Sweet Magic เวทมนตร์...รสหวาน
ความฝันที่อยากจะทำร้านขนมหวานครบสูตรของอิศยา ทำให้เจ้าหล่อนยอมหันหลังให้กับชีวิตของครอบครัว...และความฝันสุดยิ่งใหญ่ของเธอจะเกิดขึ้นได้ อิศยาต้องยอมทุ่มเทกายใจเอาชนะกำแพงหนาของป้ณณ์ให้ได้...งานช้างแบบนี้ อิศยาไม่มีทางยอมแพ้เขาเด็ดขาด แล้วจะได้รู้ว่าคนอย่างอิศยารุกรานโลกของเขาได้มากขนาดไหน
Tags: เวทมนตร์,รสหวาน,อิศยา,ปัณณ์,ปวรา

ตอน: มุมน่ารักของจอมมาร

ข้าวมันไก่หน้าปากซอย อาหารมื้อแรกระหว่างเธอกับปัณณ์ อิศยาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะยิ่งใหญ่อลังการไปมากกว่านี้อยู่แล้ว ก็ดูตั้งแต่สภาพคนข้างห้องที่สวมเสื้อยืดสีขาว กางเกงผ้าสีมอซอ หนีบหูหนีบสีเหลืองสว่าง ผมยุ่งไม่เป็นทรง

ต่างกับเธอโดยสิ้นเชิง...อิศยามองตัวเองสะท้อนจากกระจกเงาติดกำแพงของร้าน ผมสระสะอาดถูกเป่าแห้งปล่อยสยายเคลียร์แผ่นหลัง เลือกชุดที่ดีที่สุดเท่าที่มี เป็นเดรสสกอตคอโบ ผ้าลินินฟ้าสีคราม รองเท้ามีส้น หน้าแต่งอ่อนๆ ไม่ให้จืดหรือจัดจนเกินไป จริงๆ เธอก็ไมได้คาดหวังว่าอาหารยามเช้าจะเลิศหรู แต่เธอก็ยังให้เกียรติเขาเพื่อเตรียมมาคุยงาน

แล้วเขาล่ะให้เกียรติอะไรเธอ...คงถือว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่าจะทำอะไรก็ได้

คนที่กำลังจัดการกับข้าวมันไก่จานที่สองเริ่มรู้สึกรังสีแปลกๆ จากคนที่มาด้วยกัน ใช้สายตานิ่งๆ มองปราม บอกกรายๆ ว่า ‘รู้นะ ว่ากำลังด่าอะไรอยู่’ อิศยาได้แต่เสหลบไปมองอย่างอื่น นั่งรอให้เขาจัดการอาหารจานที่สองเสร็จเร็วๆ ส่วนเธอ แค่เห็นเขากิน ก็รู้สึกอิ่มแทน

“ที่บ้านทำนาหรือเปล่า”

“ทำนา...เปล่านี่คะ บ้านฉันขายขนมปัง” รู้ว่าเขากำลังหาเรื่องแขวะเธอที่เธอทานข้าวไปได้ไม่กี่คำ ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ตอบไปว่าจังหวัดที่บ้านเธออยู่ ในอำเภออื่นมีนาอยู่เยอะ เกรงว่าจะไปกระตุกอารมณ์ร้ายของคนโลกส่วนตัวสูงเข้าถึงยากเสียก่อน

“ลองไปทำดูนะ จะได้รับรู้ถึงความยากลำบาก กินข้าวเหลือทิ้งๆ ขว้างๆ ถ้ากินไม่หมดทำไมไม่บอกว่าขอลดข้าวตอนสั่ง”

“ฉันควรกินให้หมดใช่ไหมคะ” ปากเม้มแน่น แววตารั้นเริ่มอวดดีหน่อยๆ เธอเรียนมาเหมือนกัน สมัยเด็กตอนประถมเธอต้องไหว้อาหารที่ต้องทานทุกครั้งด้วยซ้ำ พ่อของเธอก็สอนมาดี

‘ข้าวทุกเม็ดคือหยาดเหงื่อหนึ่งหยดของชาวนา แค่ทำขนมปังในห้องแอร์ หรือระบบถ่ายเทอากาศดีๆ ยังบ่นเหนื่อย กับชาวนาพวกเขาต้องสู้แดด ก้มจนปวดหลัง กว่าจะได้ข้าวมาให้เราได้กิน ใครไม่เห็นคุณค่าก็ปล่อยเขาไป แต่อาหารทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ข้าวแต่รวมไปถึงสัตว์ทุกชนิดที่ต้องมาเป็นอาหารของเรา ทุกๆ อย่างมีบุญคุณกับพวกเราทั้งหมด’

อิศยามองข้าวในจานนิ่ง หัวสมองคิดไปถึงคำสอนของพ่อเรื่องความกตัญญู คำถามหนึ่งผุดชัดขึ้นในใจตัวเองจนเธอเจ็บร้าวระบมในอก
วันนี้เธอกตัญญูกับพ่อของตัวเองอยู่หรือเปล่า... คำถามไม่ยาก แต่เธอกลัวคำตอบ การขัดคำสั่งของพ่อ ดื้อดันทุรังในทุกวันนี้ มันตีความว่าเธออกตัญญูกับพ่อไหม

ช้อนส้อมจับมาเขี่ยข้าวอีกครั้ง อิศยาเริ่มตักข้าวเข้าปากไปเงียบๆ ความมันของข้าว กับรสเผ็ดของน้ำจิ้มบนชิ้นไก่ มีรสเข็มปร่าแทรกเข้ามาทางริมฝีปาก ต้นกำเนิดมาจากดวงตากลมโตที่มีหยดน้ำมากเกินปกติ อิศยาตักคำแล้วคำเล่าอย่างใจเย็น ภาพที่ตัวเองขนกระเป๋าหนีมาที่นี่ดำเนินชัดทีละนิด หรืออาการเอาแต่ใจตัวเอง การไม่พบเจอพ่อมาหนึ่งเดือน มันทำให้เธอคิดถึงท่าน แต่เธอก็หาเหตุผลมาหักล้างได้น่ารังเกียจ อย่างการยกเรื่องของพลมาอ้าง

ที่จริง เธอก็แค่กลัวการกลับไปพบกับพ่อ...ไม่ต่างจากวัวสันหลังหวะ

ซาบซึ้งกับบุญคุณชาวนามากใช่ไหม” น้ำเสียงกระแนะกระแหนเหน็บแนมติดจะหงุดหงิดมากกว่าเห็นใจของปัณณ์เรียกสติที่เตลิดไปไกลให้กลับมา ช้อนที่ตักข้าวทั้งที่ว่างเปล่าเป็นรอบที่สามเพราะหมดจานไปนานแล้วเพิ่งรู้สึกตัว

แต่เธอยังรู้สึกสัมผัสความเค็มในปากได้ ก็แหล่งผลิตน้ำตายังไม่หยุดทำงาน มือบางรีบปาด เช็ดน้ำตาเหมือนเด็กๆ

“น้ำซุปอร่อยไหม”

ประชดเหรอยะ...สาวตากลมโตมองค้อน อารมณ์หมั่นเขี้ยว “โดนคุณว่าบ่อยๆ ฉันก็เซนซิทีฟสิ”

ปัณณ์นิ่งไป สายตาพินิจมีแววรู้สึกผิดวูบหนึ่ง แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วจนอิศยามองตามไม่ทัน “ถ้ายังอยากทำงานกับผม จะมาอ่อนแอ อ่อนไหวไม่ได้หรอก ผมไม่ชอบ” ยกแก้วพลาสติกมีน้ำเย็นขึ้นดื่ม “เลี้ยงผมด้วยนะ ถือเป็นค่าแบบแพลนร้าน”

อิศยายังนั่งนิ่ง คิดว่าตัวเองอาจจะหูฝาด ดวงตาเต็มไปด้วยความคลางแคลงใจ ไม่อยากเชื่อ หรือความรู้สึกประหลาดใจ ปากอ้ากว้างน้อยๆ หาเสียงมาตอบเขาไม่เจอ ได้แต่มองเขาเดินกลับไปทางหอพัก สมองยังมึนงงไม่หาย

การมาคุยงานมันไม่ทางการตั้งแต่การแต่งตัวของปัณณ์แล้ว ไหนจะมาลงเอยที่ร้านข้าวมันไก่ ไม่มีการเกริ่นนำเรื่องงาน นอกจากเหน็บเธอเล็กๆ การที่มองเขากินจนรู้สึกอิ่ม หรือแม้แต่การนั่งร้องไห้ต่อหน้าเขา...หรือเพราะน้ำตาของเธอ

การที่เขายอมออกแบบให้เริ่มมาจากเครปรวมมิตรที่เธอกะไว้ใช้แกล้งเขา...การตกลงเรื่องราคาแพลนจากเขาฝ่ายเดียว สรุปง่ายๆ มีค่าเท่ากับข้าวมันไก่สองจาน ไม่ถึงหนึ่งร้อยบาทด้วยซ้ำ

เธอมั่นใจว่าระหว่างเธอกับปัณณ์ไม่ได้สนิทขนาดที่จะมาออกแบบให้ฟรีๆ เขาจะเรียกเก็บเป็นหลักหมื่นก็ได้ ระดับฝีมือเขา แต่ครั้งนี้ แบบที่เขาว่ามูลค่าของมันช่าง...

หญิงสาวกัดปากไม่ให้ยิ้มแก้มแทบแตก หรือกระโดดกอดคนขายข้าวมันไก่ด้วยความยินดีปรีดา

ทำไมบทปัณณ์โหมดนี้ สำหรับเธอแล้วอาจจะตามไม่ทัน แต่เขาโครตน่ารักเลย...

บางทีอิศยาก็ควรจะรู้ว่าการดีใจล่วงหน้าเร็ว หรือตัดสินว่าปัณณ์น่ารัก ทุกอย่างไม่ได้การันตีว่าเขาจะ ‘น่ารัก’ จริงๆ


อิศยามองโทรศัพท์พกพาจดๆ จ้องๆ กับมันมานานครึ่งชั่วโมง ว่าจะโทรหาพ่อบังเกิดเกล้าดีไหม...เพราะปัณณ์ เธอถึงรู้สึกผิดต่อพ่อ หญิงสาวตั้งใจโยนความผิดไปให้ปัณณ์ ถึงเขาจะแค่ตั้งใจให้เธอทานข้าวมันไก่ให้หมดจานก็ตาม

วันนี้เธอทำขนมแจกคนทั่วไปอีกครั้ง อารมณ์ดีจัดก็อย่างหนึ่ง แต่อยากจะขอบคุณทุกคนมากกว่าที่มีส่วนทำให้เธอได้ที่ตรงนั้นมาสร้างร้าน ขนมที่เธอทำหมดในเวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ลุงยามใจดีที่เคยดูต้นทางให้เธอตอนอ้อนวอนขอปีนหลังคาร้านหนังสือรีบมาช่วยเก็บโต๊ะให้ และของเค้กชนาดชิ้นเล็กสามเหลี่ยมแต่งหน้าด้วยชอกโกแลตอย่างดี ที่เธอจัดไว้เป็นพิเศษก็นำไปให้ลุงยาม กับลุงผู้จัดการหอพัก
ถึงจะเสียเงินค่าวัตถุดิบ และเวลาในการทำกว่าครึ่งวัน แต่อิศยาคิดว่ามันเป็นการตอบแทนน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

ส่วนเจ้าลิงทโมนทั้งหก...อิศยาก็ขุนจนอิ่มหมีพีมันด้วยส้มคาราเมลผลไม้รวมวานิลลาครีม ซึ่งเธอคิดเมนูนี้จากการประยุกต์สูตรของแอปเปิลราคาเมลเบอร์รี่วานิลลาครีม หันมาใช้ผลไม้ของไทย หลายๆ อย่างรวมกัน ทั้งฝรั่ง น้ำมะนาว แคนตาลูป สตรอเบอร์รี่ วิธีการไม่ได้ยุ่งยาก แค่เอาน้ำตาลตั้งไฟให้ร้อนจนกลายเป็นคาราเมล ใส่เนย แล้วจึงใส่ผลไม้ลงไปผัด หลังจากนั้นนำส่วนผสมทั้งเพิ่มกับครีมวานิลลา และ ครัมเบิล ซึ่งเป็นส่วนผสมของแป้ง น้ำตาล และเนยเย็นเข้าเตาอบ ทานคู่กับไอศกรีมเย็นๆ...ร้านหนังสือจึงกลายเป็นงานเลี้ยงขนมหวานย่อมๆ ไปโดยปริยาย หน้าตาของทุกคนมีความสุข คนทำก็พลอยสุขใจตาม

“ย่าไปตามพี่ปั้นทีสิ เดี๋ยวไม่เรียกจะหาว่าไม่ชวน” ปุณณ์พับแขนเสื้อนักศึกษาขึ้นถึงข้อศอก ปากยังเคี้ยวขนมในปากตุ้ยๆ “ต้องแบ่งๆ กันอ้วน”

“ไม่ตามเองเล่า” ยื่นปากขัดใจไม่น้อย ถึงเธอจะซึ้งในน้ำใจของปัณณ์ขนาดไหน แต่การไปอยู่ใกล้ๆ เขาทีไร เธอจะรู้สึกว่าตัวเองโง่ขึ้นเพราะไม่เคยเอาชนะฝีปากเขาได้เลย หรือพูดอีกนัย เธอไม่มีสิทธิ์โต้เถียงคืนกับผู้ชายที่เธอต้องยอมลงให้

เพราะเขามีบุญคุณกับเธอเรื่องร้านหรอกน่า อิศยาผู้ไม่เคยยอมลงให้ใครขนาดนี้นอกจากพ่อของตัวเองถึงได้แต่อดทน

“ตามมาเถอะ ไม่อย่างนั้นก็ เฮ่ยๆ อย่าเพิ่งกินสองชิ้นนี้ ตักไอศกรีมทีซิ เอาหลายๆ ลูก เยี่ยม ดีมาก” คนสั่งการชี้นิ้วไล่เรียงตัวให้พ้องเพื่อนทำตามที่ตนต้องการ ขนมสองถ้วยฟรอยด์กับถ้วยไอศกรีมอีกสองถ้วยถูกแยกมาวางบนถาดเล็ก ปุณณ์เลื่อนมาตรงหน้าอิศยา พยักพเยิดไปทางประตูเล็ก ที่เธอรู้ว่ามีใครอยู่ในนั้น

“รีบๆ เอาไปให้พี่ปั้นทีนะ”

“รู้แล้วน่า...เดี๋ยวเราออกมาขอยืมใช้โทรศัพท์ร้านด้วย” ทำปากเบะ เหมือนไม่กี่นาทีข้างหน้าต้องพบกับยาขมตัวโตๆ เธอจะโดนปัณณ์เหน็บแนมอะไรอีกก็ไม่รู้

ขนมรสชาติไม่ได้เรื่อง...หรือ ทำเป็นแต่ขนมหรือไง ต้องเป็นเทือกๆ นั้นแน่

แต่ผิดคาด...

“เอามาวางแล้วก็ไปเถอะ เดี๋ยวผมกินเอง” การเปิดประตูอย่างรวดเร็วทำให้คนที่กำลังวาดแบบร้านสะดุ้ง ปัณณ์รีบม้วนแพลนร้านหลบจากสายตาอยากรู้อยากเห็นของอิศยาโดยเร็ว

“ถ้าไม่รีบกินไอศกรีมจะละลายนะคะ” พยายามยืดตัวมองแผ่นกระดาษที่เห็นลายเส้นดินสอเต็มไปหมด ในใจเต้นกระหน่ำขึ้นมา...หรือว่าแบบร้านของเธอ

นำส้มคาราเมลผลไม้รวมวานิลลาครีมวางลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับปัณณ์ กลิ่นผลไม้ลอยมาแตะจมูก ยั่วน้ำย่อยคนได้กลิ่นให้ต้องเงยหน้ามองคนทำ “วางตรงนั้นทำไม วางบนโต๊ะสิ”

“กลัวเปื้อนแบบของคุณนี่คะ” ยิ่งงานนี้ไม่ได้วาดเล่นเหมือนคราวก่อน ปัณณ์ไม่ได้พูดอะไรต่อ สองมือม้วนแบบให้เรียบร้อย เก็บลงใส่กระบอกสีน้ำตาล นำไว้ข้างตัว อย่างกับกลัวว่าคนนอกจะมีโอกาสได้พบเห็น

อิศยายกถาดกลับขึ้นมาวางบนโต๊ะ สายตาคอยเหลือมมองแบบในกระบอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่กล้าพอจะปริปากถามเขา จัดเรียงขนมทั้งสองถ้วยไปตรงหน้าเขา กอดถาดไว้แนบอก ตั้งใจจะเดินกลับออกไป เสียงห้าวติดจะเฉยเมยเรียกรั้งอิศยาไว้ก่อน “กินไม่หมดหรอก”

“ให้เอากลับไปอันหนึ่งไหมคะ พวกนั้นต้องกินไม่เหลือแน่” พูดถึงหกหนุ่มที่อัญเชิญเธอมาอยู่ต่อหน้าจอมมาร

“รีบไปไหนหรือเปล่า” ถามอีกครั้งอย่างใจเย็น สายตาไม่เคลื่อนย้ายไปจากใบหน้าเนียนขาวใส...อิศยารู้สึกว่าเธอถูกกดดันจากปัณณ์

“เปล่าค่ะ”

“กินสิ”

ส่ายหน้าทันควันจนผมปลิวสยาย รอยยิ้มจืดเจื่อนเกลี่ยทัพแรก พูดเสียงอ่อย “ฉันกินไม่ได้หรอกค่ะ ฉันคุมน้ำหนัก ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปออกกำลังกายด้วย”

“แต่มาให้คนอื่นอ้วน”

คนถูกว่าหลับตาลง กัดริมฝีปากล่างไม่ให้ส่งเสียงหรือเอื้อนเอ่ยคำใดที่กลายเป็นคำแก้ตัว ในเมื่อคนส่วนใหญ่ที่กินขนมหวานต่างมีรอยยิ้มเธอจึงเลือกทำ แต่ถ้าใครไม่อยากจะกิน เธอก็ไม่ได้ไปบีบบังคับใครเช่นกัน เธอเป็นคนทำ ก็เช่นกันว่าจะต้องกินเองด้วย ในเมื่อต่อให้เธอไม่กิน ใครอีกหลายคนก็ยังกิน...เขาต่างหากที่หาเรื่องเธอ

ปัณณ์เลิกหาเรื่องอิศยา รู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังสะสมความเกลียดเขาไว้ในใจมากขึ้นเรื่อยๆ จนอาจทะลุติดเพดานไปเรียบร้อย จับช้อนตักขนมรสเปรี้ยวหวานอุ่นๆ เข้ากันดีกับไอศกรีมเย็นๆ

แค่คำแรกเขาก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองอิศยา คำถามมากมายเกี่ยวกับคนตัวเล็กลอยอยู่ในหัวเต็มไปหมด

“ไปเรียนทำขนมที่ไหนมา”

“อร่อยเหรอคะ” ดวงตาสุกสกาวเต้นระริดอย่างสุขใจ อิศยานั่งลงตรงข้ามปัณณ์ สายตามองออกไปนอกชายหลังคา ความภูมิใจของเธอตลอดชีวิตในเรื่องนี้มีอยู่สามคน “พ่อ ยายของฉัน แล้วก็เพื่อนพ่อค่ะ พ่อของฉันเรียนทำขนมมาจากอังกฤษกับฝรั่งเศส สมัยหนุ่มๆ พ่อกับเพื่อนพ่อ ลุงรัชค่ะชอบออกเดินทางไปตระเวนชิมขนมจากทั่วโลก เก็บเกี่ยวประสบการณ์หลายปี กลับมาก็เปิดร้านทำขนมจนถึงทุกวันนี้ เบเกอร์รี่ของร้านพ่อฉันไม่เป็นสองรองใคร ส่วนลุงรัชก็จบบาริสตามาจากฝรั่งเศส” รอยยิ้มยามเล่าไม่ได้หุบหายไปไหน ปัณณ์ฟังไปลิ้นสัมผัสความหวานล้ำปนเปรี้ยว เสียงของอิศยายิ่งทำให้ขนมอร่อยขึ้นมา

“ยายของฉัน ท่านนิยมทำขนมไทยๆ ค่ะ ฉันชอบไปเรียนกับยาย บ้านของยายเป็นสวนมะม่วงกับส้มโอ ฉันชอบเอาผลไม้มาดัดแปลงผสมกับขนมตะวันตกบ่อยๆ แต่จริงๆ ขนมไทยฉันก็ทำได้นะคะ แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำเท่าไหร่ พอดีพ่อกับยายของฉันไม่ค่อยถูกกัน ยายอยากให้ฉันเปิดร้านขนมไทย จะได้สืบทอดขนมไทยโบราณๆ ไม่ให้สูญหาย ส่วนพ่อก็จะให้ฉันสืบทอดร้านของท่าน สุดท้ายพ่อกับยายเจอหน้ากันทีไรก็ทะเลาะกันทุกที”

เสียงหวานหัวเราะยามนึกภาพทะเลาะวันวานเก่าๆ ถึงยายจะเอาชนะพ่อได้ แต่เธอเองจะถูกท่านบังคับไม่ให้มาหายายบ่อยๆ นึกกี่ครั้ง อิศยาก็คิดว่าการตัดสินใจหนีออกจากร้านพ่อมาแบบนี้ คงจะสร้างความสะใจให้กับยายไม่น้อย

“แล้วร้านที่คุณจะทำ เป็นร้านแบบไหน” ถ้วยแรกหมดไป ปัณณ์เริ่มละเลียดขนมถ้วยที่สอง

“ที่นั่นจะมีทั้งเครื่องดื่ม เบเกอร์รี่ ขนมไทย แล้วก็ขนมฟิวชั่นแปลกๆ ที่ฉันคิดค้นขึ้นมาใหม่ค่ะ แต่ร้านนี้ยังเป็นความฝันเล็กๆ ของฉันเพื่อพิสูจน์ความสามารถของฉันให้พ่อได้รับรู้เท่านั้นเอง”

ดวงตาของคนช่างฝันได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเป็นประกาย ปัณณ์มองราวกับถูกสะกดนิ่ง เขาเริ่มรู้สึกสนุกกับการรับรู้ตัวตนของอิศยาทีละนิดไม่รู้เบื่อ อยากรู้ว่าเสร็จสิ่งนี้ เธอจะก้าวไปทางไหนต่อ...

“แล้วความฝันใหญ่ๆ คืออะไร อย่าบอกนะว่ามันใหญ่กว่านี้เยอะ” เท้าคาง ลดท่าทีเป็นทางการลงไปโดยไม่รู้ตัว

“Sweet Magic ดินแดนของหวานในความฝันฉันค่ะ สักวันอาจจะห้าปี สิบปี ฉันจะต้องทำให้ได้” ไม่ได้ลงรายละเอียดให้ปัณณ์รับรู้ เลือกจะเก็บทุกอย่างอยู่ในใจ รอวันที่เธอจะสร้างสถานที่นั้นสำเร็จ จะมีทั้งพ่อ ยาย ลุงรัช และพาติชิเย่ บาริสตามีฝีมือชั้นครู หลายสำนักไปรวมกันอยู่ที่นั่น

แด่ผู้หลงใหลในขนมหวาน ที่นั่นจะเป็นสวรรค์เลยทีเดียว...

เหมือนใครแถวนี้ที่อาจจะเริ่มหลงเสน่ห์รสมือของเธอเข้าแล้ว...ขนมทั้งสองถ้วยถึงได้หมดเกลี้ยง

....................................................................................

ฮากับตอนที่แล้ว มาน่ารักกับพระเอกต่อกันค่ะ ^^ ตอนนี้ตอนที่แปดแล้ว ว้าววว ดำเนินมาเร็วเหมือนกัน

ขอบคุณที่ติดตามกันมาค่า มีไลค์ด้วย

คุณ icewinter ย่าตลกมากค่ะ จริงๆ ก่อนรีไรท์รอบนี้(นี่รีไรท์ไปแล้วรอบหนึ่ง) เรื่องจะฟุ้งๆ ความคิดนางเอกจะเพ้อมาก ลดไปเยอะแล้ว ฮา

คุณ ariesleo มาสนุกกันต่อนะคะ ต่อจากนี้จะเพิ่มความซึ้งมากขึ้น คิคิ จะมีตัวละครมาป่วนเพิ่มอีกนิดหน่อย ^^

ขอบคุณมากๆ ค่า



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.ย. 2556, 12:05:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.ย. 2556, 12:05:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1541





<< เรื่องน่าอายยามเช้า   ผู้หญิงจากฤดูฝน >>
ariesleo 23 ก.ย. 2556, 17:43:30 น.
มาเร็วจริง ขอบคุณมากๆค๊า
คงไม่ต้องบอกน้า ว่าชอบเรีื่องนี้แค่ไหน
เข้ามารอตลอด


icewinter 23 ก.ย. 2556, 18:34:57 น.
ชอบนางเอกจังเลยค่ะ. พระเอกเริ่มเอียงเอน สนใจนางเอกเข้าแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account