Sweet Magic เวทมนตร์...รสหวาน
ความฝันที่อยากจะทำร้านขนมหวานครบสูตรของอิศยา ทำให้เจ้าหล่อนยอมหันหลังให้กับชีวิตของครอบครัว...และความฝันสุดยิ่งใหญ่ของเธอจะเกิดขึ้นได้ อิศยาต้องยอมทุ่มเทกายใจเอาชนะกำแพงหนาของป้ณณ์ให้ได้...งานช้างแบบนี้ อิศยาไม่มีทางยอมแพ้เขาเด็ดขาด แล้วจะได้รู้ว่าคนอย่างอิศยารุกรานโลกของเขาได้มากขนาดไหน
Tags: เวทมนตร์,รสหวาน,อิศยา,ปัณณ์,ปวรา

ตอน: สถานที่ในฝัน

วูบหนึ่งที่เธอเห็นภาพตวาดใส่บริกรหญิงในร้าน อารมณ์ของเธอก็เดือดพล่าน มันคงเป็นภาพตอกย้ำให้เธอหวนนึกถึงเรื่องในอดีต


‘ทำไมถึงส่งขนมปังไหม้ๆ ไปให้ฉัน รู้ไหมว่าโชคดีแค่ไหนที่คนที่กินคือคนของฉัน ถ้าเป็นแขกเหรื่อคนใหญ่คนโตที่มาร่วมงาน ฉันไม่เสียหน้าหรือไง คอยดูเถอะ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปโพนทะนาให้ทั่ว’

เด็กหญิงตัวเล็กวัยประถมผูกผมแกละยืนตัวสั่น กอดเอวมารดาอยู่ด้านหลังร้าน ตาปิดสนิท หยดน้ำร่วงอาบเป็นทางสองแก้ม เสียงดังจากคุณนาย ภริยาของท่านผู้ว่าเจ้าของงานยังดังเสียดแทงใจดวงเล็ก...ขนมปังชิ้นนั้นต้องเป็นฝีมือของเธอแน่ๆ

‘ผมขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ผมจะขอรับผิดชอบทุกอย่างคนเดียว จะทำขนมให้ฟรีๆ ไม่คิดเงินเลยครับ’ อิศยาเงยหน้าขึ้นมาทันได้เห็นแผ่นหลังของผู้ชายคนหนึ่งที่ปกติยืนหยัดตรงอย่างมั่นคงมาเสมอ วันนี้ เขากำลังโค้งขนานกับพื้นให้กับใครก็ไม่รู้คนหนึ่ง ร่างเล็กทนไม่ได้ สะบัดตัวออกจากการฉุดรั้งของมารดา วิ่งมาหยุดตรงหน้าลูกค้าเจ้าปัญหา ทำเป็นใจกล้า ทั้งที่หยุดน้ำตาไม่ให้ไหล เธอยังทำไม่ได้เลย

‘ถ้าจะเอาเรื่อง ก็เอากับหนู พ่อไม่เกี่ยว หนูเป็นคนทำ หนูผิด ตีหนูสิ คนทำผิดต้องถูกตี’ แทรกกลางช่องว่างของคุณขจรกับภริยาท่านผู้ว่า กอดอกหันหลังตรง ท่าเตรียมพร้อมถูกตี ใบหน้าเผชิญกับพ่อที่บัดนี้เงยหน้าขึ้นมองดุ

‘ศิยา คุณมาพาย่าเข้าไปเดี๋ยวนี้’

‘ย่าไม่ไป ย่าทำขนมปังไหม้’

‘ไม่ใช่ลูกหรอก เข้าไปได้แล้ว’ สมองเล็กๆ ไม่ทันได้รับรู้คำประโยคนั้นด้วยซ้ำ ตั้งท่าโวยวายร้องไห้ลั่น จงใจให้เสียงแหลมเล็กของตัวเองขัดขวางการรับผิดของผู้เป็นพ่อ แต่อิศยาคิดผิด นอกจากเธอจะถูกแม่อุ้มกลับเข้าไปบริเวณครัวของร้าน ให้ห่างจากการได้ยินเรื่องราวทั้งหมด แต่ประโยคสุดท้ายที่เธอได้ยิน ก็ทำให้ความรู้สึกผิดเกาะกุมใจเด็กหญิงมากกว่าเดิม และยาวนานจนถึงทุกวันนี้

‘สามร้อยชิ้น ฟรีๆ ถ้าทำได้ ฉันจะไม่เอาเรื่อง’

‘ตกลงครับ’


ในวันที่พ่อเลือกจะปกป้องเธอ ทำทุกอย่างให้เธอ ตอนนี้ สิ่งที่อิศยาเลือกกลับกลายเป็นความฝันของตัวเอง

อิศยาเหลียวหลังกลับไปมองร้านที่ปลุกความทรงจำเก่าๆ ของเธอขึ้นมา เพราะหลังเกิดเรื่องกับภริยาท่านผู้ว่า พ่อของเธอจึงได้สอนหัวใจของคนบริการให้เธอได้จดจำ สลักมันไว้ในใจ แต่ตัวเธอเองก็ยังศรัทธาในความฝันเล็กๆ ของเธอ อิศยามีความเชื่อในใจว่าเธอจะนำพาทั้งร้านของเธอและร้านของพ่อโบยบินไปพร้อมๆ กัน

แต่ตอนนี้ แค่รีบกลับไปถึงไม่ให้โดนพี่สาวสุดที่รักเทศนาโทษฐานทำราเม็งหมดอร่อยก่อนน่าจะดีกว่า...คิดดังนั้น คนชอบออกกำลังกายยอมกระโดดขึ้นโหนรถเมล์ประหยัดเวลาการเดินสามป้าย ตอนบ่ายสองแบบนี้ รถบนท้องถนนก็ลดปริมาณลงไปมาก

สิบนาทีต่อมา เธอก็ถูกพี่สาวเทศนาสมใจอยาก จนต้องแก้ตัวด้วยการทำแป้งทอดกับน้ำแดงมะนาวเย็นเจี๊ยบชื่นใจง้อ เพราะวาฟเฟิลที่ซื้อมาก็เย็นชืดติดกระดาษไม่อร่อย ไม่ยอมตอบว่าที่มาถึงช้าเพราะอะไร มีหวังถ้าบอกไป ไอ้ย่าหูชาเพราะเถียงไม่ทัน ได้แต่ร้อง ไอ้หยา แหงมๆ

“ถ้าย่าได้ที่ทำเลดีๆ พี่สาวช่วยไปเจรจาทำสัญญาให้ย่าหน่อยสิ ย่าไม่รู้เรื่องว่ามันต้องทำยังไง แต่งบก็พอมี” กัดวาฟเฟอลเหนียวๆ ที่เธอต้องเป็นคนจัดการเองทั้งหมดอย่างฝืดคอ กระดกนมจืดแก้วโตให้คล่องคอมากขึ้น สีหน้าคนที่เธอขอความช่วยเหลือเรียบสนิทจนคนมองใจแป้ว รู้ดีว่าคนทั้งบ้านนั้นคัดค้านการกระทำแบบหัวชนฝา ไม่ยอมให้เธอได้ออกมา มัวแต่พะวงกลัวว่าเธอจะล้มไม่เป็นท่า

“ไม่ใช่ว่าเอาเงินไปทิ้งหรอกนะ”

เสียงซู้ดเส้นราเม็งอุ่นร้อนใหม่ไม่ได้ใส่ใจปัญหาของเธอแม้แต่น้อย ทำคนฟังใจแป้วไปได้หลายขุม อิศยาเม้มปากความกังวลฉายชัดผ่านสีหน้า เธอเองก็ไม่มีความมั่นใจใดๆ รู้แค่ว่าถ้าไม่คิดจะเริ่ม ความฝันของเธอก็คงจะทำได้จริงแค่ตอนนอนหลับ

“ย่าเองก็ไม่รู้อนาคตหรอกนะ แต่ถ้าได้เริ่มทำอะไรบ้าง ย่าก็อยากจะเริ่มเหมือนกัน แค่ร้านเล็กๆ สักร้านก็ยังดี ค่อยขยับขึ้นมา ทำเป็นแค่ขนมกับชงกาแฟ รสมือพอไปวัดไปวาได้บ้าง”

สาวตาคมภายใต้กรอบแว่นเลิกมองน้องสาวที่ถ่อมตัวว่ารสมือพอไปวัดไปมาแล้วอยากจะหัวเราะให้โลกลืม ถ้าคนที่พูดจะไม่ใช่เจ้าของรางวัลหลายรางวัล กับบาริสต้าที่ยอมเอาเวลาช่วงปิดเทอมหลายปีไปแอบเรียนทำกาแฟกับเพื่อนพ่อซึ่งเป็นบาริสต้าระดับโลก จบจากฝรั่งเศส ในบรรดาสามพี่น้องอิศยาเป็นคนมีแววทางด้านขนมนมเนย เสน่ห์ปลายจวักเหลือล้นแต่ไหนแต่ไร พ่อเคยจะบังคับให้เรียนคหกรรมด้วยซ้ำ แต่อิศยาอิดออดบอกว่าเบื่อ อยากเรียนอะไรแปลกใหม่ กระโดดไปลงสายวิทย์คณิต ทีนี้เลือกผิดกว่าเดิม เกรดร่วงกราวยิ่งกว่าใบไม้ร่วง อิศยาก็ไม่ได้ยี่หระ ยังเอาเวลาส่วนใหญ่ทำขนมปัง ช่วงหนึ่งถึงกับเอาตัวไปหมกครัวทำขนมปังทั้งวันทั้งคืน ไม่หลับไม่นอน กลายเป็นว่าคิดค้นขนมปังแบบใหม่ขายดีขึ้นมาในเวลาอันสั้น

น้องของเธอมันประเภทหัวดื้อ ตามฉบับลูกสาวคนเล็ก อยากได้อะไรต้องได้...ให้เจอกับตัวถึงจะเพิ่งรู้สึก อย่างมาเลือกเรียนอักษรศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์ ปากก็บอกชอบอะไรโบราณๆ เจอเข้าไปจริงๆ เล่มหนาๆ เธอยังได้ยินแม่โทรมาบ่นให้ฟังบ่อยๆ ว่าหลับคาหนังสือประจำ อังกฤษก็เอามาแค่ซีบวก พอถูไถไปแต่ละเทอม คณิตถ้ามากกว่าบวกลบคูณหาร คุณเธอก็เฉียดกินปลาเป็นประจำ จบมาด้วยอาการกระหืดกระหอบ แต่เจ้าตัวกลับไม่ทุกข์ร้อน เหมือนเรียนเพื่อสนุกๆ อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง...

นี่ก็ยังจะดื้ออีกรอบ ให้มันได้อย่างนี้สิ ครั้งนี้ต่างกับการเลือกเรียนหนังสือ ตอนนั้นเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็น พบเจอสิ่งใหม่ๆ แต่ตอนนี้ อิศยาต่างออกไป เป็นคนมีความฝัน และต้องทำมันให้เป็นจริง รวมเข้ากับนิสัยส่วนตัว เอาช้างทั้งปางมาฉุด อิศยาก็คงหาไดโนเสาร์มาถ่วงแรงสู้ได้

เมื่อเห็นว่าพี่สาวผู้บ้าเรียนไม่ได้โอนอ่อนตาม อิศยาถอนใจยาวเหยียด นั่งหันหลังกอดเข่า เปิดประตูระเบียงมองเรื่อยออกไป ทุกคนในบ้านเจอโหมดดื้อเงียบนี้ประจำ เรียกขานกันติดปาก ‘ย่าโหมดดาร์ก’

แต่ถ้าเธอใจอ่อนอีก ไม่รู้ว่าอิศยาจะไปทำอะไรเกินตัวหรือเปล่า...สวเนตรนึกอย่างเห็นใจ มองน้องน้อยของเธอที่เคยวิ่งเล่น ตะแง้วๆ จะตามเธอกับอิศราออกมาประจำ ตอนถูกคนเป็นพ่อจับไปเรียนทำขนมสมัยเด็กๆ เธอกับอิศราโชคดีที่หลุดพ้นมาได้ เพราะคุณขจรเล็งเห็นว่าบุตรทั้งสองเข็นไม่ขึ้น อิศยาจึงคล้ายกับซวยไปโดยปริยาย เวลาเด็กๆ ที่มีเวลามาเล่นหมากเก็บ อิศยากลับต้องไปมองผู้ใหญ่นั่งร่อนแป้ง ฝึกนวด ฝึกตวงวัตถุดิบ ดูอุณหภูมิ หรือจัดแต่งหน้าขนม

ซึ่งอิศยาทำมันได้ดี แต่คุณขจรไม่เคยคิดเอ่ยชมต่อหน้าลูกสาวคนเล็ก ท่านบอกกับเธอไม่กี่ปีนี้เองว่า ‘รู้ไหม เจ้าย่ามันเก่งกว่าพ่อแล้ว จมูกก็ดมกลิ่นดี รู้ว่าขนมสุกไหมได้ที่หรือยัง รสมือก็ติดปากลูกค้า วันไหนขนมไม่ใช่ฝีมือเจ้าย่าคนก็ถามถึง แค่นี้ก็ทำพ่อกลัวว่าจะไม่สืบทอดร้านจะแย่ เราเองก็อย่าไปบอกล่ะ ย่าอาจจะไม่กล้าทำขนมอีก’

สวเนตรจำได้ว่าตอนนั้นเธอถามออกไปว่าเพราะอะไร พ่อถึงกลัวว่าอิศยาจะเลิกทำขนม และคำตอบที่เธอได้รับรู้ ก็ทำให้เธอเชื่อเช่นกัน
‘ย่า ไม่มีวันเป็นศิษย์ล้างครูหรอก ถ้ารู้ว่าตัวเองเก่งกว่าครู โดยเฉพาะครูคนนั้นเป็นพ่อ ย่าจะถอยหลบวงการนี้เอง ปากใครพูดอะไรไม่สำคัญเท่ากับพ่อเป็นคนบอกว่าเขาเก่งกว่าพ่อแล้วจริงๆ ถึงเขาจะดื้อ แต่ใครก็ตามที่เขาเทิดทูนไว้ คนๆ นั้นก็ต้องเป็นที่หนึ่งสำหรับเขาเสมอ ไม่คิดเอาตัวเองมาเทียบ’

‘สาวไม่รู้หรอกนะพ่อว่าความเก่งวัดกันที่ตรงไหน แต่ถ้าวันหนึ่ง ย่ากับพ่อต้องมาแข่งกันจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น’

‘ถ้าน้องรู้ว่าต้องแข่งกับพ่อ น้องของเราก็จะไม่แข่ง...พ่อรู้จักตัวเจ้าย่าดีกว่าเจ้าตัวรู้จักตัวเองอีก’

สวเนตรลูบหัวน้องสาวอย่างเบามือ ยอมอ่อนลงให้น้องนิดหนึ่ง เธอรู้ว่าอิศยาเติบโตขึ้นมาในวงการขนมหวานจากคำติมากกว่าคำชม ครั้งหนึ่งเธอเคยเข้าไปดูการเรียนของน้อง ที่มีครูเป็นทั้งพ่อ และลูกมือคนสำคัญคนอื่นๆ ในร้าน ตอนนั้นเด็กหญิงอิศยายังสูงไม่พ้นโต๊ะที่ไว้ใช้ทำขนมด้วยซ้ำ อายุเจ็ดขวบ แต่กลับโดนดุไม่ต่างจากคนโตๆ เวลาทำขนมพลาด หากเป็นครั้งแรกๆ จะยังไม่เป็นไร แต่ครั้งนั้น อิศยาดูอุณหภูมิของขนมไม่ได้ ทำขนมไหม้เกรียมไปเกือบสิบครั้ง สุดท้ายโดนครูกิตติมศักดิ์หลายปากกระหน่ำ จนต้องน้ำตาปริ่ม ไม่ได้ร้องอาละวาดอย่างที่เจ้าตัวชอบทำเวลาอยู่นอกร้าน

หากเป็นเรื่องขนมปังอิศยาจะกลายเป็นคนใจเย็นขึ้นมา...

“อะไรที่พี่ช่วยได้ก็จะช่วย แต่อย่าเกินตัวนัก”

หน้าสว่างไสวด้วยรอยยิ้มหันกลับมา อิศยากอดสวเนตรอย่างซาบซึ้ง หัวใจพองโต “แค่นี้แหละที่ย่าต้องการ ขอบคุณมากค่ะพี่สาว...อยากกินอะไรบอกย่า เดี๋ยวย่าจัดให้ แต่...” หยุดเงียบไปให้สวเนตรมองอย่างกังวล เจ้าตัวทำหน้าครุ่นคิด มองมาราวกับจะต่อรอง

“อะไรอีก หืม”

“พี่สาวต้องพาย่าไปร้านเช่าหนังสือก่อน ย่าจะไปเช่านิยาย พออ่านนิยายปุ๊บ ย่าอารมณ์ดี อาหารของย่าก็จะอร่อย” ยักคิ้วกวนใส่
สวเนตรส่ายหัวเอ็นดู ยีผมน้องน้อยของตัวเองให้หายหมั่นเขี้ยว...ให้ตายยังไงในสายตาของทุกคนในบ้าน อิศยาก็เป็นเพียงเด็กหญิงซนๆ จอมดื้อเสมอ



“แหม ทำหน้าตาอย่างกับไปหาเนื้อคู่”

อิศยาหันมาฟาดค้อนวงโตใส่พี่สาว พูดหน้าตาเพ้อฝัน กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างน่าตี “ไม่แน่นะ เนื้อคู่ของย่าอาจจะอยู่ในนั้น พระเอกในนิยายออกมาจริงไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าของร้านหล่อก็ไม่แน่นะ” เดินทะลุออกมาทางออกตรงถนนด้านหลังของหอ หอที่อิศยาพักมีอยู่หลายตึก เป็นอาณาจักรย่อมๆ เธอยังเคยแอบได้ยินเขาว่ากันว่ายังมีหอละแวกเดียวกันอีกหลายที่ที่เป็นเจ้าของเดียวกัน อย่างร้านเช่าหนังสือ สวเนตรบอกเธอว่าก็ตั้งอยู่ในอาณาเขตหน้าหอพักที่มีเจ้าของเดียวกับหอที่เธอพักอยู่

“จะจีบหรือไงถ้าเจ้าของหล่อจริง”

“ไม่แน่”

“โอย จีบติด แต่ไม่ผ่านด่านพ่อน่ะสิ” สวเนตรไขว้มือเดินอย่างกับเป็นอาจารย์ฝ่ายปกครอง คุมเด็กเกเรให้เดินตาม อิศยามองฟาดค้อนผู้เป็นพี่ แช่งชักหักกระดูก รู้ดีว่าที่พี่พูดจริงแท้แค่ไหน

พี่เธอน่ะ พ่อยังไม่หวงเท่าเลย จะไปพบเจอใครหน้าไหนไม่มีกะเกณฑ์ ต่างกับเธอ ทุกกระเบียดนิ้ว จะขยับตัวสักเซนติเมตรหางตาของท่านยังเห็น เคยยังแอบนึกเล่นๆ บางทีถ้ามัวแต่รอให้คนมาจีบ มีหวังโดนพ่อไล่ตะเพิดหมด อิศยาคงต้องลุยเข้าหาเอง พอจีบติด ทีนี้ล่ะดื้อแพ่งกับพ่ออีกรอบ หญิงสาวเหยียดปากยิ้มกลั้นขำกับความคิดก๋ากั่นของตัวเอง

เดินไม่ถึงสิบนาทีดีจากห้องพัก อิศยาและสวเนตรก็มาถึงทางเข้าอพาร์ตเมนท์ที่เปิดโล่ง ตรงมุมด้านซ้ายมีรั้วเล็ก ขนาดกว้างสามเมตรกว่า ด้านหน้ามีกระถางไม้ยาวสีขาวทำเป็นแง่งรั้วเล็ก ปลูกต้นบีทูเนียออกดอกเบ่งบานสวย มองเลยขึ้นไป เป็นห้องกรุกระจกใหญ่ ดึงม่านมู่ลี่สีเนื้อลงปิด บนกระจกแปะการ์ตูนที่อิศยาเคยดูผ่านอินเตอร์เน็ตใหม่ๆ หลายเรื่องยามเครียดจากสอบ มีป้ายป้ายระบายสีสดใสตั้งเหนือประตูร้านเป็นคำว่า PANNA BOOKHOUSE

“ชื่อร้านว่าปันนา เจ้าของต้องเป็นผู้หญิงแน่ๆ ว้า ย่าแห้วเลย” คนบ่นแห้วยังคงยิ้มแป้น ไม่สิ ยิ้มมากกว่าเดิม เพราะมีโอกาสได้อ่านนิยายหลากหลายมากขึ้น หลังจากเสียเงินไปมากมายในระยะเวลายี่สิบวันขนนิยายใหม่เข้าคลังของเธอ อิศยาไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยความเคร่งเครียดนัก อยากจะกินอะไรก็ได้กิน อยากไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ไป ถ้าวันนั้นจะไม่ตรงกับวันที่มีออเดอร์ด่วนเข้ามาในร้าน และไปได้ไกลสุดไม่เกินสิบกิโลเมตรจากตัวร้าน จำเป็นต้องมีคนในร้านไปตรวจตราด้วยอีกคน จริงๆ ชีวิตของเธอมันน่าอิจฉาน้อยเสียเมื่อไหร่ ขยับตัวทีคุณขจรจะหันตามทุกฝีก้าว ถ้าเธอไม่เกเรเรื่องฝึกทำขนม พัฒนาตัวเองตลอดตามที่พ่อต้องการ เธอก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ อย่างการได้เที่ยวที่พระราชวังเก่าใกล้บ้าน

อิศยามองร้านตรงหน้าอย่างถูกใจ กวาดมองห้องเล็กขนาดกะทัดรัดที่ยาวประมาณห้าเมตรกว่า ด้านบนมีหลังคาสีฟ้าเหมือนท้องฟ้าวันไร้เมฆทึบ กำลังจะเดินเข้าไป สายตาที่กวาดไปหยุดนิ่งที่ฝั่งตรงข้าม เกิดความสนใจใหม่จนเปลี่ยนเป็นวิ่งไปด้านตรงข้ามที่อยู่ภายในบริเวณของอพาร์ทเมนต์ มีรั้วกั้นอาณาเขตบริเวณเลยทางเข้าจากฝั่งของร้านหนังสือมา ด้านนี้จะกว้างกว่า มีแนวดินยกสูงเป็นสนามหญ้า บันไดทางขึ้นเป็นแนวหิน บนนั้นมีโต๊ะหินอ่อนไว้ใช้ให้คนได้มานั่งเล่นพักผ่อน ต้นหูกระจงแผ่กิ่งก้านสวยเป็นร่มเงา

จู่ ภาพๆ หนึ่งก็แล่นปราดเป็นฉากในหัวของอิศยา ภาพร้านขนาดไม่ใหญ่นัก ในร้านกรุกระจกโดยรอบ โคมไฟสีน้ำตาลนวลติดเพดานให้กลิ่นอายย้อนยุค ตัวร้านทำจากไม้ขัดเงา สีไม้มะฮอกกานี ด้านในจุคนได้สักห้าถึงหกโต๊ะ บริเวณเนินดินที่สูงเมตรเดียวใต้ต้นหูกระจง มีโต๊ะเล็กๆ ขนาดกะทัดรัด กับร่มสีสว่างสดใส ผู้คนที่มานั่งดื่มเครื่องดื่ม และกินขนมในร้าน จะมีแต่รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ แค่คิดก็รู้สึกหัวใจปริ่มเปรมอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเธอหันหลังกลับมามองร้านหนังสือฝั่งตรงข้าม ภาพที่เธอเคยบอกพี่สาวว่า ถ้าคนเรามีนิยายสักเล่ม อ่านคู่กับการดื่มกาแฟ คุกกี้อร่อยๆ นี่มันเกินฝัน

“อย่าบอกนะ” สวเนตรถามค้างแค่นั้นก็ชักจะกลัวคำตอบ ดวงตาของน้องสาวพราวระยับยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่เธอเคยเจอ...อิศยาหันกลับมามองที่ว่างเปล่า ที่ที่เธอเรียกในใจว่าเป็นที่แห่งความฝันด้วยรอยยิ้มกว้างขึ้น

“เจอแล้ว ย่าเจอที่ที่ถูกใจแล้วค่ะ” อิศยาดึงมือพี่สาวมากุมไว้แน่นอย่างตื่นเต้น คงจะกระโดดไปแล้วถ้าไม่เกรงว่ามีสายตาของคนบนเนินดินนั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินประปราย ร่างเพรียวปล่อยมือสวเนตรทันควัน วิ่งตรงเข้าไปในสำนักงานของภีมอพาร์ทเมนต์ เจ้าของบริเวณกว้างขวางนี้ทั้งหมด ตึกสีเหลืองห้าชั้นหลายห้องเป็นสง่า มีที่จอดรถกว้างขวาง เหมาะสำหรับทั้งขาประจำและขาจร ด้านในเธอเห็นร้านซักรีด และร้านข้าวเล็กๆ อีกร้านหนึ่ง

เธอนำเรื่องเสนอความคิดที่จะทำร้านกาแฟและขนมบอกเล่ากับผู้จัดการของหอพัก ทางนั้นเองก็พยักหน้าเห็นดีด้วย รับฟังเธอร่ายยาวราวกับเห็นเธอเป็นนักเล่านิทานหรืออย่างไร เพราะตอนท้ายปลุกฝันเธอตื่นด้วยคำทำร้ายหัวใจที่สุด

“เคยมีคนมาแบบนี้บ่อยครับ แต่เจ้านาย คุณภีมน่ะครับ ปฏิเสธตลอด” อิศยาอ้าปากค้าง รับฟังข้อเท็จจริงอันน่าสะเทือนใจ ดวงตาเหม่อ หน้าไม่ต่างจากคนอกหักกลางอากาศ จนผู้จัดการร่างอ้วนหัวเกือบล้านอดเห็นใจไม่ได้ สิ่งที่อิศยาเล่ามานั้น ถ้าหากเกิดขึ้นจริง คงจะน่าสนใจไม่น้อย

“ทำไมเขาถึงไม่ให้คนมาเปิดล่ะคะ” หาเสียงเจอ อิศยาก็รีบถามออกไป ปลอบตัวเองว่าทุกอย่างมันต้องมีทางออกเสมอ

“คุณภีมเคยเล่าให้ฟัง ว่าเขาเกลียดขนมหวานทุกชนิดครับ เบื้องลึกเบื้องหลังก็ไม่รู้ ที่แน่ๆ เขาสั่งไว้เลยว่าภายในอาณาเขตของหอพักที่เขาเป็นเจ้าของ ต้องไม่มีร้านขนมหวาน หรือกาแฟมาตั้งเด็ดขาด”

“เกลียดขนมหวาน...” อีกครั้งที่อิศยาต้องอ้าปากค้าง เหตุผลแบบนี้ เธอจะเอาอะไรไปยื่นเรื่อง ร้อยทั้งร้อย มันต้องไปนอนเท้งเต้งในถังขยะแบบคนก่อนหน้าอย่างแน่นอน หมดหวังแล้ว...

“จริงๆ ถ้าคุณลองไปพูดกับคุณปัณณ์เธอก่อนก็ได้นะครับ เขาเองก็มีหุ้นส่วนของที่นี่บ้าง อีกอย่างเจอตัวง่ายกว่า”

อิศยาแววตาเริ่มเรืองรองด้วยความหวังอีกครั้ง “คุณปัณณ์ ใครคะ” ชื่อใครบางคนทำให้หัวใจที่เกือบหมดหวังถูกจุดโพลงสว่างโร่ในครั้งใหม่
“บอกมาเถอะค่ะ ให้หนูตามหาที่ไหน สำเร็จไม่สำเร็จหลังจากนั้น หนูจะจัดการเอง”

ผู้จัดการหอพักหายใจเข้าลึกอย่างตัดสินใจ “เห็นที่นั่นไหมครับ” อิศยาเลิกคิ้วสงสัย มองทิศทางที่นิ้วชี้ไป ไม่ผิดแน่

“ร้านเช่าหนังสือ”

“ครับ แหล่งกบดานชั้นยอดของคุณปัณณ์”

“ทำไม เขามาอยู่ที่นั่นล่ะคะ” ถามออกไป ยังไม่เชื่อนัก

“ก็คงเหมือนคนรวยทั่วไป ที่ชอบชีวิตอิสระ เพิ่งจบปริญญาโทจากอังกฤษได้หนึ่งปี ร้านนี้ก็มาเปิดทันทีเลยครับ”

หญิงสาวยิ้มแหย รู้สึกเรื่องของคุณปัณณ์จะคลับคล้ายคลับคลาใครแถวนี้ ใครที่ยอมออกหาอิสระ ตามฝันของตัวเอง ใครคนนั้นที่ชื่อ อิศยา...

อิศยาขอข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เกือบสิบนาทีจึงขอตัวออกมา ถึงตอนนี้ความมั่นใจว่าจะได้ทำร้านกาแฟในที่ตรงนั้นจะเกือบไม่เหลือ แต่ใครหลายคนที่พยายามมาตลอดทำให้เธอรู้สึกว่าภีมเป็นคนโกยความฝันใครต่อใครทิ้งลงถังขยะแบบไม่สน ส่วนปัณณ์ ที่มีหุ้นอยู่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากเจ้าของหอพักทั้งหมดที่มีภีมเป็นเจ้าของหลัก เป็นครั้งแรกที่ผู้จัดการแนะนำให้เธอมาหาเขาก่อน แต่ก็ไม่วายข่มขวัญเธอให้กระเจิงอีกรอบ

‘เจอง่ายกว่า แต่ก็ไม่ง่ายนะครับ’

หน้าตาอ่อนระโหยโรยแรงของอิศยาเด่นชัดออกมา สวเนตรแตะแขนน้องสาวให้กำลังใจ เธอรู้ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ และน้องสาวของเธอจำเป็นต้องรู้จักที่จะก้าวผ่านมันได้ก่อนในขั้นแรก...ความฝันไม่ได้สร้างง่ายๆ เพียงแค่หลับตา

“แค่นี้ย่าไม่ยอมแพ้หรอกค่ะ” เอียงหน้าขึ้น เชิดรั้น แต่ใจจริงกำลังกลั้นความผิดหวังเอาไว้ในอก ตราบเท่าที่เจ้าของยังดื้อ เธอก็สบายใจได้ว่าเขาจะไม่ยกให้ใคร หรือแม้แต่เธอ เธอแค่จะลองพยายามทำให้ถึงที่สุดก่อน

“ย่า พี่ว่า...”

หญิงสาวไม่ฟังคำทักท้วงของสวเนตรอีก ตรงดิ่งไปสถานที่ที่เธอมีไฟอยากจะมาในคราแรก แต่ในตอนนี้มันมีความหม่นหมองขมุกขมัวแทรกซึมอยู่ภายในใจ ความกลัว ความกังวล ความประหม่า ทะลักทะลวงจนอิศยาอยากจะร่ำไห้ มันคือเรื่องจริงอย่างนั้นหรือที่มีคนๆ หนึ่งในร้านหนังสือเช่าแห่งนี้ที่ช่วยเธอได้

ที่สำคัญคือ เธอไม่รู้จักเขา ในคราแรกชื่อร้านปันนา เธอก็คิดว่าผู้หญิงเป็นเจ้าของ ที่ไหนได้

‘คุณปัณณ์เธอจะเงียบๆ ครับ แต่เป็นเพื่อนซี้กับคุณภีม ไม่ค่อยเข้าสังคม ต่างจากคุณภีมรายนั้นตั้งแต่เป็นโรคเกลียดขนมหวาน ก็เปลี่ยนไปเยอะ จริงๆ ก็ไม่ได้สนใจทำหอพักอะไรหรอกครับ แค่คุณภีมอยากได้เพื่อนร่วมลงทุนมาขยับขยายธุรกิจหอพักของครอบครัวให้มากขึ้นก็เลยมาช่วย สี่โมงเย็นขึ้นไปคุณปัณณ์จะชอบมาหมกตัวอยู่ที่ร้านเช่าหนังสือ พบได้เป็นบางวัน ประวัติเบื้องลึกผมไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ แต่ว่าถ้าขอคุณปัณณ์สำเร็จก็มีชัยไปกว่าครึ่ง’

“เข้าไปด้วยกันไหม”

สวเนตรส่ายหัวถี่ ชี้มือชี้ไม้ว่าจะรอเธอที่ม้านั่งหินฝั่งตรงข้าม “ไหนบอกจะช่วยน้อง” เรียกร้องสิ่งที่พี่สาวบอกก่อนหน้า พอโดนย้อนมา อิศยาได้แต่เบะปากหน้างอง้ำ

“แค่ไม่รายงานความเคลื่อนไหวให้พ่อ โอเคไหม”

“ย่าจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็น”

“จ้า จะรอดูนะ”

ฮึ่ย...ขัดใจที่สุดในชีวิต เจ้าของโปรเจ็กต์ในฝันถูมือเย็นเฉียบตัวเองไปมา บีบเพิ่มความมั่นใจชั่วครู่ ดึงประตูเปิดออก อากาศเย็นฉ่ำปะทะหน้า กลิ่นหอมอ่อนของน้ำหอมปรับอากาศกลิ่นมะนาวโล่งจมูก ต้อนรับอิศยาแต่ก้าวแรก หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ มองไปยังภาพโต๊ะเรียบโค้งมนสีฟ้าสวยอย่างกับอยู่ในสำนักงาน ด้านในมีคนกำลังคร่ำเคร่งกับคอมพิวเตอร์ก่อนหน้าที่เธอจะมาขัดการทำงานของเขา

ชายในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด โครงหน้าเกลี้ยงเกลาเงยขึ้นมา อิศยาเลิกคิ้วแปลกใจ นักศึกษาชายตรงหน้า ไม่มีทางเป็นคนที่จบปริญญาโทจากอังกฤษมาหนึ่งปีแล้วแน่นอน

“ร้านปันนายินดีต้อนรับครับ”

“อ้อ...ค่ะ” อิศยายิ้มไม่เต็มปาก สีหน้าไม่มั่นใจฉายชัด สายตาพยายามเยี่ยมหน้าไปหลังเคาว์เตอร์ เผื่อจะพบใครบางคนที่เข้าข่าย...แต่ไม่มีเลย

จึงเริ่มหันสำรวจร้านแทน ปกปิดความผิดหวังไว้ในใจ มองโซนส่วนใหญ่ในร้านที่มีชั้นวางหนังสือแบ่งเป็นซอย โต๊ะยาวตั้งอยู่ตรงกลาง แบ่งซ้ายขวาอย่างเท่าเทียม ด้านซ้ายแบ่งไปชั้นวางหนังสือสี่ชั้น แน่นเอี๊ยดไปด้วยการ์ตูน ชั้นวางเตี้ยชิดกระจกก็เต็มไปด้วยการ์ตูนจนละลานตา มองไปด้านขวา อีกสี่ชั้นหนังสือ ก็มีแต่การ์ตูนไม่ต่างกัน เหลือที่ตรงชั้นใกล้ประตูเป็นชั้นของนิตยสาร และในที่สุดอิศยาก็หาเจอ ชั้นหนังสือฝั่งขวาสูงท่วมหัวชิดปูนด้านใน ใกล้กับโต๊ะเจ้าของร้านถูกจับจองด้วยชั้นของนิยายสำนักพิมพ์ดังหลายแนวจนเธอเผลอร้องว้าวเมื่อไปมองใกล้ๆ แต่พอไล่ดูซุกซนเหมือนเด็กก็หม่นแสงลง เผลอเศร้า

“นิยายมีไม่ค่อยเยอะเลยนะคะ ดูสิ มันขาดไปตั้งหลายเล่ม สำนักพิมพ์นี้ย่าอ่านบ่อย” ไล่มือที่แถวยาวของหนังสือที่กวาดไปสำนักพิมพ์เดียวถึงสามแถว “สำนักพิมพ์นี้มีน้อยเล่มจัง หนังสือเขาออกมาเยอะนะคะ”

“ไว้ผมจะไปบอกพี่ปั้นให้นะครับ”

ชื่อที่อิศยาตามหาสะดุดใจเธออย่างจัง หญิงสาวพยายามไม่แสดงท่าทีพิรุธ เลือกหยิบนิยายที่ยังไม่ได้อ่านกลับมาวางลงบนโต๊ะ “ไม่ใช่เจ้าของเหรอคะ” ยิ้มประจบ ทำตาใส

“ไม่หรอกครับ ผมแค่เด็กเฝ้าร้าน” หนุ่มนักศึกษาก้มหน้าก้มตา รีบเสเปลี่ยนเรื่อง “เพิ่งเคยมาที่ร้านใช่ไหมครับ”

“ค่ะ” รับคำ แต่สายตายังมองคนตรงหน้าไม่วาง ดูจากอายุรุ่นราวไม่น่าจะห่างจากเธอมากนัก พอจะมองออกว่าเขาปกปิดบางอย่างอยู่

“ต้องสมัครสมาชิกก่อนนะครับ” อิศยาพยักหน้า ยอมหยิบบัตรประชาชน พร้อมเงินค่าสมัครสามสิบบาท ตามโปรโมชั่นต้อนรับวันเปิดเทอม ถูกเหลือบมองจากคนคีย์ข้อมูลเล็กน้อย “ไม่ได้เรียนที่นี่หรอครับ ทางเราต้องการที่อยู่ชัดเจน เวลาไม่คืนหนังสือเราจะได้ไปทวงถูก”

“ตึกภาวี ห้องสามสองแปดค่ะ” ตอบฉะฉาน จรดปลายปากกาไปบนใบสมัครที่ต้องกรอกตามจริง รับฟังว่าต้องพกบัตรสมาชิกใบเล็กขนาดพกติดกระเป๋าเงินได้นำออกมาใชช้ทุกครั้งเวลามายืมหนังสือ กับกฎอีกเล็กน้อย เธอก็ได้หนังสือมาสองเล่ม


ลับหลังร่างของลูกค้ารายล่าสุด ปุณณ์ถอนหายใจยาวเหยียด แน่ใจว่าไม่มีร่างของอิศยาอยู่แน่แล้วจึงรีบลุกเดินไปหมุนป้ายร้านเป็น close กลับเข้ามาหาประตู ที่ถูกบังสายตาด้วยชั้นหนังสือไว้ เปิดออกไป รอบด้านเป็นสวนต้นไม้เล็กๆ เป็นอากาศธรรมชาติ ขนาดเล็ก มีไม้ดัดในกระถางอยู่หลายต้น ภายใต้ร่มเงาของหลังคาสีฟ้าของร้าน มีหลอดไฟกลมสีขาวสว่างเปิดให้ความสว่าง ส่องลงมายังโต๊ะขนาดไม่เกินสองคนใช้ ถูกครอบครองด้วยสมุดสเก็ตซ์ที่ร่างแบบไว้ เก้าอี้เหล็กมีพนักพิงสีดำเอนหลัง หมุนดินสอในมือด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย

“ดีนะที่แม่บ้านของหอพักโทรมารายงานก่อน” เพราะมีสายอยู่โดยรอบ และใครๆ ก็ล้วนรู้ดีว่าปัณณ์ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับชีวิตตนขนาดไหน ใครก็ตามที่หวังเข้าหาเป็นต้องหายไปหมด น้องชายส่ายหัวให้กับความไม่สนต่อโลกของพี่ ถ้าไม่เพราะพี่ชายเกิดอารมณ์โลกส่วนตัวสูงมาสร้างร้านหนังสือให้เขาได้เสียแรงมาดูแล ส่วนตัวเองมาชิงมุมสงบเย็นสบาย รับลมยามเย็น มานั่งหาแรงบันดาลใจสรรสร้างงานอดิเรกราคาต่อชิ้นกินถึงหลักแสน แต่ก็ใช่ว่าพี่ชายของเขาจะรับง่ายๆ งานๆ หนึ่ง ปัณณ์จะเลือกรับตามความพอใจ ตามรูปแบบชีวิตของปัณณ์เอง

งานที่บริษัทอาทิตย์หนึ่งจะเข้าไปทำงานแค่สี่วัน...แต่ก็ทำมันได้ดี ปัณณ์ไม่ใช่พวกโลกสูงขนาดว่าจะไม่สนว่าตัวเองเป็นคนตัวเปล่าไม่มีความรับผิดชอบอะไร เขาทำมันเยี่ยมในทุกหน้าที่ของตัวเอง เว้นเสียแต่ว่า ถ้าต้องอยู่ในโลกของตัวเอง ใครก็ไม่ควรเข้ามาย่างกราย... โดยเฉพาะ โลกเงียบๆ ในพื้นที่เล็กๆ เขตหวงห้ามแบบนี้


อิศยาอยากจะบุกเข้าร้านไปแสดงตัวเสียเดี๋ยวนี้ โชคดีที่เธอตงิดใจ ไปซ่อนตัว แล้วทำตัวเป็นนักถ้ำมองอยู่ตรงข้างร้าน ทันเห็นประตูที่เธอมองข้ามไปในนาทีแรก

งานนี้ ต่อให้เสือตัวใหญ่หลบมุมอยู่ในมุมอับแค่ไหน คิดเหรอว่าจะหลบคนอย่างเธอพ้น

เขาอยากเป็นเสือ เธอก็จะเป็นคนล่าเสือเอง...อิศยาทุบมือไปบนกระจกด้วยความแค้นใจ เข่นเขี้ยวกับตัวเอง

หัวสมองคิดหาแผนการบุกถ้ำเสือให้ได้ ใครจะไปรู้ ปัณณ์ที่เขาว่าอาจจะแต่งหน้าทาปากแดง เสริมสวย จนไม่กล้าออกมาเปิดตัว
“จะกลับกันได้หรือยัง” แตะไหล่น้องสาว ลูบท้องที่มีชั้นไขมันนูนออกมาจากปกติเล็กน้อย ส่งเสียงครวญคราง “พี่หิว”

“กลับก่อนก็ได้ แต่ย่าจะกลับมาที่นี่อีก”

สวเนตรกลอกตา ความรั้นผสมดันทุรังของอิศยาแผ่ออกมาจนเธอยังสัมผัสได้ “ยังไงก็ต้องกลับมาอีก หนังสือนี่ก็ต้องคืน” ชูหนังสือที่คนเกาะกระจกฝากไว้ขึ้นโบกไปมา

“วันนี้ย่าจะกลับมาอีก” ดวงตาไม่มีแววหม่นหมองให้สวเนตรกังวล คงเหลือแค่หวังให้อิศยาไม่คิดทำอะไรแผลงๆ

อิศยาอวดรอยยิ้มแสนซนอีกครั้ง เดินส่ายหัวอารมณ์ดี ความคิดบรรเจิดแล่นมาในหัวเธอเรียบร้อย

งานนี้อิศยาสู้ตายไม่มีถอย...


..........................................................................................................................................................

จะเห็นความรั้นนางเอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฮาา พระเอกโผล่มาตั้งนิดหนึ่ง นิยายรักเรื่องนี้ ชื่อเหมือนนิยายแฟนตาซีที่คุณจ๊ะจ๋าว่าไว้จริงๆ อิอิ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2556, 10:24:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ย. 2556, 00:13:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1595





<< บทที่ 1   การมาเยือนของผู้รุกราน >>
icewinter 17 ก.ย. 2556, 08:53:49 น.
จะรอเอาใจช่วยนางเอกละกันค่ะ


ผักหวาน 11 ต.ค. 2556, 15:16:14 น.
ชอบหนูย่าจัง มุ่งมั่นมากๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account