ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก (สนพ.กรีนมายด์) วางแผงเร็วๆ นี้
เมื่อย่างเข้าสู่วัยเบญเพสมักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งอาจจะมีทั้งดีและร้าย แต่สำหรับ ’กานต์พิชชา’ การได้พบกับวิญญาณของ ‘ศิวา ศิโรรัตน์’ ดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของสาวๆ ทั้งประเทศ เธอไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะว่าเขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับน่ารักเสียจนเธอเผลอหลงรักวิญญาณเข้าเต็มเปา แล้วกานต์พิชชาควรจะจัดการกับหัวใจของตัวเองยังไงดี เพราะคุณวิญญาณรูปหล่อคอยวนเวียนตามป่วนหัวใจแถมหึงหวงเธออยู่ตลอดเวลา
“ผมหึงคุณหึงมาก ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาใกล้ชิดคุณ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพูดถึงผู้ชายคนไหนต่อหน้าผมด้วย” พูดจบศิวาก็ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าสวยคมของคนที่กำลังมองสบตาเขาอย่างงุนงงทันที
กานต์พิชชายืนนิ่งตะลึงงัน เมื่อริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มประทับลงมาบนกลีบปากบางของเธอ ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะโปร่งแสงเป็นเพียงวิญญาณที่ไร้เลือดเนื้อ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่หญิงสาวกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนนุ่มนวล และเจือปนไปด้วยความอ่อนหวานที่ค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ก่อนจะลามไปทั่วร่างระหงราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นของเจ้าของรอยจูบนั้น
แต่ความรักครั้งนี้จะสมหวังได้อย่างไร ถ้าเขายังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ศิวาต้องไขปริศนาความทรงจำที่หายไป และหาวิธีกลับเข้าร่างของตัวเองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ชายหนุ่มจะทำได้หรือไม่ และความรักของทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร มาร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้คนทั้งคู่ได้ใน ‘ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก’

***เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้ว ขอลงให้อ่านแค่ครึ่งเรื่องคือ 12 ตอนนะคะ ส่วนครึ่งเรื่องที่เหลือรบกวนติดตามอ่านต่อในเล่มค่ะ จะวางแผงสิ้นเดือนกันยายนนี้แล้วค่ะ***
Tags: กุ๊กกิ๊ก,หวานแหวว,แฟนตาซี

ตอน: ตอนที่ 3

เมื่อกานต์พิชชาจูงมือปราณปรียาก้าวเข้าไปภายในบ้าน เธอก็เห็นเพื่อนรักเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจเมื่อมองเห็นร่างโปร่งแสงของศิวานั่งอยู่บนโซฟาภายในห้องรับแขก ก่อนที่ปราณปรียาจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบธรรมดาโดยไม่มีอาการตกอกตกใจแต่อย่างใด สมกับเป็นคนมีประสาทสัมผัสที่หกซึ่งสามารถมองเห็นสิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติได้ แถมยังมีดีกรีเป็นถึงลูกสาวของนักพยากรณ์ชื่อดังว่า

“ฉันได้ยินข่าวอุบัติเหตุแล้วตั้งแต่เมื่อคืน แล้วเค้ามาอยู่ที่นี่กับเธอได้ยังไงกันตอง?”

กานต์พิชชาเห็นศิวาขมวดคิ้วเข้มของเขา ในขณะที่มองดูเพื่อนรักของเธอด้วยแววตาประหลาดใจ ก่อนที่เขาจะถามเธอว่า

“เพื่อนคุณมองเห็นผมจริงๆ เหรอครับ?”

“ใช่ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะแนะนำให้ชายหนุ่มรู้จักกับปราณปรียา

“คุณศิวา นี่ปราณปรียา หรือ ฝ้าย เพื่อนรักของฉันเอง เค้ามีประสาทสัมผัสที่หก แล้วก็ถ้าคุณรู้จักนักพยากรณ์ชื่อดังที่ชื่อ ปานดาว นั่นแหละค่ะแม่ของฝ้าย”

“อ๋อ...ผมเคยได้ยินชื่อคุณปานดาว แล้วก็เคยเห็นท่านออกรายการทีวีเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยเจอตัวจริงเลย ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณฝ้าย” ศิวาพูดกับปราณปรียา หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะพูดว่า

“เช่นกันค่ะคุณศิวา เอาล่ะไหนเธอเล่ามาซิตอง ว่าไปยังไงมายังไง ทำไมคุณศิวาถึงมาอยู่ที่บ้านเธอได้”

ท้ายประโยคปราณปรียาหันมาถามกานต์พิชชา หญิงสาวจึงเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนให้เพื่อนรักฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ก่อนจะสรุปในตอนท้ายว่า

“เพราะว่าฉันมองเห็น แล้วก็สามารถพูดคุยด้วยได้ คุณศิวาก็เลยตามฉันมาที่นี่”

“ผมไม่เข้าใจเลย ในเมื่อผมตายแล้ว ทำไมถึงยังไม่มียมทูตมารับวิญญาณผมไปล่ะครับ?” ศิวาพูดขึ้นบ้าง

ปราณปรียานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายด้วยสีหน้าครุ่นคิดว่า เรื่องที่ยังไม่มียมทูตมารับวิญญาณของศิวาไปเธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่มารดาของเธอเคยเล่าให้ฟังว่าถ้าหากดวงวิญญาณของคนตายยังวนเวียนอยู่ในภพภูมิของมนุษย์ไม่สามารถไปสู่สุขคติได้ ก็อาจจะเป็นเพราะว่าดวงวิญญาณดวงนั้นเสียชีวิตอย่างกะทันหันไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว หรือไม่ก็เพราะว่าดวงวิญญาณนั้นยังมีห่วงกังวลทำให้ไปสู่สุขคติไม่ได้ ซึ่งศิวาอาจจะอยู่ในกรณีนี้ก็ได้ เพราะว่าเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตอย่างกะทันหัน

“แล้วเธอพอจะมีวิธีช่วยคุณศิวาได้บ้างรึเปล่าฝ้าย ถ้าดวงวิญญาณของคุณศิวายังไปสู่สุขคติไม่ได้ ก็หมายความว่าดวงวิญญาณต้องวนเวียนอยู่แบบนี้เหรอ?” กานต์พิชชาถามขึ้นเมื่อฟังเพื่อนรักอธิบายจบ พลางคิดอยู่ภายในใจอย่างมีกังวลว่าถ้าหากดวงวิญญาณของศิวายังไม่ไปสู่สุขคติ เขาก็คงจะวนเวียนอยู่ภายในบ้านเธอไม่ยอมไปไหนอย่างแน่นอน ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับเธอเลยสักนิดที่จะมีผีมาอยู่ร่วมบ้านด้วย

“เรื่องแบบนี้มันค่อนข้างซับซ้อนนะ ฉันคิดว่าเราคงต้องไปปรึกษากับแม่ฉัน ให้แม่ฉันช่วยจะดีกว่านะตอง” ปราณปรียาตอบ หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ถ้าอย่างนั้นเราก็รีบไปหาแม่เธอที่บ้านเลยดีกว่าฝ้าย จะได้รีบหาทางช่วยคุณศิวาไง” กานต์พิชชาบอก พลางหันไปคว้ากระเป๋าสะพายมาคล้องไหล่แล้วทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วหญิงสาวก็ต้องชะงักเมื่อปราณปรียาบอกว่าคุณปานดาวไม่อยู่เพิ่งเดินทางไปฮ่องกงเมื่อคืนนี้อีกหนึ่งอาทิตย์จึงจะเดินทางกลับมาเมืองไทย ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ในขณะนี้ก็คือรอคอยคุณปานดาวเดินทางกลับมาเท่านั้น

“อีกตั้งเจ็ดวันกว่าแม่ของฝ้ายจะกลับมา ถ้าอย่างนั้นระหว่างนี้ฉันว่าคุณกลับไปรออยู่ที่บ้านของคุณดีกว่านะคุณศิวา ครบกำหนดแล้วคุณค่อยกลับมาที่บ้านฉัน” กานต์พิชชาหันไปบอกกับผีหนุ่มที่ดูยังไงเขาก็ไม่น่ากลัวสักนิด ขนาดเป็นผีแล้วยังหล่อละลายใจสาวๆ ได้สบายเลย หากแต่ศิวากลับถามว่า

“ผมขออนุญาตอยู่ที่บ้านคุณไม่ได้เหรอ?”

“อะไรนะ?!!!” กานต์พิชชาร้องอุทานเสียงหลง ในขณะที่ปราณปรียาเลิกคิ้วโก่งเรียวขึ้นทันที พลางมองดูผีหนุ่มรูปหล่อด้วยความประหลาดใจ

“ก็แล้วทำไมคุณจะต้องมาอยู่ที่บ้านฉันด้วยล่ะ?” กานต์พิชชาถาม

“ก็ผมบอกคุณแล้วไง ว่าผมกลับไปที่บ้านก็ไม่มีใครมองเห็นผม ไม่มีใครพูดคุยกับผมได้ อย่างน้อยอยู่ที่นี่ผมก็ยังมีคุณเป็นเพื่อนคุยได้” ศิวาตอบ

“แต่ฉันว่าคุณกลับไปอยู่ที่บ้านของคุณจะดีกว่านะคุณศิวา” กานต์พิชชาบอกชายหนุ่ม แต่แล้วหญิงสาวก็ถึงกับเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง เมื่อได้ยินศิวาหันไปโอดครวญขอความเห็นใจกับเพื่อนรักของเธอว่า

“คุณฝ้ายดูเพื่อนคุณฝ้ายสิครับ ใจร้ายมาก ไม่สงสารผมเลย ผมขออยู่ที่นี่แค่เจ็ดวันก็ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ผมไม่มีที่ไป แล้วก็แค่อยากจะมีเพื่อนคุยเท่านั้นเอง”

“นี่คุณ! เรื่องอะไรคุณต้องมาว่าฉันใจร้ายด้วย?” กานต์พิชชาถามเสียงเข้ม

“ก็คุณใจร้ายจริงๆ นี่ คุณไม่ยอมให้ผมอยู่ที่นี่ด้วย แต่จะไล่ให้ผมไปเป็นผีเร่ร่อนไม่มีที่ซุกหัวนอน แล้วถ้าเผื่อผมไปเจอพวกผีอันธพาลรุมทำร้ายผมจะทำยังไง คุณไม่สงสารผมบ้างเหรอ?” ศิวาต่อว่าหญิงสาวยืดยาวพลางทำหน้าตาละห้อยอย่างหน้าสงสาร
ทำเอากานต์พิชชาถึงกับยืนอึ้งไปครู่หนึ่ง เพราะเธอไม่รู้ว่าควรจะฉุนหรือควรจะขำดี เมื่อได้ยินผีหนุ่มรูปหล่อพูดออกมาเป็นฉากๆ อย่างกับกำลังแสดงละคร ส่วนปราณปรียาน่ะหัวเราะไปเรียบร้อยแล้ว กานต์พิชชาส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจพลางพูด

“คุณคิดได้ยังไงของคุณเนี่ย ผีอันธพาลรุมทำร้ายเนี่ยนะ นี่มันไม่ใช่ในละครที่คุณเคยเล่นนะ ที่จะมีพวกผู้ร้ายมารุมทำร้ายพระเอก แล้วฉันก็ไม่ได้ไล่ให้คุณไปเป็นผีเร่ร่อนด้วย แต่ฉันให้คุณกลับไปอยู่ที่บ้านของคุณต่างหาก”

“แต่ผมยังไม่อยากกลับไปที่บ้านตอนนี้นี่ครับ ถ้าต้องกลับไปเห็นคุณพ่อคุณแม่ของผมต้องเศร้าเสียใจเพราะว่าผมตาย ผมคงจะทนไม่ได้ ให้ผมอยู่ที่นี่เถอะนะคุณ แค่เจ็ดวันเท่านั้นเอง ผมขอร้องนะครับ” ศิวาพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเศร้าๆ

ปราณปรียารู้สึกเห็นใจศิวาจึงช่วยขอร้องกานต์พิชชาให้วิญญาณของเขาอาศัยอยู่ที่นี่จนกว่าคุณปานดาวมารดาของเธอจะกลับมา กานต์พิชชาพยายามบ่ายเบี่ยงโดยเสนอว่าให้ศิวาไปพักอยู่ที่บ้านของปราณปรียาน่าจะดีกว่า เพราะเพื่อนรักของเธอก็สามารถมองเห็นและพูดคุยกับเขาได้เหมือนกัน

แต่ปราณปรียาให้เหตุผลว่าที่บ้านของเธอมีผู้คนค่อนข้างพลุกพล่าน ถ้าหากมีใครเห็นวิญญาณของศิวาเข้าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน เพราะเมื่อมีคนร่ำลือว่าเห็นผีก็จะมีคนไปหาพระหาหมอผีมาจัดการกับวิญญาณ ดังนั้นควรให้ศิวาพักอยู่ที่นี่จะเป็นการดีที่สุด เพราะว่ากานต์พิชชาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น

“ก็เพราะว่าฉันอยู่บ้านคนเดียวน่ะสิ ฉันถึงให้เค้าอยู่ด้วยไม่ได้ ถึงยังไงเค้าก็เป็นผู้ชายนะฝ้าย” กานต์พิชชาเผลอโพล่งออกมา ซึ่งก็ทำให้ปราณปรียาและศิวาถึงกับมองหน้าหญิงสาวอย่างอึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองจะหันมามองหน้ากัน แล้วก็พากันหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

“โธ่! ตอง ถึงคุณศิวาเค้าจะเป็นผู้ชาย แต่เค้าก็ทำอะไรเธอไม่ได้หรอกนะ เธอไม่เห็นต้องกังวลเลย”

ปราณปรียาพูดยิ้มๆ ก่อนที่ศิวาจะแกล้งพูดหน้าตาเฉยว่า

“ผมไม่ใช่ผีลามกนะคุณก้านตอง แล้วต่อให้ผมยังเป็นคนอยู่ ผมก็ขอยืนยันว่าผมไม่มีทางคิดจะทำมิดีมิร้ายกับคุณเด็ดขาด เพราะว่าคุณไม่ใช่ผู้หญิงในสเป็คของผมเลย”

“ฉันรู้แล้วล่ะน่า ว่าหน้าตาฉันมันไม่สวยเหมือนพวกดาราสาวๆ ที่อยู่รอบตัวคุณ ไม่ต้องมาซ้ำเติมกันหรอก” กานต์พิชชาพูดพลางค้อนชายหนุ่มอย่างหมั่นไส้

“ตกลงว่าเธอให้คุณศิวาอยู่ที่นี่เถอะนะตอง นึกซะว่ามีเพื่อนมาพักอยู่ด้วยหนึ่งอาทิตย์ไง” ปราณปรียาพูด ก่อนที่ศิวาจะรีบเสริมขึ้นอีกว่า

“ผมรับรองเลยนะครับ ว่าถ้าคุณให้ผมอยู่ที่นี่ด้วย ผมจะไม่ทำให้คุณเปลืองน้ำ เปลืองไฟ และเปลืองอาหารเลย”

“ชิ! เป็นผีแล้วจะมาทำให้ฉันเปลืองน้ำ เปลืองไฟ เปลืองอาหารได้ยังไงกัน พูดมาได้” กานต์พิชชาบ่นพึมพำ

“ถ้าอย่างนั้นระหว่างที่ผมอยู่ที่นี่กับคุณ ตอนกลางคืนเวลาที่คุณนอนหลับ ผมจะช่วยดูแลบ้านให้คุณเป็นการตอบแทนด้วยดีไหมครับ?” ศิวายื่นข้อเสนอมาอีก

“ให้คุณศิวาเค้าอยู่ที่นี่เถอะน่าตอง การที่เธอมีเมตตาให้ความช่วยเหลือคุณศิวาที่กำลังเดือดร้อน ถือว่าเธอได้สร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเองด้วยนะ” ปราณปรียาพูดขึ้นอีก กานต์พิชชานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า

“ก็ได้...ฉันจะให้คุณอยู่ที่นี่คุณศิวา”

“ขอบคุณมากครับ ผมสัญญาว่าผมจะทำตัวดีๆ ไม่สร้างความรำคาญให้คุณเด็ดขาด ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับเพื่อนร่วมบ้านคนใหม่” ศิวาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางดีอกดีใจ พลางก้มศีรษะเป็นการฝากเนื้อฝากตัวกับหญิงสาว

ในขณะที่ปราณปรียาก็พลอยยิ้มอย่างโล่งอกไปด้วย กานต์พิชชามองค้อนชายหนุ่มอย่างหมั่นไส้ในท่าทางของเขา พลางบอกตัวเองอยู่ภายในใจว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอต้องทำใจว่า เธอจะมีผีร่วมบ้านที่ชื่อว่า ศิวา ศิโรรัตน์ อยู่ในบ้านด้วยเป็นเวลาถึงหนึ่งอาทิตย์ จากนั้นปราณปรียาก็ขับรถไปส่งกานต์พิชชาที่ร้านเบเกอรี่ โดยมีศิวาตามไปด้วย

“ขอบใจเธอมากนะฝ้ายที่มาส่งฉัน” กานต์พิชชาบอกกับเพื่อนรัก เมื่อเปิดประตูรถก้าวลงไปยืนข้างล่างเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ศิวาพาร่างโปร่งแสงของเขาเดินทะลุผ่านประตูรถด้านหลังลงมายืนยิ้มอยู่ข้างๆ เธอ

“จ้า ไม่เป็นไร ฉันไปล่ะนะ” ปราณปรียาบอกก่อนจะขับรถออกไปจากหน้าร้านเบเกอรี่ของกานต์พิชชา เมื่อรถของเพื่อนรักแล่นออกไปจนลับตาแล้ว หญิงสาวจึงหมุนตัวเดินขึ้นบันไดร้านไป โดยมีผีหนุ่มรูปหล่อเดินเคียงข้างมาด้วย

“คุณทำงานเป็นพนักงานในร้านนี้เหรอครับ?”

“ฉันเป็นเจ้าของร้านนี้ต่างหากล่ะ” กานต์พิชชาตอบ

“ฮะ?!!! คุณเป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่เหรอ เหลือเชื่อชะมัดเลย” ศิวาอุทาน ก่อนจะพูดด้วยท่าทางประหลาดใจสุดขีด กานต์พิชชาชะงักมือที่กำลังจะผลักประตูร้านก้าวเข้าไป แล้วหันมาถามคุณผีรูปหล่อเสียงขุ่นว่า

“ทำไม หน้าตาอย่างฉันไม่มีราศีพอจะเป็นเจ้าของร้านเบเกอรี่ได้รึไง?”

“ก็เปล่านี่ ผมยังไม่ได้พูดย่างนั้นซะหน่อย หึๆ” ศิวาพูดจบก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะเดินทะลุผ่านประตูกระจกเข้าไปภายในร้านก่อนหญิงสาว ทิ้งให้กานต์พิชชายืนมองมองพลางบ่นพึมพำตามหลังเขาอยู่คนเดียวว่า

“กวนประสาทได้อีกนะคุณผี พูดแล้วหัวเราะส่งท้ายแบบนี้มีเจตนาแอบแฝงชัดๆ”

พอกานต์พิชชาผลักประตูร้านก้าวเข้าไป พราวตา ปรางทิพย์ และ มนตรา ก็ส่งเสียงทักทายมาเหมือนทุกวันทันที หญิงสาวจึงทักทายทั้งสามสาวกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ในขณะที่ศิวากำลังเดินสำรวจไปรอบๆ ร้านของเธออย่างสนใจ

“เมื่อกี้คุณตองยืนบ่นอะไรอยู่ที่หน้าร้านเหรอคะ?” ปรางทิพย์ถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย

กานต์พิชชาขมวดคิ้วโก่งเรียวด้วยความงุนงง ในขณะที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หลังเคาเตอร์พลางปฏิเสธว่าเธอไม่ได้บ่นอะไร แต่ปรางทิพย์กับมนตราก็ยังยืนยันว่าเห็นกานต์พิชชายืนพูดอยู่คนเดียวที่หน้าร้านจริงๆ หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเหลือบไปเห็นศิวาซึ่งกำลังเดินตรงมาหาเธอ กานต์พิชชาก็นึกขึ้นได้ทันทีว่าเมื่อครู่ทั้งสองสาวคงจะเห็นตอนที่เธอกำลังพูดอยู่กับศิวาอยู่นั่นเอง

“อ๋อ...คือ...เมื่อกี้ตองกำลังบ่นตัวเองที่ลืมปิดไฟในห้องนอนนะจ้ะ”

ในที่สุดหญิงสาวก็สามารถหาคำตอบให้กับทั้งสองสาวจนได้ และเริ่มเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรเมื่อคืนนี้ตอนที่เธอยืนคุยอยู่กับศิวาตรงริมถนน ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงได้พากันมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ ที่แท้ก็เพราะว่าพวกเขามองไม่เห็นศิวา ทุกคนจึงเห็นว่ากานต์พิชชากำลังยืนพูดอยู่คนเดียวนั่นเอง และทุกคนที่นี่ก็เช่นกันไม่มีใครมองเห็นศิวา ซึ่งต่อไปเธอจะต้องระวังให้มากกว่านี้เวลาที่พูดคุยกับคุณผีดารารูปหล่อ ไม่อย่างนั้นใครต่อใครต้องคิดว่าเธอเป็นบ้าแน่ๆ ที่ยืนพูดอยู่คนเดียว กานต์พิชชาบอกกับตัวเองอยู่ในใจ

พราวตาถามกานต์พิชชาว่าเมื่อคืนเธอเดินทางกลับถึงบ้านตอนกี่ทุ่ม หญิงสาวจึงตอบอีกฝ่ายว่าประมาณสามทุ่มเศษเนื่องจากรถติดมาก เพราะว่าคุณศิวาเกิดอุบัติเหตุรถชนอยู่บริเวณนั้นพอดี

“เฮ้อ! พูดแล้วก็น่าสงสารคุณศิวานะคะ ไม่น่ามาเกิดอุบัติเหตุแบบนี้เลย” ปรางทิพย์พูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ ก่อนที่มนตราจะเสริมขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าพอกันว่า

“นั่นสิ คุณศิวาโชคร้ายจริงๆ เห็นในข่าวบอกว่าปีนี้คุณศิวาอายุยี่สิบห้าปี ย่างเข้าวัยเบญจเพสก็เลยมีเคราะห์”

“คำโบราณท่านถึงบอกเอาไว้ ว่าคนอายุย่างเข้าวัยเบญจเพสต้องระวังตัวให้ดี เพราะถ้าดวงดีก็จะดีมาก แต่ถ้าดวงไม่ดีก็จะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับตัวเอง” พราวตาพูด

กานต์พิชชามองดูใบหน้าเศร้าๆ ของปรางทิพย์กับมนตราอย่างเข้าใจ เพราะรู้ดีว่าทั้งสองสาวเป็นแฟนคลับที่เหนียวแน่นของศิวา เมื่อดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจตัวเองต้องมาเสียชีวิตลงอย่างกะทันหันเพราะอุบัติเหตุแบบนี้ ทั้งสองก็คงจะเสียใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“คุณสองคนนี้เป็นแฟนคลับผมรึเปล่าครับ?” ศิวาซึ่งขณะนี้กำลังยืนหันหลังพิงเคาเตอร์อยู่ข้างๆ กานต์พิชชาถามขึ้น หญิงสาวพยักหน้าแทนการรับคำชายหนุ่มก่อนจะหันไปพูดแสดงความเสียใจกับปรางทิพย์และมนตราเรื่องที่ศิวาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทำให้ทั้งสองสาวถึงกับทำเบิกตากว้าง ก่อนที่ปรางทิพย์จะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจว่า

“คุณตองไปเอาข่าวว่าคุณศิวาตายมาจากที่ไหนกันคะ?”

“จริงด้วยค่ะ ก็เมื่อตอนเช้า ก่อนที่คุณตองจะมาถึงร้าน รายการข่าวบันเทิงเค้าเพิ่งจะถ่ายทอดสดข่าวที่คุณหมอเจ้าของไข้กับคุณแม่ของคุณศิวาออกมาแถลงข่าวแล้วก็ให้สัมภาษณ์ บอกว่าตอนนี้อาการของคุณศิวาพ้นขีดอันตรายแล้ว เพียงแต่ยังไม่ฟื้นเท่านั้นเองค่ะ คุณศิวายังไม่ตายนะคะคุณตอง” มนตราเสริม

“อะไรนะ?!!!” กานต์พิชชาและศิวาประสานเสียงร้องอุทานขึ้นมาพร้อมๆ กัน แต่แน่นอนว่าทุกคนได้ยินเพียงแค่เสียงของหญิงสาวเท่านั้น ในขณะที่ศิวายังคงพึมพำพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงดีใจผสมงุนงงว่า

“ผมยังไม่ตายจริงๆ เหรอ ถ้าผมยังไม่ตายแล้วทำไมผมถึงกลายเป็นผีแบบนี้ล่ะ?”

“นั่นสิ ถ้าคุณยังไม่...” กานต์พิชชาชะงักคำพูดที่กำลังพูดกับศิวาเอาไว้เท่านั้น เมื่อเหลือบไปเห็นว่า พราวตา ปรางทิพย์ และมนตรากำลังมองเธออยู่ หญิงสาวจึงรีบทวนถามปรางทิพย์กับมนตราซ้ำอีกครั้งว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าที่ว่าศิวายังไม่เสียชีวิต ซึ่งทั้งสองสาวก็พากันยืนยันหนักแน่นว่าเป็นเรื่องจริงโดยมีพราวตาที่ได้ดูข่าวเมื่อเช้าช่วยยืนยันอีกคน

“มันหมายความว่ายังไงกัน ผมไม่เข้าใจเลย” ศิวาพึมพำพลางมองหน้ากานต์พิชชาอย่างขอความเห็น แต่หญิงสาวก็กำลังอยู่ในอาการงุนงงเหมือนกัน เพราะถ้าหากว่าศิวายังไม่ตายจริงๆ แล้วเธอควรจะเรียกร่างโปร่งแสงของเขาที่เธอมองเห็นอยู่ในขณะนี้ว่าอะไรดี

กานต์พิชชาขยับลุกขึ้นยืนพลางบอกกับสามสาวว่าเธอจะเข้าไปทำขนม แล้วพยักหน้าให้ศิวาตามเธอเข้าไปภายในห้องทำขนม จากนั้นหญิงสาวก็รีบโทรศัพท์ไปหาเพื่อนรักทันที พอปราณปรียารับสายกานต์พิชชาก็เล่าเรื่องที่รู้จากปรางทิพย์กับมนตราให้อีกฝ่ายฟังทันที พร้อมทั้งถามเพื่อนรักว่าถ้าหากศิวายังไม่ตายแล้วทำไมเขาจึงกลายเป็นผีแบบนี้

ปราณปรียาตอบกลับมาว่ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว พร้อมทั้งอธิบายให้กานต์พิชชาฟังว่าจากข้อมูลเท่าที่เธอหาได้ในขณะนี้ ถ้าหากร่างกายของศิวายังมีลมหายใจอยู่ก็หมายความว่าเขายังไม่ตายและไม่ใช่ผี ดังนั้นศิวาจึงน่าจะอยู่ในกรณีที่เรียกกันว่าวิญญาณหลุดออกจากร่างมากกว่า

“วิญญาณหลุดออกจากร่างงั้นเหรอ?” กานต์พิชชาทวนถามด้วยความตกใจแกมประหลาดใจ

“ใช่...วิญญาณหลุดออกจากร่าง แล้ววิญญาณคุณศิวาก็ควรจะรีบกลับไปเข้าร่างของตัวเองโดยเร็วที่สุดด้วย ไม่อย่างนั้นเค้าอาจจะต้องตายจริงๆ ถ้าหากทิ้งร่างกายตัวเองเอาไว้นานเกินไป” ปราณปรียาบอกมาอีกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะเอ่ยขอตัวกับกานต์พิชชาไปต้อนรับลูกค้าวีไอพีพร้อมทั้งบอกว่าจะคุยรายละเอียดเรื่องนี้กับเธอและศิวาอีกครั้งในตอนเย็น

เมื่อกานต์พิชชาวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ศิวาก็ถามทันทีว่าปราณปรียาพูดว่าอย่างไรบ้าง หญิงสาวเรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าเรื่องที่ปราณปรียาบอกกับเธอเมื่อครู่ให้ชายหนุ่มฟังอย่างละเอียด ศิวาดีใจมากเมื่อรู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย แต่เพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น เพราะปัญหาที่ตามมาก็คือเรื่องที่เขาจะต้องกลับเข้าร่างให้ได้โดยเร็วที่สุดตามที่ปราณปรียาบอก ซึ่งศิวายังไม่รู้เลยว่าเขาควรจะทำอย่างไรจึงจะสามารถกลับเข้าร่างตัวเองได้

กานต์พิชชาปลอบใจชายหนุ่มว่าปราณปรียาจะต้องมีวิธีช่วยเหลือเขาได้อย่างแน่นอน พร้อมทั้งบอกว่าตอนนี้เขาควรจะสบายใจที่ได้รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ไม่ได้เสียชีวิตแล้วกลายเป็นผีอย่างที่เข้าใจในตอนแรก คำปลอบใจของหญิงสาวทำให้ศิวามีท่าทางสบายใจขึ้นมากและยิ้มออกมาได้ในที่สุด

เมื่อเห็นว่าศิวามีท่าทางสบายใจขึ้นแล้วกานต์พิชชาจึงขอตัวทำขนมเค้ก พร้อมทั้งบอกกับชายหนุ่มว่าถ้าหากเขาอยากจะนั่งเล่นหรือว่าเดินเล่นอยู่ภายในร้านของเธอก็เชิญตามสบาย แต่ศิวากลับเอียงใบหน้าหล่อเหลามองหญิงสาวอย่างเก๋ไก๋ ก่อนจะถามขึ้นด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และแววตาซุกซนเหมือนเด็ก

“ผมขออนุญาตอยู่ดูคุณทำขนมในนี้ได้รึเปล่า?”

“คุณไม่เชื่อว่าฉันจะทำขนมได้จริงๆ ล่ะสิ ก็ได้...ถ้าคุณอยากจะดูฉันแสดงฝีมือฉันก็ไม่ขัดศรัทธาหรอกคุณผี” กานต์พิชชาพูดพลางมองค้อนชายหนุ่มอย่างรู้ทัน

“ผมไม่ใช่ผีนะคุณ!!! ผมเป็นแค่วิญญาณเท่านั้น” ศิวาโวยวายขึ้นมาทันทีเมื่อหญิงสาวเรียกเขาว่าผี กานต์พิชชาเลยได้ทีแกล้งพูดอีก

“จะวิญญาณหรือผีมันก็ไม่ต่างกันหรอกน่า คุณนั่งดูอยู่เฉยๆ นะ ห้ามเกะกะล่ะคุณผี” พูดจบหญิงสาวก็เดินฮัมเพลงไปหยิบผ้ากันเปื้อนและหมวกมาสวมเพื่อเตรียมตัวทำขนมเค้กทันที

ในขณะที่ร่างโปร่งแสงของหนุ่มหล่อซึ่งบอกว่าตัวเองไม่ใช่ผีกำลังนั่งกอดอกทำหน้ามุ่ยอยู่บนโต๊ะอย่างขัดใจที่ถูกเธอแกล้งเรียกเขาว่าคุณผี ส่วนกานต์พิชชาแอบอมยิ้มอย่างขบขันอยู่คนเดียวเมื่อเห็นอาการงอนของคุณผีรูปหล่อ



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ย. 2556, 10:05:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ย. 2556, 10:05:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1051





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account