Sweet Magic เวทมนตร์...รสหวาน
ความฝันที่อยากจะทำร้านขนมหวานครบสูตรของอิศยา ทำให้เจ้าหล่อนยอมหันหลังให้กับชีวิตของครอบครัว...และความฝันสุดยิ่งใหญ่ของเธอจะเกิดขึ้นได้ อิศยาต้องยอมทุ่มเทกายใจเอาชนะกำแพงหนาของป้ณณ์ให้ได้...งานช้างแบบนี้ อิศยาไม่มีทางยอมแพ้เขาเด็ดขาด แล้วจะได้รู้ว่าคนอย่างอิศยารุกรานโลกของเขาได้มากขนาดไหน
Tags: เวทมนตร์,รสหวาน,อิศยา,ปัณณ์,ปวรา

ตอน: กระตุกต่อมโกรธผู้รุกราน

“วางเลยครับ...วันนี้ผมคุม อารมณ์ดี ถ้าเกินกำหนดไม่ต้องจ่ายคืน”

มีคนแบบนี้ในโลกด้วย...ถ้าทำธุรกิจมิเจ๊งหรือ อิศยาที่ยอมกลับเข้ามาในร้านอีกครั้ง ฐานะลูกค้าคนหนึ่งวางหนังสือลง กล่องฟองดูถูกเจ้าปุณณ์ตัวแสบยึดไปเรียบร้อย เดินสะบัดตูดไปพื้นที่หวงห้ามของพี่ชายตัวเอง อิศยานึกอย่างเข่นเขี้ยว...หันกลับมาเผชิญภีม ถามออกไปไม่ให้บรรยากาศเงียบเกินไป

“คือ...คุณปัณณ์เขาไม่มาเหรอคะ”

หนังสือการ์ตูนที่เพิ่งอ่านจบถูกวางลง ขาลดไปที่พื้น คนคุมร้านเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนาอย่างสนใจ “มีอะไรหรือเปล่าครับ...กับเจ้าปั้นน่ะ”

“ไม่นี่คะ” ปฏิเสธ แต่ดันหลบตาคู่สนทนาพัลวัน อิศยาโกหกคนไม่ค่อยเก่ง ยิ่งทางคุณผู้ชายตรงหน้ายังจ้องไม่วางตา “ฉันไม่ได้พบเขามาอาทิตย์หนึ่งแล้วค่ะ เห็นหายหน้าหายตาไปนาน” อยากกัดลิ้นตัวเองที่ไม่รักดี...เธอน่ะคิดถึงเขาด้วยเรื่องเดียวเท่านั้น เรื่องร้านของเธอ
ภีมพยักหน้า เผยรอยยิ้มบางอย่างที่อิศยาอ่านไม่ออก

“ว่าแต่ ผมไม่ใช่ปั้นน่ะสิครับ”

หน้าแบบนี้ คงใช่หรอก...อิศยาเริ่มหัวเสีย อยากจะเข้าเรื่องตัวเองเต็มแก่ แต่เธอก็กลัวตายอยู่...ยิ่งนึก อิศยายิ่งเครียด
คนอย่างเธอ มีแต่ของกินเท่านั้นที่จะเอามาชนะใจคน...

มือเริ่มค้นเป้หยิบกระติกเก็บความเย็น ภายในบรรจุชาอู่หลงจากเมืองจีน ฝีมือชงของเธอเอง แช่ตู้เย็นไว้ นำมาบรรจุใส่กระติกทรงสูง กดรินใส่ฝากระติกยื่นส่งให้ กลิ่นหอมของมินต์ลอยแตะไปถึงจมูกภีม

“ชาอู่หลงกลิ่นมินต์ค่ะ ลองดื่มดูสิคะ” ชูนิ้วโป้งการันตี สีหน้าของเขายังลังเลอย่างเห็นได้ชัด

“ผมไม่ชอบของหวาน”

เกลียดสิไม่ว่า...คนชงชาต่อให้ในใจ นึกหมดแรงกับปฏิกิริยาของภีม คนที่เกลียดขนมหวาน เกลียดไปจนถึงรสหวานด้วยหรือนี่ “ไม่หรอกค่ะ ไม่ได้ใส่น้ำตาล”

ภีมถึงเริ่มยิ้มออก จัดการรับแก้วไปชิดริมฝีปาก รับสัมผัสเย็นชื่นใจ และความสดชื่นยามที่ชามินท์ไหลผ่านคอ ความหวานธรรมชาติไร้การปรุงแต่ง กลิ่นหอมสัมผัสได้จากภายใน

“ฮ่า” ส่งเสียงหน้าปลอดโปร่ง ลดแก้วเปล่าส่งคืน อิศยารีบรินให้ต่อ

เสียงกรุ๊งกริ๊งจากกระดิ่งบนประตูร้านดัง บอกมีคนเข้ามาใหม่ อิศยาหันไปมองคอแทบเคล็ด ดวงตาเบิกโตเหมือนตุ๊กตาหมีกำลังตกใจ การพบเจอกับปัณณ์แบบไม่ทันตั้งตัว ยังมีภีมอีก...

“ไอ้ปั้น น้องเขามาหาแกน่ะ”

คนเพิ่งมาใหม่เลิกคิ้วแปลกใจ ส่งเสียงหึในลำคอ เมื่อรู้ว่ามาหาเขาต้องการอะไร “ก็แค่ผู้รุกรานน่ะ”

“ผู้รุกราน!” คนถูกเรียกผู้รุกรานเริ่มเดือด อยากกลายร่างเป็นหมีจะได้ฟาดมือตะปบปากคนปากดี เธอไม่ได้นั่งยานแม่มาลงสักหน่อย ปากไม่ได้บานกลม หัวยาวแหลม มีอะไรแหลมๆ โผล่มาบนศีรษะอย่างพวกต่างดาว เขาต่างหาก หน้าผากก็กว้าง ตาก็เล็ก จมูกก็โต ปากยังร้ายกาจอีกต่างหาก...เขากับเพื่อน ณ เวลานี้แปลกพอกัน หลุดมาจากโลกของตัวเองทั้งคู่ หาไม่ได้ง่ายๆ บนโลกนี้นักหรอก

และเธอก็เริ่มรู้สึกเกลียดตาปัณณ์นิดๆ ว่าคนอื่นเสร็จ แล้วก็ปล่อยให้เธออารมณ์เหวี่ยง หงุดหงิดต่อไปคนเดียว ผู้ชายคนนี้ช่าง...

“ไหนกุญแจห้อง”

ภีมโยนพวงกุญแจเล็กมีกุญแจอยู่สองดอกส่งตรงมาถึงมือเพื่อนอย่างแม่นยำ “บ้านก็ห่างจากที่นี่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จะมามัวทนอุดอู้อยู่ในห้องหอพักแคบๆ ทำไม น้องชายก็ดันเลือกพักหอใน ไม่มีใครไปอยู่บ้านสักคน”

“กำลังจะทำงานใหญ่ ต้องการใช้สมาธิ”

“งานใหญ่กี่ที รู้สึกจะเกี่ยวกับบริษัทแกตลอด พักนี้ไม่ค่อยได้รับงานจากลูกค้าข้างนอกเลยสิ” ยกน้ำชาขึ้นจิบอีกรอบ สายตาลอบมองเพื่อนกับหญิงสาวเจ้าของน้ำชา คนหนึ่งสีหน้าเหนื่อยหน่ายแค่พูดคำว่างาน กับอีกคนตั้งแต่ถูกเรียกผู้รุกราน หน้าแดงอ่อนๆ ในตอนแรก เริ่มทวีความแดงลามไปถึงหู โกรธติดลมบนเชียว...

“ไม่ได้รับมาพักใหญ่แล้ว งานที่บริษัทวุ่นๆ มาที่นี่ก็แค่พักหัวสมอง จากวันนี้ต้องเตรียมออกแบบงานใหญ่ กลับบ้านก็ไม่มีเวลาคิดหรอก” เหลือบมองสาวหน้าแดง พูดลอยๆ ให้ผู้รุกรานได้ยินชัดเจน “หวังว่าจะไม่มีใครมาระรานโลกของฉันอีก ฉันไม่อยากหนีที่บ้านมาปะทะกับผู้รุกราน”

ภีมหัวเราะ มองคนสองคนที่ดูแตกต่างกันกำลังฟาดฟันกันแบบไม่มีใครยอมใครทางจิตวิญญาณ ‘ผู้รุกราน’ คนนี้คงไม่ธรรมดานักหรอก ไม่อย่างนั้นคงไม่ไปสั่นสะเทือนคนโลกสูงให้ต้องตั้งป้อมใส่

“เดี๋ยวเจอกันวันงานแต่งของพี่โป้งพี่เบน” ยกมือข้างหนึ่งลา คว้าเป้มาสะพาย เตรียมเดินผ่านไป ไม่วายส่งยิ้มสุดหล่อบาดใจ มากระชากใจอิศยา หากไม่ได้อยู่ในอารมณ์โกรธทุกสิ่งบนโลกใบนี้ อิศยาคงยิ้มตอบ ขออ้อนวอนเขาตรงๆ เรื่องร้านโดยไม่กลัวตาย ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ...เธอกำลังอยากฆ่าคน

“ฝากเพื่อนผมด้วยนะครับ เห็นอย่างนี้ มันขี้แกล้ง”

ขี้แกล้ง?...คงจะจริง อิศยายิ้มหยัน หยิบสมุดสเก็ตซ์ภาพจากเป้บนหลังที่เธอเพิ่งจะพกมาด้วย หลังจากไปจัดการทำให้กระดาษเรียบ ตั้งแต่ใช้ผ้าซับความชื้นจากหน้ากระดาษ เอาหนังสือไปแช่ตู้เย็นตามวิธีในอินเตอร์เน็ต เอาออกมาจนมันเรียบเหมือนเดิม ก็ยังไม่พอใจ ใช้กระดาษเอสี่ซับความชื้นทีละแผ่น ต่อด้วยแป้งเด็กราดบนหน้ากระดาษจนสมุดเล่มนี้แห้งสนิท ถึงรอยภาพจะผิดเพี้ยนไปจากเดิม แต่ตัวสมุดไม่ได้ย่นอย่างที่เธอนึกกลัว

พยายามเพื่อมันมาตั้งมาก ขนาดที่สวเนตรยังตั้งคำถามสงสัย

‘หนังสือที่เปียกแล้ว ต่อให้พยายามขนาดไหนมันก็ไม่เหมือนเดิมหรอก พี่ว่าไปบอกเจ้าของเขา แล้วก็ขอโทษก็พอ สมุดเล่มหนึ่งราคาไม่กี่บาท ซื้อมาใช้เขาสักโหลก็ได้’

‘คุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่กระดาษนะพี่สาว มันอยู่ที่ความตั้งใจข้างในต่างหาก ดูสิ ลายเส้นพวกนี้เขาตั้งใจมากนะ’

เธอถอนคำพูดในวันวานคืนทั้งหมดจะยังทันไหม...

“รู้จักภีมแล้วสิ”

อิศยาเห็นผู้ชายที่มีสิทธิ์ขาดที่สุดในการเปิดร้านของเธอขี่มอเตอร์ไซค์จากไปเรียบร้อย รู้สึกตัวเองโง่งี่เง่าที่ยังหวังพึ่งกับคนที่ไม่มีความคิดจะช่วยเหลือ

“ไม่ต้องทำหน้าละห้อยนักหรอก อีกสองอาทิตย์มันก็กลับมา” วาจาเหยียดๆ ฟังน่าระคายหู สะกิดใจอิศยาให้เงยขึ้นมอง รอยยิ้มหยัน เธอมั่นใจว่าเห็นบนหน้าของปัณณ์ชัดเจน “เธออาจจะได้ของฝากจากสิงคโปร์ก็ได้”

สิงคโปร์...แล้วไง ต่อให้เขาอยู่ไทยใช่ว่าจะอนุญาตให้เปิดร้าน ไม่ต่างจากคนๆ นี้หรอก

‘เจอง่ายกว่า แต่ปิดตายยิ่งกว่านะครับ’ เสียงลุงผู้จัดการหอพักลอยมาในความคิด

เขาไม่ได้ปิดตายหรอก ผู้ชายคนนี้ ภาพปิดตายมันเป็นภาพหลอกตา ผู้ชายอย่างปัณณ์ต้องการยั่วโมโหเธอมากกว่า...”ฉันมาคืนสมุดเล่มนี้น่ะค่ะ” จงใจวางกระแทกลงบนโต๊ะ ในใจยังเดือดปุด “สมุดวาดรูปเล่นของคุณ”

“อืม” สั้นๆ และยังมองเธอมานิ่ง “หมดธุระแล้วใช่ไหม ผมจะได้ทำงาน”

ทำไม เขาช่างเฉยเมย เข้าใจยากแบบนี้...อิศยารู้สึกทั้งโกรธและน้อยใจ เขาไม่ถามไถ่เธอสักคำว่าเธอจัดการทำให้เขารับรู้ถึงความต้องการคนที่นี่เพื่อสร้างร้านอย่างไร เธอเสนอหน้ามาหาเรื่องเอง...

“ฉัน...จะไม่ยอมแพ้คุณ” ดวงตามีประกายไฟแล่นพล่าน ความโกรธขับเคลื่อนเป็นเปลวเพลิง “คอยดู ถ้าความฝันฉันไม่เดิน งานของคุณก็ไม่มีวันเดินเหมือนกัน ฉันจะเป็นผู้รุกรานแบบเต็มตัว” เสียงตอนท้ายสั่นเครืออย่างห้ามไม่อยู่ มือสองข้างกำเข้าหาตัวแน่น หยาดน้ำเอ่อคลอด้วยความโกรธ รู้ทั้งรู้ว่าเธอมาพึ่งพาเขาแท้ๆ

“ฉันจะไม่ขอความเห็นใจจากคุณอีก แต่คุณต่างหากที่จะทำเฉยกับความฝันของฉันต่อไปไม่ได้” แสยะยิ้มอย่างเป็นต่อ ทั้งที่หยดน้ำร่วงลงประจานความอ่อนแอในใจ

“ผู้หญิงก็ชอบเรียกร้องความสนใจด้วยน้ำตาทั้งนั้น ถ้าคิดว่าทำให้ผมยอมรับตัวคุณได้ ก็ทำให้เต็มที่ แต่ที่อยู่บนหน้าคุณ” ชี้ไปบนวัตถุเย็นที่ไหลกลิ้งลงมาอีกหยด “ผมไม่ใช่ผู้ชายแพ้น้ำตา”

“หึ...ฉันรู้ดีค่ะ คุณกำแพงน้ำแข็ง” ปาดน้ำตาออกจากบนหน้า เกลียดที่ตัวเองมาอ่อนแอต่อหน้าผู้ชายหัวใจเย็นเฉียบคนนี้ วันนี้เธอขอกลับไปตั้งหลัก เพื่อเตรียมสู้ใหม่ในวันพรุ่งนี้ต่อไป

คว้ากระติกบรรจุน้ำชาของตัวเองกลับสู่อ้อมกอด อะไรที่เป็นฝีมือเธอต่อจากนี้เขาไม่ต้องทานหรอก เธอจะใช้จิตวิทยาเอาชนะหัวใจกระด้างๆ ของปัณณ์เอง อยากเห็นเธอเป็นผู้รุกรานนักก็ได้ ต่อจากนี้ เตรียมรับมือผู้รุกรานอย่างเธอได้เลย มีแรงขับเคลื่อนเป็นความฝันของเธอเอง

กับภีม เธอเองคงไม่กล้าเสี่ยงไปยุ่งวุ่นวายปัญหาหนักอกเรื่องเกลียดของหวานของเขา ระยะเวลาสั้นๆ เธอคงจัดการไม่อยู่ แต่กับผู้ชายที่ชื่อปัณณ์ ถ้าเธอสามารถทำให้เขาอยู่ในกำมือได้ล่ะก็...ชี้ดวงอาทิตย์อยากให้เป็นวีนัสย่อมเป็นวีนัส ชี้พื้นที่ว่างตรงข้ามร้านเช่าหนังสืออยากให้เป็นร้านกาแฟ ย่อมเป็นร้านกาแฟ


คล้อยหลังร่างของอิศยาไป ปัณณ์กลับรู้สึกผิดนิดๆ อย่างช่วยไม่ได้ ถึงปากจะบอกว่าไม่ใช่ผู้ชายแพ้น้ำตา แต่ก็ไม่เคยทำใครร้องไห้เสียน้ำตาต่อหน้าแบบนี้ โดยเฉพาะคนที่ร้องออกมาปราศจากอาการตีโพยตีพาย น้ำตาที่ไหลออกมาเอง ไม่มีการปั้นแต่งแบบนั้น...
ผู้หญิงคนนั้นควรจะรู้ว่าสิ่งที่เธอฝัน มันไม่มีทางเป็นจริงง่ายๆ ในเวลานี้...นึกปลอบใจตัวเองให้มั่นคงดุจกำแพงน้ำแข็งตามที่ผู้รุกรานให้นิยามตัวเขา

“อ้าว ไปไหนกันหมดแล้ว” คนที่ปลีกวิเวกไปจัดการฟองดูเงียบๆ ทำหน้าเหรอหรา มุมปากยังมีคราบช็อกโกแลตติดอยู่

“ไปกินอะไรมา”

“ฟองดู มากินด้วยกันสิ” ผู้ช่วยจำเป็นเริ่มปฏิบัติหน้าที่ วกกลับไปยกกล่องทับเปิลแวร์ออกมา ถ้วยเล็กบรรจุชอกโกแลตเหลวกว่าครึ่งถ้วย มีผลไม้เสียบไม้เหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง

“ไปเอามาจากไหน” ยังไม่กล้าเอาเข้าปาก มองแอปเปิลชิ้นเล็กเสียบไม้ ชุ่มชอกโกแลต มันน่าทานมาก แต่สังหรณ์ว่าจะเป็นฝีมือของผู้รุกราน

“มันสำคัญตรงไหน กินๆ ไปเถอะ อร่อยนะ” รูดองุ่นชุบน้ำสีน้ำตาลหวานข้นเข้าปาก แลบลิ้นออกมาเลียคราบมุมปาก ส่งเสียงอร่อยด้วยการซูดปาก

“สุโค่ยมาก”

ถูกยั่วมากๆ เข้า คนที่ชอบทานของหวานเป็นชีวิตจิตใจ แต่น้อยคนที่จะรู้ยอมตัดสินใจหยิบที่จิ้มขนาดเล็กของแอปเปิลเข้าปาก สัมผัสเย็นกรอบของผลไม้ตัดกับความร้อนของชอกโกแลต รวมถึงรสเปรี้ยวของแอบเปิลยิ่งเด่นชัด สู้ได้สูสีกับรสหวานของชอกโกแลตภายในปาก
ปกติไม่ได้กินขนมหวานบ่อยๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะเกรงใจภีม เพื่อนไม่ใช่แค่ไม่ชอบ แต่อยู่ในขั้นเกลียดรสหวาน ที่มาที่ไปก็เริ่มจากในอดีต สมัยเรียนมัธยมปลาย ผู้ชายตัวอวบอ้วนคนหนึ่งที่วันๆ เอาแต่กินขนมหวาน มีคุณตาคอยตามใจ ไม่ใช่แค่กินอย่างเดียว ภีมยังเก่งถึงขั้นทำกินเองได้ ตาก็จะคอยกินขนมหวานฝีมือของหลานทุกครั้ง แม้ว่าตัวเองจะเป็นโรคเบาหวาน ก็ไม่ยอมบอกให้หลานรู้เพราะกลัวว่าภีมจะรับไม่ได้

แต่ในที่สุดความลับไม่มีในโลก วันที่ตาของภีมอาการหนักขึ้นเพราะน้ำตาลในเลือดสูง จู่ๆ คนแก่ที่กำลังจดจ่ออยู่กับการรับประทานเค้กฝีมือหลานช็อกไปคาเค้ก เข้าโรงพยาบาลด่วน ภีมรู้สึกตัวเองเป็นสาเหตุของอาการป่วยของตา ไม่นานตาก็จากไป เด็กตัวอ้วนกลมจึงเกลียดขนมหวานมาตั้งแต่บัดนั้น พานไปถึงรสหวานของทุกชนิด จากเด็กอ้วนๆ กลายเป็นคนหุ่นดีไปได้
ถ้าเป็นภีมในอดีต ก็คงพุ่งเข้าหาฟองดูนี้เหมือนกัน...

“ย่าเก่งนะ”

“ย่าทำมาให้เหรอ” ถามพาซื่อ ไม่คิดว่าจะเป็นย่าของตนจริงๆ เพราะท่านห่วงสุขภาพร่างกายตัวเองเป็นที่หนึ่ง ไขมัน น้ำตาล แป้ง เลือกได้ก็จะลด ละ เลิก

“ย่า อิศยา ผู้หญิงตาโตๆ หน้าตาน่ารักๆ น่ะ” คนพูดไม่พูดเปล่า จัดการจิ้มฝรั่งชุบชอกโกแลตเข้าปากอีกชิ้น “ผมได้กินมาตลอดอาทิตย์เลย ฝีมือเยี่ยมอย่างนี้พี่น่าจะช่วยเขาหน่อย”

“แปรพักตร์แล้วหรือไง” สีหน้าผ่อนคลายไม่ได้เคร่งเครียดอย่างที่เป็นมา ความขมหวานค่อยๆ ไหลผ่านคอเป็นความรู้สึกที่ดีไม่น้อย
เรื่องฝีมือเขาไม่มีข้อกังขาใดๆ...

แต่ที่ยังไม่ยอมช่วยง่ายๆ เขาอยากจะเห็นความพยายามที่มากกว่านี้...ให้สมกับที่ปีนหลังคาร้านมารุกรานชีวิตเขานั่นแหละ ผู้หญิงอย่างอิศยามีวิธีแปลกๆ เพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการอยู่แล้ว

ตอนนี้คงไม่ได้นอนคลุมโปงร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่หรอกนะ...นึกไปปัณณ์ยิ่งอารมณ์ดี แย่งทับเปิลแวร์มาถือไว้เอง ปุณณ์ประท้วงไม่ทันคนที่รีบหนีไปโลกเล็กๆ ของตัวเองทางหลังร้าน

“กินเยอะแล้วเดี๋ยวอ้วน แบ่งๆ กันอ้วนบ้าง”

โดยไม่ได้รู้ตัวสักนิด ว่าการพบกันไม่กี่ครั้ง มันจะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองรู้จักใครคนหนึ่งได้ดีมากขึ้น...พยายามเก็บทุกรายละเอียดของคนๆ นั้นไปโดยไม่รู้ตัว


อี๋...อิศยาหลับตาเบนหน้าหนีจากซากแบนไร้วิญญาณของน้องสาบส่ง มันยังอยู่ที่เดิม กับมือฆาตกรที่อยู่อีกฟากของห้อง นั่งยองๆ อยู่หน้าหม้อ เปิดแก๊ส ใช้ผลไม้เสียบไม้จุ่มคน เอาเข้าปาก หน้าเคลิบเคลิ้ม

“ย่าไม่เคยพบเจออาจารย์ที่ไหนซกมก ตะกละอย่างพี่สาวเลย” ปิดประตูห้อง อิศยาก็บ่นอย่างเหลืออด เดินข้ามเศษซาก ไปคว้ากระดาษทิชชู่ หลับหูหลับตาเก็บศพน่าอนาถนั้นใส่ถุงพลาสติกเล็กๆ ดึงกระดาษทิชชู่อีกแผ่นโยนใส่ถุงคลุมร่างน้องสาบส่งให้มิดชิดไม่น่าสะอิดสะเอียน ทั้งที่ตอนนี้เธออยากจะเป็นลมล้มตึงขนาดไหน ยังดีกว่าทนมองเห็นแล้วกัน

สวเนตรรับถุงจากน้องสาวที่จงใจโยนใส่หน้า แต่ไม่อยู่ในอารมณ์โกรธ สวเนตรวางลงข้างตัว มุ่งมั่นกับของหวานในหม้อต่อไป

“ฮึ่ย เชื้อโรค สุขอนามัยไม่ผ่าน” สะบัดน้ำจากมือใส่ตัวพี่สาวอารมณ์หมั่นเขี้ยว เธอล้างมือออกมาจากห้องน้ำ พี่สาวของเธอยังไม่ล้างอะไรทั้งสิ้น

“ขอกินหน่อยเถอะ มะรืนจะไม่อยู่”

อิศยาทิ้งตัวนอนคว่ำกับเตียง พูดเสียงอู้อี้ “ไปไหนล่ะ ช่วยพ่อที่ร้านเหรอ”

“ประชดเหรอยะ” รูดผลไม้หกชิ้นหมดในครั้งเดียว เคี้ยวตุ้ยๆ อิศยามองการกระทำของพี่สาว นึกขยาด ต่อไปอะไรที่สวเนตรทำ เธอจะหลีกเลี่ยง

“ติดสัมมนาที่เหนือ ไปอาทิตย์หนึ่ง งานด่วนน่ะ ไปแทนอาจารย์คนอื่น”

“ไม่ต้องซื้อรถด่วนมานะไม่งั้นก็อย่าให้ย่าเห็น เก็บกลิ่นให้มิดชิดด้วยยิ่งดี”

“ตาไปอยู่ตาตุ่มหรือไง รังเกียจอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนขนาดนั้น ยุโรปเขาวิจัย บอกพวกแมลงมีโปรตีนมากกว่าไข่ไก่อีกนะ เขาจะสนับสนุนให้คนของเขากินกันแล้ว” คนเจ้าเนื้อนิดๆ เอาวิชาการข่มสู้

คนเป็นน้องค้อนขวับ ย่นจมูกขัดใจ “ไปกินหนอนเลยไป๊ มากินฟองดูฝีมือย่าทำไม” ยื่นปากงอนๆ

“ฉันจะย้ายสำมะโนทั้งหลายของเธอออกจากห้องนี้”

ปากบางปิดเงียบ หุบสนิทมิดชิดไม่เอ่ยวาจาใดๆ กระทบอีก หันหน้าจมหายไปในหมอน ทุบกำปั้นลงบนหมอนหนุนอย่างแค้นใจไปสามอั้ก ให้ตายสิ ย่าโดนข่มอีกแล้ว แค้นโว้ยยย

หรือพรุ่งนี้เธอจะใส่สลอทในอาหารแก้แค้นสวเนตรดี เอาให้ปากเก่งไม่ไหว ก่อนที่ความคิดในหัวของอิศยาจะค้านทันควัน ถ้าขืนสวเนตรท้องเสีย เธอนั่นล่ะจะต้องโดนข่ม สู้รอให้พี่รีบๆ ไป เธอจะครองห้องเท่ารูหนูนี้ไปได้ตั้งอาทิตย์หนึ่ง เธอต้องไม่แสดงความดีใจออกไปให้สวเนตรหมั่นไส้สินะ

“ในใจนี่คงดีใจที่รู้ว่าฉันไม่อยู่ กะเป็นแมวไม่อยู่หนูร่าเริงใช่ไหม”

ง่ะ เกลียดคนรู้ทัน

“ตะเลงเต่งเต๊งงง...” เสียงเรียกเข้าโหมโรงระนาดเอกกรีดเสียงในความเงียบของห้อง อิศยากดรับ ทั้งที่ความจริงอยากจะนอนพักสักหน่อย แต่รู้ดีว่าเวลานี้ใครกันที่จะโทรเข้ามา

“มีอะไรมารายงานย่า” ถามเสียงเนือย

ปลายสายคือรุ่นพี่ที่ร้านคุณตา เห็นกันมาแต่อ้อนแต่ออด เป็นรุ่นพี่ที่สนิทกันในร้าน จะมีเจนจิราหรือพี่แจน และร้อยกรองหรือพี่กลอน ทั้งสองจะคอยยืนอยู่เคียงข้างเธอเสมอ ถึงตัวอยู่ไกลกัน แต่เธอยังรับรู้ความเป็นไปจากคนทางนั้นผ่านทั้งสองตลอดเวลา

“แย่แล้วน้องย่า” เสียงแหลมเล็กของเจนจิราเปิดประเด็นมาตามสาย “น้องย่าน่าจะรีบกลับมา รู้ไหมว่าทางนี้เกิดเรื่องยุ่งมากๆ ด้วย”
“เรื่องอะไรคะ” ผุดลุกขึ้นนั่ง กระหวัดไปถึงคนในครอบครัว หรือจะมีใครเป็นอะไรแล้วเธอไม่รู้...

“เรื่องพาติชิเย่ใหญ่ประจำร้านที่อาตาว่าไว้ไงคะ กำลังมีน้องอุ่นเป็นตัวเต็งมาแรงในเวลานี้เลยน่ะสิ” เสียงห้าวของร้อยกรองเฉลยความข้องใจของอิศยา คนได้ยินรู้สึกโล่ง มากกว่ามานึกกังวล ไม่ใช่เธอไม่รักร้านคุณตา ร้านที่ทำให้อิศยาเป็นอิศยาในวันนี้ แต่ถ้าหากเธอได้ร้านมาแล้วเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ หรือทำลายความเป็นร้านคุณตาอย่างที่พ่อว่า เธอขอออกมาสร้างร้านของตัวเอง และยกหน้าที่ที่เหมาะสมให้ใครอีกคนที่เธอมั่นใจว่าคนๆ นั้นจะทำได้ดี

ใครๆ ต่างเห็นว่าอิศยาพยายามเพื่อตำแหน่งนี้มาทั้งชีวิต...จนหลงลืมใครอีกคนที่ก้าวมาพร้อมๆ กับเธอ อิศยาว่ามันไม่ยุติธรรมกับพรพิรุณสักนิด ทั้งที่เธอกับพรพิรุณเกิดห่างกันเพียงไม่กี่วัน พรพิรุณเป็นลูกของลุงเธอ ถูกฝึกมาไม่ต่างกัน แต่ทุกคนกลับมองเห็นแค่เธอ

“มันเป็นเรื่องน่ายินดีนะคะ ย่าว่าถึงเวลาที่ทุกคนควรจะเปิดตามองเห็นอุ่นเขาได้แล้ว”

“แต่...หลายคนยังบ่นว่าฝีมือของน้องอุ่นยังสู้น้องย่าไม่ได้นะคะ”

คนได้ยินพรูลมหายใจออกมา ส่ายศีรษะจนผมกระจายเต็มแผ่นหลัง “ย่าเชื่อว่าอุ่นเขาทำได้ดี และดีในแบบของเขา พี่แจนพี่กลอนอยู่กับย่ามากไปต่างหาก” ตอบเจนจิราไปอย่างใจเย็น

“น้องย่าก็รู้ว่าน้องอุ่นไม่ชอบน้องย่า ตอนนี้ก็เหมือนกัน จิกหัวใช้พวกพี่อย่างกับเกิดมาเป็นทาสของนาง เกลียดกันมาแต่ชาติปางไหนก็ไม่รู้” เสียงร้อยกรองเต็มไปด้วยความเหนื่อยใจ บอกสำทับถึงสิ่งที่ทั้งสองต้องการจากใจจริง “น้องย่า พวกเราคิดถึงน้องย่านะ ไม่มีใครทำขนมแล้วรู้ใจกันเท่าน้องย่าหรอก”

“ใช่ ถ้าความฝันของน้องย่าขรุขระไม่สะดวก น้องย่าห้ามลืมพี่สองคนเด็ดขาด พวกพี่พร้อมจะไปช่วยน้องย่าเสมอ”

“ขอบคุณนะคะพี่แจนพี่กลอน...ตอนนี้ย่ากำลังพยายามเพื่อความฝันอยู่เหมือนกัน อีกไม่นานหรอกค่ะ ทุกอย่างที่ย่าฝันต้องเกิดขึ้นจริง”
ภาพผู้ชายใจร้ายปรากฏในความคิดมีเขาถือมีดคอยกรีดภาพฝันของเธอแบบทำลายล้างไม่คิดชีวิต ก่อนจะสร้างฝันได้ เธอต้องเอาชนะใจผู้ชายที่ชื่อปัณณ์ให้ได้เสียก่อน

ปลายสายกล่าวลาไปอย่างอาลัยอาวรณ์ อ้อยอิ่ง บ่นอิดออดว่าต้องกลับไปรองมือรองเท้าของพรพิรุณต่อ อิศยาปลอบใจไปตามสมควร ถามไถ่ถึงบิดามารดาตน ได้ความว่าพวกท่านสบายดีจึงวางสาย

อิศยาเองก็รู้ว่าพรพิรุณก็รอเวลาที่เธอจะเดินออกมาจากร้านนี้นานแล้วเหมือนกัน

“จะเสียเก้าอี้ในร้านของพ่อตัวเองล่ะสิ” สวเนตรนั่งฟังมานาน ถามขึ้นสีหน้าขมวดคิ้วมุ่น “จะปล่อยให้ร้านพ่อตัวเองตกไปเป็นของคนอื่นเหรอ คิดว่าพ่อของเราต้องการอย่างนั้นจริงๆ หรือเขาจะทำไปแค่ประขด”

อิศยานั่งชันเข่า มองรูปบนหน้าจอโทรศัพท์มีรูปครอบครัวของเธอทั้งหกชีวิตยิ้มใส่กล้องอย่างมีความสุข ยกเว้นพรพิรุณที่ทำหน้าเฉยเรียบสนิทนั่งอยู่เกือบตกขอบภาพ “พ่อไม่ประชดหรอก พ่อเอาจริงแน่ถ้าย่าไม่กลับไป ย่าเองก็ว่ามันยุติธรรมดีนะ”

“เฮ้อ...เบื่อจะพูดกับน้องดื้อๆ อย่างเธอแล้ว”


..........................................................................................................................................................
มาเช้าๆ ที่บ้านอากาศกำลังเย็นสบายเพราะฝนเลยค่า :)

คุณ Sugar ขอบคุณค่า อย่าลืมมาหวานกันต่อนะคะ :)

คุณ icewinter พี่ภึมเป็นใครน้อ ฮาา เพื่อนตาปัณณ์ค่ะ ตอนก่อนปีนหลังคามีพูดถึงอยู่ อิอิ

คุณ ariesleo มาตามสัญญา อิอิ

ขอบคุณคนที่อ่านทุกคนค่า เจอกันตอนหน้า ^_^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.ย. 2556, 07:22:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.ย. 2556, 07:22:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1525





<< พบบุคคลไม่คาดฝัน   การพิสูจน์ฝีมือ >>
icewinter 20 ก.ย. 2556, 09:32:11 น.
มาอ่านแต่เช้าค่ะ เอาใจช่วยนางเอกให้ได้เปิดร้านอย่างที่หวังนะคะ


ariesleo 20 ก.ย. 2556, 12:09:07 น.
สู้ๆ มารอลุ้น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account