เพลิงดอกรัก by แสนดี

Tags: เจ้าพ่ออ่าง,มาเฟีย,แสนดี,เพลิงดอกรัก,

ตอน: บทที่ 5


ลงจากสถานีตำรวจ วโรตม์ให้เวลานักข่าวประมาณห้านาทีก็ขอตัว โดยเขาได้ตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่มีคนแจ้งความว่า เป็นการเข้าใจผิดกันเท่านั้น

“คนอย่างผม ไม่จำเป็นต้องกักขังหน่วงเหนี่ยวผู้หญิงคนไหน ใครก็อยากมาอยู่กับผมทั้งนั้นแหละ” เป็นคำตอบที่เต็มไปด้วยความยโสและเชื่อมั่นในตัวเองอย่างยิ่งยวด ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าคัดค้านออกมา

“แล้วอย่างนี้นีน่าว่ายังไงบ้างคะ”

“ผมกับนีน่าเข้าใจกันดีทุกอย่าง เธอยังไว้ใจผมได้เสมอ”

“แล้วคดีที่เสี่ยโดนลอบยิงล่ะครับ ตอนนี้...”

“ไปถามเจ้าหน้าที่เอาเองก็แล้วกัน แต่ในส่วนของผม ยังไม่มีการแจ้งความคืบหน้าเข้ามา ขอตัวก่อนครับ”

จากนั้นชายหนุ่มก็เดินทางออกจากสถานีตำรวจแห่งนั้น และเพียงไม่กี่ล้อหมุนจากประตูทางเข้า เขาก็เห็นนรีกานต์เดินอยู่ริมฟุตบาท เพทายก็เห็น จึงเร่งความเร็วขึ้น แต่วโรตม์กลับสั่งให้จอด จากนั้นจึงเปิดประตูแล้วลงไปหาเจ้าของร่างแบบบางนั่น ท่ามกลางสีหน้าหนักใจของบอดี้การ์ดทั้งสอง

“มีอะไรคะ” นรีกานต์ที่กำลังเดินคิดอะไรเงียบๆสะดุ้งไปด้วยความตกใจและกลัว หรือเขาจะตามมาฆ่าหล่อน ที่บังอาจแจ้งความเขานะ?!!

ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังทำใจดีสู้เสือ เพราะตรงนี้คือด้านหน้าสถานีตำรวจ ซึ่งมีแผงขายของและอาหารเรียงรายตามความยาวของฟุตบาท ผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน เขาคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรอกกระมัง

“บอกไว้ก่อนนะ ถ้าคุณทำอะไรฉัน คุณได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งอีกแน่ ฉันยังไม่ถอนแจ้งความคุณ แถมยังลงบันทึกประจำวันไว้ด้วยว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับฉันและเพื่อนของฉัน คุณจะโดนเพ่งเล็งเป็นคนแรก” หญิงสาวยกเรื่องนี้ขึ้นมาขู่ ดวงตาสีสนิมเหล็กของวโรตม์วาวโรจน์ขึ้นมาครู่หนึ่งก็จางหาย กลายเป็นความขบขันเข้ามาแทนที่

“แต่อย่าลืมว่าคุณแจ้งความเท็จ ผมฟ้องคุณกลับได้นะ อีกอย่างคุณก็เห็นว่าตำรวจพวกนั้นแทบจะอุ้มผมเดินอยู่แล้ว ส่วนนักข่าวเหรอ...พวกหมาล่าเนื้อ แค่ผมโยนชิ้นเนื้อให้สักก้อน ข่าวของผมก็พร้อมจะเงียบยิ่งกว่าเป่าสากแล้ว”

นรีกานต์สะอึกกับความจริงที่รู้ๆกันอยู่ว่าอำนาจของเงินนั้นแทบจะอยู่เหนือทุกอย่างในประเทศนี้เมืองนี้ ซึ่งหล่อนก็อยากรู้นักว่าถ้าพวกตำรวจกับนักข่าวมาได้ยินคำพูดของเขาเข้าจะรู้สึกอะไรบ้างหรือเปล่านะ

“ฉันเชื่อว่ายังมีตำรวจดี รักความยุติธรรมและนักข่าวที่ไม่เห็นแก่เงินของคุณ”

“ผมก็เชื่อว่ามี แต่ส่วนมากตายไปแล้ว และคนก็ลืมไปแล้วด้วย”

“คุณดูถูกความดีและคนดีเกินไปหน่อยหรือเปล่า” หญิงสาวย้อนเข้าให้อย่างเหลืออด

“ผมแค่พูดความจริง หรือคุณจะเถียง”

“ฉันกับคุณ เราศรัทธาคนละอย่างกัน และศรัทธาก็เปลี่ยนยากที่สุด เพราะฉะนั้นฉันจะไม่พูดกับคุณเรื่องนี้อีก ว่าธุระของคุณมาดีกว่า”

“ผมอยากปรึกษาคุณเรื่องน้องของคุณน่ะ ขึ้นรถสิ” เขาออกคำสั่ง นรีกานต์สั่นหน้าทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด นั่งรถไปกับผู้ชายที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุด เจ้าชู้สะบัดเนี่ยนะ ไหนจะบอดี้การ์ดหน้าโหดสองคนที่ทำท่าเหมือนจะหักคอหล่อนนั่นอีก ถ้าหล่อนยอมขึ้นไปละก็ เหมือนเอาคอไปพาดบนเขียงดีๆ นี่เอง

“คุณไม่ห่วงน้องแล้ว?” คิ้วเข้มข้างหนึ่งถูกยกขึ้น

“ห่วง แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ฉันจะต้องขึ้นรถคุณนี่ ถึงฉันจะเสี่ยงที่แจ้งความคุณ แต่ก็ไม่บ้าขนาดขึ้นรถไปกับเจ้าพ่อมหาโหดอย่างคุณหรอก”

“ความจริง ผมก็ชอบคนกล้าอย่างคุณนะ”

“ไม่ต้องมาประชดฉันหรอกค่ะ”

“ผมเปล่าประชด ผมพูดจริงๆ อย่างน้อย คุณก็ช่วยให้ผมรู้จักอสูรแห่งราตรีดีขึ้น”

“นี่เป็นภาษาเจ้าพ่อหรือเปล่าคะ คนธรรมดาอย่างฉันเลยฟังไม่รู้เรื่อง คุณพูดเหมือนคุณไม่ใช่คุณอย่างนั้นแหละ ฉันไปละ” หญิงสาวว่าพลางขยับตัว เตรียมเรียกวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งที่ปากซอยใหญ่

“เดี๋ยวสิคุณ คุณควรจะเรียนรู้อะไรอย่างหนึ่งนะ” วโรตม์เรียกหล่อนไว้ด้วยเสียงเปี่ยมอำนาจ

“อะไรคะ” หญิงสาวหันมาขมวดคิ้วงงๆ

“คนอย่างผม ถ้าต้องการอะไรแล้วต้องได้”

ยโส โอหัง และมั่นใจในตนเองจนกลายเป็นอวดดีที่สุดเท่าที่ผ่านพบผู้คนมากมายจากอาชีพที่หล่อนทำอยู่ นรีกานต์นึกค่อนเขาในใจด้วยความหมั่นไส้เต็มพิกัด

“จะให้ลูกน้องมาลากไปหรือจะใช้ปืนจี้คะ” หล่อนถามเขาด้วยน้ำเสียงหยามหยันระคนสมเพช ยังผลให้คนถูกมองหน้าชาดิก “...เฮ้ย ปืน! คุณ ระวัง!” ตอนท้ายนรีกานต์ตะโกนลั่นเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นกระบอกปืนจากมือผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเดินปะปนอยู่ในฝูงชน เมื่อได้ยินเสียงหล่อน เจ้ามือปืนก็ชะงักไปนิดหน่อยและหันมามองหน้าหล่อนแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปลั่นกระสุนใส่วโรตม์ วโรตม์กระโจนหลบไปข้างรถเข็นก๋วยเตี๋ยวร้างใกล้ๆ ด้วยความรวดเร็วโดยคว้าร่างนรีกานต์ไปด้วย

เพียงเสียง ปัง! ดังขึ้นครั้งแรก ศักดิ์กับเพทายที่อยู่ในรถก็เปิดกระจกเพื่อยิงสวนกลับได้ทันที แต่ปรากฏว่ามือปืนไม่ได้มาแค่คนเดียว แต่มาถึงสี่คน โดยอีกสองคนนั้นก็เร้นตัวอยู่ร่วมกับชาวบ้านนั่นเอง

ผู้คนแถบนั้นหวีดร้อง ตามมาด้วยความจ้าละหวั่นของการหนีเอาตัวรอด

อสูรแห่งราตรีกดศีรษะนรีกานต์ลงให้นอนราบลงกับพื้น แล้วหยิบปืนของตนที่ซุกไว้ในกระเป๋ากางเกงออกมายิงตอบโต้ไม่ลดละ แต่ฝ่ายตรงข้ามก็มีฝีมือใช่ย่อย กระโดดหลบกระสุนเขาได้ทุกนัด แถมสวนกลับมาอย่างดุเดือด

“หน้าสถานีตำรวจแท้ๆ ทำไมมันกล้ายิงเนี่ย เกินไปหน่อยแล้ว” นรีกานต์บ่นอุบด้วยความขัดใจ

วโรตม์โผล่ออกไปสาดกระสุนแล้วดึงตัวกลับมานั่งพัก พร้อมถามคนใกล้ตัว “คุณคิดว่าไงล่ะ”

นรีกานต์สั่นหน้า ความกลัวความตกใจทำให้หล่อนคิดอะไรไม่ออก และขณะนั้นเองหล่อนก็ได้ยินเสียงร้องจ้าของเด็กคนหนึ่งแทรกเข้ามา จึงทำท่าจะผงกหัวขึ้นไปมอง แต่วโรตม์กระตุกแขนไว้

“ฉันได้ยินเสียงเด็กร้อง” นรีกานต์พยายามเงยหน้ามาพูดจนได้ แต่วโรตม์ไม่สนใจ ยังตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับศัตรูของตนต่อไป ซึ่งหญิงสาวก็พบว่าตัวเองทนไม่ได้ต่อไปเช่นกัน หล่อนทำท่าจะลุกขึ้น

“อยู่เฉยๆ ถ้ายังไม่อยากตาย” เขาสั่งเสียงดุ

“ฉันยังไม่อยากตาย แต่อยู่เฉยไม่ได้เหมือนกัน ฉันได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ คุณได้ยินไหม” ตอนที่พูดหล่อนก็เหลียวมองหาที่มาของเสียง แล้วก็พบว่าเด็กหญิงคนหนึ่งอายุประมาณห้าขวบยืนร้องไห้ด้วยความกลัวอยู่ทางด้านขวามือของวโรตม์ ไม่มีอะไรเป็นเกราะกำบังทั้งสิ้น อยู่ในที่โล่งแจ้ง หล่อนไม่อยากคิดเลยว่าถ้าหากลูกกระสุนพลาดจากเป้าไปโดนเด็กเข้า มันจะเป็นอย่างไร

วโรตม์หันไปมองตามสายตาหล่อนแวบหนึ่ง แล้วก็ต้องรีบหันกลับมารับมือกับกระสุนที่กำลังกระหน่ำมาจากอีกด้าน ก่อนจะดึงร่างตัวเองกลับมาพักหายใจหายคออีกครั้ง

“ช่วยเด็กด้วยนะ คุณพายุ ช่วยน้องเขาด้วย” นรีกานต์อ้อนวอน ตายังมองที่เด็กคนนั้นด้วยความเป็นห่วง

“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะคุณ แล้วค่อยคิดช่วยคนอื่น” พูดจบเขาก็โผล่ไปยิงฝ่ายตรงข้ามอีกสองสามนัด แล้วก็พาร่างกลับมาพักใหม่ จึงได้เห็นสายตาโกรธ ผิดหวัง เจ็บใจจากคนร่วมหลบ ดูเหมือนจะมีน้ำตาคลอดวงตาคู่สวยของหล่อนด้วย

“คุณไม่ศรัทธาความดีจริงๆด้วย” หญิงสาวครางเสียงผิดหวัง “ทั้งที่เด็กนั่นต้องมายืนร้องไห้อกสั่นขวัญแขนอยู่ตรงนั้นก็เพราะคุณแท้ๆ แต่คุณก็ยัง...”

“ถ้าผมโดนยิงตาย แล้วผมจะช่วยเด็กได้ยังไงล่ะคุณ” ชายหนุ่มย้อนกลับมา หูก็เงี่ยหูฟังสถานการณ์ฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา

“ถ้าคุณกลัวตายนักก็อยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน ฉันไปช่วยแกเอง” พูดจบหล่อนก็ผุดลุกขึ้นเพื่อจะทำตามที่ลั่นปาก แต่ก็ต้องหวีดร้องด้วยความตกใจเมื่อกระสุนลูกหนึ่งวิ่งเฉียดศีรษะไปอย่างฉิวเฉียด ต้องทรุดกายลงนั่งตามเดิม

“ผมบอกแล้วไงว่าเอาตัวเองให้รอดก่อน” วโรตม์ถือโอกาสเหยียบซ้ำ สีหน้าเขาดูถมึงทึงน่ากลัว

นรีกานต์ไม่ตอบ ใจยังเต้นรัวเร็วด้วยความตกใจผสมความใจหาย อันทำให้วโรตม์คิดว่าหล่อนคงยอมจำนนกับคำพูดของเขา แต่ชายหนุ่มคิดผิด เพราะเขาเผลอ หล่อนก็คลานออกไปหาร่างน้อยนั่นทันที

“เฮ้ย คุณ!” วโรตม์อุทานลั่น รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งก้มตัวต่ำตามหล่อนไป ขณะที่มือปืนคนหนึ่งเพิ่งออกจากที่กำบังของมันมาพอดีและไม่รอช้าที่จะสาดกระสุนใส่เขา วโรตม์ตัดสินใจกระโดดพุ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว แล้วคว้าหนูน้อยขึ้นมาอุ้ม

“ศักด์ คุ้มกันด้วย!” เขาตะโกนสั่ง จากนั้นมือข้างที่ว่างก็ฉุดมือนรีกานต์ให้ออกวิ่งไปพร้อมกัน และมาหยุดอยู่ข้างแผงขายหนังสือไม่ห่างจากตรงนั้นนัก “คุณรอผมอยู่ที่นี่ อย่าออกมา จนกว่าผมจะเรียก”

นรีกานต์รับคำ รับหนูน้อยที่ยังร้องไห้มากอดเอาไว้ ลูบหัวลูบหลังเพื่อปลอบขวัญ ปากก็พร่ำบอกไปด้วย

“ปลอดภัยแล้ว เราปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องร้อง...”

เสียงปืนยังดังตามมาอีกหลายนัด ก่อนจะสงบลง ทิ้งกลิ่นเขม่าควันให้ลอยคลุ้งในอากาศ แล้วจึงได้ยินเสียงรถตำรวจ เสียงฝีเท้าผู้คนและเสียงชาวบ้านที่พูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้น

“นรีกานต์ คุณออกมาได้แล้ว” สักพักเสียงห้าวทุ้มของวโรตม์ก็ดังขึ้น นั่นเอง หล่อนจึงฉุดมือหนูน้อยให้ลุกขึ้นออกจากที่กำบังไปด้วยกัน “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

หญิงสาวสั่นหน้า “นอกจากตกใจและหูใกล้จะดับแล้ว ฉันก็ไม่เป็นอะไร”

วโรตม์มองสำรวจร่างหล่อนขึ้นลงครั้งหนึ่งเพื่อความแน่ใจ ครั้นเห็นว่าหล่อนไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ก็ยิ้มออกมาได้ด้วยความสบายใจ นรีกานต์ชะเง้อมองไปยังกลุ่มคนที่กำลังมุงดูอะไรบางอย่าง แล้วถาม

“มีคนตายด้วยเหรอคะ”

“พวกมันตายสาม หนีไปได้หนึ่ง ตอนนี้ตำรวจกำลังตรวจสอบที่เกิดเหตุอยู่”

“ตำรวจมาช้าเหมือนในหนังเลยนะคะ ทั้งที่เหตุเกิดบนปลายจมูกพวกเขานี่เอง แล้วนี่เขาตามคนร้ายที่เหลือไปหรือเปล่าคะ”

“ตามไป แต่ผมรู้ว่ายังไงก็ตามไม่เจอหรอก” วโรตม์ยักไหล่แสดงท่าทางสมเพชเห็นได้ชัด “เมื่อกี้เขาอ้างว่ากำลังประชุมอยู่ในห้องลับเลยไม่ได้ยิน พวกที่อยู่ข้างนอกก็อ้างว่านายไม่ได้สั่ง เลยไม่กล้าขยับตัว แค่นี้ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร...ช่างเถอะ อย่าพูดเรื่องนี้ให้ยิ่งเสียอารมณ์เลย ว่าแต่หนูน้อยคนนี้เป็นยังไงบ้าง” ตอนท้ายเขาก้มลงมองแม่หนูที่ยืนฟังเขากับนรีกานต์ตาแป๋ว “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า หนู”

เด็กหญิงส่ายหน้าเป็นการตอบ

“เอ...พ่อแม่เด็กไปไหน ทำไมป่านนี้ไม่ตามหาลูกเนี่ย” นรีกานต์รำพึงพลางชะเง้อหาใครสักคนที่คิดว่าจะเป็นผู้ปกครองของหนูน้อย แต่ก็ไม่พบว่ามีใครตามหาเด็กเลย ส่วนมากกำลังยืนจับกลุ่มคุยกันด้วยความตื่นเต้นอยู่ หล่อนจึงก้มลงมาหาเด็ก “น้อง บ้านอยู่แถวนี้หรือเปล่า แล้วพ่อแม่ไปไหน”

“หนูไม่มีพ่อแม่ค่ะ หนูอยู่กับยาย...ยายไม่สบาย หนูเลยออกมาซื้อยาค่ะ” เด็กหญิงตอบ “บ้านหนูอยู่ท้ายวัดโน่นแน่ะค่ะ”

ผู้ใหญ่สองคนหันสบตากันแวบหนึ่ง แล้วก็เป็นนรีกานต์ที่ย่อตัวลงไปนั่งเพื่อสบตาหนูน้อยตรงๆ

“คุณยายเป็นอะไรคะ พาพี่ไปดูหน่อยได้ไหม”

ได้ยินอย่างนั้น หนูน้อยก็มีท่าทีลังเลว่าควรจะไว้ใจคนแปลกหน้าดีไหม แม้จะเป็นคนที่ได้ช่วยตนเอาไว้ก็เถอะ ยายกับคุณครูสอนนักสอนหนาว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า เห็นอย่างนั้นนรีกานต์ก็ยิ้มอ่อนโยน

“พี่เป็นพยาบาลค่ะ พี่จะช่วยดูคุณยายให้นะคะ จะได้ซื้อยากินให้ถูกต้องไง ไม่ต้องกลัวพี่นะ พยาบาลน่ะ มีหน้าที่ช่วยคน ไม่ใช่หลอกคนหรอกค่ะ”

น้ำเสียงอ่อนโยน ท่าทางเป็นมิตรและกระแสเมตตาที่แผ่ออกมาจากร่างนั้น ทำให้ท่าทีของเด็กหญิงเปลี่ยนไป เช่นเดียวกับผู้ใหญ่อีกคนในที่นั้นที่เผลอพยักหน้าออกมาคนเดียวด้วยเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว

เป็นพยาบาลนี่เองเล่า ถึงได้รักชีวิตคนอื่นถึงเพียงนี้ ถึงได้มีสัญชาตญาณของการช่วยเหลือชีวิตติดอยู่ในตัวตลอดเวลาเช่นนี้

วูบนั้น ความประทับใจในตัวหล่อนก็ไหลบ่าราวน้ำหลาก ส่งผลให้หัวใจกระตุกด้วยจังหวะแปลกๆ อย่างยากจะห้าม

“ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยฉันกับน้องคนนี้ไว้” เมื่อหนูน้อยตกลงจะให้หล่อนไปที่บ้านด้วยเรียบร้อยแล้ว นรีกานต์ก็ลุกขึ้นยืนมาสบตาคนตัวโตบ้าง

“ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณที่ช่วยร้องเตือน ไม่อย่างนั้นผมแย่แน่ๆ ขอบคุณที่คุณมีสัญชาตญาณการช่วยเหลือผู้อื่นสูงขนาดนี้” ถ้อยคำนั้นอ่อนโยน แววตาอ่อนแสงลง มองหล่อนด้วยความตระหนักในบุญคุณอย่างจริงใจ

“ใครเป็นฉันก็ต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้นแหละค่ะ” หญิงสาวตอบกลับด้วยน้ำเสียงธรรมดา เพราะหล่อนมองว่าเป็นเรื่องปกติ

“แต่คงไม่มีใครยอมสละชีวิตไปช่วยคนอื่นอย่างที่คุณยอมช่วยหนูน้อยคนนี้”

“เมื่อกี้คุณใช้คำถูกต้องแล้วค่ะ คงเป็นสัญชาตญาณอย่างที่คุณเองก็มี อย่างน้อยก็เมื่อค่ำวานนี้ที่คุณช่วยฉันจากฝรั่งคนนั้น” หล่อนส่งยิ้มขอบคุณไปให้เขาบวกด้วยความประทับใจเช่นกัน

ขณะนั้นเอง นายตำรวจร้อยเวรคนเดิมก็เดินตรงมาหา

“ผมรบกวนเสี่ยไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับทางเราด้วยนะครับ...เราต้องการข้อมูลที่เสี่ยมีทั้งหมด เพื่อขยายผลเพื่อตามจับกุมคนร้ายให้ได้ครับ อ้อ แล้วก็คุณนรีกานต์ด้วยนะครับ ในฐานะผู้เห็นเหตุการณ์”

ตอนนั้นเองที่นรีกานต์เพิ่งสังเกตว่า ต้นแขนข้างหนึ่งของวโรตม์มีเลือดซึมเสื้อออกมา

“คุณถูกยิงนี่คะ รีบไปทำแผลดีกว่านะคะ”

วโรตม์ก้มมองต้นแขนตนแล้วส่ายหน้า “กระสุนแค่ถากๆน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”

“ไม่ได้ค่ะ ยังไงก็ต้องทำแผล ปล่อยไว้นาน เลือดจะยิ่งไหลและแผลก็อาจอักเสบได้” พยาบาลสาวร้องสั่งเสียงเด็ดขาดก่อนหันไปทางบอดี้การ์ดทั้งสอง “พวกคุณก็เหมือนกัน ถ้ามีบาดแผลละก็อย่าทิ้งไว้นานนะ”



ยี่สิบนาทีต่อมา นายตำรวจหนุ่มยืนทำหน้าเซ็งอยู่ข้างรถคันหรูของวโรตม์ ส่วนศักดิ์กับเพทายยืนคอยคุ้มกันนายอยู่คนละฟาก โดยกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อสังเกตหาความผิดปกติตลอดเวลา แว่วเสียงรถมูลนิธิร่วมกตัญญูแล่นห่างออกไปเรื่อยๆ ชาวบ้านและนักข่าวสลายตัวกันเกือบหมดแล้ว

ภายในรถคันหรู นรีกานต์กำลังทำแผลให้วโรตม์อยู่อย่างตั้งใจ แต่ปากก็อดบ่นไม่ได้

“ให้ไปโรงพยาบาลก็ไม่ไป เสียเวลาฉันจริงๆเลย”

“นางพยาบาลอะไรทำไมขี้บ่นอย่างนี้ แถมใจร้ายอีกต่างหาก ทีเด็กคนนั้นคุณเดินไปส่งถึงบ้าน กับผมคุณไม่ต้องเดินด้วยซ้ำ” น้ำเสียงตัดพ้อนั้นทำให้พยาบาลสาวต้องเหลือบสายตาขึ้นมองเขาด้วยความไม่แน่ใจ เพราะดูเหมือนเขากำลังอิจฉาเด็กอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากรับปากตำรวจว่ายินดีจะให้ปากคำ นรีกานต์ก็ขอตัวเดินไปส่งหนูน้อยที่บ้านก่อน ตอนแรกตำรวจจะให้ลูกน้องขับรถไปส่งแม่หนูเอง แต่นรีกานต์ไม่ยอม เพราะหล่อนจำเป็นต้องดูอาการของคุณยายของเด็กคนนั้นด้วย วโรตม์เลยขอตามไปด้วย พอกลับจากบ้านหนูน้อย วโรตม์ก็ให้ลูกน้องไปซื้ออุปกรณ์สำหรับทำแผลมา แล้วก็ให้หล่อนทำให้นี่แหละ

เขาเป็นเจ้าพ่อที่อยู่เหนือความคาดหมายของหล่อนมากทีเดียว

“แต่ยังไงคุณก็ต้องให้หมอตรวจอาการอีกทีนะคะ ฉันทำได้ก็แค่ห้ามเลือดเบื้องต้นเท่านั้น” หล่อนว่าพลางรีดเทปใสให้แนบไปกับผ้ากอซปิดแผลและผิวหนังรอบๆ แผลของเขาเบามือ จากนั้นก็เก็บข้าวของลงกล่องพลาสติกเล็ก

“ถ้าเรียบร้อยแล้ว ก็เชิญครับ เสี่ย คุณนรีกานต์” นายตำรวจยื่นหน้ามาเรียกใกล้ๆ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าเขาไม่พอใจเอามากๆ

วโรตม์ทำเสียงรับรู้ ขยับตัวลุกขึ้นและลงจากรถก่อนหญิงสาว แล้วยื่นมือให้หล่อน

“ลงจากรถผมดีๆนะคุณ” ตอนที่พูดประโยคนั้นใบหน้าของเขายิ้มละไม มันแฝงไปด้วยความพึงพอใจและชัยชนะบางอย่าง นรีกานต์รู้สึกแปลกๆกับคำพูดนั้น ยิ่งเห็นสายตากับรอยยิ้มของเขาก็ยิ่งสงสัย ทำไมเขาต้องทำท่าภูมิใจขนาดนั้นด้วย

“ผมบอกแล้วว่า อยากได้อะไรแล้วต้องได้”

หญิงสาวขมวดคิ้วพลางทบทวนความทรงจำอยู่ครู่ ก็จำได้ ก่อนหน้าจะโดนกราดยิง เขาเชิญหล่อนขึ้นรถ แต่หล่อนปฏิเสธ เขาก็เลยบอกหล่อนด้วยประโยคข้างต้นนี่แหละ

“มันเรื่องใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” นรีกานต์พึมพำอย่างไม่อยากเชื่อ นี่เป็นอีกเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายของหล่อน

อย่างไรก็ตาม หล่อนก็ยึดมือหนาที่ยื่นมาตรงหน้าเอาไว้ขณะก้าวลงจากรถ พลันนั้น หญิงสาวก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีกระแสไฟอ่อนๆ แล่นผ่านปลายนิ้วแข็งแรงเข้ามาสู่ปลายนิ้วของหล่อน จนต้องรีบดึงมือออกด้วยความตกใจ เงยหน้ามองเขาก็พบท่าทีอย่างเดียวกัน

“ขอบคุณค่ะ” เสียงหล่อนเบาลงไปกว่าปกติจนนึกฉงนตัวเอง

วโรตม์ยิ้ม ก่อนพยักหน้าให้หล่อนเดินเข้าไปในสถานีตำรวจพร้อมกัน โดยมีบอดี้การ์ดทั้งสองเดินตามหลัง และบ่อยครั้งที่สองบอดี้การ์ดต้องหันมามองหน้ากันด้วยความกังวลระคนหนักใจ ไม่ใช่เรื่องการต้องให้ปากคำตำรวจนั่นหรอก แต่เพราะนายของพวกเขาดูจะให้ความสำคัญกับหญิงสาวที่เดินข้างๆคนนั้นเหลือเกิน จนบางทีอาจหลงลืมว่าตัวเองเป็นใคร กำลังทำอะไร และตอนนี้ก็กำลังมีใครอยู่แล้ว

+ + + + + + + +

จบบทที่ 5 ค่ะ บทนี้ขออนุญาตไม่ตอบคอมเมนท์นะคะ ตอนนี้พายุงานกำลังถาโถมใส่คนเขียนจนแทบหายใจไม่ทันแล้ว ขอบคุณทุกคนมากๆอีกครั้งสำหรับการติดตามค่ะ



วิรัตต์ยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ก.ย. 2556, 09:55:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ย. 2556, 09:55:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1806





<< บทที่ 3 ความรัก ความหลังครั้งหนึ่ง   บทที่ 6 บุพเพหรือเล่ห์กรรม >>
ดังปัณณ์ 9 ก.ย. 2556, 10:45:49 น.
หุยๆๆๆๆๆ เสี่ยขาาาาาาาาาาาาาาา


ตุ๊งแช่ 9 ก.ย. 2556, 11:33:41 น.
ฟันธงงง....หุหุ


Sukhumvit66 9 ก.ย. 2556, 11:59:59 น.
เสร็จแน่ ๆ เสร็จเสี่ยเขาแน่ ๆ เบย อิอิ


ปลากัด 10 ก.ย. 2556, 00:21:03 น.
ว้ายยยยยย แอบมาซุ่ม เอามั่งดีกว่า คิคิ


รักเร่ 10 ก.ย. 2556, 10:12:54 น.
แล้วเสี่ยจะเอาคุณนีน่าไปไว้ไหนคะ


ผักหวาน 11 ก.ย. 2556, 09:28:51 น.
อกสั่นขวัญแขวน ค่า ไรเตอร์ขา แก้ด้วยเด้อ

/////

วุ้ย พ่ออสูรเนี่ย อยากได้อะไรต้องได้

แค่เค้าไปนั่งทำแผลบนรถให้ก็เข้าข้างตัวเองซะงั้นเนอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account