ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก (สนพ.กรีนมายด์) วางแผงเร็วๆ นี้
เมื่อย่างเข้าสู่วัยเบญเพสมักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งอาจจะมีทั้งดีและร้าย แต่สำหรับ ’กานต์พิชชา’ การได้พบกับวิญญาณของ ‘ศิวา ศิโรรัตน์’ ดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของสาวๆ ทั้งประเทศ เธอไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะว่าเขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับน่ารักเสียจนเธอเผลอหลงรักวิญญาณเข้าเต็มเปา แล้วกานต์พิชชาควรจะจัดการกับหัวใจของตัวเองยังไงดี เพราะคุณวิญญาณรูปหล่อคอยวนเวียนตามป่วนหัวใจแถมหึงหวงเธออยู่ตลอดเวลา
“ผมหึงคุณหึงมาก ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาใกล้ชิดคุณ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพูดถึงผู้ชายคนไหนต่อหน้าผมด้วย” พูดจบศิวาก็ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าสวยคมของคนที่กำลังมองสบตาเขาอย่างงุนงงทันที
กานต์พิชชายืนนิ่งตะลึงงัน เมื่อริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มประทับลงมาบนกลีบปากบางของเธอ ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะโปร่งแสงเป็นเพียงวิญญาณที่ไร้เลือดเนื้อ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่หญิงสาวกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนนุ่มนวล และเจือปนไปด้วยความอ่อนหวานที่ค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ก่อนจะลามไปทั่วร่างระหงราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นของเจ้าของรอยจูบนั้น
แต่ความรักครั้งนี้จะสมหวังได้อย่างไร ถ้าเขายังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ศิวาต้องไขปริศนาความทรงจำที่หายไป และหาวิธีกลับเข้าร่างของตัวเองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ชายหนุ่มจะทำได้หรือไม่ และความรักของทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร มาร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้คนทั้งคู่ได้ใน ‘ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก’

***เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้ว ขอลงให้อ่านแค่ครึ่งเรื่องคือ 12 ตอนนะคะ ส่วนครึ่งเรื่องที่เหลือรบกวนติดตามอ่านต่อในเล่มค่ะ จะวางแผงสิ้นเดือนกันยายนนี้แล้วค่ะ***
Tags: กุ๊กกิ๊ก,หวานแหวว,แฟนตาซี

ตอน: ตอนที่ 4

“คุณทำเค้กหน้าตาน่ากินดีจัง” ศิวาพูดขึ้นเมื่อนั่งมองดูกานต์พิชชาทำบูลเบอรี่ชีสเค้กอย่างเพลิดเพลินมาได้พักใหญ่ หญิงสาวเลยยิ้มก่อนจะพูดอย่างอวดๆ ว่า

“บูลเบอรี่ชีสเค้ก แล้วก็เค้กอื่นๆ ของร้านฉันขึ้นชื่อว่าอร่อยไม่น้อยหน้าร้านดังๆ เลยนะจะบอกให้ รับรองว่าถ้าคุณกินแล้วจะต้องติดใจแน่นอน”

“ได้โอกาสโปรโมทร้านตัวเองเลยนะคุณ ผมยังไม่เชื่อคุณหรอกนะว่าเค้กร้านคุณอร่อย จนกว่าผมจะได้ชิมก่อน” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงขบขัน

“แล้วฉันเอาให้คุณชิมตอนนี้ได้ซะที่ไหนเล่า” กานต์พิชชาบ่นพลางมองค้อนเขาอย่างหมั่นไส้

“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ถ้าผมกลับเข้าร่างได้เมื่อไหร่ ผมจะมาชิมเค้กที่ร้านคุณแน่นอน แล้วถ้าเค้กร้านคุณอร่อยจริง ผมจะแนะนำเพื่อนๆ ในวงการให้มาซื้อเค้กที่ร้านคุณด้วย รับรองว่าร้านคุณจะต้องดังแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันก็ต้องขอขอบคุณล่วงหน้าเอาไว้ก่อนเลยนะคะคุณดาราดัง ที่คุณอุตส่าห์จะให้เกียรติมากินเค้กที่ร้านฉัน ว่าแต่พอถึงตอนนั้นคุณจะมีเวลาว่างมานั่งกินเค้กที่ร้านฉันเหรอ งานคุณออกจะชุก” กานต์พิชชาพูดอย่างนึกขำ พลางหันไปยกเค้กอีกก้อนที่อบเสร็จแล้วออกมาจากเตาอบแล้วลงมือแต่งหน้าเค้กอย่างคล่องแคล่วและพิถีพิถัน

“ต้องมาสิครับ เพราะคุณคือผู้มีพระคุณของผม คุณอนุญาตให้ผมพักอยู่ที่บ้านด้วย แล้วก็ยอมเป็นเพื่อนคุยกับผม ในเวลาที่ผมคุยกับใครไม่ได้แบบนี้” ศิวาพูด

“คุณไม่ต้องซาบซึ้งบุญคุณฉันมากขนาดนั้นก็ได้นะคะคุณศิวา” กานต์พิชชาพูดด้วยน้ำเสียงขบขันพลางยกเค้กที่แต่งหน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้บนถาด จากนั้นหญิงสาวก็ถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วยกถาดเค้กเดินออกไปด้านนอก โดยมีร่างโปร่งแสงของศิวาเดินตามออกไปด้วย

“จะว่าไปแล้วร้านคุณก็ขายดีเหมือนกันนะเนี่ย” ศิวาซึ่งขณะนี้ร่างโปร่งแสงของเขากำลังนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ด้านหน้าเคาเตอร์พูดขึ้น เพราะเห็นว่าช่วงเวลานับตั้งแต่บ่ายสามโมงเป็นต้นมา จนกระทั่งตอนนี้จะหกโมงเย็นแล้วร้านของกานต์พิชชาก็ยังมีลูกค้าเข้ามาตลอด ทั้งนักเรียน นักศึกษา และชายหนุ่มหญิงสาววัยทำงานที่เพิ่งจะเลิกงานก็พากันเข้ามานั่งดื่มเครื่องดื่มและรับประทานขนมอยู่ภายในร้านเป็นจำนวนมาก

“ก็ฉันบอกคุณแล้วไงว่าเค้กร้านฉันอร่อย” กานต์พิชชาพูดอย่างภาคภูมิใจ

“เมื่อกี้คุณตองพูดว่าอะไรนะคะ?” เสียงพราวตาถามขึ้น ทำให้กานต์พิชชาถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย เธอลืมไปซะสนิทเลย ว่าหญิงสาวรุ่นพี่ยืนจัดเค้กใส่กล่องให้ลูกค้าอยู่ไม่ไกลนัก

“เอ่อ...คือ...ตองกำลังพูดว่าดีจังที่เค้กร้านเราอร่อยถูกใจลูกค้าน่ะค่ะ”กานต์พิชชาจำต้องพูดปดกับหญิงสาวรุ่นพี่ พร้อมทั้งย้ำเตือนตัวเองว่าเธอต้องระวังให้มากกว่านี้เวลาที่จะพูดคุยกับศิวา เพราะว่าคนอื่นมองไม่เห็นเขาเหมือนอย่างที่เธอเห็น แล้วก็จะกลายเป็นว่าเธอยืนพูดอยู่คนเดียว ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ ในสายตาของคนอื่น เพราะกานต์พิชชาจะกลายเป็นคนสติไม่ดี

ในขณะที่ศิวาหัวเราะอย่างขบขัน เมื่อได้ยินกานต์พิชชาพูดปดกับพราวตา ก่อนจะแกล้งพูดล้อเลียนหญิงสาวว่า

“คุณโกหก”

“นี่!!!” กานต์พิชชาร้องเสียงดังขึ้นมาอย่างเผลอตัว พลางถลึงตาใส่ชายหนุ่ม แล้วเสียงของเธอก็เป็นผลให้พราวตาต้องหันมาถามอีกจนได้

“เมื่อกี้คุณตองเรียกพี่รึเปล่าคะ?”

“เอ่อ...เปล่า...ไม่มีอะไรคะพี่พราว” หญิงสาวหันไปตอบหญิงสาวรุ่นพี่ ก่อนจะหันกลับมามองค้อนวิญญาณรูปหล่อที่กำลังนั่งหัวเราะเธออย่างขบขันด้วยความหมั่นไส้ พลางพึมพำบ่นว่าเขาขมุบขมิบแบบไร้เสียงอยู่คนเดียว

เวลาประมาณหนึ่งทุ่มเศษปราณปรียาก็มาถึงร้านของกานต์พิชชา หลังจากปิดร้านเสร็จเรียบร้อยแล้วปราณปรียาก็ขับรถพาหญิงสาวและศิวามุ่งหน้ากลับไปที่บ้านทันที เมื่อมาถึงบ้านของกานต์พิชชาทั้งสองสาวก็นั่งรับประทานอาหารเย็นพร้อมทั้งพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของศิวา

ปราณปรียาเล่าให้กานต์พิชชากับศิวาฟังว่าเมื่อตอนกลางวันเธอโทรศัพท์ทางไกลไปปรึกษาเรื่องของศิวากับคุณปานดาวผู้เป็นมารดา ท่านจึงแนะนำให้เธอไปลองค้นหาหนังสือตำราเก่าแก่ ซึ่งตกทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษมาอ่านดูในระหว่างที่รอคุณปานดาวกลับมาจากฮ่องกง เพราะหนังสือเล่มนั้นเขียนเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ หรือวิญญาณที่หลุดออกจากร่าง ดังนั้นในช่วงบ่ายปราณปรียาจึงกลับไปที่บ้านเพื่อไปค้นหาหนังสือตามที่มารดาบอก

จากนั้นปราณปรียาก็หยิบหนังสือเล่มหนาปกสีน้ำตาลเก่าคร่ำคราเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้ววางลงบนโต๊ะ ทั้งกานต์พิชชาและศิวาต่างก็ยื่นหน้าเข้ามาดูหนังสือเล่มนั้นด้วยความสนใจ ก่อนจะอ่านชื่อหนังสือขึ้นมาพร้อมๆ กันว่า

“หนังสือว่าด้วยจิต และ วิญญาณ”

“ฉันลองเปิดหนังสืออ่านดูบ้างแล้ว มีบางจุดที่น่าสนใจแล้วก็คล้ายกับกรณีของคุณศิวาอยู่เหมือนกัน ตรงกับข้อมูลที่ฉันหามาได้จากอินเทอร์เน็ตที่ฉันบอกเธอเมื่อเช้านั่นแหละตอง คือกรณีของคุณศิวาเรียกว่าวิญญาณหลุดออกจากร่าง หรือที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าเจตภูต...” ปราณปรียาอธิบาย

“เจตภูตงั้นเหรอ เจตภูตคืออะไร?” กานต์พิชชาทวนถามเพื่อนรัก เธอเคยได้ยินคำๆ นี้มาบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะเธอไม่เคยสนใจเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติอยู่แล้ว

ปราณปรียาอธิบายให้กานต์พิชชากับศิวาฟังว่า เจตภูตก็คือกายทิพย์ของคนหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าขวัญ เจตภูตจะไปปรากฏหรือแสดงให้คนที่รู้จักได้พบเห็นเมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดปกติกับตนเอง เช่น เกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดเหตุการณ์วิกฤตอย่างใดอย่างหนึ่ง บางครั้งคนที่พบเจอเจตภูตอาจพูดคุยหรือสื่อสารกันได้เหมือนกับคนปกติทั่วไป แต่เป็นไปในลักษณะชั่วพริบตาเท่านั้น

คนสมัยก่อนเชื่อกันว่าในร่างกายมนุษย์มีวิญญาณประจำตัวมาตั้งแต่แรกเกิด เมื่อสิ้นอายุขัยวิญญาณก็จะออกจากร่างไปแสวงหาที่อยู่ใหม่ หรือไม่ก็ดับสูญไปกับร่างกายที่เน่าเปื่อยไปตามธรรมชาติ หรือไม่เมื่อคนนอนหลับเจตภูตก็ล่องลอยออกจากร่าง ไปพบเห็นสิ่งต่างๆ ทั้งดีและร้าย เรียกว่าเกิดความฝัน พอใกล้จะตื่นก็เป็นเวลาเดียวกับที่เจตภูตกลับเข้าร่างตามเดิมและจดจำสิ่งที่เห็นในความฝันได้ แต่ถ้าเจตภูตกลับเข้าร่างไม่ทันก็อาจทำให้คนๆ นั้นถึงตายได้เช่นกัน

ส่วนคนที่แก่ชราหรือเจ็บป่วยร้ายแรงเจตภูตก็เตรียมตัวจะออกจากร่าง กลายเป็นวิญญาณที่ล่องลอยไปหาที่อยู่ใหม่โดยสงบหรือแตกดับไปเองเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นแต่จะมีจิตผูกพันอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างรุนแรง วิญญาณก็จะสิงสู่อยู่กับสิ่งนั้นต่อไป

“ถ้าเจตภูตจะไปปรากฏให้คนที่รู้จักได้พบเห็น แล้วทำไมถึงมีแต่คุณตองกับคุณฝ้ายล่ะครับที่เห็นผม?” ศิวาถามขึ้นทันทีเมื่อฟังปราณปรียาอธิบายจบ

“สำหรับฉันเป็นเรื่องปกติค่ะ ก็อย่างที่คุณรู้เพราะว่าฉันมีสัมผัสที่หก แต่ส่วนตอง...” ปราณปรียาตอบแล้วเว้นช่วงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางมองหน้ากานต์พิชชาสลับกับศิวาแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูดว่า

“สงสัยจะเป็นพรหมลิขิตมั้งคะ”

“บ้า! พรหมลิขิตอะไรของเธอ พูดเล่นอยู่ได้ แล้วยังไงเล่าต่อเถอะน่าฝ้าย...” กานต์พิชชาว่าเพื่อนรัก

“ก็อย่างที่ฉันพูดไปก่อนหน้านั้นที่ว่าถ้าเจตภูตกลับเข้าร่างไม่ทันก็อาจจะทำให้เจ้าของร่างถึงได้ตาย ทีนี้ประเด็นสำคัญของเราก็คือว่า ร่างของคุณศิวาที่นอนอยู่ในโรงพยาบาลยังมีลมหายใจอยู่ ซึ่งก็แสดงว่าคุณศิวายังไม่ตาย เพราะฉะนั้นคุณศิวาก็ควรจะรีบกลับไปเข้าร่างโดยเร็วที่สุดยังไงล่ะ”

“แล้วผมจะกลับเข้าร่างยังไงล่ะครับคุณฝ้าย?” ศิวาถาม

ปราณปรียานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแนะนำให้ชายหนุ่มลองทำแบบในละคร ซึ่งเวลาที่วิญญาณจะกลับเข้าร่างหรือจะเข้าสิงร่างใครก็ต้องนอนทับลงไปในร่างนั้น ศิวาพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำแนะนำของปราณปรียา ก่อนจะขอร้องทั้งสองสาวว่า

“พรุ่งนี้พวกคุณช่วยไปที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนผมหน่อยสิครับ ผมไม่อยากไปคนเดียวผมอยากให้คุณสองคนเข้าไปในห้องพักกับผมด้วย บอกว่าคุณสองคนขอเข้าไปเยี่ยมผมก็ได้ครับ” ศิวาบอก

“ถึงไปกับคุณจริงๆ เราสองคนก็คงจะเข้าไปถึงในห้องพักที่คุณนอนอยู่ไม่ได้หรอก คุณเป็นดาราดังนะคะ ส่วนฉันกับฝ้ายเป็นใครก็ไม่รู้ คงไม่มีใครยอมให้เราสองคนเข้าไปเยี่ยมคุณในห้องพักได้ง่ายๆ หรอกค่ะคุณศิวา” กานต์พิชชาบอกชายหนุ่ม

แต่ปราณปรียาซึ่งนั่งนิ่งเงียบครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งกลับยิ้มออกมาบางๆ แล้วบอกว่าพอมีวิธีที่จะเข้าไปเยี่ยมศิวาถึงในห้องพักได้ เมื่อกานต์พิชชาถามเพื่อนรักว่าจะทำยังไงอีกฝ่ายก็บอกเพียงแค่ว่าจะมารับเธอกับศิวาในวันพรุ่งนี้แต่เช้าขอให้ทั้งคู่เตรียมตัวเอาไว้ให้พร้อม จากนั้นปราณปรียาก็ขอตัวกลับบ้านเนื่องจากเห็นว่าเป็นเวลาดึกพอสมควรแล้วโดยไม่ลืมที่จะหยิบหนังสือ ว่าด้วยจิตและวิญญาณ ติดมือกลับไปด้วย

ศิวาพาร่างโปร่งแสงของตัวเองเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัวที่ว่างอยู่ทางด้านซ้ายมือของกานต์พิชชาซึ่งกำลังนั่งทำงานอย่างขะมักเขม้นอยู่ ชายหนุ่มเหลือบไปมองนาฬิกาบนฝาผนังซึ่งเข็มนาฬิกาชี้บอกว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มเศษแล้วก่อนจะถามขึ้นว่า

“ดึกแล้วคุณยังไม่ขึ้นไปนอนอีกเหรอครับ?”

“ยังค่ะ ฉันต้องทำบัญชีรายรับรายจ่ายประจำวันของที่ร้านให้เสร็จก่อน” หญิงสาวตอบในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ตัวเลขในสมุดบัญชี ส่วนมือข้างขวาก็กดเครื่องคิดเลขไปด้วย

“ขยันจัง คุณต้องทำแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ?” ศิวาถามอีก กานต์พิชชาพยักหน้าพลางตอบ

“ฉันต้องทำบัญชีทุกวันสิคะ จะได้รู้ว่าฉันควรจะจัดสรรเงินยังไง ให้พอสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ภายในร้านจนถึงสิ้นเดือน จะใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้ ร้านขนมเล็กๆ ก็แบบนี้แหละค่ะ”

ศิวาตั้งข้อสังเกตว่าเขาเห็นร้านของกานต์พิชชาขายดีมากเธอไม่น่าจะเป็นกังวลเรื่องการเงินเลย หญิงสาวจึงอธิบายให้ชายหนุ่มฟังว่าเธอไม่กังวลไม่ได้ เพราะความจริงแล้วกานต์พิชชายังไม่ได้เป็นเจ้าของร้านนี้อย่างเต็มตัว เนื่องจากเธอเอาโฉนดที่ดินของบ้านหลังนี้ไปจำนองกู้เงินมาเพื่อเป็นทุนเปิดร้านเบเกอรี่ ตอนนี้จึงต้องผ่อนหนี้ธนาคารทุกเดือน ซึ่งเธอตั้งใจจะผ่อนชำระหนี้ให้หมดภายในสิ้นปีหน้าให้ได้ เพื่อจะได้เป็นเจ้าของร้านอย่างเต็มตัวเสียที ดังนั้นกานต์พิชชาจึงต้องพยายามประหยัดทุกทาง ศิวามองหญิงสาวด้วยแววตาทึ่งและชื่นชมเมื่อฟังเธอพูดจบประโยค

“แล้วคุณไม่มีญาติพี่น้องเลยเหรอครับ ทำไมถึงอยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียว?”

“แม่ฉันเสียตั้งแต่ตอนที่ฉันเรียนอยู่ม.3 ค่ะ ฉันก็เลยอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้กับพ่อแล้วก็ยายของฉัน แต่ต่อมาพ่อฉันแต่งงานใหม่ ท่านก็เลยแยกออกไปอยู่กับครอบครัวของท่านที่บ้านแถวชานเมือง ฉันเลยอยู่บ้านหลังนี้กับยายสองคน จนยายฉันเสียเมื่อสองปีก่อน ฉันก็เลยอยู่ที่นี่คนเดียวค่ะ” กานต์พิชชาเล่าจบก็เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม แต่เมื่อเห็นแววตาของเขาที่กำลังมองเธออยู่อย่างเห็นใจหญิงสาวจึงรีบพูดต่อด้วยน้ำเสียงขบขันว่า

“อ๊ะๆ คุณไม่ต้องทำหน้าตาเศร้าแบบนั้นนะคุณศิวา ชีวิตฉันไม่ได้รันทดนะคะ ถึงพ่อฉันจะแต่งงานใหม่ แต่ฉันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับแม่เลี้ยงเหมือนในละครน้ำเน่านะคุณ แล้วแม่เลี้ยงของฉันก็นิสัยดีมากๆ ด้วย ท่านชวนฉันให้ไปอยู่ด้วยกันตลอดเลย แต่ฉันไม่ไปเพราะว่าบ้านของพ่อฉันอยู่ไกลไม่สะดวกสำหรับฉัน เวลาเดินทางไปกลับที่ร้านเบเกอรี่”

ศิวาหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อฟังหญิงสาวพูดจบประโยค แล้วออกปากชมอย่างจริงใจ

“คุณเป็นคนเก่ง แล้วก็ร่าเริงดีจังนะครับ”

“ขอบคุณในคำชมของคุณค่ะ ฉันทำบัญชีเสร็จแล้วล่ะขอตัวขึ้นไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้เช้าเจอกันค่ะ” กานต์พิชชาพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางขยับลุกขึ้นยืน พร้อมทั้งรวบสมุดบัญชีและเครื่องคิดเลขเอาวางซ้อนทับกันไว้อย่างมีระเบียบบนโต๊ะ

“ฝันดีนะครับ” ศิวาบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง

กานต์พิชชาชะงักนิดหนึ่งกับคำอวยพรของศิวา เพราะไม่มีใครอวยพรเธอแบบนี้มานานแล้วนับตั้งแต่ยายของเธอเสียชีวิตไป หญิงสาวยิ้มพลางอวยพรชายหนุ่มกลับไปว่า

“ฝันดีเช่นกันค่ะ” พูดจบหญิงสาวก็ก้าวออกไปจากห้องรับแขกแล้วเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องนอนของตัวเองทันที ในขณะที่ศิวามองตามร่างของกานต์พิชชาไปจนลับตาพลางพึมพำเบาๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มว่า

“เป็นผู้หญิงที่แปลก แต่ก็น่ารักดี”

เจ็ดโมงเช้าวันรุ่งขึ้นปราณปรียาก็ขับรถมารับกานต์พิชชาและศิวาที่บ้าน ก่อนที่ทั้งสามจะเดินทางไปโรงพยาบาล ปราณปรียาไปจอดรถรับแจกันดอกไม้ซึ่งโทรศัพท์มาสั่งเอาไว้ที่ร้านดอกไม้แห่งหนึ่งเพื่อนำไปเยี่ยมศิวาด้วย ส่วนกานต์พิชชาเองก็โทรศัพท์ไปบอกกับพราวตาว่าเธอจะเข้าไปที่ร้านในตอนสาย เพราะต้องไปทำธุระกับปราณปรียาก่อน

“ว่าแต่เธอจะทำยังไงเหรอฝ้าย เราถึงจะเข้าไปเยี่ยมคุณศิวาถึงในห้องพักได้?” กานต์พิชชาถามขึ้นเมื่อปราณปรียาเลี้ยวรถเข้าไปจอดภายในลานจอดรถของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ปราณปรียาอมยิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบว่า

“ตามฉันมาเลยตอง แล้วเธอจะรู้เองว่าฉันจะทำยังไง” พูดจบปราณปรียาก็ถือแจกันดอกไม้เดินนำกานต์พิชชาและศิวาเข้าไปภายในตึกผู้ป่วยทันที ปราณปรียาเข้าไปสอบถามเรื่องห้องพักของศิวาที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ เมื่อนางพยาบาลบอกว่าชายหนุ่มพักอยู่ที่ห้อง 909 ซึ่งอยู่ชั้นเก้า ทั้งสามก็พากันกดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้นเก้าทันที

พอประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นเก้า ทั้งสามก็รู้ทันทีว่าห้อง 909 ซึ่งเป็นห้องพักของศิวานั้นอยู่ห้องริมสุดทางเดินทางด้านขวามืออย่างแน่นอน เนื่องจากที่หน้าห้องพักมีโต๊ะตั้งเอาไว้สำหรับวางแจกันดอกไม้และของเยี่ยมจำนวนมากมาย อีกทั้งยังมีนักข่าวอีกหลายคนแล้วที่สำคัญก็คือที่หน้าประตูห้องมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกสองคนยืนอยู่ด้วย

พวกนักข่าวและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองมาที่กานต์พิชชาและปราณปรียา เมื่อทั้งสองสาวเดินใกล้เข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง 909 ปราณปรียาจึงบอกกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่ามาเยี่ยมศิวา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งกล่าวคำขอบคุณ ก่อนจะบอกให้หญิงสาววางแจกันดอกไม้ไว้บนโต๊ะแล้วเซ็นชื่อในสมุดเยี่ยมได้เลย

“ฉันหมายถึงว่า ฉันจะเข้าไปเยี่ยมคุณศิวาในห้องค่ะ” ปราณปรียาพูดหน้าตาเฉย

“ต้องขอโทษด้วยนะครับ เราคงอนุญาตให้คุณเข้าไปในห้องไม่ได้หรอกครับ คุณแม่ของคุณศิวาอนุญาตให้เฉพาะญาติและเพื่อนสนิทของคุณศิวาเท่านั้นที่เข้าไปได้” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนบอกอย่างสุภาพ ทำให้กานต์พิชชาต้องหันมาสบตากับศิวาด้วยสีหน้าแสดงความหนักใจ เพราะเหตุการณ์เป็นไปตามที่หญิงสาวคาดเอาไว้จริงๆ ว่าการที่จะเข้าไปเยี่ยมศิวาถึงในห้องพักไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด แต่ปราณปรียาก็ยังคงยิ้มและพูดอย่างใจเย็นว่า

“ฉันรู้จักกับคุณแม่ของคุณศิวาดีค่ะ คิดว่าท่านคงไม่ว่าอะไรถ้าหากฉันจะเข้าไปเยี่ยมคุณศิวาในห้อง”

คำพูดของปราณปรียาทำเอากานต์พิชชาถึงกับมองหน้าเพื่อนรักด้วยความงุนงงว่าปราณปรียาไปรู้จักกับมารดาของดาราชื่อดังอย่างศิวาตั้งแต่เมื่อไหร่ ซึ่งก็พอๆ กับศิวาที่มีอาการงุนงงเช่นกัน แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนแรกกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าระอาใจนิดๆ

“คุณผู้หญิงครับ วันๆ มีแฟนคลับของคุณศิวาเป็นสิบๆ คน มาอ้างโน่นอ้างนี่ เพื่อจะขอเข้าไปเยี่ยมคุณศิวา ถ้าหากพวกเราอนุญาตให้ทุกคนเข้าไปได้ ก็คงมีคนเข้าไปเยี่ยมคุณศิวาในห้องทั้งวันล่ะครับ”

“ฉันไม่ได้แอบอ้างนะคะ ฉันรู้จักกับคุณแม่ของคุณศิวาจริงๆ ถ้าพวกคุณไม่เชื่อก็ลองเข้าไปถามคุณแม่ของคุณศิวาก่อนก็ได้ บอกว่าฉันชื่อ ปราณปรียา เป็นเจ้าของร้าน...” ปราณปรียาพูดยืดยาวและบอกชื่อร้านของตัวเองออกไปในตอนท้ายประโยค ซึ่งก็ทำให้พวกนักข่าวเริ่มซุบซิบกันไปมา ก่อนที่นักข่าวสาวคนหนึ่งจะก้าวเข้ามาหาปราณปรียาพร้อมทั้งถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ขอโทษนะคะคุณปราณปรียา ไม่ทราบว่าคุณคือลูกสาวของคุณปานดาว นักพยากรณ์ชื่อดังรึเปล่าคะ?”

“ใช่ค่ะ ดิฉันเป็นลูกสาวของคุณปานดาว” ปราณปรียาตอบคำถามของนักข่าวสาวคนนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พอปราณปรียาตอบคำถามจบกานต์พิชชาก็ต้องตกใจเมื่อนักข่าวอีกหลายคนก้าวเข้ามารุมล้อมตัวเธอและเพื่อนรักเอาไว้ทันที พร้อมทั้งแข่งกันรัวตั้งคำถามเข้าใส่ปราณปรียาเป็นชุดจนฟังไม่ได้ศัพท์ ในขณะที่ร่างโปร่งแสงของศิวาถอยออกไปยืนอยู่นอกวงล้อมของนักข่าว

“เอ่อ...เกิดอะไรกันขึ้นจ๊ะ เสียงดังแบบนี้ระวังจะรบกวนคนไข้ห้องข้างๆ นะจ๊ะ” เสียงถามที่ดังขึ้น ทำให้เสียงพูดคุยที่ดังอยู่เงียบลงทันที ก่อนที่ทุกคนจะหันไปมองดูเจ้าของเสียง ซึ่งเป็นสุภาพสตรีวัยกลางคน รูปร่างสมส่วน ใบหน้าสวยและท่าทางใจดี ซึ่งเพิ่งจะเปิดประตูห้องก้าวออกมา

“คุณแม่!!!” กานต์พิชชาได้ยินเสียงศิวาร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงยินดี แล้วหญิงสาวก็เห็นร่างโปร่งแสงของเขาก้าวตรงเข้าไปโอดกอดร่างของสุภาพสตรีวัยกลางคนด้วยท่าทางรักใคร่ทันที แต่แน่นอนว่าคนถูกกอดไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด มีเพียงแค่กานต์พิชชาและปราณปรียาเท่านั้นที่มองเห็นภาพนั้น

ปราณปรียาส่งแจกันดอกไม้ในมือให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งถือเอาไว้ แล้วพนมมือไหว้มารดาของศิวา ซึ่งกานต์พิชชาก็รีบทำตามเพื่อนรักเช่นกัน

“สวัสดีค่ะคุณน้า จำฝ้ายได้มั้ยคะ?” คุณศศิกาญจน์มารดาของศิวายกมือขึ้นรับไหว้ทั้งสองสาว ก่อนจะพูดว่า

“จำได้สิจ๊ะหนูฝ้าย ว่าแต่ไปยังไงมายังไงล่ะจ๊ะถึงมาที่นี่ได้ มาเยี่ยมลูกชายของน้าเหรอ?”

“ใช่ค่ะ แต่ฝ้ายกับเพื่อนยังเข้าไปไม่ได้ เพราะว่าพี่ชายสองคนนี้ยังไม่อนุญาตค่ะ” ปราณปรียาบอกกับมารดาของศิวาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

คุณศศิกาญจน์จึงหันไปบอกกับพนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนว่านางรู้จักกับปราณปรียาดี ถ้าหากคราวหน้าหญิงสาวมาที่นี่อีกก็ให้เข้าไปข้างในได้เลย เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนรับคำทันที จากนั้นคุณศศิกาญจน์ก็หันมาเชื้อเชิญให้ทั้งสองสาวเข้าไปภายในห้องพักของศิวา

“เดี๋ยวค่ะคุณแม่ ไม่ทราบว่าคุณแม่รู้จักกับคุณปราณปรียาได้ยังไงคะ แล้วคุณปราณปรียามีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษกับคุณศิวารึเปล่าคะ ทำไมถึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปเยี่ยม...” เสียงนักข่าวสาวคนหนึ่งเรียกมารดาของศิวาเอาไว้พร้อมทั้งรัวคำถามเป็นชุด ก่อนที่คุณศศิกาญจน์จะหันมาตอบคำถามสั้นๆ ว่า

“ตอนนี้คุณแม่ยังไม่มีเวลาให้สัมภาษณ์นะคะ ขอตัวก่อนค่ะ” จากนั้นคุณศศิกาญจน์ก็เดินนำปราณปรียาและกานต์พิชชาเข้าไปในห้องทันที ในขณะที่ศิวาก็เดินรั้งท้ายตามเข้าไปด้วย แล้วทุกคนก็เดินเข้าไปหยุดอยู่จนชิดขอบเตียง

“นั่น...ตัวผมนี่ เหลือเชื่อชะมัดเลย!!!”

กานต์พิชชาได้ยินเสียงศิวาซึ่งยืนอยู่ข้างๆ เธอพูดขึ้น เมื่อหญิงสาวหันไปมองก็พบว่าเขากำลังยืนจ้องมองร่างของตัวเองซึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยแววตาเหลือเชื่อกับสิ่งที่ได้เห็น ซึ่งก็คงจะพอๆ กับเธอนั่นแหละ ที่ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถมองเห็นวิญญาณของผู้ชายคนที่กำลังนอนอยู่บนเตียงได้ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากจริงๆ

“ขอบใจหนูฝ้ายกับเพื่อน...เอ่อ ว่าแต่หนูชื่ออะไรจ๊ะ?” คุณศิศาญจน์หันมาถามกานต์พิชชาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างใจดี

“หนูชื่อกานต์พิชชาค่ะ แต่เรียกหนูว่าตองก็ได้ค่ะคุณน้า เป็นชื่อเล่นของหนู” กานต์พิชชาตอบ

“จ้ะหนูตอง น้าขอบใจหนูฝ้ายกับหนูตองมากเลยนะจ๊ะ ที่อุตส่าห์มาเยี่ยมตาศิวา”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า ฝ้ายอยากมาเยี่ยมให้กำลังใจทั้งคุณศิวาแล้วก็คุณน้าอยู่แล้ว ส่วนตองเองเค้าก็เป็นแฟนคลับคนนึงของคุณศิวาเหมือนกัน ฝ้ายก็เลยชวนเค้ามาเยี่ยมด้วยค่ะ” ปราณปรียาบอกกับคุณศศิกาญจน์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ทำเอากานต์พิชชาถึงกับเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเพื่อนรักบอกกับมารดาของชายหนุ่มว่าเธอเป็นแฟนคลับคนหนึ่งของเขา เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงเลยสักนิด

“คุณเป็นแฟนคลับผมด้วยเหรอครับ?” ศิวาหันมาถามหญิงสาวด้วยความประหลาดใจ กานต์พิชชาส่ายหน้าทันทีพลางตอบชายหนุ่มเบาๆ ว่า

“ใช่ซะที่ไหนกันล่ะ”

“อ้าว!!!” ศิวาอุทานบ้าง พลางทำหน้าเหวอ

กานต์พิชชาได้ยินเพื่อนรักของเธอถามคุณศศิกาญจน์ว่าตอนนี้อาการของศิวาเป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็เห็นสุภาพสตรีวัยกลางคนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตอบว่าคุณหมอบอกว่าอาการโดยรวมของศิวาปลอดภัยแล้ว เหลือเพียงแค่รอให้เขารู้สึกตัวเท่านั้น ซึ่งคุณหมอก็ยังบอกไม่ได้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ วันไหน ในระหว่างนี้พยาบาลจะต้องคอยทำกายภาพบำบัดให้ชายหนุ่มเป็นระยะเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง และต้องค่อยพลิกตัวเขาเพื่อไม่ให้เกิดแผลกดทับด้วย

คุณศศิกาญจน์บอกกับทั้งสองสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอเบ้าว่าท่านได้แต่เฝ้าภาวนาขอให้ศิวารู้สึกตัวเสียที เพราะถ้าหากนานหลายเดือนชายหนุ่มไม่รู้สึกตัวฟื้นขึ้นมา ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เขาจะต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต
กานต์พิชชาตรงเข้าไปปลอบคุณศศิกาญจน์ด้วยความเห็นใจและให้กำลังใจว่าศิวาจะต้องฟื้นในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน ในขณะที่ศิวาเองก็รีบเข้าไปพูดกับมารดาของเขาด้วยความลืมตัวว่า

“ใช่แล้วครับคุณแม่ ผมไม่ยอมตายง่ายๆ หรอกครับ ผมจะต้องหาทางกลับเข้าร่างให้ได้ คุณแม่อย่าร้องไห้นะครับ”

คุณศศิกาญจน์กล่าวคำขอบใจกานต์พิชชาด้วยรอยยิ้มทั้งน้ำตา โดยไม่ได้ยินในสิ่งที่ศิวาพูดเลยสักคำ สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้แต่ขยับถอยห่างออกมา พลางมองดูมารดาด้วยแววตาเศร้าๆ ที่ท่านไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด

ปราณปรียากระซิบบอกศิวาให้รีบกลับเข้าร่างตัวเอง เมื่อเห็นเขาถอยออกมายืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมทั้งลอยตัวขึ้นไปอยู่เหนือเตียงก่อนจะเอนตัวลงนอนราบแล้วค่อยๆ ทิ้งตัวลงมานอนทับร่างของตัวเองซึ่งนอนอยู่บนเตียง ท่ามกลางสายตาที่คอยลุ้นและเอาใจช่วยของกานต์พิชชากับปราณปรียา




แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.ย. 2556, 14:02:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.ย. 2556, 14:02:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1013





<< ตอนที่ 3   ตอนที่ 5 >>
phugan 22 ก.ย. 2556, 22:38:50 น.
สนุกค่ะ..


แก้วแสงจันทร์ 22 ก.ย. 2556, 23:32:47 น.
@phugan

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์นะคะ ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account