สาปรักซ่อนกล
เมื่อคำสาปรัก(ร้าย)ทำพิษ เปลี่ยนมิสเตอร์ไนซ์กายเป็นผู้ชายตบจูบ เรื่องรักวุ่นชุลมุนหัวใจจึงเกิด

***

เมื่อรวิสรา ดีไซเนอร์สาวเปรี้ยวเข็ดฟันที่ตาม ‘จับ’ พี่ชายสุดที่รักของเธออยู่ขับรถชนจนปุษยาตกอยู่ในสภาพโคม่า วิญญาณหลุดจากร่าง วิญญาณสาวน้อยจึงยอมปล่อยให้ตัวต้นเหตุลอยนวลไปไม่ได้!

ปัญหาคือคำสาปแช่งส่งเดชของเธอให้รวิสราต้องใช้ชีวิตเป็น ‘นางเอกน้ำเน่า’ กลับขลังเกินเหตุ ย้อนศรจนพี่ชายแสนดีของเธอกลายเป็น ‘พระเอกตบจูบ’ ที่คิดแต่จะแก้แค้น แล้วใคร ๆ ก็รู้กันทั้งนั้นแหละว่านิยายตบจูบลงเอยแบบไหน งานนี้ปุษยาจึงต้องบีบคอขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ที่เห็นเธอ (ต่อให้คนคนนั้นไม่เต็มใจ) เพื่อหยุดยั้งคำสาปก่อนผู้หญิงที่เธอเหม็นหน้าคนนั้นจะกลายเป็นพี่สะใภ้แบบถาวร!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 7

“เวรกรรม ระยำชิบห...เฮ้ย!”

คำสบถแปรกลับเป็นเสียงอุทานลั่นทันควันเมื่อ ‘สาว’ ผู้นั่งหมิ่นๆ อยู่บนที่เท้าแขนของโซฟาด้านศีรษะเขาร้องวี้ด และฟาดผัวะลงที่ต้นแขนเขาเต็มแรงแบบไม่เห็นใจสภาพที่เขาเป็น หรืออย่างน้อยก็ดูเหมือนเต็มแรง เพราะไตรไม่รู้สึกถึงแรงฟาดอย่างที่คงรู้สึกถ้าคนหวดยังมีร่างอยู่

...สิ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกคือแรงลมเย็นวืดผ่านแขน ทั้งน่าขนลุกทั้งจักจี้ อาจทำให้เขาขวัญผวาหรือขำถ้าอยู่ในอารมณ์ดีกว่านี้ แต่ตอนนี้มันแค่ทำให้เขาขมวดคิ้วหนักเข้า โดยเฉพาะเมื่อเสียงใสๆ แว้ดตามมา

“อย่าสบถหยาบๆ คายๆ ต่อหน้าผู้หญิงได้มั้ย”

ไตรลดมือที่เอาถุงน้ำแข็งประคบหน้าอยู่ลง ยื่นมันทะลุร่างโปร่งใสนั้นไปวางบนโต๊ะ (เรียกเสียงวี้ดขึ้นมาได้อีกรอบ) ก่อนจะขยับศีรษะ หันไปทำตาเขียวใส่ปุษยาทั้งๆ ที่ยังไม่ลุกจากท่านอนแผ่หลาบนโซฟาตัวยาว

แล้วเขาก็อดคิดอย่างตลกร้ายไม่ได้ว่าตอนนี้ตาเขายังไม่ได้เขียวจริงๆ หรอก รอไว้พรุ่งนี้สิ เมื่อเขาส่องกระจกคงได้เห็นสีเขียวปื้นสะใจแน่ๆ

“ทำไมผมจะสบถไม่ได้ ในเมื่อผมซวย... ซวยอย่างบอกไม่ถูกไม่เคยพบเจอมาก่อน ทั้งถูกต่อยหน้าอย่างไม่ยุติธรรม ทั้งโดนผีเกาะตามหลังไม่ละไม่เว้น”

“จะให้ฉันบอกอีกกี่หนว่าฉันไม่ใช่ผี ฉันเป็น...”

“ผี”

ไตรคำรามออกมาด้วยเสียงเด็ดขาด ไม่เปิดช่องให้เถียงด้วยประการใดๆ แต่ ‘ผี’ สาวน้อยก็ยังทำตาเขียวกลับ แหวออกมาอย่างเอาแต่ใจ

“ก็บอกว่าเค้าไม่ใช่ผี! ไม่ใช่ผีๆๆๆ”

“ผี”

“ไม่ใช่ผี!”

ไตรกลอกตา และนิ่วหน้าเมื่อการกระทำนั้นทำให้เขาปวดกระบอกตาขึ้นมาอีก เขายกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก ก่อนจะบอกออกมาเหนื่อยๆ โดยไม่มองหน้าเธอ

“นี่ ผมไม่อยากเถียงกับคุณหรอกนะ ที่ผมรู้ก็คือพี่ชายคุณซัดหน้าผมเพราะผมบอกเขาอย่างที่คุณบอก แล้วรู้มั้ยคุณวิญญาณคนเป็นที่น่ารัก ว่ามันเจ็บ”

ปุษยากัดริมฝีปาก ทำเสียงฮึออกมา ไตรไม่เห็นหน้าเธอ (แน่ละ การเอี้ยวคอไปมองเธอนานๆ อาจทำให้เขาคอเคล็ดเพิ่มอีกอย่าง) แต่เท่าที่เห็นมาตลอดค่ำวันนี้...ตั้งแต่เธอตามเกาะติดเขามาจากร้านจนถึงคอนโดแบบไม่ได้รับเชิญ เขาเดาว่าเจ้าตัวคงกำลังทำท่างอน...ซึ่งคงดูน่ารักดีอยู่หรอกเมื่อตอนเป็น

โอเค เขายอมรับก็ได้ว่าเธอยังไม่ตาย แต่เหมือนที่ไตรยืนยันไป...จะเป็นหรือจะตาย แต่เมื่ออยู่ในสภาพนี้ยังไงเขาก็คิดว่าเธอเป็นผี

“ปิ๊งไม่ได้อยากให้คุณเจ็บตัวหรอกนะ แต่คุณก็ผิดเองนี่ ดันไปเรียกปิ๊งว่าผีต่อหน้าพี่เป้ คนอะไรพูดจาไม่มีวาทศิลป์เอาซะเลย”

“อ้าวเฮ้ย ไหงพูดไปพูดมาเข้าเนื้อผมอีกละคู้ณ”

“ก็เรื่องมันจริงนี่”

ปุษยาชะโงกหน้ามาค้ำอยู่เหนือหัวเขา ทำเสียงฮึในคออีกรอบ ก่อนจะจีบปากจีบคออย่างสั่งสอนแบบที่ทำให้ไตรอยากคว้าตัวเธอมาเขย่าๆ ให้หัวสั่นหัวคลอนไปเลย

...เสียแต่ว่าไอ้การทำแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้นี่สิ ในเมื่อเธอไม่มี ‘ตัว’ ให้เขย่า ...

“คิดซะมั่งสิคะว่าปิ๊งยังไม่ตาย ท่องไว้ว่ายังไม่ตาย ถ้าลองเป็นน้องคุณนอนโคม่าอยู่ในโรงพยาบาลมั่งแล้วมีคนมาบอกคุณต่อหน้าว่าผีน้องคุณมาหา คุณจะตะบันหน้าเขามั้ย ฟังยังไงก็เหมือนแช่งกันชัดๆ เลย”

...เออว่ะ...

ไตรกะพริบตา รู้สึกโง่ลงไปเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ในอึดใจเดียว แต่ยังไงเขาก็ยังไม่โง่...หรือเป็นพระเอกพอที่จะยอมรับให้โดนซ้ำเติมอีกรอบ (บางทีเขาก็คิดว่าคำว่าโง่กับพระเอกอาจใช้แทนกันได้ในบางกรณี) ชายหนุ่มจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

ไม่สิ... ค่อยๆ เปลี่ยนเรื่องอย่างรักษามาดไว้

“ว่าแต่คุณให้ผมบอกพี่คุณว่าเขาโดนสาป... คำสาปอะไรของคุณกันแน่ แล้วทำไมต้องมาลากผมไปเกี่ยวอะไรด้วย พี่ชายคุณโดนสาปคุณก็ไปตามหลอกตามหลอนตามช่วยพี่ชายคุณสิ คุณมาเกาะผมแจเป็นผีชัตเตอร์อยู่แบบนี้ทำไมน่ะ”

คำถามของเขาได้ผลทันตา เมื่อเด็กสาวลากเสียง “อื๊ยยยยยยยยยยยย!” ดังลั่น เจ้าหล่อนหวดไหล่เขาเข้าอีกผัวะ ค้อนจนตาคว่ำก่อนหน้าโปร่งใสนั้นจะชะโงกเข้ามาจนเกือบชิดหน้า ทำเสียงเขียวอย่างเอาเรื่อง “หยาบคาย ปากร้ายที่สุด! นายว่าใครเป็นผีชัตเตอร์ฮะ”

“คุณไง อย่ามาเถียงผมนะว่าไม่เหมือน เล่นเกาะติดไปไหนมาไหนด้วยทุกที่อย่างนี้ ขาดแต่ยังไม่ได้ขึ้นมาขี่คอกันจริงๆ เท่านั้นแหละ”

ชายหนุ่มตอบอย่างกำปั้นทุบดิน และคราวนี้ปุษยาก็กำมือ ทุบลงมากลางหัวเขาเต็มๆ เหมือนอดรนทนไม่ได้ มือบางๆ นั้นทะลุผ่านหน้าเขาไป...แต่ก็ส่งแรงสะเทือนเล็กน้อยมาที่เบ้าตาซึ่งกำลังระบม ทำให้ไตรต้องผลุดลุกพรวดขึ้นนั่ง ร้องโอยออกมา

“โอ๊ย เบาหน่อยสิคร้าบ”

“ก็หยุดทำปากเสียซะมั่งสิ”

เด็กสาวแค่นเสียงอย่างอารมณ์ไม่ดี แล้วจึงพรั่งพรูคำพูดตามออกมาเป็นชุด “ใครอยากเกาะติดนายกันยะ นี่จำใจหรอกรู้ไว้ด้วย ไม่สังเกตรึไงว่าพี่ฉันเขาไม่เห็นฉัน ไม่ได้ยินฉัน...ไม่งั้นคงไม่ตั๊นหน้านายเข้าไปแบบนั้นหรอก แล้วใครกันบอกว่านายไม่เกี่ยว นายน่ะเกี่ยวจนไม่รู้จะเกี่ยวยังไงตั้งแต่เจอยัยเชรีนั่นที่ร้านแล้ว คนอะไรโดนคำสาปเข้าให้แล้วยังไม่รู้ตัวอีก...”

“เดี๋ยว” ไตรหันไปจ้องหน้าผู้พูด เขาทำนิ้วหมุนเป็นวงในอากาศและถามอย่างกังขา “ผมขอกรอกลับหน่อย คุณว่าไงนะ ผมโดนคำสาป? ไหนทีแรกคุณว่าพี่ชายคุณเป็นคนโดนไง”

“ใช่ แล้วก็ใช่อีก” ปุษยาลากเสียงเหมือนเริ่มหมดความอดทน “ทั้งนายทั้งพี่ฉันโดนคำสาปแบบลูกหลง ไม่ใช่ว่านายหรือเขาเป็นเป้าจริงๆ หรอก และฉันก็คงอธิบายให้นายฟังไปแต่แรกแล้ว ถ้านายจะไม่มาขัดจังหวะด้วยการบอกว่าฉันเป็นผีชัตเตอร์อะไรนั่น...”

“โอเค โอเคเลย” ชายหนุ่มรีบแทรกพลางยกมือขึ้นห้ามทัพ ก่อนจะขยับมือข้างหนึ่งขึ้น ทำท่ารูดซิปปาก “ผมไม่ขัดจังหวะแล้ว...อย่างน้อยก็ตอนนี้ คุณว่ามา คำสาปอะไรที่คุณว่า แล้วผมไปโดนมันเข้าได้ยังไงไม่ทราบ”

“ฉัน...” น่าแปลกที่วิญญาณสาวทำท่าลังเลใจนิดหน่อย เธอมองหน้าเขาอยู่สองสามรอบ กัดริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยออกมาเร็วปรื๋อ

“ฉันเป็นคนแช่งยายเชรีตั้งแต่ตอนต้องมาเป็นแบบนี้ใหม่ๆ ให้เขาต้องมีชีวิตเหมือนนางเอกเรื่องน้ำเน่าน่ะ”

“ฮะ?”

ไตรกะพริบตาปริบๆ อีกรอบ ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน เขามองหน้าปุษยาเหมือนอยากจะขอคำยืนยัน และฝ่ายนั้นก็ทำหน้าง้ำลงไปอีก คล้ายว่าเธอก็คงรู้สึกเหมือนกันว่าคำสาปแช่งของตัวเองฟังดู ‘ติงต๊อง’ สิ้นดี

“คุณ...” ชายหนุ่มเปิดปากออกมาแล้วก็เงียบไป รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะสำลัก นาน...กว่าเขาจะต่อคำได้อีกรอบโดยไม่หัวเราะพรืดออกมาหรือร้องไห้ด้วยความกลุ้มใจที่ต้องมาติดอยู่กับผีเด็กหน่อมแน้ม “คุณ...คิดได้ไงเนี่ย ไอ้คำสาปแช่งพรรค์เนี้ย เอาอะไรคิด”

“มันไม่ได้ประหลาดขนาดนั้นซักหน่อย”

ปุษยาสะบัดเสียงเหมือนจะกลบเกลื่อนความขายหน้าของตัวเอง แต่กลับฟังดูไม่หนักแน่นสักเท่าไร

“นายอย่ามามองหน้าเหมือนฉันบ้าไปแล้วได้มั้ย ก็ยายนั่นชอบทำเป็นหัวเราะกับพี่เป้ว่าฉันบ้านิยายน้ำเน่านี่นา ฉันอยากให้รู้ซะบ้างว่าน้ำเน่าจริงๆ น่ะเป็นยังไง มาพูดกันแบบนั้นไม่สวยหรอกนะ”

ไตรคันปากอยากถามกลับไปว่าเหตุผลแบบนั้นไม่บ้าหรือ และคำสาปพรรค์นั้นมันปกติตรงไหน แต่เริ่มรู้ว่าการต่อล้อต่อเถียงค่อนข้างเปล่าประโยชน์ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเพดาน ถอนใจยืดยาวออกมาและถามไปอีกเรื่องแทน

“นี่คุณกำลังบอกผมว่า คุณเดี้ยงปุ๊บ คุณก็สาปคนที่เคยว่าคุณปั๊บเลยเหรอ ฟังดูเป็นวิญญาณพยาบาทไม่ใช่น้อยๆ เลยนะคุณน่ะ”

“ใครพยาบาท? ฉันคงไม่แช่งยัยนั่นหรอก ถ้าเขาไม่ใช่คนที่ขับรถชนจนฉันเดี้ยงแบบนี้” เด็กสาวทำท่าเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา ก่อนจะต่อคำ “เมาแล้วขับด้วย นายจะไม่ให้ฉันเอาคืนมั่งรึไง”

คราวนี้ชายหนุ่มอึ้งไปอึดใจ ทำให้ปุษยาได้ช่องที่จะร่ายความไม่ดีไม่งามทั้งหมดของรวิสราออกมาให้เขาฟังจนหูแทบชา (ข้อหามีตั้งแต่ ‘ตีสองหน้า’ ‘นักเที่ยว’ ไปจน ‘ยั่วผู้ชาย’)

ไตรคิดว่าคงมีความจริงอยู่ในนั้นบ้าง แต่อาจต้องเอาตะแกรงร่อนพอสมควร เพราะแค่มองเขาก็รู้แล้วว่าวิญญาณสาวตรงหน้าหวงพี่ชายขนาดไหน และคงยิ่งโมโหหนักเมื่อปุรณะมีท่าทีว่าไม่รังเกียจรวิสรา

ข้อนั้นเขาก็แน่ใจเหมือนกัน...แม้จะไม่เห็นกับตาตัวเอง เขาไม่คิดว่าปุรณะซื่อใสขนาดที่น้องสาวคิด ผู้ชายที่พร้อมทั้งบุคลิก หน้าตา การงาน เงินทอง ไม่มีทางอยู่เป็นหนุ่มโสดมาได้จนอายุสามสิบกว่าด้วยการเป็นไก่อ่อน ฝ่ายนั้นคงไม่ยอมให้รวิสรารุกเข้าหาถึงเนื้อถึงตัวถ้าไม่มีใจอยู่บ้างเล็กน้อยหรืออยากสร้างสายสัมพันธ์เสียเอง

“สรุปว่า...คุณคิดว่าคุณเชรีพยายามจับพี่ชายคุณ คุณแค้นที่เขาเคยว่าคุณ คุณแค้นที่เขาเมาแล้วขับรถชนจนคุณต้องเป็นแบบนี้...”

ชายหนุ่มแกว่งนิ้วไปยังร่างใสๆ ตรงหน้าอีกครั้ง สบตาปุษยาก่อนจะจบประโยค “...คุณก็เลยแช่งเขาให้กลายเป็นนางเอกน้ำเน่า คุณนี่ตลกดีนะคุณปิ๊ง ผมได้ยินแต่คนเขาแช่งกันให้มีอันเป็นไป ตายโหะ...เอ้อ”

ไตรยั้งคำไว้เมื่อเห็นปุษยาทำตาเขียวอีกครั้ง รีบเปลี่ยนคำพูด ...นี่ปุรณะส่งน้องสาวไปอยู่สำนักชีไหนมาเนี่ย...หยาบนิดหยาบหน่อยก็ฟังไม่ได้

“...ตายไม่ดี ประสบความวิบัติในสามวันเจ็ดวัน...”

“ฉันไม่ใช่คนใจดำขนาดนั้นนะ ฉันยังไม่ตาย จะให้แช่งให้ชาวบ้านตายได้ยังไง”

“แปลว่าถ้าคุณตาย คุณจะแช่ง?”

“ไม่ใช่ย่ะ!” เด็กสาวแว้ดเสียงแหลม ทำหน้างอลงอีกรอบแล้วจึงสารภาพออกมา “ทีแรกก็คิดอยากเล่นงานอะไรให้มากกว่านี้เหมือนกันแหละ แต่ฉันไม่อยากทำอะไรใครหรือแช่งใครแรงๆ เกิดเป็นจริงขึ้นมาจะทำไง มันบาป”

ไตรเลิกคิ้ว และปุษยาก็ห่อไหล่ลง ทำเสียงกระฟอดกระแฟด

“แต่...แต่...จะให้แม่นั่นลอยนวลไปเลยก็ไม่แฟร์นี่นา”

...อ้อ...สรุปว่าแค้นก็แค้นอยู่หรอก แต่ใจอ่อน...

ชายหนุ่มรู้สึกอยากสั่นศีรษะอย่างกึ่งระอากึ่งขัน แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออก เพียงรำพึงกึ่งเปรยอย่างอดไม่ได้

“แล้วไซด์เอฟเฟคก็คือพี่ชายคุณกลายเป็นพระเอกตบจูบไปด้วยยังงั้นสิ แปลกดี...คำสาปแช่งคุณมันไม่น่าแรงขนาดนี้ หรือจะอย่างชาวบ้านเขาพูดกันว่าคนตายสามวันแรกมักจะเฮี้ยน”

“นี่นาย! ฉันยังไม่ต...”

“ผมล้อเล่น”

ไตรขัดขึ้นหน้าตาเฉย และเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะกรี๊ด เขาก็ยกมือขึ้นห้าม

“เดี๋ยวสิ คุณยังไม่ได้บอกผมเลยว่าผมโดนคำสาปยังไง ผมว่าผมก็ปกติดีนะ ไม่ได้เมาคำสาปจะไปฉุดผู้หญิงเหมือนพี่ชายคุณสักหน่อย”

กับคำถามนั้น เด็กสาวกลอกตา ทำท่าถอนใจเฮือก (แม้จะไม่มีลมหายใจ) แล้วจึงถามสวนกลับมา

“ฉันถามหน่อยซิ ปกตินายเป็นประเภทที่จะหลงผู้หญิงทันทีที่เห็นหน้า รำพึงรำพันเรื่องนางฟ้านางสวรรค์แล้วก็ปลอมตัวไปลองใจเขาหรือไง”

“เอ้อ จะว่าไปก็ไม่ใช่”

ชายหนุ่มยอมรับออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก และปุษยาก็ทำท่ามีชัย ว่าอย่างสมใจ

“เห็นมั้ยล่ะ เรื่องน้ำเน่ามันไม่ได้มีแต่ตบจูบอย่างเดียวนะคะ คุณเคยดูละครประเภทเศรษฐีปลอมตัวเป็นยาจกไปลองใจสาวมั้ย”

“ไม่อ้ะ ดูบอลมันกว่า แล้วก็พวกเอ็กซ์ตรีมสปอร์ต อ้อ รายการทำอาหารก็ดีนะคุณ”

ไตรตอบ...แบบไม่คิดอะไร แต่ทำให้เด็กสาวทำหน้าคว่ำ ส่งสายตาเขียวปัดมองมาเหมือนจะบอกว่าเขาไม่ยอมให้ความร่วมมือ ชายหนุ่มจึงกระแอมกระไอ รีบเสริมคำ

“เอ่อ แต่เวลาไปกินข้าวบ้านป๊ากับม้าก็เคยได้ยินพวกพี่สาวเขาคุยๆ เรื่องพวกนั้นกันอยู่บ้าง”

“ที่ปิ๊งจะบอกก็คือ คุณน่ะโดนคำสาปน้ำเน่าคนละหมวดกับพี่เป้”

ปุษยาว่าชัดถ้อยชัดคำ เธอกัดริมฝีปากแล้วจึงทำหน้าครุ่นคิด

“สงสัยเพราะตบจูบมันต้องมีความแค้น มันเป็นสูตร พอดีคุณไม่มีความแค้นอะไรกับยัยเชรีนั่น แต่ดันเป็นลูกเศรษฐี...มันเลยไปเข้าหมวดที่สอง ปลอมตัวพิสูจน์หัวใจ”

ไตรสำลักลมแค่กกับชื่อหมวด เขาไอค้อกแค้กอยู่อีกชั่วครู่ก่อนจะมองหน้าเธออย่างอยากให้ขยายความ แต่ปุษยากลับทำตาลอยต่อเหมือนกำลังคิดหนัก

“นี่คุณ”

...เหม่อ...

“คุณ คุณ”

...เหม่อ...

“เฮ้ย ยัยเด็กผี”

“อ๊ายยยยย! ว่าไงนะ?”

...ได้ผลว่ะ...

ไตรค่อยๆ ชักนิ้วออกจากหู ลอบถอนใจพลางรีบขัดก่อนเธอจะทันได้พูดอะไรเพิ่มอีก

“แล้วรู้อย่างนั้นแล้วไงต่อ คุณบอกคุณจะช่วยผม จะทำยังไง คุณจะถอนคำสาปให้ผมใช่มั้ย”

แปลกที่ปุษยาทำหน้าจ๋อยลง เธอหลบตาในแบบที่ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล แล้วชั่วครู่เจ้าหล่อนก็สารภาพออกมาเสียงอ่อยๆ

“เปล่า”

“อ้าว เฮ้ย ก็ไหนคุณบอกจะช่วยไงคร้าบ”

“ปิ๊งก็อยากนะ...” เด็กสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “แต่ปิ๊งไม่รู้วิธี ถ้ารู้วิธีถอนคำสาป ปิ๊งก็ช่วยพี่เป้ไปแล้วสิ”

ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกอยากตาย...หรืออยากบีบคอวิญญาณสาวตรงหน้าให้ตาย ผีตายซ้ำตายซากได้ไหมเนี่ย เอ้อ แต่จริงๆ แล้วเธอยังไม่ตายนี่นะ งั้นถ้า...

ไตรบอกตัวเองให้เลิกคิดก่อนหัวเขาจะระเบิดตายเสียเอง เขาสั่นศีรษะ มองสาวตรงหน้าอย่างปลงๆ เมื่อถาม

“งั้นคุณคิดจะทำยังไงต่อ มาเล่าให้ผมฟังเฉยๆ ผมจะช่วยอะไรคุณได้ พี่ชายคุณเขาไม่ฟังผมหรอก แล้วถึงเขาฟัง ไอ้คำสาปนั่นมันก็ยังอยู่อยู่ดี ยังไงคุณก็ต้องหาวิธีถอน”

“ปิ๊งรู้...”

เสียงใสยิ่งอ่อยขึ้นไปอีก แล้วเธอจึงช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างที่ทำให้ไตรรู้สึกทะแม่งๆ ขึ้นมาอีกรอบ เขาทำเสียงเข้มขึ้น...เกือบเป็นโหดโดยไม่ตั้งใจ

“แล้วไง?”

“...ปิ๊งขอเวลารีเสิร์ชหน่อยได้มั้ยล่ะ”

“คุณจะรีเสิร์ชอะไรมันก็เรื่องของคุณสิ เกี่ยวอะไรกับผมด้วย หรือคุณต้องการส่วนกุศลเผื่อจะมีบุญกลับเข้าร่างได้บ้าง แต่ผมไม่คิดว่ามันง่ายยังงั้นหรอกนะ”

“ปิ๊งไม่ได้จะขอส่วนกุศล” คราวนี้เด็กสาวไม่ทำท่าฉุนที่เขาพูดเหมือนเธอเป็นผีทั่วไป มิหนำซ้ำยังกระเถิบร่างใสๆ นั้นมาใกล้ขึ้นอีกพลางกระพือขนตาใส่เขา ยิ้มหวาน และชายหนุ่มก็เริ่มขนลุกขนพองอย่างรู้สึกได้ว่า ‘ลางร้าย’ เริ่มมาเยือน แม้จะยังพยายามทำใจดีสู้ผี

“เอ้อ...”

“ปิ๊งแค่จะขอที่อยู่”

“บนซองจดหมายที่กล่องหน้าประตูโน่น เชิญเลยครับ”

“ไม่ใช่ที่อยู่ยังงั้น!” เจ้าหล่อนแว้ดออกมาอย่างลืมตัว แล้วจึงรีบปิดปาก กระพือขนตา ‘อ้อน’ ต่อ

“ปิ๊งจะขอมาอยู่กับคุณซักพัก จะได้ช่วยเตือนคุณเรื่องคำสาปด้วยไงเวลาคุณลืมตัว นะ นะ”

...งานเข้าแล้วไง...

“เอ้อ... คือ...”

ไตรกลอกตา เกิดอาการพูดไม่ออกขึ้นมากะทันหัน ไม่ใช่เพราะซาบซึ้งกับความหวังดีของเจ้าหล่อน แต่เพราะความคิดที่ว่าตัวต้องแชร์คอนโดอยู่กับผี (โดยที่คอนโดเป็นของเขาและผีเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ) มันสุดกลั้น ถ้ามีน้ำมนต์อยู่ใกล้มือเขาคงลองหยิบมาสาดไล่ เสียแต่เขาไม่เคยสะสมของพรรค์นั้นเพราะไม่เคยคิดว่าจะต้องใช้

ชายหนุ่มจึงลองใช้วิธีร่ายวาทศิลป์เกลี้ยกล่อมดูแทน

“...คือคุณไม่ต้องมาอยู่เตือนผมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ได้ ผมขอบคุณนะที่คุณหวังดี แต่คุณไม่ห่วงร่างคุณที่โรงพยาบาลบ้างเหรอ”

“ร่างปิ๊งไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เป้เค้าจ้างพยาบาลพิเศษเฝ้าตลอดอยู่แล้ว” ปุษยาย้อน “แล้วปิ๊งก็ลองอยู่ห่างร่างมาตั้งนานแล้ว ไม่เป็นไรซักหน่อย ให้ปิ๊งอยู่ด้วยนะคะ อยู่โรง’บาลตัวคนเดียว ไม่มีใครคุยกับปิ๊งได้เลย จะกลับบ้าน พี่เป้ก็ไม่ได้ยินปิ๊ง”

“แล้วพ่อแม่คุณล่ะ”

“เสียไปนานแล้วค่ะ”

หางเสียงของเด็กสาวสะท้อนรอยเหงาอย่างที่ทำให้ชายหนุ่มต้องอึ้งไปอึดใจ แล้วเขาก็เริ่มเข้าใจว่าทำไมปุษยาติดและหวงพี่ชายนัก

เขามีพ่อแม่ พี่สาวสองคน...ตุลยดาและติณณา แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทว่าก็ยังได้พบปะกันบ่อยครั้งหรืออย่างน้อยสุดก็โทรคุย เขารู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาจะวิ่งไปหาใครได้ ขอความช่วยเหลือจากใครได้ และนี่คือเขาอยู่ในวัยที่สามารถพึ่งตัวเอง อยู่ตามลำพังบนขาของตัวเองมาพอสมควรแล้ว

ถ้าเขาเป็นเธอบ้าง อายุแค่นี้และเหลือกันเพียงสองคนพี่น้อง เขาก็คงกลัวใครจะมาแย่งคนเพียงคนเดียวที่เขาเหลืออยู่ในชีวิตไปเหมือนกัน

“ผมเสียใจด้วยนะ”

เด็กสาวพยักหน้า ยิ้มมาหงอยๆ ก่อนสีหน้านั้นจะเปลี่ยนและเจ้าตัวจะวกกลับเข้าเรื่อง

“ตกลงคุณให้ปิ๊งอยู่ด้วยนะคะ นะ ปิ๊งไม่กวนคุณหรอก แค่ขอคุยด้วย ยืมดูทีวี แล้วคุณก็หานิยายมาให้ปิ๊งอ่านมั่ง...”

...ไหง ‘ไม่กวน’ ของเธอมันชักจะงานหนักขึ้นทุกทีวะ...

“แล้วเขาว่ากันว่าวิญญาณรับส่วนกุศลได้ ทำบุญอาหารไปให้ก็จะได้รับใช่มั้ยคะ ปิ๊งไม่แน่ใจว่าปิ๊งยังไม่ตายอย่างนี้จะกินอะไรได้หรือเปล่า แต่ถ้าคุณจะลองดู ปิ๊งอยากกิน....”

“เอ้อ เดี๋ยว เดี๋ยว ผมยังไม่ได้รับปากนะคู้ณ”

ชายหนุ่มรีบขวางทัพก่อนเจ้าหล่อนจะเตลิดไปไกลกว่านี้ “คุณไม่คิดดูใหม่ดีๆ ก่อนเหรอ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่คุณเป็นสาวเป็นนาง มาอยู่กับผู้ชายไม่ใช่ญาติใช่เชื้อมันไม่งาม”

“ไม่เป็นไรค่ะ ปิ๊งไม่ถือ” เด็กสาวส่งยิ้มเขินๆ มาให้ แถมทำหน้าเคลิ้มเหมือนกำลังประทับใจสุดเดชกับความเป็นสุภาพบุรุษของเขาอีกต่างหาก “ไม่มีใครรู้หรอก แล้วก็ใช่ว่าคุณจะทำอะไรปิ๊งได้นี่นา”

“ต่อให้ทำได้ผมก็ไม่คิดจะทำอะไรคุณอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มถอนใจยืดยาวก่อนจะพึมพำในคอ แอบนึกในใจว่าเขาคงกระเดือกเด็กจอมตะแง้วแบบนี้ไม่ลง ทว่าปุษยาดูเหมือนจะตีความผิด เพราะเจ้าหล่อนส่งยิ้มมาอีก

“ปิ๊งรู้ค่ะ คุณเป็นคนดี ตกลงให้ปิ๊งอยู่ด้วยได้แล้วใช่มั้ยคะ คอนโดคุณก็ออกกว้าง ตั้งสองห้องนอน ไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวหรอกค่ะ แล้วปิ๊งก็สาบานว่าจะไม่แอบดูคุณอาบน้ำ”

ไตรรู้สึกเหมือนลมจะใส่ อยากแหวออกไปว่าเขาไม่ได้กังวลเรื่องนั้น (โว้ย)

เอ้อ...หรือเขาควรจะกังวล...

“นี่ผมจะพูดยังไงคุณก็คงไม่ไปใช่ไหม”

“คุณรังเกียจปิ๊งเหรอคะ”

ปุษยาหน้าเสีย และแม้ไตรจะคันปากอยากตอบออกไปตามตรงขนาดไหน แต่เขาก็ทำไม่ลง

นี่มันใช่ส่วนหนึ่งของคำสาปน้ำเน่าของเจ้าหล่อนไหมเนี่ย ทำไมเขาถึงทำตัวเป็นพระเอก (หน้าโง่) ได้ขนาดนี้นะ

“ถ้าคุณจะอยู่ที่นี่ เราก็ต้องคุยกันก่อน”

“ค่ะ ว่าไงคะ” ปุษยาทำหน้าสดชื่นขึ้นมาทันที และไตรก็นึกสงสัยตัวเองอีกรอบว่าสติเขายังอยู่กับตัวหรือเปล่าถึงคิดทำอะไรแบบนี้

...อาจจะไม่...

เขาเดินไปคว้ากระดาษกับปากกามา ตบปึงลงบนโต๊ะ และมองหน้า ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ ของตนแบบที่หวังว่าจะดูจริงจังและเป็นหลักเป็นฐาน

“เรามาวางกฎกัน แล้วถ้าคุณทำไม่ได้ ก็ออกไป”



พัทธมน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.ย. 2556, 20:28:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.ย. 2556, 20:28:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1032





<< บทที่ 6   บทที่ 8 >>
ree 7 ก.ย. 2556, 04:52:22 น.
เออ นายไตรก็ใช่ได้แฮะ ร่างสัญญาก่อน ถ้ายัยหนูปิ๊งผิดสัญญาแล้วจะทำอะไรได้ล่ะ อ่านจบบทนี้ยังขำและสงสารพี่เป้ในบทที่แล้วอยู่เลย ชอบเรื่องคำสาปน้ำเน่าอ่ะ มีหลายแบบด้วย ไม่รู้จะมีคนต้องคำสาปแบบอื่นอีกหรือเปล่า


ree 7 ก.ย. 2556, 04:54:00 น.
อยากรู้ว่าคนเขียนจะมาโพสบ่อยแค่ไหน จะได้ติดตามได้น่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account