สะพานแห่งคำสัญญา
พายุกับน้ำฝน เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีความแตกต่างกันมากที่สุด ต้องมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อการเรียนและชีวิตวันหยุดของทั้งสองต้องมาข้องเกี่ยวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเฉยชากลายเป็นความสัมพันธ์ กลายเป็นความรัก ความรักที่ยากจะดึงทั้งสองออกจากกัน
Tags: คำสัญญา หนุ่มเกเร สาวเรียบร้อย

ตอน: สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 8

หลังอาหารเย็นอันภาคภูมิใจ(เพราะผมเป็นคนไปเด็ดผักด้วยการการรับรองความสามารถของน้ำฝนที่ผมไม่ได้ต้องการสักนิด) ผมถือวิสาสะไปลากโต๊ะเล็กตัวหนึ่งมาไว้ข้างเปลนอนเพื่อวางข้าวของ ผมพยายามไม่ฝากอะไรไว้ข้างในบ้านเลยเพื่อจะได้หยิบจับของที่จะใช้ได้ง่ายโดยมีความคิดที่ย้ำเตือนตัวเองตลอดเวลาว่า แค่คืนเดียวเอง สบายๆ ไม่เป็นไรหรอกไอ้ยุ
“พายุ”
ผมสะดุ้งโหยง หันขวับไปทางคนพูดที่มาถึงที่นอนของผมเงียบๆอย่างกับเงา
“อ่ะ เอ่อ มาทำไม มีอะไรเหรอ”
น้ำฝนยังหน้านิ่งเหมือนท่อนไม้เหมือนเคย เธอขยับปากจะพูดบางอย่าง แต่ก็ไม่พูด แสงสีส้มจากโคมไฟที่อาจารย์เอามาแขวนให้ตรงคานเยื้องจากเปลไปเล็กน้อยสาดสะท้อนแว่นตาของน้ำฝนที่มองยังผม มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมเห็นชัดกว่าหน้าอันนิ่งเฉยของเธอ
“ถ้าไม่มีอะไร เราจะออกไปงานต่อนะ เราอยากถ่ายภาพกลางคืนบ้าง”
เธอนิ่งมอง ไม่ตอบคำ ผมเลยจัดของอย่างลวกๆ แล้วสะพายกล้องเดินออกมาจากทำเลนอนตากยุงของผมคืนนี้ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าอันแสนเชื่องช้าเดินตามมาติดๆ ผมรู้ว่าน้ำฝนตามมา แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้

แม้ทางจะค่อนข้างมืด แต่ตาที่เริ่มชินทำให้มองเห็นทางเดินไปยังที่นาหลังบ้านอยู่บ้าง แสงจากใต้ยุ้งฉางก็แผ่รัศมีอ่อนๆมาถึงอยู่ แม้จะน้อยนิดเต็มที
“มันมืดนะยุ อันตราย”
ผมหันไป “อ้าวนึกว่าเดินมาคนเดียวซะอีก”ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้
เธอเงียบไป ผมเลยหันหน้ากลับไปทางเดิมแล้วเริ่มเดินต่อ
“จะไปถ่ายอะไรน่ะยุ งานของเราถ่ายไปเยอะแล้วนี่”
ผมยักไหล่ “ก็อยากได้รูปตอนกลางคืนบ้าง มันน่าจะสร้างสีสันให้งานได้”
“เรามีรูปเยอะพอแล้วล่ะยุ”
ผมเริ่มเซ็งกับเธอแล้ว เธอเองเป็นคนชวนผมมาทำงานนี้แท้ๆ และผมกำลังพยายามทำให้งานมันมีอะไรที่ดูดีขึ้น แต่น้ำฝนกลับมาขัดซะนี่
“กลับไปก่อนก็ได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เราจะทำงาน เหมียวก็มาด้วยนี่ ไม่เห็นต้องตามเรามาเลย อยู่กับเหมียวก็ดีอยู่แล้ว”
เธอหน้าเสีย ก้มหน้านิ่งในความมืด”เหมียวดูละคร ฉันไม่อยากดู”เธอตอบตะกุกตะกัก
“ก็หาอย่างอื่นทำซิ งานสัมภาษณ์เมื่อเช้าก็ยังไม่เสร็จไม่ใช่เหรอ เห็นพูดตอนกินข้าว”
“เสร็จแล้ว”
“เร็วดีนี่”ผมค่อนข้างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเธอจะทำเสร็จเร็วปานนี้
เธอเงียบ ไม่ตอบอะไร ผมเลยเดินต่อ ”กลับไปเถอะ มันอันตราย”ผมทิ้งท้ายด้วยคำพูดของเธอที่บอกกับผมเมื่อครู่ และครั้งนี้เธอทำตามแต่โดยดี

ผมเที่ยวถ่ายรูปอยู่นาน พอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูถึงรู้ว่าตัวผมเองเดินถ่ายรูปใต้แสงจันทร์เกือบชั่วโมงแล้ว ต้องขอบคุณแสงจันทร์และกล้องถ่ายรูปอย่างดีของพ่อที่ทำให้ผมสามารถถ่ายรูปตอนกลางคืนได้สะดวกขึ้นและสวยขึ้น แล้วก็ไอ้การเดินถ่ายรูปนี่แหละ ทำให้ผมเริ่มรู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงชอบอยู่แบบนี้ มันทั้งเย็นสบายและปรอดโปร่งโล่งจมูกดีแท้ หลังจากดื่มด่ำกับกลิ่นหญ้าและดิน ฟังเสียงแมลงกลางคนร้องสักพัก ผมก็ตัดสินใจกลับ กลับนั้นรวดเร็วกว่าที่คิดเพราะผมถ่ายรูปไม่มากอย่างขากลับ พักเดียวก็มาถึงรัศมีแสงไฟจากใต้ยุ้งฉาง

“อ้าว ยังอยู่เหรอ”ผมประหลาดใจที่เห็นน้ำฝนยังนั่งอยู่ที่ม้านั่งใกล้เปลนอนของผม เธอดูซึมๆ(หรือผมอาจคิดไปเอง) เธอหันมามองผมด้วยสายตาที่ทำให้ผมอึดอัด สายตาที่มองเหมืนสายตาของเจ้าหน้าที่สอบสวนพิเศษที่กำลังจ้องหน้าสายลับที่จับมาได้อย่างไงอย่างงั้นเลยทีเดียว
“มีอะไรเหรอ ดึกแล้ว ไปนอนเถอะ”
เธอมองหน้าผม “ฉันมีอะไรอยากคุยกับเธอ เรื่องสำคัญมาก”





เสียงของความเงียบเป็นอย่างไร ผมพึ่งรู้ตอนนี้เอง เพราะตอนนี้ผมไม่ได้ยินอะไรเลย ข้างหน้ามีแต่น้ำฝนที่กำลังเดินมา ใกล้เข้ามาๆ
“พายุ”
“หะ อะไร มีอะไร”
“ฉันอยากขอบคุณเธอที่มาช่วยฉันวันนั้น”
ผมรู้สึกคันหัวขึ้นมาทันที เลยกลายเป็นเกาหัวตัวเองแกรกๆ “เอ่อ ไม่เป็นไร ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
“ฉันไม่คิดว่าเธอจะมาช่วยฉันแล้วพาฉันไปส่งบ้าน”
“เราไม่ได้เป็นคนใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น”
“แต่เธอไม่ชอบฉัน”
สายตาเธอคาดคั้น ผมเหมือนเขียดที่กำลังจ้องตากับงูไม่มีผิด จะพูดอะไรออกไปก็ไม่กล้า เพราะกลัวจะทำให้ตัวเองต้องมารู้สึกผิดมากกว่าเดิม แต่ก่อนนี้เวลาเจ้าพวกนั้นมันล้อเธอผมก็รู้สึกแย่พออยู่แล้ว
“เปล่าหรอก เราไม่ได้เกลียดเธอ”
“แต่เธอไม่เคยพูดกับฉันดีๆเลย”
ผมสะอึก รู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยมีด ความจริงเป็นอย่างที่เธอว่า ผมแทบไม่เคยพูดกับเธอดีๆเลย แทบจะนับครั้งได้
“มันดีกับเธอนะ”
“ดียังไง”
“พวกนั้นจะได้ไม่แซวมากกว่าเดิม เราหมายถึงเพื่อนเราน่ะ”
แวบหนึ่งเธอเบนสายตาไปทางอื่นก่อนจะจ้องมาที่ผม
“ให้พวกเขาแซวไปเถอะ ฉันไม่เคยคิดอะไรอยู่แล้ว”น้ำเสียงราบเรียบเหมือนกับไม่คิดอะไรจริงๆ แต่ผมว่าคำตอบนั้นมันเชือดเฉือนเหลือเกิน มันกลับกลายเป็นว่าผมคิดมากอยู่คนเดียวจริงๆ เธอยังคงเป็นทองไม่รู้ร้อนเหมือนที่เธอเป็นมาตลอด
“แต่ยังไง ฉันก็ขอบใจเธอนะพายุ อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เป็นคนใจร้ายจริงอย่างที่เธอพูด”เธอยิ้มนิดหนึ่ง แววตาด้านหลังแว่นสายตาที่สะท้อนแสงไฟวิบวับดูมีพลังอย่างประหลาด ผมคงไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร แค่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ผมเคยเจอแค่นั้นเอง



น้ำฝนเดินจากไป ปล่อยผมยืนเกาหัวอยู่กลางแสงนวลของหลอดไฟสีส้มๆกลมๆที่ส่งลงมายังเปลนอน ผมรู้ตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงอาจารย์ฉกรรจ์เรียกไปนอนในบ้าน ผมยืนยันว่าจะขอนอนที่เปลตามเดิม

แม้ฝนจะไม่ตก แต่อากาศข้างอกนั้นเย็นใช่เล่น ผ้าห่มสีเทาผืนเล็กๆที่ชาวบ้านเรียกกันว่าผ้าห่มขี้งาไม่ได้ช่วยบรรเทาความเย็นสักเท่าไหร่เลย ผมผุดลุกผุดนั่งด้วยความหนาว เปลที่นอนไหวยวบยาบอย่างน่ากลัวตอนที่ผมขยับตัว นึกกลัวอยู่ในใจว่า ถ้ามันเกิดขาดขึ้นมาผมจะต้องลงไปนอนกองกับพ้นในสภาพไหน
“คิดผิดหรือเปล่าวะไอ้ยุ”ผมบ่นกับตัวเอง เริ่มหงุดหงิดกับที่นอนและความหนาว ในใจก่อด่าความโง่ของตัวเอง ที่ตัดสินใจออกมานอนที่นี่ ทั้งที่ข้างในมีที่ให้นอนเยอะแยะ “อดทนเอาไอ้ยุ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว นอนรอบเดียว”ผมบอกตัวเอง ซ้ำๆเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดดูเวลา มันพึ่งจะห้าทุ่มกว่าเอง พอเห็นว่ายังไม่ดึกมาก เลยคว้ากล้องเดินออกมา กะไปถ่ายรูปแถวๆนั้นเล่นให้มันง่วง หันมองไปที่บ้าน มีแต่ไฟกลางบ้านดวงเดียวที่ยังสว่างอยู่ ผมเลยเดินผ่านไปยังปากทางเข้าบ้าน ไฟถนนสีขาวหนึ่งดวง ใช้กับบ้าน4-5หลังเลยทีเดียว ผมเดินผ่านเสาไฟกิ่งนั้นไปยังความมืด นึกขึ้นได้ว่าขามาเมื่อตอนเช้า แถวนี้มีสนามเด็กเล่นและสวนหย่อมเล็กๆของชุมชนอยู่ แถวนั้นน่าจะสว่างและพอมีอะไรให้ถ่ายบ้าง อย่างน้อยก็รูปชิงช้าในแสงสลัวๆ นึกๆดูคล้ายๆหนังเรื่องผีฝรั่งขึ้นมา ยังดีที่มีกล้องและผมไม่ค่อยกลัวอะไรพวกนี้เท่าไหร่ จะถ่ายไปอวดเพื่อนเสียให้เข็ด
5 นาทีของการเดิน ผมมาถึงไฟกิ่งที่3ของถนน ไฟสวนหย่อม เดินไปอีกสักพัก ผมได้ยินขี้เมาคุยกันเสียงดังโวยวายจากที่นั่น เลยถอนใจอย่างเซ็งๆแล้วเดินกลับ เป็นอันล้มเลิก

ในความมืดสลัวและเงียบสงัดของตำบลห่างไกลตัวเมืองนั้นเหมือนมีพลังประหลาด มันทำให้ผมเริ่มอึดอัด เสียงเดียวที่ได้ยินชัดคือเสียงรองเท้าแตะที่ตัวเองใส่อยู่ ฟาดกับส้นเท้า ถูไถกับพื้นถนน โดยไม่รู้ตัว ผมเร่งฝีเท้าจนมาถึงปากทางเข้าบ้าน ผมยืนอยู่ตรงนั้น สัมผัสความเย็นของดินฟ้าอากาศและหยดน้ำเล็กๆที่กำลังโปรยลงมา
เปลว่างเปล่าแกว่งไปมาเล็กน้อยจากแรงลมเริ่มพัดแรงขึ้นเป็นลำดับ ผมเก็บกล้องใส่กระเป๋า หย่อนก้นลงบนเปลยวนที่นุ่มเพราะผ่านการใช้งานมามาก มันนอนสบายดีจริงๆถาไม่นับอากาศที่เย็นจัด หมอนหนึ่งใบกับผ้าห่มขี้งาหวังว่าคงเพียงพอที่จะช่วยให้ผมผ่านคืนนี้ไปได้สักที ต้องขอบคุณหลอดไฟกลมสีส้มตรงเสาที่ทำให้ผมมองเห็นทุกอย่างรอบตัวในระยะ 4-5 เมตรได้ชัดเจน
ผ้าห่มขี้งาถูกดึงขึ้นมาคลุมถึงคอเมื่อฝนเริ่มเทลงมา ผมเอาแจ๊คเกตมาทับอีกชั้นหนึ่ง อย่างน้อยมันคงพอไล่หนาวได้บ้าง ก่อนที่ตัวเองจะข่มตาหลับลง


“พายุ!!”
แรงเขย่าที่ต้นแขนพร้อมเสียงเรียกทำให้ผมตื่น อันที่จริงผมก็ครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่ตลอด แต่ไม่รู้ว่ามีคนมายืนใกล้ตัวขนาดนั้น ถ้าไปอยู่ป่ากับรพินทร์ ไพรวัลย์ ผมคงโดนเสือขบขมองไหลไปแล้ว
เสียงฝนที่เทลงมาหนักกว่าเดิม ข้างๆเปลผม มีคนถือร่มยืนอยู่ และแน่นอน เธอคือสาวน้อยผู้มีจิตใจงามของผู้ใหญ่ทุกคนนั่นเอง
“ไม่หลับไม่นอนล่ะ น้ำฝน”
“ฝนตก ฉันเป็นห่วงเธอ กลัวเธอจะหนาว”
“แล้ว”
“ฉันเลยมาบอกให้เธอไปนอนข้างใน ฉันทำที่นอนตรงโซฟาหน้าทีวีไว้ให้”
“นอนนี่แหละ ไม่เป็นไร”
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นคิ้วของเธอขมวดเป็นปม มันชนกันแวบหนึ่งก่อนจะกลายเป็นอย่างเดิม หน้าของเธอกลับมานิ่งเป็นยายแว่นเด็กเรียนที่ผมเห็นจนชินตา
“เธอไปนอนเถอะ เราจะอยู่นี่แหละ”ผมตอบอย่างใจเย็นที่สุด ทั้งๆที่ข้างในเริ่มกรุ่นๆเพราะอยากนอน แต่จะทำอย่างนั้นใส่น้ำฝนที่มาบอกด้วยความหวังดีก็ไม่ได้ ยิ่งจะทำให้ผมดูเป็นคนที่แย่ในสายตาคนอื่นอีกเยอะเลยทีเดียว
“ถ้าเธอไม่ไปนอนข้างใน ฉันจะยืนตรงนี้จนกว่าเธอจะยอมเข้าไปนอนข้างใน”
“แล้วถ้าเราจะนอนตรงนี้ มันหนักส่วนไหนของเธอเหรอ”ผมเริ่มมีอารมณ์ ผมเกลียดนักล่ะ คนที่ชอบทำแบบนี้
น้ำฝนงันไป อันที่จริงผมไม่เคยพูดกับเธอแบบน้าก่อนเลย เธอมองผม ผมจ้องตาเธอได้ไม่นานก็หลบสายตาเธอด้วยความละอายใจในคำพูดของตัวเอง น้ำฝนไม่ใช่คนประเภทที่สมควรจะโดนว่ากลับแบบนี้
“ฉันกลัวเธอหนาว ไปนอนข้างในบ้านเถอะนะพายุ”
เสียงของเธอสั่น เหมือนวันนั้น วันที่ผมพาเธอไปส่งบ้าน น้ำเสียงแบบนี้ ทำลายความแข็งกร้าวของผมที่มีต่อเธอให้ทลายลงในพริบตาเดียว

ไม่รู้ทำไม สุดท้ายผมยอมขนข้าวของเข้ามาในบ้านพร้อมกับเธอ ที่นอนของผมปูกับพื้นตรงหน้าโทรทัศน์
“ไงล่ะ สุดท้ายก็ได้เข้ามานอนข้างในจนได้”
นรกแล้วไงล่ะ ผมพึ่งเห็นอาจารย์ฉกรรจ์แกนั่งอยู่ที่โซฟาใกล้ที่นอนของผม น้ำฝนก็ไวทายาด หายเข้าห้องไปตอนไหนไม่รู้ ทิ้งให้ผมยืนมองหน้าอาจารย์อยู่คนเดียว ยิ่งหน้าของอาจารย์แกดุเสียด้วยซี มองแกทุกทีไร ผมเป็นต้องเกรงแกทุกครั้ง
“ไปนอน ครูจะไปนอนละ ถ้าน้ำฝนไม่ปลุกครู แกคงต้องนอนกับพื้น ที่จริงน่าจะให้นอนข้างนอกเสียให้สมอยาก”แกหัวเราะดุๆก่อนจะเดินกลับห้อง ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาพปกติ เงียบและมืด(อาจารย์แกแกล้งปิดไฟ ทิ้งให้ผมงมอยู่ในความมืดซะอย่างนั้น) ผมทิ้งตัวนอนอีกครั้งบนพื้นแข็งๆที่มีผ้านวมปูทับเพียงชั้นเดียว มันไม่นุ่มสบายเหมือนที่เปลข้างนอก แต่ก็ดีที่ไม่เย็นจนนอนไม่ได้


ค่ำคืนที่ยาวนานของผมผ่านไป ตอนเช้าแห่งการทำงานเริ่มขึ้นหลังจากมื้อเช้าเสร็จสิ้น ผมแบกกล้องพร้อมขาตั้งตามอาจารย์ฉกรรจ์กับสองสาวออกไปที่ทุ่งนาอีกครั้งเพื่อดูการดูแลต้นข้าวและการทำงานอื่นๆ การทำงานช่วงเช้า ผมถูกใช้ให้เข้าไปในเล้าเป็ดแล้ไข่ใส่ตะกร้า ลูกสาวของอาจารย์จะเป็นคนมาเอามันกลับไปเก็บที่บ้านเราทำงานกันจนเกือบเที่ยง แม้จะใช้เวลานาน แต่การทำงานกับอาจารย์นั้นสนุกจนลืมเวลา แกมักมีเรื่องเล่าต่างๆมาเล่าให้ฟังเวลาที่เราดูแกทำงาน แม้จะไม่สามารถใส่ลงไปในสารคดีของเราได้ แต่เราก็ได้อะไรหลายอย่างเพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำงานครั้งต่อๆไป(ผมอาจคิดเอาเองก็ได้) ต่างจากตอนเรียนงานช่างกับอาจารย์ที่โรงเรียนเยอะเลยล่ะ
พี่ชายของน้ำฝนมารับเราสามคนหลังอาหารกลางวัน งานทุกอย่างของเราเสร็จลงแล้วก่อนที่พี่ฝางจะมารับ ตอนนี้แต่ละคนแยกย้ายไปทำงานของตัวเองได้ ผมแยกไปคัดรูป น้ำฝนกับเหมียวไปเรียบเรียงเรื่อง เหมียวแม้ไม่ได้มีชื่อการทำสารคดีนี้ แต่เธอช่วยอย่างเต็มที่ ผมไม่เคยเห็นเธอทั้งสองคนทำงานมาก่อน และไม่คิดว่ายายเฮ้ว ปากจัดอย่างเหมียวจะทำได้ ดูผ่านๆเหมือนคู่นี้จะไม่เข้ากันและท่าทางจะทำงานด้วยกันไม่ได้ แต่มันกลับเป็นการทำงานที่เข้าขากันดีเหมือนทั้งสองเกิดมาเพื่อเป็นคู่แท๊กทีมอย่างนั้นล่ะ
รถของเราวิ่งห่างออกมา ผ่านสวนหย่อมหน้าหมู่บ้านและสนามเด็กเล่น อีกไม่นาน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่จะถูกพิมพ์ลงในกระดาษและอาจขึ้นโชว์บนหน้านิตยสารก็เป็นได้




สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ย. 2556, 23:36:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2556, 12:47:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 931





<< สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 7   สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 9 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account