สะพานแห่งคำสัญญา
พายุกับน้ำฝน เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีความแตกต่างกันมากที่สุด ต้องมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อการเรียนและชีวิตวันหยุดของทั้งสองต้องมาข้องเกี่ยวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเฉยชากลายเป็นความสัมพันธ์ กลายเป็นความรัก ความรักที่ยากจะดึงทั้งสองออกจากกัน
Tags: คำสัญญา หนุ่มเกเร สาวเรียบร้อย

ตอน: สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 9

การเรียนมัธยมปีสุดท้ายของผมสิ้นสุดลง สารคดีของเราแม้จะไม่ชนะเลิศ แต่เรายังได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ2มาครอบครอง ต้องยกเครดิตให้น้ำฝนที่เป็นคนเรียบเรียงและเขียนทุกอย่าง สารคดีนั่นทำให้ชีวิต ม.ปลายของผมจบลงอย่างสวยงามกว่าทุกปี

ผมยังคงทำงานสารคดีกับน้ำฝนและเหมียว พ่อกำชับเสมอว่า ต้องทำถ้าอยากพัฒนาฝีมือเพื่อเดินทางสายนี้ ตอนนี้มีคนช่วยไปก่อนก็ไม่เสียหายอะไร เพราะน้ำฝนนั้นเขียนเก่ง ให้ค่อยๆซึมซับไปจนสามารถเขียนได้เอง ผมเลยจำเป็นต้องคลุกคลีตีโมง ทำงานสารคดีละบทความต่างๆกับสองสาวในช่วงปิดเทอมยาวเพราะเราสามคนต่างได้ที่เรียนต่อกันแล้ว
ผมขัดคำสั่งแม่ที่ให้ไปสอบเข้ามหาลัยแม่โจ้ที่เชียงใหม่แล้วไปสมัครมหาลัยใกล้บ้าน เพื่อนสมัย ม.ปลายแยกย้ายกันไปเรียนต่างจังหวัดจนหมด ส่วนสองสาวเรียนมหาลัยแม่ฟ้าหลวง ห่างจากมหาลัยผมไปราวๆ10กิโลเมตร ทีมสารคดีของเรายังอยู่ครบ ถ้าหากจะสรุปอย่างนั้น

จากการทำงานสารคดีด้วยกันบ่อยๆ ความรู้สึกเดิมๆของผมที่มีต่อน้ำฝนมันเริ่มจางหายไป ผมต้องตาม2สาไปเจอพี่นาถ บก.นิตยสารเชิงท่องเที่ยวที่อยู่แถวบ้านผมบ่อยๆ เราต้องทำคอลัมน์เกี่ยวการท่องเที่ยวเชียงรายและเครื่องแต่งกายพื้นเมืองต่างๆ ซึ่งมันเข้ากับงานเรื่องเสื้อผ้าที่พี่นาถทำเป็นอาชีพหลัก พี่นาถมักจะป้อนงานประเภทนี้ให้เรา ส่วนตัวพี่นาถมีอีกทีมคอยเขียนเรื่องอื่นไป ในเล่มมีหลายอย่างให้เลือกอ่านกัน

เสียงโทรศัพท์มือถือปลุกผมจากการนอนแสนสบายทั้งที่ตายังไม่ลืม ผมคว้าโทรศัพท์มาแล้วกดรับมัน
“ครับ อ้าวน้ำฝน มีอะไรหรอ”
“พี่นาถโทรมาตาม วันนี้มีประชุมด่วนอะไรไม่รู้ที่สตูดิโอพี่นาถ”เสียงปลายสายตอบ
“กี่โมง”
“อีกครึ่งชั่วโมง”
ตาของผมที่มันหนักลืมขึ้นทันใด “หะ แล้วตอนนี้อยู่ไหน”
“อยู่กับพี่นาถแล้ว”
ตายห่ะ จะไปทันไหมเนี่ย ผมคิดในใจ ลุกขึ้นขยี้ตา
“พายุ..ฮัลโล”
“ยังอยู่” ผมตอบทั้งๆที่กำลังพยายามดีดตัวออกจากเตียง
“ถ้ามาไม่ไหวก็ไม่ต้องมานะ นอนเถอะ”
ผมเกาหัวกับคำพูดและน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของเธอ พลางคิดในใจ.....แล้วเธอจะโทรมาปลุกฉันทำไม
“สรุปแล้วจะให้ไปไหมเนี่ย”
“พายุ เธออย่าพึ่งหงุดหงิดซิ”
ผมทิ้งร่างลงบนที่นอนอีกครั้ง ถนหายใจเฮือกไล่ความหงุดหงิดที่น้ำฝนบอกออกจากตัว เธอมีพลังอะไรนะ ผมอยากรู้
“แล้วเราเธอจะให้เราออกไปไหม ถ้าให้ไป ก็อาจจะช้าหน่อย”
ปลายสายเงียบไปพักหนึ่ง เอคงใครครวญหาคำตอบอยู่ ผมเองก็รอฟัง นานหนึ่งนาที ยาวนานเหมือนชั่วชีวิต
“มาเถอะ ยังไงก็ต้องคุยงานใหม่อยู่ดี”
“ได้ เดี๋ยวจะออกไป”
ผมกดวางสาย หยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ วันใหม่ของผมเริ่มแล้ว



สตูดิโอของพี่นาถอยู่ห่างจากบ้านผมพอสมควร ต้องใช้เวลาราว10นาทีในการขับมอเตอร์ไซค์ไป เมื่อไปถึง ทุกคนกำลังออกมาพักเบรก บางคนออกมายืนสูบบุหรี่อยู่ตรงลานจอดรถข้างสตูดิโอ ผมแวะทักทายพี่ๆที่ทำงานร่วมกันสักพักก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน พี่นาถกวักมือเรียกเมื่อเห็นผมมาถึง น้ำฝนกับเหมียวนั่งอยู่ที่นั่นด้วย
“พอดีเลยยุ พี่กำลังคุยงานพวกเธอพอดี”
ผมพยักหน้า ยังคงเบลอกับการตื่นเช้ากว่าที่เคย
“พี่นาถอยากให้เราไปทำงานต่างจังหวัดกับพี่นาถ สักวันหรือสองวัน”น้ำฝนรับหน้าที่ชี้แจงด้วยสีหน้าสดชื่น ที่จริงเธอก็สดชื่นทุกวัน ผมพึ่งมาสังเกตเห็นพักหลังๆนี้เอง อีกอย่างที่สังเกตเห็นได้ชัดคือการแต่งตัวที่เปลี่ยนไป เธอใส่ยีนส์น้อยลง ยีนส์คับๆดูเป็นสาวห้าวเริ่มเปลี่ยนเป็นกางเกงผ้าดูสบายหรือไม่ก็กระโปรงยาว ละม้ายคล้ายการแต่งตัวของพี่นาถ
“จะไปที่ไหนครับพี่นาถ กำหนดไว้หรือยัง”
พี่นาถเจ้าของสตูดิโอและบรรณาธิการนิตยสารของเราเอนหลังพิงพนัก ขยับแว่น “จะไปน่าน”
“ขึ้นภูคาเหรอครับ”
“ใช่!! อยู่ในจังหวัดน่านวันนึง แล้วขึ้นภูคา วันต่อมากลับบ้าน”
“ไปกันกี่คน”
“9คน มีพี่ มีแก พี่ฝาง น้ำฝน เหมียว ขึ้นภูคาไปก่อนตอนเย็น ส่วนพวกพี่ขวัญกับไอ้ภูจะลุยข้างล่างแล้วตามเราขึ้นมา พี่แจกงานให้ทุกคนหมดแล้ว ตอนนี้ไปนั่งคุยงานกันซะ มีอะไรก็มาถามละกัน ขอเข้าไปคุยเรื่องงานของสตูดิโอแป๊บนึง”

ผมและสองสาวเพื่อนร่วมงานขอตัวออกมาก่อน เราย้ายที่คุยงานไปร้านนมไม่ห่างจากสตูดิโอเท่า ผมชอบที่นี่เพราะมันเงียบดี และดูเหมือนจะไม่ใช่ผมคนเดียวเสียแล้ว
เราใช้เวลา3ชั่วโมงในการคุยงานและวางแผนทุกอย่างตามหัวข้องานที่พี่นาถกำหนดไว้ให้ ผมเองต้องรับรู้ทุกหัวข้อเอาไว้ถึงแม้ว่าผมจะมีหน้าที่แค่ถ่ายรูปก็ตาม
“เธอเก่งเกินกว่าจะถ่ายรูปอย่างเดียวนะพายุ และถ้าเธอรู้หัวข้อเธอจะทำงานของเธอง่ายขึ้นด้วย”น้ำฝนเคยบอกผมเมื่อหลายเดือนก่อน ผมเลยจำต้องมานั่งฟังสองสาวคุยงานกันและคุยเรื่องของผู้หญิงที่บางเรื่องผมไม่อยากรู้ไปด้วย
การปรึกษางานและการวางแผนเรียบร้อยดี เหมียวมีซ้อมดนตรีไทยกับแม่ของผมเลยขอตัวไปก่อน ทิ้งให้น้ำฝนกับผมคุยงานกันสองคน หากเป็นเมื่อก่อนผมคงนึกแช่งชักหักกระดูกยายเพื่อนบ้านตัวแสบไปแล้ว นี่ดีนะ เพื่อนๆผมส่วนใหญ่กลับบ้าน เตรียมตัวย้ายที่เรียนกันเกือบหมดแล้ว
“เธอเป็นไงบ้าง พายุ”
ผมมองหน้าน้ำฝน ปกติเราก็คุยกันบ่อยและเจอกันทุกวันอยู่แล้ว พักหลังๆนี้
“ก็เหมือนทุกวัน”ผมตอบไป
“เหมือนยังไง”
“ก็มาเจอเธอตอนทำงาน กลับบ้าน เย็นก็คงไปเตะบอลเหมือนเดิม กลางคืนเล่นเกมแล้วก็นอน ไม่เหมือนเดิมตรงไหน”
เธอมองหน้าผม สายตานี้อีกแล้ว สายตากึ่งคาดคั้นกึ่งวิงวอนที่ปราบผมได้วันที่เราไปบ้านอาจารย์ฉกรรจ์ ผมล่ะเกลียดนัก แต่ปฏิเสธไม่เคยจะได้สักที
“มันไม่เหมือนตรงไหนล่ะ”ผมย้อน
เธอยิ้มให้ เธอดูตื่นเต้นและสดชื่น ผมพึ่งสังเกตเห็นว่าเธอเก็บความรู้สึกได้ดี ผมมองเธอด้วยความงง ผมงงจริงๆนะ ผมไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“ในที่สุดพี่นาถก็ไว้ใจเรา พาเราไปทำคอลัมน์ต่างจังหวัดด้วย”
ผมมองเธอ ในใจคิดว่ามันก็ไม่แปลกนี่นา งานชิ้นก่อนๆขอเราล้วนออกมาดี ผมไม่เคยโดนตำหนิเรื่องภาพเลย ผมมีภาพให้พี่นาถเลือกมากพอ อาจเป็นเพราะผมขยันถ่ายก็ได้ ผมเข้าข้างตัวเอง

“เธอยังว่างใช่ไหม วันนี้”น้ำฝนถาม ตาของเธอมองผ่านผมไปยังถนนข้างนอกก่อนจะกลับมาโฟกัสที่ผม
“อืม ยังว่างอยู่ ทำไมเหรอ”
“ไปส่ง ไปร้านหนังสือหน่อย”
“เอ้า!! บ้านเธอก็เป็นเจ้าของร้านหนังสือนี่”
“ฉันจะไปร้านหนังสือเก่าน่ะ”
ผมพยักหน้าตอบรับ “แล้วไมได้เอารถมาเหรอ”
“เหมียวไปรับ ตอนนี้เหมียวไปแล้ว”
แน่ล่ะผมรู้ว่าเหมียวไปแล้ว หายต๋อมไปเลย เจ้าหล่อนกะทิ้งน้ำฝนไว้กับผมชัดๆ ยายเพื่อนบ้านตัวแสบ
“จะไปกันหรือยัง”
เธอพยักหน้า ผมเก็บข้าวของ เดินไปจ่ายเงิน เธอเดินออกไปรอข้างนอกก่อนที่ผมจะเดินมึนๆตามมาสมทบ

ช่วงบ่ายของวันทำงานเป็นวันที่ถนนโล่ง เราใช้เวลาไม่นานในการเดินทางไปร้านหนังสือที่ว่า ถนนในย่านนั้นเต็มไปด้วยรถ มันเป็นร้านหนังสือเก่าที่อยู่มายาวนาน ผมเกิดมาผมก็เห็นร้านนี้อยู่แล้ว มองดดูข้างในไม่ร็เลยว่าหนังสือกับร้านอย่างไหนเก่ากว่ากัน
น้ำฝนเดินเข้าไปในร้าน มุ่งหน้าไปยังมุมวรรณกรรมเก่า หนังสือแต่ละเล่มฝุ่นจับหนาเตอะ แต่เธอไม่สนใจ คว้ามันมาพลิกอ่านอย่างขะมักเขม้น ผมเองคว้านิตยสารฟุตบอลเก่าๆที่ปกเป็นรูปซีดานมาอ่าน ผมเคยเก็บสะสมอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็เลิกไปเพราะโดนแม่บ่นเอา
“พายุ เคยอ่านเรื่องนี้ไหม”
ผมเดินไปหาน้ำฝนที่ยืนชูหนังสือให้ดู คนที่ยืนถือยิ้มน้อยๆ
“ปีกหัก คาลิล ยิบราน”
“อื้ม”
“เคยเห็นที่บ้าน พ่อเอาไปไว้ไหนไม่รู้”
“งั้นฉันซื้อให้เธอ”
“เฮ้ย ไม่เอา เอามาทำไม”
“ให้อ่านไง”
ผมเกาหัว ผมเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเวลาเถียงใครไม่ขึ้น พักหลังก็มีเธอที่คะยั้นคะยอให้ผมอ่านหนังสือตรงหน้านี่แหละ
เมื่อผมเงียบ เธอเลยคว้าหนังสือไปจากมือผม น้ำฝนหยิบหนังสืออีกเล่มหนึ่งตรงไปที่ป้าเจ้าของร้านและจ่ายเงินเรียบร้อยโดยไม่รอคำคัดค้านใดๆของผม

สรุปแล้วผมออกมาจาก้านหนังสือพร้อมกับหนังสือของคาลิล ยิบราน น้ำฝนได้ปัญญาชนก้นครัวมาอ่าน ผมมองหนังสือในมือ มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน หนังสือที่เธอซื้อให้ผมดูหดหู่อย่างไรพิกล แค่ชื่อก็ไม่ชวนอ่านแล้ว ผมว่าพวกนิยายแฟนตาซีหรือนิยายสืบสวนยังมีความน่าดึงดูดใจกว่า ผมมองมันก่อนวางลงในตะกร้า ผมไม่ได้มีความสนใจมันเท่าใดนัก
ผมขี่ไปส่งน้ำฝนที่บ้าน พอจอดรถ พ่อของน้ำฝนก็โผล่หน้ามาจากพุ่มไม้ในสวนหย่อมใกล้ประตูหน้าบ้าน อามนัส พ่อของน้ำฝนเป็นผู้ชายร่างสูง ผมยาวเกือบถึงไหล่ สวมแว่นทรงเดียวกับที่จอห์น เลนนอนใส่ เราเจอกันบ่อยแล้วพักหลังๆ แม้ไม่คุ้นเคยสนิทสนมเท่าลูกชายคนโตของเขา แต่ก็ถือว่ารู้จักพอสมควร
“ไงพายุ ไปไหนกันมาล่ะ”
“ไปคุยงานกับพี่นาถ ครับ”
“เข้ามาก่อนไหม”เจ้าของบ้านชักชวน ในมือยังถือส้อมพรวนแกว่งไปมา
ผมยิ้มและปฏิเสธ พ่อของน้ำฝนหัวเราะ เดินมาเปิดประตูให้ลูกสาวเข้าบ้าน อามนัสมองหนังสือในมือลูกสาวและหนังสือในตะกร้ารถของผม
“ของคาลิล ยิบรานอ่านยากหน่อยนะ แต่เขียนดี”
ผมหันมองหนังสือในตะกร้ารถ รู้สึกประหลาดใจในตัวอามนัส แน่ล่ะ เขาอ่านมาเยอะมากก่อนจะทำธุรกิจร้านหนังสือได้ดีอย่างทุกวันนี้ แว่วๆมาว่าเขาเคยเป็นนักเขียนอยู่ช่วงหนึ่งแต่เลิกไปเพราะมีครอบครัว ผมเริ่มไม่แปลกใจว่าทำไมน้ำฝนถึงมีความสามารถด้านนี้
“ลองไปอ่านดูซิ ยังไม่เคยอ่านใช่ไหมล่ะ”
“ครับ ยังไม่เคยอ่าน”
อามนัสยิ้ม “แล้วเธอจะชอบมัน”
ผมพยักหน้าตอบรับ เราคุยกันอีกพักหนึ่งเรื่องการทำงาน ก่อนที่ผมจะขี่รถออกมา ในใจกำลังนึกเลยไปถึงการเดินทางไปน่านที่กำลังจะมาถึง



สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2556, 02:19:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2556, 02:19:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 894





<< สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 8   สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 10 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account