพร้อมกับผู้ใหญ่ ไปคุยกับคุณลุงของคุณ..(กินเหล้ากัน) ผมจึงได้เห็นหน้าคุณในรูปถ่ายชัด ๆ .. ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยเจอะกันนะครับ..เราเจอะกัน บางทีเราคงจะเคยเจอะกันแถวกรุงเทพฯ บ้างก็ได้ แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่เราจะรักกัน..เพ้อเจ้อนะครับ..ผมเขียนไม่เก่ง ขอโทษหากวกวน..จะเขียนมาอีกจนกว่าจะ
หมดหวังครับ..ร.ต.ต. เกียรติก้อง”

สุริยาส่งจดหมายคืน รอยยิ้มเต็มวงหน้า..

“ถ้าเขาเป็นคนดี พี่ก็ดีใจกับเธอนะ...แสงทอง พี่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่..แต่รักคนที่เขารักเราดีกว่า..ทำใจให้รักเขา มันง่ายกว่าทำให้เขารักเรานะ..”


เกือบสัปดาห์ที่โทรศัพท์ไม่โชว์เบอร์สายเรียกเข้าเป็นเบอร์ของรุ่งโรจน์ สุริยาพยายามทำใจเข้าข้างว่าเขาไม่ได้ลืม เพียงแต่งานยุ่ง แต่อีกใจก็คิดว่า เมื่ออยู่ไกลกันมันก็ย่อมเป็นเช่นนี้ และเจ็บปวดไหนก็ไม่เท่าเมื่อภาพในหนังสือแนวปาปารัซซี่ ลงรูปของรุ่งโรจน์กับดาราวดี เดินเคียงกันจุ๋งจิ๋ง กลางเมืองชิคาโก้

กิ่งทองใบหยก..

แล้วเขาคือใคร พยายามตั้งสติทำใจ ด้วยรู้ว่าทางสายนั้นเป็นทางที่ถูกที่ควร..แต่..ความรักตนเห็นแก่ตัวมันก็เกิดขึ้น..เรารักกัน ทำไมเราจะไม่มีสิทธิ์อยู่ด้วยกันฉันท์ผัวเมีย

มันเป็นไม่ได้หรอก..

ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ..

“พี่ยา..คุณแม่พี่รุ่งต้องการพูดด้วย” แสงทองส่งโทรศัพท์ให้…

“ฉันไม่อ้อมค้อมแล้วนะ”

สุริยาใจเต้นแรงเพียงได้ยินประโยคแรก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด

“ฉันรู้ว่ารุ่งโรจน์คิดอย่างไรกับเธอ ฉันจะไม่ถามหรอกว่าเธอคิดอย่างไรกับลูกชายของฉัน แต่ฉันพอจะรู้ใจของลูกชายฉันดี เธอดูเป็นผู้ชายไทยหน้าตาธรรมดา ๆ คนหนึ่ง จะน่ารักเมินสายตาหนีไม่ได้ก็ตรงรอยยิ้มและหุ่นก้าน ถ้าเธอเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์คงเป็นพ่อพันธุ์ที่ดีทีเดียว”

สุริยาเผลอกำมือแน่น เป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่มีคนมาพูดจี้ใจดำ

“ภาพข่าวที่เกิดขึ้นฝีมือฉันเอง..มีหนูดาราวดีเป็นใจ..รุ่งโรจน์เขาไม่รู้หรอกว่าเป็นแผนของฉัน หรืออาจจะรู้ แต่ก็หนีไม่พ้น จริง ๆ จะว่าไปเขาก็เหมาะสมกันนะ..ฉันอยากให้ลูกชายฉันมีครอบครัว มีเมียเป็นผู้หญิง มีลูกเมื่อถึงเวลา”

สุริยาพยายามตั้งสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก แต่กระนั้นหูก็ยังอื้ออึงฟังแทบไม่ได้ศัพท์

“คราวนี้ฉันจะไม่ขอให้เธอไปจากชีวิตลูกชายฉันหรอก แต่ฉันจะให้เธอให้ความร่วมมือทำอย่างไรก็ได้ให้เขาสองคนได้แต่งงานกันโดยที่ลูกชายฉันตัดใจจากเธอได้อย่างเด็ดขาด และคิดกับเธอเพียงเพื่อนชายคนหนึ่ง เธอช่วยฉันได้ไหม”

“ดะ..ได้..ครับ” สุริยารู้สึกว่าตัวเองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นเหลือเกินความอับอายแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า จนกระทั่งโฟกัสตาไม่สามารถที่จะรับภาพโดยรอบได้

“เขากลับมาฉันจะเร่งจัดพิธีหมั้น..ปัญหามันอยู่ตรงนี้ เธอต้องให้ความร่วมมือ..พูดหรือทำอะไรก็ได้ให้เขายอมทำตามที่ฉันสั่ง เธอห้ามหนีไปไหน ให้เขาต้องวิ่งตาม เธอต้องอยู่ข้างเขา เผชิญกับความจริง ทำให้เขาเห็นว่าเธอรับได้ เธอคือแค่เพื่อนชายของเขา ทำได้ไหม”

“ได้ครับ”

“ขอบใจ ..สำหรับค่าจ้างครั้งนี้..แล้วฉันจะโอนเข้าบัญชีให้ ฉันไม่บอกตัวเลขนะ..”

“ไม่ต้องหรอกครับ..” ศักดิ์ศรีความเป็นคนเข้ามาแทนที่

“ไม่มากหรอก พอให้เธอตั้งตัวได้แค่นั้นเอง รับไปเถอะ”

คุยกันอีกไม่กี่ประโยคสุริยาก็ขอตัวกลับ...เมื่อนั่งอยู่ในรถแท็กซี่เรียบร้อย สุริยาก็ปล่อยให้น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจไหลหยดย้อย..หากเขามีเงินเขาก็มีโอกาสที่จะเลือก เลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้..หากเขามีเงินเขาคงไม่ถูกผู้หญิงคนนั้นดูถูก จะว่าเธอก็ไม่ได้ ก็เธอรักลูกเธอ ..เธอทำถูกแล้ว เขาต่างหากที่เป็นคนผิด ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่รู้จักขีดเส้นความสัมพันธ์ระหว่างกันตั้งแต่ต้น..ปล่อยให้เขาเข้ามาแสดงความรักความปรารถนา ปล่อยให้เขามาพาฝันว่าจะเดินไปเคียงกัน..ปล่อยให้เขาเข้ามามีส่วนร่วมแห่งการมีชีวิตต่อไปเกือบทั้งหมด

แล้วทีนี้จะทำอย่างไร..กว่าจะหากันเจอ..กว่าจะพบคนที่ใช่ กว่าที่จะเข้าใจในความเป็นกันและกัน สุดท้าย พลัดพรากจากกันทั้งที่ยังมีชีวิต

เย็นนั้นสุริยาไม่กลับเข้าออฟฟิศ เขามุ่งไปที่คอนโด ตั้งใจจะเก็บเสื้อผ้าหนังสือของตนออกมา..แต่ถ้าทำอย่างนั้นรุ่งโรจน์ก็จะเห็นถึงความผิดปกติ..เขาหันหลังกลับ ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นั่น..เมื่อกลับถึงบ้านป้า..เข้าห้องปิดประตู..คิดและก็คิดหาทางออก ที่จะทำให้ใจตัวเองเจ็บปวดจากพิษรักน้อยที่สุด..

“กลับบ้าน”...

เก็บกระเป๋าแล้วก็โทรศัพท์หาแสงทอง..

“แสงทอง สองทริปนี้แค่รถบัสเดียว หนูให้พวกเจ้าแก้วไปช่วยนะ คือพี่จะไปต่างจังหวัด ...กลับบ้าน..แม่พี่ไม่ค่อยสบาย อาจจะครึ่งเดือน อย่างไรพี่จะโทรติดต่อนะ ..ถ้าคุณรุ่งถามก็บอกตามนั้น ไม่ต้องตามไปนะ..ขอบใจมาก..”

วางโทรศัพท์เช็ดน้ำตาที่ค่อย ๆ เอ่อไหล..

บ้านของเขาก็คือวัด..จะกลับไปหาหลวงพี่ เพื่อนพระที่บัดนี้ได้ดิบได้ดีเป็นเจ้าอาวาส จะไปเป็นลูกศิษย์เดินตามก้นบิณฑบาต จะไปกวาดลานวัดเช้าเย็น จะไปถูศาลา ขัดห้องน้ำและก็ปลีกวิเวกเข้าไปสวดมนต์นั่งสมาธิในโบสถ์

โลก..ถ้าเอาใจเข้าไปยึดไว้มากเท่าไหร่ ทุกข์ก็จะถาโถมมากเท่านั้น..คิดไปก็แอบเช็ดน้ำตาไป...ปล่อยให้ราคะมันลามท่วมใจเสียแล้วหนอ..

ทุกข์อย่างนี้ซิเล่า ถึงมี พวกอกหักจึงคิดบวชไม่สึก


เมื่อมั่นใจ ว่าใจที่เกือบจะขาดรอน ๆ เริ่มปรับตัวเข้าที่เข้าทาง..สุริยาก็เก็บกระเป๋าก้มกราบหลวงพี่พระเพื่อนสนิทกลับกรุงเทพฯ เผชิญกับความเป็นจริง..

“อยากปลีกวิเวกก็มาได้อีก ยินดีต้อนรับเสมอ..ถ้าอยากบวชอีกรอบ หลวงพี่ยินดีเป็นเจ้าภาพให้..”

ความจริงที่ต้องเผชิญคือทำให้ได้อย่างที่คุณแม่สิริฤดีร้องขอ..

ไม่แสดงว่าเศร้าโศกเสียใจ..ยินดีเมื่อเห็นว่าคนที่รักกำลังจะไปดี..ไปสู่หนทางแห่งความถูกต้อง

“พี่ยา พี่หายไปไหนมา พี่รุ่งกลับมา ซื้อของมาฝากเพียบเลย เสื้อผ้าของพี่ตั้งหลายชุด พี่รู้ไหม พี่รุ่งไปตามพี่ที่บ้าน ที่กำแพงเพชรด้วยนะ แต่พี่ก็ไม่อยู่ ทำไมพี่ต้องหลอกหนูด้วย”

“พี่ไปหาหลวงพี่ที่รู้จักกัน ไปปฏิบัติธรรม..ขอโทษด้วยนะที่ทิ้งภาระไว้ให้..แสงทอง หากพี่ไม่อยู่ หนูทำทัวร์นี่ได้ไหม”

“ไม่..” แสงทองปฏิเสธในทันที

“ไม่ได้..ถ้าพี่ไป หนูก็ทิ้งที่นี่..พี่จะไปไหน มีอะไรรึ”

“เปล่าพี่แค่ลองถามดู..อารมณ์คนปฏิบัติธรรม เลิกนั่งสมาธิใหม่ ๆ มันก็งี้แหละ..พอมันสงบมันก็ไม่อยากมาวุ่นวาย ไม่อยากมาดิ้นรน อยากหลุดพ้นจากกิเลสร้อยรัด แต่เอาเข้าจริง ๆ เดี๋ยวของแท้มันก็กลับมา แค่หินทับหญ้าเท่านั้น ไม่ต้องคิดอะไรหรอก พี่ถามเฉย ๆ ..”

สุริยานั่งทำโปรแกรมคร่าว ๆ จนถึงสิ้นปี และเลยไปถึงต้นปี 48 อีกสามเดือน โดยมีแสง
ทองนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ใกล้ ๆ กับจดหมายสองสามฉบับ จากคนไกลแห่งปางจันทร์

สุริยาชายตาไปมอง เห็นสุขจากการมีใครสักคนมารัก มาสนใจ..รู้ เพราะเคยได้รับมาก่อน
รู้ว่ารุ่งโรจน์ก็ยังเหมือนเดิม แต่ก็รู้ว่าตนควรทำตัวอย่างไร

“คุณยะ..” พอเปิดประตูเข้ามา รุ่งโรจน์ก็ตรงดิ่งเข้ามาหา ด้วยใบหน้าไร้รอยยิ้ม สุริยาเงยหน้าจากกระดาษ ยิ้มกว้างให้ ทั้งที่จิตใจสับสน

ระหว่างดีใจกับทุกข์ใจ

“เป็นไงอเมริกา ”

“คุณหายไปไหนมา ผมตามไปหาที่กำแพงเพชรคุณก็ไม่อยู่” รุ่งโรจน์ขึ้นเสียง สุริยาจ้องหน้ายิ้ม ๆ ก่อนจะชายตาไปทางแสงทองให้รุ่งโรจน์รู้สึกตัว

รุ่งโรจน์มาหยุดตรงเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม ดึงกระดาษและปฏิทินที่สุริยากำลังเขียนมาดู

“ขึ้นเหนือตลอดเลยรึ”

“หน้าหนาวไม่ขึ้นเหนือ ไม่ไปดูสายหมอกกับดอกไม้งาม ใส่เสื้อกันหนาวหนา ๆ แล้วจะไปไหน” สุริยาพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

“แต่เอ๊ะ..คริสต์มาสว่างนี่ โอเค..เปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวทะเลกันไหม..”

“ยิปปี้..” แสงทองมีหน้าระรื่นเข้ามายืนมองปฏิทินด้วย

“โอเค ชอบมาก ๆ ..ไปหลาย ๆ วันนะ ไปให้ทั่วภาคใต้เลย เดือนธันวาจัดถึง 18-19 อีกตั้งสิบวันถึงปีใหม่หยุดยาว เลย..”

“ค่าใช้จ่ายมหาศาลเลยนะแสงทองไปหลาย ๆ วัน..”

“ไม่เกี่ยวกับทัวร์ ไปในนามผมแล้วกัน” รุ่งโรจน์เสนอขึ้น..

“เอาเปรียบคุณเกินไปมั้งครับ ผมสองคนมีเงินเดือนกินกัน ถึงมันจะเป็นเงินของคุณก็เถอะ”

“คิดมากอีกแล้วคุณยะ”

“แต่เรากำลังทำธุรกิจกันนะครับไม่ใช่เล่นขายขนม” น้ำเสียงของสุริยาจริงจัง จนรุ่งโรจน์ต้องก้มมองหน้า

“โอเค ไว้คุยกันวันหลังแล้วกัน วันนี้ไปหาอะไรอร่อย ๆ กินกัน แล้วก็ไปดูหนังสักเรื่อง”

เมื่อได้ยินสุริยานิ่งใช้ความคิด

“โอเค คุณเลี้ยงใช่ไหม ในเมืองนะ เบื่อห้างบ้านนอก”

สุริยารับนัดหมายแม่ของรุ่งโรจน์ที่ในล็อบบี้ของโรงแรมหรูกลางกรุงต้อนรับคนที่เคอะ ๆ เขิน ๆ ประหม่ากับบรรดาความศิวิไลซ์

สุริยาพนมมือไหว้ เมื่อเห็นคุณแม่สิริฤดี หญิงสาวผายมือให้เขานั่งที่โซฟาตัวตรงข้ามกัน พร้อมกับเรียกพนักงานมาสั่งเครื่องดื่ม

“มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ” วันนี้คุณแม่สิริฤดี ผู้สูงส่งดูใจคอไม่ดีโอบอ้อมอารีย์เหมือนวันนั้น หลังจากที่ก้าวลงจากรถเดินเกาะกลุ่มกันเดินเข้าประตูห้าง สายตาของแสงทองก็ไปสะดุดที่หญิงสาวแสนสวยไฮโซ ซึ่งกำลังก้มดูของในถุง

“ไฮ..พี่ดี้..คุณดาราวดี..” แสงทองปรี่เข้าไปทักทาย..สุริยารีบเดินเข้าไปสมทบ โดยมีรุ่งโรจน์เดินรั้งท้ายเนือย ๆ ทั้งสี่คนทักทายกัน พร้อมกับชักชวนให้ร่วมวงในมื้อค่ำนี้

“ยินดีค่ะ”

“รูปอะไรคะ...” ระหว่างที่คีบอาหารเข้าปาก แสงทองก็ร้องถาม ดาราวดีมองหน้ารุ่งโรจน์ที่ทำหน้านิ่ง ๆ แล้วค่อย ๆ บอกว่า..

“รูปตอนที่ไปเที่ยวค่ะ”

“ขอดูได้ไหม”

“อย่าดีกว่าค่ะไม่สวย” ดาราวดีทำท่าหวง แต่ช้ากว่าแสงทองที่ดึงมาเสียแล้ว..

“อ้า..ต่างประเทศนี่..วิวผิดบ้านเรา” แสงทองเปิดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรูปคนในภาพเปลี่ยนแปลง..

“พี่รุ่ง..”

สุริยาชะโงกหน้าไปมอง ทำหน้ายิ้มแย้มก่อนจะดึงรูปมาดูด้วยอาการ หน้าชื่น..อกตรม

“บังเอิญไปเจอะกับพี่รุ่ง..ก็เลยให้เจ้าถิ่นพาเที่ยวค่ะ”

สุริยาลอบมองหน้าหญิงสาว รู้สึกว่าดาราวดีเล่นละครได้แนบเนียนมาก ดูสีหน้าของรุ่งโรจน์ยามนี้คล้ายกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ดีที่ตนเป็นเพียงผู้ชาย ไร้สิทธิ์ที่จะหึงหวง การทำเช่นนี้ จะเป็นไปตามแผน คุณสิริฤดีวางไว้

“ต่อไปมีกิจกรรมไปไหน ๆ ด้วยกัน จะต้องให้ดาราวดีติดไปด้วย จะโดยวิธีใดก็ตาม”

ครั้งนี้บังเอิญ ครั้งหน้าจะต้องตั้งใจ...แล้วโปรแกรมภาคใต้ที่วางไว้ในเดือนธันวาคม..ก็ถูกดึงมาชักชวนดาราวดีให้เป็นเพื่อนร่วมทางเที่ยว สุริยาอ้างว่า เมื่อครั้งเชียงใหม่กระชั้นชิดและสุดวิสัยจริง ๆ แต่ครั้งนี้ อีกตั้งสามเดือน คุณดาราวดี มีเวลาเตรียมตัวอย่างแน่นอน

“ชักอยากร่วมเป็นหุ้นกับพวกคุณแล้วซิ น่าสนุกนะคะ”

“เหนื่อยค่ะคุณดี้..ไม่ได้ดูถูกว่าคุณทำไม่ได้นะคะ แต่เอาเป็นเงินจำนวนมาก ๆ ไม่คุ้มหรอกคะ ทัวร์เราเอื้ออาทร..”

“นาน ๆ ไปเที่ยวกับพวกคุณสักทีในฐานะสต๊าฟละคะได้ไหม..”

“ยินดีครับ..” สุริยารีบบอก โดยไม่สนใจกับมือของรุ่งโรจน์ที่บีบต้นขาของตนไว้

หลังจากหนังจบ สุริยาบอกให้รุ่งโรจน์ไปส่งดาราวดี เพราะบ้านของหญิงสาวอยู่อีกทาง ส่วนตนกับแสงทองนั้นสามารถกลับแท็กซี่ได้

“ไปด้วยกันทั้งสามคนนี่แหละ กรุงเทพฯ มีทางด่วน ขึ้น ๆ ลง ๆ สองชั่วโมงก็ถึงบ้านทุกคน”

เมื่อส่งแสงทองที่ห้องแถวแล้ว สุริยาทำท่าจะไม่ขึ้นรถ

“ไม่กลับห้องรึคุณยะ”

“ผมจะไปบ้านป้าครับ..คือคุณป้าแกไม่ค่อยสบาย อยากมีคนอยู่เป็นเพื่อนเผื่อดึก ๆ”

รุ่งโรจน์ไม่ฟังคำอธิบายเดินมาดึงสุริยาขึ้นรถแล้วปิดประตูดังปัง

“มันเกิดอะไรขึ้นตอนที่ผมไม่อยู่ ทำไมคุณเปลี่ยนไป ไม่เหมือนตอนที่เราอยู่แพร่ น่านด้วยกัน..” น้ำเสียงของรุ่งโรจน์จริงจัง..สุริยาถอนหายใจออกมา

“ผมมาคิด ๆ แล้วคุณรุ่ง..เรื่องของเรามันควร..ที่จะหยุดแค่ความเป็นเพื่อน..ผมไม่อยากคบคุณอย่างที่คุณอยากให้เป็น มันเป็นไปไม่ได้ และถึงมันจะเป็นไปได้ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี มันเป็นเวรเป็นกรรมเป็นความผิดติดตัวไปยังภพภูมิเบื้องหน้า”

“ไม่จริง”

“คุณดูหนังเมื่อครู่หรือเปล่า หนังทุกเรื่องมีพระเอกกับนางเอก โลกมันเป็นอย่างนั้น ความจริงของธรรมชาติมันเป็นเช่นนั้น การที่เราเป็นอย่างนี้มันผิดธรรมชาติ มันไม่สุขจริง มันทุกข์ สังคมไม่ยอมรับ..”

สุริยาเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ และรุ่งโรจน์ก็เหยียบคันเร่งขึ้นเรื่อย ๆ

“ถ้าเราไปด้วยกันต่อ คุณจะให้ผมอยู่ในฐานะอะไรของคุณ ผัว หรือเมีย..” สุริยาตัดสินใจถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ ชัดเจนที่สุด ส่งผลให้รุ่งโรจน์หันมามอง

“ไม่มีวันที่คุณจะทำตัวอยู่เหนือสังคมและจารีตประเพณีได้หรอกคุณรุ่ง เราเป็นแค่เพื่อนกันเถอะ..”

รถคันนั้นหยุดลงที่หน้าบ้านคุณป้า พอสุริยาลงจากรถ รุ่งโรจน์ก็กระชากรถออกไปอย่างแรง..สุริยามองตามไปจนกระทั่งรถหายลับไปกับคลองจักษุที่เอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตา

อยากรู้เหมือนกันว่าที่สุดของความเจ็บปวดมันจะเป็นอย่างไร จะอยู่กี่วัน จะมีน้ำตากี่หยด ยืนให้น้ำตาไหล พราก ๆ จนหนำใจ แล้วก็เช็ดน้ำตาเปิดประตูเข้าบ้านพร้อมกับตั้งใจว่าคืนนี้จะสวดมนต์ล้างใจมันทั้งน้ำตา

------------------------
และตั้งแต่วันนั้น ..สุริยาก็ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านประเด็นร้อน ๆ เกี่ยวกับรุ่งโรจน์ตลอดเวลา..ควงดารานางแบบไม่ซ้ำหน้า..ที่จ๊ะจ๋าจี๊ดจ๊าดประจำก็คือดาราวดี..คนที่คุณแม่หมายมั่นจับจอง..

ดาวเคียงเดือน อยู่บนฟ้าสูง

ตนเพียงเม็ดกรวดทรายเรี่ยรายดิน..ไม่คู่ควร

วันเวลาที่ควรสุขสม กลับหมองไหม้ หวังว่าเขาจะโทรกลับมาง้อหยอดคำหวาน หวังว่าจะได้ยินเสียง เห็นหน้า..สบสายตาแบบคำว่าเพื่อน แต่รุ่งโรจน์แทบไม่มาให้เห็นเงา

“พี่รุ่งเข้าออฟฟิศ แต่ออกไปแล้ว..” มีบางครั้งที่เป็นอย่างนั้น..จงใจให้เขาเจ็บปวด..เช่นเดียวกัน

“เขาดังใหญ่แล้ว ถ่ายโฆษณารถยนต์หรูแล้วก็มีเบียร์อีกรายการ..”

“มันบาป” อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

“บาปอย่างไร”

“ก็มีส่วนทำให้คนอื่นนึกอยากกินนะซิ”

“ก็เห็นรวย ๆ กันทั้งนั้น..บาปคนกินมั้ง” แสงทองยังเถียง สุริยาไม่ตอบ ตาจดจ่ออยู่กับงาน แต่ใจส่งไปไกลถึงรุ่งโรจน์ ภาวนาอย่าให้เขาก่อกรรมทำเวรทั้งทางตรงและทางอ้อม..

‘หากเราต้องจากกัน จากกันด้วยเหตุใด เก็บความคิดที่คล้ายกัน เก็บความสัมพันธ์ที่มีต่อ
กันนั้นไว้’

ค่อย ๆ คัดถ้อยเพลงด้วยรักและผูกพันของเบิร์ดธงไชยลงบนกระดาษตรงหน้า..แสงทองค่อย ๆ ชะโงกหน้ามาดูแล้วถอยหลังกลับ..

สุริยาคิดว่าแสงทองต้องรู้.. ตื้น.. ลึก ระหว่างเขากับรุ่งโรจน์ แต่หญิงสาวไม่พูดมันออกมา
เท่านั้น..



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2554, 10:47:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2554, 10:47:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1621





<< 25.   27. >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account