ที่สุด...ของหัวใจ
คืนวันล่วง...ผ่านราว...สายน้ำไหล ดวงฤทัย...กลับมั่นคง...เฉกภูผา
ฝังลึกล้ำ...ความรัก...ปักวิญญา สายธารา...ความทรงจำ...ยังย้ำครอง
คือสองหัต...ถานี้...หรือมิใช่ โอบมลาย...ความเหว่ว้า...ในใจหมอง
ด้วยสองเนตร...อบอุ่น...ที่ทอดมอง เฝ้าปกป้อง...ปลอบประโลม...มาเนิ่นนาน
ฝังลึกล้ำ...ความรัก...ปักวิญญา สายธารา...ความทรงจำ...ยังย้ำครอง
คือสองหัต...ถานี้...หรือมิใช่ โอบมลาย...ความเหว่ว้า...ในใจหมอง
ด้วยสองเนตร...อบอุ่น...ที่ทอดมอง เฝ้าปกป้อง...ปลอบประโลม...มาเนิ่นนาน
Tags: อาเรีย
ตอน: บทที่ 5
เจ้าชายราเอลค่อยลืมพระเนตรขึ้นอย่างช้า ๆ ภาพแรกที่ได้เห็นคือดวงหน้าสวยที่มีร่องรอยของความตกใจ ก่อนจะทรงรับรู้ได้ถึงของเหลวอุ่นจัดบนพระพักตร์ซีกขวา พระหัตถ์ขวาจึงยกขึ้นเพื่อจะสัมผัสหาร่องรอยของบาดแผล
“อย่า ท่านมีแผลอยู่ตรงขมับน่ะ อย่าเอามือไปแตะ” เอลย่าร้องห้ามโดยเร็ว ดวงตาทอแววกังวล
เจ้าชายหนุ่มนิ่วพระพักตร์เล็กน้อย เมื่อทดลองขยับวรองค์ดู หัตถ์อีกข้างที่ยังโอบตัวหญิงสาวไว้อยู่คลายออก แล้วตรัสเบา ๆ “เจ้า...ช่วยลุกก่อนได้ไหม”
เอลย่าที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองยังนอนทับร่างของอีกฝ่ายอยู่ รีบขยับตัวลุกออกทันควัน เพราะแม้หญิงสาวจะคลุกคลีอยู่ในแวดวงของบุรุษ หากนี่เป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิดถึงเพียงนี้ ความขัดเขินจึงเกิดขึ้น เรียกรอยแดงซ่านที่ผิวหน้าสองข้างแก้มนวล “ขอ...ขอโทษ”
ทรงแย้มสรวลอ่อน ๆ ให้หญิงสาวอย่างไม่ใส่พระทัย ก่อนจะตรัสบอก “ขยับเข้าไปทางด้านในโน้นเถอะ ตรงนี้เป็นทางลาด ข้ากลัวว่าก้อนหินด้านหลังจะรับไม่อยู่ แล้วเราอาจจะร่วงลงไปนอนชมวิวข้างล่างด้วยกันทั้งคู่” รับสั่งติดตลก จากนั้นทรงค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ แล้วขยับเพื่อตรวจองค์เองว่ามีตรงไหนเคล็ดขัดยอกอย่างไร ครั้นพอขยับพระอังสาข้างขวาก็เกิดอาการปวดแปลบทันที พระขนงจึงขมวดเล็กน้อย
“หัวไหล่...เจ็บ ดูเหมือนจะกระแทกตอนที่ล้มลงไป” ตรัสบอกเอลย่าเบา ๆ แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปยังด้านใน ทรุดองค์ลงนั่งบนก้อนหิน โดยมีหญิงสาวช่วยประคอง
“ข้า...ขอโทษ ท่านต้องเจ็บตัวเพราะข้า” หญิงสาวพูดเบา ๆ ด้วยรู้สึกผิด มือดึงผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา แล้วค่อย ๆ บรรจงซับพระโลหิตที่พระพักตร์ ก่อนจะเหลือบตาสบกับดวงเนตรสีน้ำเงินอย่างต้องการอ่านความรู้สึกเจ้าชายหนุ่ม ทว่ากลับรู้สึกราวถูกดึงดูดด้วยอิทธิพลของพระเนตรคู่สวยที่ทอแววอ่อนโยน ส่งผลให้หัวใจเต้นแรงอย่างน่าประหลาด กอปรเป็นความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
“ไม่เป็นอะไรหรอก อย่าคิดมาก แผลแค่นิดเดียว”
กระแสเสียงนุ่มนวลปลอบโยนที่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท เรียกสติของหญิงสาวให้กลับคืน นิลคู่คมหลุบลงต่ำพร้อมความรู้สึกขัดเขินปนไม่สบายใจ “แต่...ถ้าข้าไม่ฝืนตัวเอง ยอมใช้ทางปกติตามลงไป ท่านก็คงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้”
“ก็บอกแล้วว่าอย่าคิดมาก มันผ่านไปแล้ว ถือว่าโชคยังดีที่เจ้ามาหมดแรงเอาตรงตำแหน่งนี้ ไม่เช่นนั้น ข้าก็จนปัญญาจะช่วยเจ้าเหมือนกัน อันที่จริง...ข้าเองก็ไม่ดี เพราะมัวแต่รีบเสียจนลืมบอกเจ้าว่าเชือกเส้นไหนที่มีจุดพักมากที่สุด” เสียงถอนพระทัยด้วยความรู้สึกผิด เพราะความเป็นห่วงอาเรียทำให้ทรงละเลยต่อหญิงสาวผู้ร่วมทาง
“นี่ถ้าเจ้าร่วงลงไป ข้าจะหาหลานสาวที่ไหนไปคืนท่านครูได้นี่ ท่านยิ่งดุ ๆ อยู่ ถามจริง ๆ เถอะ นี่เจ้ารอดการฝึกดาบกับท่านครูมาได้ยังไงกันนี่ ข้าล่ะยังขยาดไม่หาย” ทรงเปลี่ยนเรื่องด้วยเห็นความไม่สบายใจของอีกฝ่าย
“ก็เกือบไม่รอดเหมือนกันล่ะ...” เอลย่าเบ้หน้า ในขณะที่มือใช้ผ้ากดห้ามเลือดที่ปากแผล ปากก็พูดต่อ “ตอนเด็ก ๆ โดนให้ฟันลมวันละพันครั้ง ทำไม่ครบก็จะอดกินข้าว โกงก็ไม่ได้ เพราะท่านตามานั่งนับเอง บางวันดีหน่อย ให้คนอื่นมานั่งนับให้ ก็พอจะโกงได้บ้าง”
“โดนเหมือนกันเลยนี่ เจ้ายังดี มีคนช่วยโกงให้ ของพวกข้า ท่านครูให้ผลัดกันนับให้ แล้วท่านครูแอบนับไปด้วย ถ้าคนนับโกงให้ คนนั้นต้องทำส่วนที่โกงให้แทน จนไม่มีใครยอมช่วย” สุรเสียงเล่าโอดครวญ
หญิงสาวเหลือบตามองก่อนหลุดรอยยิ้มขำต่อสีหน้าของชายหนุ่มเบื้องหน้าเธอ “แล้วใครว่าข้าไม่โดนล่ะ คนอย่างท่านตานะ ไม่มีเสียละที่จะเสียรู้เด็ก”
เจ้าชายหนุ่มชะงักกับรอยยิ้มของหญิงสาวเบื้องพระพักตร์ รอยแย้มพระสรวลค่อยคลี่แตะริมโอษฐ์ยามตรัสบอก “ข้าเพิ่งจะเห็นเจ้ายิ้มเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาเห็นแต่ทำหน้านิ่ง ๆ ดุ ๆ เจ้ายิ้มได้สวย น่าจะยิ้มบ่อย ๆ”
รับสั่งจากเจ้าชายราเอลทำให้เอลย่าหุบยิ้มทันควัน ความรู้สึกขัดเขินแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่พลันผุดขึ้นมาอีกครา นัยน์ตาดำคมเหลือบสบอีกฝ่ายแล้วรีบหลบอย่างมิกล้าสู้สายตาอย่างไม่เคยเป็น ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาผิดไปจากอุปนิสัยอันเปี่ยมด้วยความมั่นใจ “รออีกสักพักให้เลือดหยุดแล้วเราค่อยลงไปต่อ ว่าแต่ว่า หัวไหล่ของท่านเจ็บแบบนี้ แล้วจะลงไปไหวไหม”
เนตรสีน้ำเงินมองหญิงสาวด้วยประกายรู้เท่าทันว่าหญิงสาวจงใจเปลี่ยนเรื่องพูด จึงทรงเปลี่ยนเรื่องตาม เพราะไม่อยากให้หญิงสาวรู้สึกขัดเขินจนทำตัวไม่ถูก “ไม่ต้องห่วง ยังพอไหว จริงสิ ก่อนหน้านั้นมัวแต่รีบเลยไม่ได้ถาม เรื่องของพวกเซ็ต พวกนั้นกำลังเฝ้าอะไร ทำไมถึงไม่ยอมให้ใครผ่านเส้นทางตรงนั้น” คราวนี้พระสุรเสียงเต็มไปด้วยความจริงจัง
“เรากำลังจับตาดูกลุ่มคนที่แฝงตัวอยู่ในกระท่อมบนเขาอยู่ ซึ่งเส้นทางที่เราใช้กันเป็นเส้นทางที่สามารถขึ้นไปสู่กระท่อมนั้นได้ ตอนที่ข้าพบกับท่าน ข้าก็เพิ่งจะแยกกับสายข่าวที่ประจำอยู่ที่นั่น แต่ข้าลัดมาออกอีกทาง และก็เพิ่งจะรู้พร้อม ๆ ท่านนี่ละ ว่าพวกนั้นส่งคนมาปิดเส้นทางไม่ให้ใครผ่าน” หญิงสาวตอบ
“ข่าวที่ส่งไปที่กรมฯ หมายถึงคนกลุ่มนี้ใช่ไหม”
“ใช่ ตอนนี้สายคนหนึ่งจัดการเรื่องรูปวาดอยู่ คิดว่าวันนี้คงจะส่งถึงมือหน่วยตรวจสอบ จะว่าไป...พวกนั้นโง่ไปหน่อยที่ใช้คนมาปิดเส้นทาง”
“หึ หึ แต่เพราะอย่างนั้นก็ทำให้รู้มิใช่หรือ ว่าจะตามเรื่องได้ที่ไหน” เจ้าชายราเอลทรงพระสรวลเย็น ก่อนตรัสด้วยพระสุรเสียงดุดัน เนตรสีน้ำเงินวาวโรจน์น่ากลัว “คนในบ้านหาเรื่องเข้าบ้านซะเอง”
เอลย่าพยักหน้ารับ น้ำเสียงเรียบนิ่ง หากดวงตาวาบวับมิแพ้กัน “วาปี หมู่บ้านที่เป็นคู่ประลองกับข้าเมื่อสองปีก่อน”
“นาลี ข้าอยากเพิ่มสายข่าวเข้าไปในเมลาวี” เจ้าของเสียงใสเอ่ยเบากับหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเธอภายในห้องเล็ก นิ้วเรียวชี้ลงไปบนแผนที่บนโต๊ะซึ่งถูกทับด้วยที่ทับกระดาษริมปลายของแต่ละด้าน “ตรงส่วนของหมู่บ้านชายแดนแถบ ๆ นี้ ตอนช่วงนี้ให้จับตาเป็นพิเศษ”
“ไม่มีปัญหาค่ะ ข้าจะส่งคนเข้าไปเพิ่ม แล้วในส่วนของเมืองหลวง...” หญิงสาวร่างเล็กวัยประมาณสามสิบ เจ้าของร้านขายพรม ‘นาลี’ เหลือบตามองผู้เป็นนายเพื่อรอคำตอบ
“ขอพวกฝีมือดีหน่อยแทรกซึมเข้าไป กรณีปัญหาตำแหน่งรัชทายาทเป็นเรื่องที่เรามองข้ามไม่ได้ ใครสนับสนุนใคร เราควรต้องรู้ให้ละเอียด”
“ค่ะ อีกอย่างช่วงนี้มีพ่อค้าเมลาวีเข้ามามาก เรากำลังจับตาดูอยู่ค่ะ” นาลีรายงานอย่างเท่าทัน
อาเรียพยักหน้า “ข้าให้วามิสจัดการตรวจสอบคนพวกนั้นอยู่ เจ้าให้คนของเราดูอยู่ห่าง ๆ ก็แล้วกัน มีปัญหาอะไรก็ส่งคนมาประสานกับวามิส อ้อ ยังมีอีกเรื่อง เจ้าประสานไปยังหน่วยของเราที่เมืองอัลเนียร์ เราจะส่งสายข่าวไปช่วยทางด้านนั้น คิดว่าคนของเจ้าน่าจะมีพวกชำนาญพื้นที่อัลโทเรียอยู่ไม่ใช่หรือ”
“ก็มีอยู่หลายคนค่ะ ข้าจะส่งไปสมทบโดยเร็วที่สุด” หญิงสาวรับคำ
“เอาล่ะเจ้ากลับไปเถอะ ขอโทษด้วยที่ต้องให้มาถึงที่นี่ แต่ข้าไม่สะดวกจะไปเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะ อาควิลเคยสั่งพรมจากร้านของเรา ข้าก็แค่เอาพรมมาส่งเท่านั้นเอง” หญิงสาวหัวเราะพลางขยิบตาให้นายสาวของตน “ข้าไปก่อนนะคะ”
“จ้ะ” อาเรียยิ้มรับ มองส่งหญิงสาวจนออกจากห้องไปเรียบร้อย จึงละสายตามาก้มลงมองแผนที่ต่อ หากประตูห้องที่เพิ่งปิดลงไม่นานพลันเปิดออกทันควัน
“อาเรีย !” เสียงเรียกชื่อของหญิงสาวดังลั่นมาพร้อมกับภาพชายหนุ่มสองคนผลุนผลันเข้ามาภายในห้อง ทำให้ดวงตาคู่สวยกะพริบเล็กน้อย เมื่อเห็นสภาพของทั้งคู่
“อ้าว...ไคล์ รีฟ เพิ่งจะมาหรือ” เสียงหญิงสาวถามเรียบ ๆ
“ก็...เพิ่ง...มา...น่ะซี” เสียงตอบของรีฟปนหอบ
หญิงสาวมองนิ่ง ๆ ก่อนจุดยิ้มมุมปาก ”จะหอบ หรือจะพูด เลือกเอาสักอย่างสิ”
“อาเรีย...นี่ไม่ได้เป็นอะไรหรอกหรือ ไหนข่าวว่าถูกยิงบาดเจ็บ” ไคล์พูดขึ้นบ้างหลังจากสูดหายใจลึก ๆ คิ้วเข้มที่ขมวดด้วยความสงสัย ส่งให้ดวงหน้านั้นดูดุยิ่งขึ้น
“นั่นสิ นี่นะ พอเห็นสัญญาณก็รีบเผ่นมาเลย มาเจอไคล์เข้ากลางทาง บอกว่าเธอถูกยิง ตกใจแทบแย่”
หญิงสาวลุกขึ้นเดินเข้ามาหาชายหนุ่มทั้งคู่ แล้วทำหน้าย่นใส่รีฟ พูดเสียงประชด “นี่นะรีบมา ถ้าไม่รีบจะมาถึงเมื่อไหร่กัน ไม่มาเสียพรุ่งนี้เลยล่ะ หนอย ! ถ้าถูกยิงจริง...เธอคงไม่ได้มาดูใจฉันแล้วละ”
“หมายความว่า...เธอไม่ได้ถูกยิง” ชายหนุ่มผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลคราง ปนโล่งใจ
“ว้า ! รีฟนี่ ทำไมจู่ ๆ ก็กลายเป็นคนโง่กะทันหัน ก็เห็น ๆ อยู่ว่าสบายดี” หญิงสาวบ่นเพื่อน
“หมายความว่า ข่าวผิดพลาด !!” ไคล์ขมวดคิ้วถาม เพราะไม่น่าเป็นไปได้ที่ข่าวสำคัญขนาดนี้จะเกิดการผิดพลาดได้ โดยเฉพาะจากคนของอาควิลเอง
อาเรียหันมาส่งยิ้มหวานกับไคล์ “ไม่ได้ผิดพลาดหรอก เพราะข้าเป็นคนสั่งปล่อยข่าวไปเอง”
คำพูดจากเพื่อนสาวส่งผลให้ชายหนุ่มทั้งสองมีสีหน้างุนงง ก่อนที่ไคล์จะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “มีเรื่องอะไรหรืออาเรีย ทำไมถึงต้องปล่อยข่าวออกไปแบบนั้น”
“นั่นสิ ทำเอาตกอกตกใจหมด” รีฟแทรก
“เรื่องน่ะมีแน่ ว่าแต่...ฝ่าบาทเล่า” หญิงสาวถามขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อไม่เห็นเจ้าของวรองค์สูงที่ควรจะปรากฏองค์พร้อม ๆ ผู้เป็นเพื่อน
ชายหนุ่มทั้งสองเหลือบตาสบกันเอง รีฟกลืนน้ำลายก่อนพยักหน้าโยนให้เพื่อนเป็นผู้ตอบ ดวงหน้าดุ ๆ ของไคล์ยิ้มฝืดฝืน ทำให้อาเรียที่กำลังมองคนทั้งคู่อยู่แล้วเริ่มส่งสายตาวาวขุ่นเขียว เสียงพูดเย็นชา
“อย่า...บอก...นะ...ว่า พวกเธอปล่อยพระองค์ไปไหน ๆ ลำพังองค์เดียว”
“เอ่อ...ทรงขึ้นไปหาท่านครูน่ะ” ไคล์ตอบเบา ๆ ก่อนที่รีฟจะช่วยเสริม
“เธอก็รู้ว่า ถ้าฝ่าบาทตัดสินพระทัยแล้วละก็ ขัดได้ที่ไหนกัน”
“อ้อ...นี่รู้กันอยู่แล้วใช่ไหม แต่ปิดข้า ดีนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฝ่าบาทละก็...ฉันเอาเรื่องพวกเธอถึงตายแน่” อาเรียพูดน้ำเสียงเหี้ยม ด้วยความโมโห
รีฟส่งเสียงหงุงหงิงเบา “กะแล้วไหมล่ะ เพราะเจ้านั่นละไคล์...ไม่ยอมห้ามฝ่าบาท ยัยตัวยุ่งนี่ยิ่งดุ ๆ อยู่” หากผู้เป็นเพื่อนส่งสายตาเหยียดมาให้เป็นความหมาย ‘แล้วเจ้าทำไมไม่ห้ามเอง’
บรรยากาศอึมครึมด้วยแรงกรุ่นโกรธของอาเรียพลันถูกเสียงเคาะประตูดังแทรกขัด ดุจระฆังช่วยชีวิตชายหนุ่มทั้งสองคน เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกสองเสียงประสานกัน ในขณะที่หญิงสาวส่งสายตาดุมองอย่างคาดโทษ แล้วออกปากอนุญาต
วามิสก้าวเข้ามาในห้อง สีหน้าฝืดเฝื่อน “เอ่อ...ท่านอาเรีย ท่านผู้บัญชาการทหารกองพลที่หนึ่งทราบข่าวว่าท่านถูกยิงรับบาดเจ็บ ก็เลยมาขอเยี่ยมครับ ตอนนี้รออยู่ที่ห้องรับรอง”
“หา ! อะไรนะ” หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ “ผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่งก็ท่านนัซเซอร์น่ะสิ ตายละ” หญิงสาวครวญ
“ถ้าจำไม่ผิด ท่านสนิทกับท่านพ่อของเธอไม่ใช่หรือ” ไคล์พูดขึ้นมา
‘สนิทมากเลยล่ะ’ หญิงสาวตอบในใจพร้อมอาการพยักหน้า
“โธ่เอ๊ย ! ต่อให้ไม่สนิท ลองลูกสาวของผู้บังคับบัญชาถูกยิงในพื้นที่ของตัวเอง ยังไงก็ต้องวิ่งมาดูอยู่แล้ว ไม่เห็นแปลกเลย” รีฟพูดต่อทันที
‘ก็ถูกอีก...แต่ลืมคิดไปนี่นา’
จากนั้นวามิสจึงพูดขึ้นมาบ้าง “แล้วจะเอาอย่างไรดีครับ ตอนนี้ท่านรออยู่ด้วย”
‘นั่นสิ จะเอาอย่างไรดี’
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังหญิงสาวเพียงคนเดียว ขณะที่อาเรียทำหน้าราวกับจะร้องไห้ แล้วไล่สายตามองแต่ละคนก่อนจะถามเสียงอ่อย อันทำให้มีเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมาจากทุกคน
“คนถูกยิงนี่ เขามีอาการยังไงน่ะ...”
“ขออภัยครับ ท่านวามิสติดธุระอยู่ คงไม่สามารถออกมาได้ตอนนี้ ต้องรบกวนพวกท่านรออยู่ข้างนอก เพราะเราให้พวกท่านเข้าไปไม่ได้จริง ๆ” นายทหารเวรผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูใหญ่ทางเข้าตึกที่ทำการกองร้อยที่สี่ประจำเมืองนีซกล่าวปฏิเสธเจ้าชายราเอลที่ทรงแจ้งความประสงค์ขอเข้าพบวามิส
“แต่เขาก็เป็นอาควิลเช่นกัน ทำไมถึงเข้าไปไม่ได้” เอลย่าขมวดคิ้วถามขึ้นเสียงเรียบ
“ถ้าเช่นนั้น รบกวนท่านแจ้งสังกัดและรอให้เราทำการตรวจสอบก่อนครับ” ทหารเวรคงยืนยันเช่นเดิม
“เมื่อเข้าไปไม่ได้ ก็ให้วามิสออกมา” เจ้าชายราเอลรับสั่งด้วยพระพักตร์นิ่ง
“ตามที่ได้บอกไปแล้ว ท่านวามิสไม่สามารถออกมาได้ในตอนนี้ครับ”
“ตามวามิสมาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นก็ให้เราเข้าไป” สุรเสียงเข้มจัดด้วยทรงร้อนพระทัย การรักษาการเข้มงวดเช่นนี้ย่อมบ่งเหตุผิดปกติ
“ไม่ได้ครับ” เสียงนายทหารยืนยันเหมือนเดิม สีหน้าไม่เปลี่ยน
“ถ้าเจ้าไม่ให้เราเข้าไปเดี๋ยวนี้ เจ้าจะโดนโทษหนัก ฐานขัดขวางเรา”
“ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ครับ” เนตรสีน้ำเงินกร้าวอย่างน่ากลัว หากนายทหารทั้งคู่ยังคงเฉย ไม่สนใจ
“ข้าขอแนะนำว่า เจ้าส่งใครไปตามท่านวามิสมาจะดีกว่านะ อีกอย่าง ไม่เห็นหรือว่าเขาได้รับบาดเจ็บ สมควรที่จะได้รับการรักษาก่อน” เอลย่าพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
คำบอกของหญิงสาวเรียกสายตาแสดงความเห็นใจจากทหารเวรเมื่อเหลือบมองมายังพระพักตร์ หากเสียงบอกเรียบเฉยเช่นเดิม “ข้าจะให้คนตามแพทย์มารักษาบาดแผลให้ท่านก่อน ส่วนเรื่องการอนุญาตให้เข้าข้างใน ข้าคงทำไม่ได้ แล้วข้าจะให้คนไปแจ้งท่านวามิสโดยเร็ว”
ทว่าก่อนที่จะมีผู้ใดละไปจากตำแหน่งประจำการ ร่างสูงของทหารนายหนึ่งได้เดินเข้ามาสมทบเมื่อมองเห็นการพูดคุยกันอยู่นาน ครั้นเดินเข้ามาใกล้ นัยน์ตาของเขาพลันเบิกกว้างเมื่อเห็นวงพักตร์ของผู้ยืนอยู่ภายนอกประตูอย่างถนัด ตามมาด้วยกิริยาชิดตัวตรงโค้งทำความเคารพโดยเร็ว ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้นายทหารทั้งสอง
“เสด็จท่านผู้บัญชาการกรมฯ ...พวกเจ้าให้พระองค์เข้ามาได้แล้ว”
นายทหารทั้งสองชิดตัวตรงทำความเคารพทันที หากไม่มีอาการตกใจ หรือเกรงกลัวโทษทัณฑ์ใด ๆ จากผู้ที่พวกตนเพิ่งจะรู้ว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของตนเอง ในขณะที่เอลย่ามีสีหน้าตกใจด้วยความนึกไม่ถึง
เจ้าชายผู้บัญชาการพยักพระพักตร์รับการเคารพจากทหารเฝ้าประตูทั้งคู่ ก่อนตรัสบอกด้วยพระสุรเสียงเข้ม “พวกเจ้ารับผิดชอบต่อหน้าที่ได้ดี หากเมื่อครู่เจ้าปล่อยให้เราเข้าไป เราจะสั่งลงโทษสถานหนัก” แล้วเสด็จเข้ามาภายในอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มจุดที่มุมโอษฐ์ พระสุรเสียงเปรยเบา ๆ “วามิสควบคุมลูกน้องดี”
บุรุษวัยกลางคนทว่ารูปร่างยังคงบึกบึนล่ำสัน ผู้มีเค้าหน้าดุดันและยิ่งดูเหี้ยมหาญด้วยรอยแผลเป็นพาดผ่านที่แก้มขวาเดินตามวามิสเข้ามาภายในห้องนอนขนาดไม่ใหญ่นัก สายตาทรงอำนาจมองกวาดยังผู้ที่อยู่ในห้องพลางพยักหน้ารับการทำความเคารพจากไคล์และรีฟ ก่อนจะแปรไปจับยังร่างเล็กบางบนเตียงของหญิงสาวผู้เป็นธิดาของผู้บังคับบัญชาและเพื่อนสนิท แล้วก้าวเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ที่วางไว้ข้าง ๆ เตียงอย่างรวดเร็ว
“อาเรีย ได้ข่าวว่าหลานถูกยิง อาการเป็นไรบ้าง” เสียงห้าวทรงอำนาจเอ่ยถามด้วยความห่วงใย
“ท่านลุงนัซเซอร์ ข้าไม่เป็นอะไรค่ะ” อาเรียตอบเสียงอ่อน คลี่ยิ้มซีดเซียวให้
“ไม่เป็นอะไรได้อย่างไร ดูสิ หน้าซีดถึงเพียงนี้ คงจะเจ็บมากล่ะสิหลาน” ผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่งนิ่วหน้าน้อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เปรียบเสมือนหลานสาว
ทว่าไคล์และวามิสเสไปมองทางอื่น ในขณะรีฟกลั้นหัวเราะเสียงขลุกขลักในคอ จนนัซเซอร์เหลือบตาขึ้นมอง เขาจึงแสร้งไอ
“ไม่สบายหรือท่านรีฟ” บุรุษผู้ทรงอำนาจแห่งกองพลที่หนึ่งเอ่ยถามทันที
“หา...เอ่อ เปล่าครับ แค่อากาศเปลี่ยน ก็เลยไอนิดหน่อยครับ” ชายหนุ่มแก้ตัวทันควัน ก็แหมจะไม่ให้เขาขำได้อย่างไร ก็แม่ตัวดีที่โดนยิงนั่นไม่ได้หน้าซีดเพราะเจ็บสักหน่อย แต่หน้าซีดเพราะกลัวความแตกต่างหาก ...แน่นอนอาเรียรู้ทันความคิดของเพื่อนหนุ่มดี จึงส่งสายตาคาดโทษมาทันที
“ข้าไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกค่ะท่านลุง ขออภัยด้วยจริง ๆ ที่ทำให้ท่านลุงต้องเป็นห่วงจนต้องมาเยี่ยมถึงที่นี่” หญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงหวานปนอ้อนในความรู้สึกของทุกคน
“หลานเจ็บ ลุงจะไม่มาเยี่ยมได้หรือ ว่าแต่นี่หลานถูกยิงได้อย่างไรกัน ใครกันที่มันกล้าขนาดนี้ ท่านวามิสจับมันได้หรือไม่” นัซเซอร์หันไปถามวามิสกะทันหัน จนชายหนุ่มผู้ตกกระไดพลอยโจน แทบตั้งตัวไม่ทัน
“หา...เอ่อ...ตอนนี้...คือเรากำลังตามเรื่องอยู่ครับท่าน” คำตอบของวามิส ทำให้บุรุษกลางคนขมวดคิ้ว
“ตามเรื่องอยู่ อาควิลไม่น่าจะชักช้านะ ส่งรายละเอียดมา แล้วข้าจะให้ทางทหารช่วยตามอีกที”
“เอ่อ...ท่านลุงคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ วามิสจัดการได้ ข้าไม่รบกวนท่านลุงดีกว่าค่ะ”
“รบกวนตรงไหนกัน ให้มันรู้ไปว่าใครกล้าแตะต้องเจ้า” บุรุษกลางคนหันมาส่งเสียงเอ็ดหญิงสาว “ว่าแต่นี่ลุงเตรียมยามาเผื่อด้วย ยาดีทีเดียว ลุงให้คนของที่นี่ไปต้มแล้ว เดี๋ยวคงจะได้”
“หา...อะไรนะคะ ยาหรือ” อาเรียร้องคราง นี่ข้าต้องกินยาหรือ ก็ข้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย
“ใช่ อ้อ พูดถึงก็มาพอดี” ผู้ทรงอำนาจประจำกองพลที่หนึ่งหันไปยังประตูทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะเบา ๆ ก่อนที่นายทหารคนหนึ่งจะถือถาดใส่ยาเข้ามาภายใน
กลิ่นของยาอันหอมหวนจนน่าที่จะเททิ้งไปไกล ๆ โชยมากระทบฆานะประสาทของทุกคนที่อยู่ภายในห้อง ทำให้วามิส รีฟ ไคล์เบ้หน้าทันทีด้วยความสยองกับรสชาติที่เพียงแค่ได้กลิ่นก็คาดเดาได้ไม่ยาก ในขณะที่หญิงสาวผู้เป็นคนเจ็บทำสีหน้าอยากจะร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนั้น
“ท่านลุงคะ ข้า...ไม่กินได้ไหมคะ ยาของแพทย์ที่นี่ก็ดีอยู่แล้วนะคะ” อาเรียพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนสุดฤทธิ์ หาก...
“ไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่าลุงไม่เชื่อฝีมือหมอที่นี่ หากแต่เป็นเพราะนี่เป็นยาที่ดีที่สุดของทางฝ่ายทหาร และลุงก็เป็นห่วงเจ้ามากนะ หรือเจ้าไม่สนใจความหวังดีของลุงกันล่ะ”
ครั้นโดนผู้สูงวัยใช้ความเป็นห่วงมาอ้าง อาเรียก็มีอันปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากรู้ดีว่าเพื่อนสนิทของบิดาผู้นี้เอ็นดูเธอราวกับธิดาแท้ ๆ เสมอมา จึงจำใจต้องยื่นมือมารับถ้วยยาไปดื่มด้วยความรู้สึกภายในใจว่า ‘กรรมตามสนอง โทษฐานโกหกหลอกลวงผู้ใหญ่’
“ดีมาก หมดถ้วยเลย แล้วลุงจะส่งยามาทิ้งไว้ให้อีก เอาล่ะหลานพักผ่อนเถอะนะ หน้ายังซีดอยู่เลย เดี๋ยวลุงขอไปคุยกับท่านวามิสเรื่องการจับคนร้ายก่อน”
อาเรียเพียงพยักหน้ารับอย่างเซื่องซึม ด้วยฤทธิ์เดชรสชาติของยาทำให้เธอรู้สึกแย่พูดอะไรไม่ออก ดวงหน้าหวานซีดขาวจนทั้งไคล์และรีฟที่ยืนมองอยู่ต้องส่งสายตาแสดงความเห็นใจปนสมน้ำหน้ามาให้
“ฝ่าบาท ทรงรอเดี๋ยวพ่ะย่ะค่ะ”
แว่วเสียงร้องห้ามดังลอดเข้ามาภายในห้องของหญิงสาวที่อยู่ในสภาพคนเจ็บ ดึงความสนใจของบุคคลทั้งหมดให้หันไปมองยังประตูซึ่งถูกเปิดออกโดยแรง พร้อมด้วยการเสด็จเข้ามาอย่างรวดเร็วของวรองค์สูงสง่า มีนายทหารเจ้าของเสียงยืนหอบหายใจอยู่เบื้องพระปฤษฎางค์ เพราะพยายามวิ่งตามเสด็จให้ทันเพื่อที่จะทูลถึงสถานการณ์ให้ทรงทราบก่อน หากมิทรงฟัง และทรงก้าวนำลิ่วอย่างรีบร้อนจนเขาทูลอะไรไม่ทัน
องค์ผู้บัญชาการกรมฯ กวาดพระเนตรไล่ดวงหน้าของผู้ที่อยู่ภายในห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทรงชะงักเล็กน้อยเมื่อผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่งลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ พระเศียรจึงก้มรับแล้วแปรเนตรสีน้ำเงินเคร่งขรึมซึ่งฉายร่องรอยของความกังวลห่วงใยไปจับยังร่างบางบนเตียงผู้เป็นสาเหตุแห่งความร้อนพระทัยอยู่ในขณะนี้
หากหญิงสาวที่ควรจะนอนเจ็บอยู่กลับกระโดดลงจากเตียงทันควัน และถลันมายืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ด้วยดวงหน้าที่แสดงความตกใจ ทำให้ทรงขมวดพระขนงกับกิริยาที่ดูอย่างไรก็จะสบายดีของอีกฝ่าย
“ฝ่าบาท ทรงได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร” เจ้าของเสียงใสร้องถามดัง โดยมิได้สังเกตถึงอาการมองตาค้างของผู้เปรียบเสมือนลุง หรือเสียงถอนหายใจของไคล์ รีฟ และวามิส ที่มองเห็นแล้วว่า ความแตกจนได้
“เจ้าน่าจะตอบเราก่อนดีกว่านะ ว่าทำไมคนเจ็บถึงแข็งแรงดีแบบนี้” พระสุรเสียงถามดุนักหนา หากเนตรคมทอแววโล่งพระทัยยิ่ง
และเพราะรับสั่งถามนั้นเอง ทำให้อาเรียรู้ตัวว่าเธอพลาดเสียแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วจึงเหลือบมองผู้เปรียบเสมือนลุงอย่างเกรง ๆ ด้วยความรู้สึกผิด “ฝ่าบาท ท่านลุง ข้าขออภัยค่ะ ที่ปล่อยข่าวออกไปว่าถูกยิงบาดเจ็บ ทำให้พวกท่านต้องเป็นห่วง”
“ก็แล้วมันเรื่องอะไร ถึงต้องปล่อยข่าวออกไปแบบนั้น” เสียงถามที่เจือกระแสความไม่พอใจดังมาจากผู้อาวุโสที่สุดในห้อง ขณะที่เจ้าชายราเอลจ้องคนตัวเล็กเขม็ง เพราะทรงรู้ดีว่าหญิงสาวมิใช่คนที่ทำอะไรโดยไร้เหตุผล และเรื่องนี้ต้องมีสาเหตุสำคัญ
“นั่นเป็นเพราะคนที่โดนยิงไม่ใช่ข้า แต่เป็นคนอื่นน่ะสิคะ”
คำตอบที่ได้ฟังทำให้ผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่งขมวดคิ้วทันที และเริ่มฉุกใจว่าต้องมีเรื่องผิดปกติ คำถามสั้น ๆ จึงออกจากปาก “ใคร”
“เจ้าชายรัซเซลแห่งเมลาวีค่ะ”
“อะไรนะ !” เสียงอุทานอย่างตกใจก้องประสานจากคนทั้งหมดนอกจากวามิส มิเว้นแม้แต่ไคล์และรีฟ เนื่องจากชายหนุ่มทั้งสองต่างก็ผสมโรงเล่นละครโดยที่ยังไม่ทราบรายละเอียดใด ๆ เช่นกัน บรรยากาศตึงเครียดจึงแผ่กระจายไปทั่วห้องทันที ทว่าก่อนที่ใครจะได้พูดอะไรต่อนั้น เสียงของผู้ที่ไม่มีใครทันได้สังเกตพลันดังขึ้นเบื้องพระปฤษฎางค์องค์ผู้บัญชาการกรมฯ
“ข้าคิดว่าเรื่องนี้เราคงจะต้องคุยกันยาว แต่ก่อนอื่น ควรจะถวายการรักษาฝ่าบาทก่อนดีไหมคะ” ถ้อยประโยคนี้ เรียกสายตาทุกคู่ให้แปรเปลี่ยนไปจับยังหญิงสาวร่างสูงโปร่งซึ่งพวกตนยังไม่รู้จัก พร้อม ๆ กับวามิสที่รีบเร่งออกไปตามแพทย์ทันทีที่ได้ยินคำเตือน
“ฝ่าบาท ทรงได้รับบาดเจ็บได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ผู้บัญชาการอาวุโสทูลถามด้วยเสียงเป็นห่วง หากเจ้าชายหนุ่มทรงโบกพระหัตถ์
“ไม่มีอะไรมากหรอก อุบัติเหตุเล็กน้อยตอนลงจากเขาน่ะ” คำตรัสบอกทำให้เอลย่าเหลือบตามองเล็กน้อยอย่างรู้สึกขอบคุณ ทว่าหญิงสาวยังคงบ่งบอกความจริงออกมา
“ทรงได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยข้าเอาไว้ตอนโรยตัวลงจากเขาน่ะค่ะ”
เนตรสีน้ำเงินที่ตวัดมองเอลย่ามีรอยไม่พอพระทัยเล็กน้อย ด้วยทรงอุตส่าห์ปิดเรื่องนี้ไว้เพราะมิอยากให้หญิงสาวถูกมองว่าเป็นสาเหตุให้ทรงบาดเจ็บ ก่อนจะหันไปแนะนำเธอกับคนอื่น ๆ “เอลย่า หลานสาวท่านครูน่ะ นางอยู่หน่วยข่าวของเนอร์ราห์ คิดว่าท่านนัซเซอร์คงจะพอรู้จักนางบ้างแล้ว”
“กระหม่อมรู้จักนางพ่ะย่ะค่ะ” ผู้บัญชาการอาวุโสตอบรับ
“ส่วนโน่น รีฟ ไคล์ แล้วก็อาเรีย” ทรงหันไปแนะนำราชองครักษ์คนสนิทของพระองค์ต่อ
“ยินดีที่ได้รู้จัก หลานสาวท่านครู” ไคล์พูดเรียบ ๆ ผิดกับรีฟที่ดวงตาเป็นประกาย
“ไม่รู้เลยนะนี่ ว่าท่านครูมีหลานสาวสวยอย่างนี้” คำชมมาพร้อมรอยยิ้มหวานจ๋อย
เอลย่าเพียงยิ้มรับบาง ๆ แล้วหันไปทางหญิงสาวอีกคนที่จ้องเธอด้วยดวงตาใสแจ๋ว มือที่กำไว้หลวม ๆ ชื้นไปด้วยเหงื่อยามมองสบอีกฝ่าย
“ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ เอลย่า ท่านครูสบายดีใช่ไหม” อาเรียทักทายด้วยรอยยิ้มแจ่มใส
“ท่านตาสบายดี ขอบคุณ” คำตอบคล้ายดั่งหลุดออกจากปากโดยมิรู้ตัว นัยน์ตาสีนิลซี่งมองไปยังอาเรียมีร่องรอยของความโล่งใจปนความรู้สึกสับสนที่มีแต่เจ้าตัวที่รู้ความหมาย หากดวงตาผู้สูงวัยที่สุดในที่นั้นจ้องมองการทักทายของหญิงสาวทั้งคู่แล้วลอบถอนหายใจยาว
นาซินแง้มประตูห้องเมื่อได้ยินเสียงเคาะเบา ครั้นเห็นเป็นหญิงสาวผู้พาพวกตนมาที่นี่ บานประตูจึงเปิดออกกว้าง ทว่าดวงตาคงจับจ้องกลุ่มคนที่มากับอีกฝ่ายอย่างระแวดระวัง แม้จะรู้อยู่ว่าที่นี่ปลอดภัย หากเขาไม่ต้องการที่จะประมาท เหมือนกับที่เคยพลาดจนแทบจะต้องเสียผู้เป็นเจ้าชีวิต
อาเรียเบื่ยงตัวเล็กน้อยพร้อมเอ่ยแนะนำกับราชองครักษ์ของเจ้าชายแห่งเมลาวีด้วยเสียงเบา “เสด็จท่านผู้บัญชาการกรมฯ เจ้าชายราเอล และท่านนัซเซอร์ผู้บัญชาการทหารกองพลที่หนึ่ง”
นาซินชิดเท้าตรงถวายความเคารพทันควัน พร้อมแนะนำตนเอง “กระหม่อมนาซิน เป็นราชองครักษ์ประจำองค์เจ้าชายรัซเซลพ่ะย่ะค่ะ”
“พระอาการของพระองค์เป็นอย่างไรบ้าง” สุรเสียงยามตรัสถามของเจ้าชายราเอลเบายิ่ง ดุจมิต้องการรบกวนคนเจ็บ
“ทรงรู้สึกองค์ขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ถวายโอสถตามที่แพทย์สั่งไว้ จากนั้นก็ทรงบรรทมต่อพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอเราเข้าไปดูพระองค์หน่อย” ตรัสบอกก่อนเสด็จเข้าไปชิดพระแท่น แล้วทอดพระเนตรวรองค์ใหญ่ซึ่งบรรทมนิ่งสนิท วงพักตร์ดุซีดขาว พระขนงเข้มขมวดมุ่นแม้ยามบรรทมไม่รู้สึกองค์เช่นนี้
มีเพียงนัซเซอร์ที่ตามเสด็จเข้ามาใกล้ เขาได้รับรู้เรื่องราวคร่าว ๆ จากผู้เป็นธิดาของเพื่อน พร้อม ๆ กับเจ้าชายหนุ่ม ดวงหน้าผู้สูงวัยจึงมีร่องรอยแห่งความเคร่งเครียดปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เราคงมีงานหนักต้องทำกันล่ะ ท่านนัซเซอร์” เสียงตรัสเบาจากวรองค์ตรงหน้า
“พ่ะย่ะค่ะ ยังดีที่อาเรียไหวตัวทัน ออกข่าวลวงไปเสียก่อน” เสียงห้าวของบุรุษกลางคนตอบรับ
“นั่นละ เราจะใช้ประโยชน์จากตรงนั้น” ทรงหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว และก่อนจะออกจากห้อง ทรงหันมาทางนาซิน “ไม่ต้องห่วงนาซิน เราจะถวายความปลอดภัยให้ดีที่สุด เดี๋ยวทางเราจะประชุมกัน และอาจจะมีบางเรื่องที่ต้องขอความร่วมมือจากเจ้า เราจะให้คนมาแจ้ง”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงพระเมตตาประทานความช่วยเหลือ หากมีอะไรที่กระหม่อมช่วยได้ กระหม่อมยินดีช่วยเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ”
องค์ผู้บัญชาการกรมฯ ทรงตบบ่าราชองครักษ์ประจำองค์เจ้าชายต่างแดนเบา ๆ ก่อนเสด็จเร็วพร้อมรับสั่งต่อผู้ที่รออยู่เบื้องนอกสั้น ๆ “เรียกประชุม เดี๋ยวนี้ !”
เพียงรอยฝัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 เม.ย. 2554, 12:55:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 เม.ย. 2554, 18:19:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 2058
<< บทที่ 4 | บทที่ 6 >> |