Sweet Magic เวทมนตร์...รสหวาน
ความฝันที่อยากจะทำร้านขนมหวานครบสูตรของอิศยา ทำให้เจ้าหล่อนยอมหันหลังให้กับชีวิตของครอบครัว...และความฝันสุดยิ่งใหญ่ของเธอจะเกิดขึ้นได้ อิศยาต้องยอมทุ่มเทกายใจเอาชนะกำแพงหนาของป้ณณ์ให้ได้...งานช้างแบบนี้ อิศยาไม่มีทางยอมแพ้เขาเด็ดขาด แล้วจะได้รู้ว่าคนอย่างอิศยารุกรานโลกของเขาได้มากขนาดไหน
Tags: เวทมนตร์,รสหวาน,อิศยา,ปัณณ์,ปวรา

ตอน: ผู้หญิงจากฤดูฝน

พรพิรุณทอนเงินให้ลูกค้าซึ่งเป็นเด็กน้อยตัวสูงไม่พ้นเคาว์เตอร์ของร้านให้พร้อมรอยยิ้มใจดี หยิบขนมกรุบกรอบชิ้นเล็กแถมให้ เด็กวัยไม่ถึงสิบขวบ มาซื้อขนมเค้กไปให้เป็นของขวัญวันเกิดแม่จากเงินเก็บทั้งหมด สำหรับเธอมันรู้สึกกระแทกใจคนไม่มีพ่อแม่อย่างจัง
วันนี้คุณขจรต้องออกนอกสถานที่ด้วยการไปส่งขนมให้กับผู้ใหญ่ของจังหวัดด้วยตัวเอง เหลือพนักงานในร้านไว้ไม่กี่คน

สาวชุดเชฟกระดุมแดงสะอาดสะอ้านนั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูง สายตาเฉยชาไร้ความรู้สึกมองไปยังกรอบรูปถ่ายครอบครัวบนเคาว์เตอร์ ถึงจะมีเธอไปร่วมถ่ายในภาพนั้นด้วย แต่คนที่อยู่กลางวงล้อมกลับเป็นผู้หญิงตัวเล็กยิ้มเบิกบาน ส่วนเธอ อีกครึ่งก้าวก็คงจะตกขอบภาพไป
ไม่ว่าเมื่อไหร่ พรพิรุณก็ต้องอยู่นอกสายตาคนอื่นเสมอ...สิ่งที่เธอทำได้ดี ก็ยังไม่ดีพอจะเอาชนะอิศยาได้

เสียงโทรศัพท์ในร้านดังขึ้น เป็นโทรศัพท์ที่แสดงเลขหมายปลายทาง พรพิรุณมองเบอร์ที่ขึ้นต้นด้วย ศูนย์สอง ความรู้สึกบางอย่างบอกว่า ในวันแบบนี้ ถ้าไม่ได้โทรมาสั่งขนม น้อยครั้งจากการโทรมาจากเบอร์กรุงเทพ หากมีการสั่งขนม ส่วนใหญ่จะเป็นโทรศัพท์พกพา

“สวัสดีค่ะ คุณตาเบเกอร์รี่ค่ะ”

“...”

“อิศยา นั่นเธอใช่ไหม” เสียงหวานแปรเปลี่ยนเป็นห้วนกระด้างมากขึ้น “อาไม่อยู่หรอก เธอโทรมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ”

“ที่ร้านเป็นยังไงบ้าง” เสียงเบาเต็มไปด้วยความมั่นใจ พรพิรุณยิ้มหยัน ไม่ได้ซึ้งใจกับความห่วงใยของอิศยาสักนิด

“ไม่มีเธอพวกเราก็ยังอยู่ได้”

“อีกไม่นาน ฉันจะกลับบ้านนะ ฉันจะไปร่วมงานวันเกิดของลุงรัช แล้วก็ทำเครื่องดื่ม”

พรพิรุณดวงตาแข็งขึ้น ความโกรธ ผสมความอิจฉาแล่นริ้ว เธอไม่เคยได้รับความไว้วางใจตั้งแต่แรกจากใครสักคน เธอต้องเป็นตัวสำรองเสมอ หากว่างานนี้อิศยายังอยู่เธอก็คงไม่ได้ทำขนมในงานวันเกิดนั้น

“ถ้าเธอลำบาก แค่มาร่วมงานก็ได้ ฉันว่าที่ร้านเราคงสะดวกใจมากกว่า” พรพิรุณคาดว่าปลายสายต้องโกรธ และปาหูโทรศัพท์ใส่เธอ
“ตามนั้นก็ได้”

ง่ายๆ...ไม่มีการโวยวายใดๆ ทั้งสิ้น พรพิรุณส่งเสียงหึ ทำไมอิศยาชอบทำให้เธอรู้สึกเป็นนางร้ายขี้อิจฉาอยู่เรื่อย “ความฝันของเธอคงจะเดินต่อไปไม่ได้แล้ว ถึงได้คิดจะกลับมาที่ร้าน”

“เธอนี่น่าสงสารจริงๆ เลยอุ่น เธอรู้ตัวบ้างไหม” วาจาเนิบๆ โทนเดียวมีกระแสเสียงความอ่อนอกอ่อนใจในนั้น พรพิรุณได้ยินกำหูโทรศัพท์แน่นจนข้อนิ้วขึ้นขาว ปากสั่นด้วยความโกรธจนแทบระเบิดรอมร่อ “ความกลัวของเธอฉันสัมผัสได้ อุ่น เธอเลิกกลัวฉันสักที ฉันไม่เคยคิดแข่งกับเธอ และถ้าการที่ฉันกลับไปเพื่อจะบอกพ่อว่าความฝันของฉันกำลังเดินไปอีกก้าว มันคงไม่ได้หมายความว่าฉันเจอกับทางตันจนเดินต่อไปไม่ได้ใช่ไหม”

“หึ...ฉันไม่เชื่อ สุดท้ายไม่ว่าจะทางไหนทุกอย่างมันก็ต้องเป็นของเธอหมด”

“โลกของฉันคือการมองไปข้างหน้า แต่ไม่ใช่การลืมคนข้างหลัง ในวันนี้เธออาจจะยังไม่เชื่อ แต่ฉันกำลังเริ่มทำมัน ส่วนชีวิตของเธอคือการจมปลักอยู่กับเงาของฉัน ถ้าเธอยังหลุดพ้นความเกลียดชังอยากเอาชนะในใจตัวเองไม่ได้ เธอเองนั่นแหละที่มัวแต่ย่ำเท้าอยู่กับที่ เลิกเอาตัวเองมาแข่งกับฉันได้แล้ว ”

“หยุดพูดเดี๋ยวนี้!...กึก” กระแทกหูโทรศัพท์ไปด้วยแรงอารมณ์ สีหน้าบิดเบี้ยวสะกดกลั้นเสียงกรีดร้องจนใบหน้าแดงก่ำ

ที่อิศยาพูดมาคือความจริง แต่ถ้าอิศยาไม่เป็นเธอจะไม่มีวันเข้าใจได้เลย คนที่ต้องเติบโตภายใต้เงา มองใครต่อใครเชิดชูคนในวัยเดียวกันเสียจนคนละระดับกับเธอมันเป็นเช่นไร อิศยามีทุกอย่าง ได้ทุกอย่าง ตรงกันข้ามกับเธอ ครอบครัว เธอก็ไม่มี ความรักจากคนรอบข้างยิ่งไม่เหลือ

โดยที่เธอลืมนึกถึงสิ่งสำคัญไปอย่าง การจะได้รับความรักจากใครสักคน คือการต้องให้ความรักกับคนเหล่านั้นก่อน พรพิรุณไม่เคยคิดถึงเรื่องพรรค์นั้นเลย

ในมุมหนึ่งของร้าน เจนจิราและร้อยกรองแอบฟังบทสนทนาทางโทรศัพท์โดยตลอด ถึงจะไม่รู้ว่าอิศยาพูดอะไร แต่ก็เล่นพรพิรุณโกรธหน้าดำหน้าแดง จนเจ้าตัวฟิวส์ขาดเดินหายไปนอกร้านนั่นไง

“วางท่าดีนัก” เจนจิรามุมปากเหยียดยิ้ม แท็กมือกับเพื่อนรักด้วยความสะใจ

“ถึงน้องย่าจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ ก็ยังไปสะกิดเส้นประสาทของน้องอุ่นได้ตลอด”

อนิจจา...ถึงพรพิรุณมีโอกาสได้ขึ้นในตำแหน่งสูง จะมีใครเล่าที่เคารพตัวหล่อนจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ


พูดแรงไปหรือเปล่า...

อิศยาวางโทรศัพท์ลงบนแป้น สัญญาณปลายสายตอนสุดท้ายกระแทกแรงแบบนั้น ป่านนี้พรพิรุณคงโกรธจัด

ตั้งใจใช้โทรศัพท์ของร้าน แล้วดัดเสียงคุยกับพ่อแม่ให้หายคิดถึง แต่ได้ยินเสียงของพรพิรุณ ความตั้งใจทั้งหลายทั้งมวลต้องพับเก็บใส่กล่อง กว่าจะหาเสียงเจอ ทางนั้นก็จับได้ว่าเป็นเธอเสียแล้ว

เสียงถอนหายใจยาวเหยียด ในใจเธออยากจะเป็นพี่เป็นน้อง เป็นญาติที่ดีของพรพิรุณ แต่ทางนั้นเล่นปิดตายตัวเอง ตั้งเธอเป็นคู่แข่งหมายเลขหนึ่งเสมอมา ทั้งที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง เรียนทำเบเกอร์รี่มาพร้อมๆ กัน บางทีพรพิรุณอาจจะอยู่กับพ่อของเธอมากกว่าตัวเธอเองด้วยซ้ำ สำหรับลูกสาวคุณขจรเธอชอบชีวิตผาดโผน วันนี้อยากเรียนเครื่องดื่มก็วิ่งไปร้านของคุณลุงรัช วันนี้อยากทำขนมไทยก็โหนรถเมล์ไปลงบ้านสวนของยาย ไม่เหมือนพรพิรุณ ที่เลือกผูกติดอยู่กับร้านคุณตาเพียงอย่างเดียว ทุกๆ วันจะมุ่งทำทุกอย่างออกมาให้ดีเยี่ยม แบบแผน ตามที่พ่อของเธอเป็น พรพิรุณสามารถทำรสชาติได้รสเดียวกับพ่อของเธอ

จริงๆ เธอว่าคนก็ควรจะยกย่องพรพิรุณในความอุตสาหะนั้นด้วยซ้ำ...แต่คนทำขนมมันก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ต้องมีการประยุกต์ดัดแปลง พลิกแพลงอยู่เรื่อยๆ การเดินตามรอยเท้าของใครก็ทำได้แค่ของลอกเลียนแบบ ไม่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่

อิศยาถึงอยากให้พรพิรุณหลุดจากทั้งเงาของเธอ และเงาของพ่อเสียที...เส้นทางของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน บางทีพรพิรุณเขาเองก็คงเลือกทางของตัวเองแล้ว

สายฝนนอกร้านหนังสือเริ่มโปรยปรายลงมา จากเป็นหยดน้อยๆ เริ่มลงหนักขึ้น ไม่รู้ว่าเธอต้องมาเป็นพนักงานจำเป็นในร้านนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปุณณ์พร้อมกลุ่มเพื่อนจงใจโยนภาระนี้ให้เธอเฝ้า สอนวิธีติ๊กหนังสือยืมคืน ก็ยกโขยงกันไปเล่นฟุตบอลกันต่อ
เสียงน้ำกระทบหลังคา และพื้นหน้าร้านเป็นสายพร่าง ฟ้าครึ้มชนิดมัวหม่นไม่เห็นแสงตะวันที่คล้อยต่ำใกล้ลาลับขอบฟ้า อิศยาเท้าคางมองเรื่อยเปื่อย ปล่อยใจให้ว่าง จนเกือบจะหลับนั่นล่ะที่เสียงประตูจากอีกด้านเปิดขึ้น

ผมสั้นของปัณณ์ลู่แนบใบหน้า ตัวเสื้อเปียก เขาคงจะโดนฝนสาดใส่...อิศยาลุกขึ้น ตื่นเต็มตา มองหาผ้าสะอาดที่น่าจะพอเช็ดให้ตัวของปัณณ์หมาด แต่ไม่พบเลยสักอย่าง

แบบถูกม้วนเก็บถูกกอดไว้แน่น ไม่ได้เปียกฝนเลยสักหยดเดียว เขาเอาตัวเองบังฝนไว้สิท่า...เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก

“เจ้าปูนไปไหน”

“ไปเตะบอลค่ะ” หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กสีฟ้า ลายก้อนเมฆยื่นส่งให้เขา “เช็ดหน้าเช็ดตาก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวไม่สบายเอา ฉันเองก็ลืมว่าคุณอยู่ที่ร้าน ไม่อย่างนั้นคงรีบไปช่วยเก็บของ”

คนถูกลืมกดสายตาลงต่ำ ปกติไม่ค่อยใส่ใจกับการได้อยู่ในสายตาของใครสักคนอยู่แล้ว แต่การถูกคนที่ชอบมาวุ่นวายในชีวิตช่วงระยะนี้ลืม มันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เขามัวแต่วาดแบบแปลนของร้านจอมรุกรานจนเสร็จ จนลืมดูฟ้าดูฝน มารู้สึกอีกทีฝนก็เริ่มเทลงมา

“ขอบใจ” รับไปเช็ดใบหน้าและผมให้หมาด สายตายังจับจ้องร่างเล็กที่รีบไปจังจองมุมหนังสือนิยายมุมโปรดของตัวเอง หยิบเล่มที่ถูกใจมาเล่มหนึ่ง นั่งขัดสมาธิลงไปบนพื้น หลังพิงกับชั้นหนังสือ คั่นเวลาที่ออกจากร้านในช่วงฝนตกไม่ได้

กลับห้องไปก็น่าเบื่อ ฝนตกหนักแบบนั้น ร่มสักคันก็ไม่มี สู้อยู่อ่านนิยายตากแอร์ อาจต้องร่วมใช้อากาศหายใจในห้องกับจอมมาร แต่ถ้าเธอไม่ไปเหยียบเท้าแหย่หนวดเขาเข้า เธอก็น่าจะสงบสุขในห้องนี้ได้ไม่ยาก

เข็มนาฬิกาเคลื่อนผ่านจากหนึ่งชั่วโมงเป็นสองชั่วโมง ปัณณ์ซึ่งเปิดคอมพิวเตอร์นั่งทำงาน เช็คอีเมลล์จากทางเลขา นุชรีรู้ดีว่าเขาจะเช็คงานสำคัญของทุกวันในตอนเย็น ก่อนหกโมงเย็น นุชรีจำต้องรวบรวมข้อมูลสรุปลงไปในอีเมลล์ให้ครบ

พรุ่งนี้เขาต้องกลับไปสวมสูท ตีหน้าเคร่งที่ห้องประชุมอีกครั้ง หัวข้อก็ยังไม่พ้นเรื่องการสร้างโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ดีเอสเคยสร้างในเมืองไทย แบบ ที่ใช้ต้องส่งประกวดมาจากสถาปนิกทั่วโลก เขารู้ตัวว่างานใหญ่อย่างนี้เขาไม่ได้ชนะง่ายๆ ปัณณ์ไม่มีความคิดอยากได้ที่หนึ่งอยู่แล้ว

ปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ ยืดแข้งยืดขาไล่อาการขบเมื่อย มีลูกค้าเข้ามาบ้างประปราย แต่ไม่มีใครสักคนเดินไปทางโซนนิยาย ลูกค้ากว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ส่วนมากล้วนมาเพื่อเช่าการ์ตูน ร้านต้องคอยทำให้หนังสือเป็นปัจจุบัน เล่มใหม่ล่าสุดต้องเข้า ปัณณ์ไม่ได้ทำเองอยู่แล้ว ร้านนี้เขาเปิดมาเพื่อให้ปุณณ์ดูแล ส่วนตัวเองขอแค่พื้นที่เล็กๆ หลังร้านเท่านั้น

ฝนหยุดตกไปเมื่อสิบนาทีก่อน ใครบางคนก็ยังไม่ยอมกลับ ตุบ...เสียงหนังสือหล่นบนพื้นทำให้ปัณณ์ต้องหันไปมอง ภาพผู้หญิงตัวเล็กนั่งขาเหยียดยาว หลับตาพริ้มหัวพิงกับชั้นหนังสือ ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ

ร่างสูงเดินให้เบาที่สุดเหมือนเด็กกลัวผู้ใหญ่จับได้ ยอบตัวลงนั่งยองเสมอกับใบหน้าของอิศยา ใบหน้าหวาน ขาวเนียนมีรอยยิ้มแต้มมุมปากน้อยๆ บ่งบอกว่าในฝันคงเป็นเรื่องดี

ปัณณ์ยิ้มตาม เก็บหนังสือที่หล่นข้างตัวกลับเข้าที่อย่างระวัง ความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างยามเห็นอิศยานอนหลับพักผ่อนกวนใจเขา
มือหนาวางลงบนผมนุ่มราวกับเส้นไหมสีดำสนิท วางลงไปเบามือกลัวจะทำให้อิศยาต้องตื่น “ที่ทำมาทั้งหมด คงเหนื่อยแย่เลยนะ รู้ไหมว่าขนมฝีมือคุณอร่อยจริงๆ บนดาวแห่งความฝันของคุณคงจะบรรจุตำราลับไว้เยอะสิท่า หรือมียาชูกำลังอะไรที่ทำให้คุณไม่เหน็ดเหนื่อย หืม” ลูบเบาๆ อีกสองสามครั้ง คนตัวเล็กขยับตัวเล็กน้อย ส่งเสียงในลำคอประท้วงเบาๆ แต่ยังหลับตาสนิท

“ขี้เซาเอ๊ย” คนทำการรุกรานการนอนหลับของคนอื่นหัวเราะเบาๆ ในลำคอ แค่ได้เห็นใครบางคนหลับ เขาก็รู้สึกสนุกกับการได้ก่อกวนเธอคืนบ้างเล็กๆ น้อยๆ มือหนายังวางบนผมไม่ปล่อย ความนุ่มดังแพรไหม ทำให้เขาอยากจะวางค้างไว้อย่างนั้นอีกสักพัก

“ตะเลงเตงเต๊ง...”

แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะเข้าข้างปัณณ์เสมอไป เขาหดมือกลับมาแทบไม่ทัน...เสียงเรียกเข้าเพลงระนาดกรีดร้อง ปลุกให้อิศยาต้องลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตาสบกับปัณณ์ด้วยความฉงนสงสัย สัมผัสอุ่นวาบบนกระหม่อมยังเหลือทิ้งไว้ แต่ไม่มีอะไรอยู่บนหัวเธอในตอนนี้
ปัณณ์ตีหน้านิ่ง ลุกขึ้นยืน พยายามไม่สบตาคนเพิ่งตื่น “ตั้งใจมาปลุก ตอนนี้ก็มืดแล้ว รีบๆ รับโทรศัพท์ด้วย”

อิศยามองตาใสแจ๋ว รู้สึกว่าปัณณ์มีท่าทีแปลกๆ แต่ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป รู้ดีว่าเวลานี้ใครกันที่จะโทรเข้ามา

“ว่าไงคะพี่แจนพี่กลอน”

แจน กลอน ปัณณ์จดจำทั้งสองชื่อโดยไม่รู้ตัว บุคคลที่มาขัดเวลาความสงบสุขของเขา

สงบสุข...ปัณณ์ตกตะลึงกับความคิดของตัวเองไม่น้อย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกสงบสุขยามได้อยู่กับผู้รุกรานจอมจุ้น

ไม่หรอก มันก็แค่ความรู้สึกชั่วครั้งชั่วคราว การไม่พบเจอกันหลายๆ วัน เขาน่าจะไม่รู้สึกอะไรแปลกๆ แบบนั้นอีก ปัณณ์นึกแก้ตัวให้ตัวเอง เดินกลับไปนั่งสงบสติ หยุดความคิดแปลกๆ เสียที


“ตอนนี้มีผู้ตอบรับร่วมการเข้าร่วมหลายท่านแล้วค่ะ คุณแอนเดอร์สัน คุณเหลียงตงหยวิ๋น คุณคิมจงมิน คุณปัทมา อาลี คุณอากินาว่า ซายะ ตัวเก็งในการเข้ารอบทั้งนั้นค่ะ”

ภาพบนสไลด์เลื่อนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ปัณณ์มองภาพจาพการพรีเซนต์ถึงผลงานเก่าๆ ของแต่ละคนให้รับฟัง แต่ละแบบมีเอกลักษณ์แตกต่างเฉพาะตัว ส่วนใหญ่เน้นการออกแบบตามรูปแบบของประเทศตนทั้งสิ้น

ณ ตอนนี้ปัณณ์ยังไม่มั่นใจว่าควรส่งรายชื่อของตัวเองเข้าร่วมประกวดในครั้งนี้ด้วยหรือไม่ สายตาจากคนนอกจะมองอย่างไร ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ครุ่นคิดหนัก เรื่องการออกแบบเขาไมได้นึกกลัว ตรงกันข้ามมันออกจะน่าท้าทายสำหรับเขาในการได้ลงแข่งประชัญแบบแปลนกับเหล่าสถาปนิกเก่งๆ จากทั่วโลก

ภาพสไลด์การรายงานจบลง ทั้งห้องเงียบกริบ รอรับฟังจากท่านประธานใหญ่ภายในห้องประชุมนี้

นี่ก็อีกอย่าง การที่เขาต้องรับดูแลงานใหญ่เป็นงานที่สาม ดำเนินการประชุม สั่งการคนผมดำผมหงอก ไม่รู้ว่าลุงกับลูกพี่ลูกน้องเขาคิดอะไรกันแน่...

“ผมอยากจะทราบวิธีการตัดสิน”

“ในขั้นต้นก่อนจะเลือกแบบจนเหลือสามแบบ ทางเราจะใช้กรรมการจากทางดีเอสคอนสตรัคชั่น และจากทางของคุณวสุธร ซึ่งดูแลดีเอสแกรนด์เจ้าของโปรเจ็กต์โรงแรมหกดาวครั้งนี้ค่ะ รวมทั้งหมดจะเป็นเก้าท่าน”

คำรายงานจากทางพนักงานด้านการวางแผนกล่าวชัดถ้อยชัดคำ ปัณณ์กุมมือบนโต๊ะ รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมในการตัดสิน “คัดเลือกกรรมการอิสระมาอีกสี่ท่าน เราต้องทำให้การเลือกโปร่งใส ไม่มีการใช้เส้นสาย ถึงผมจะรู้ว่าทั้งเก้าท่านที่ว่ามาต่างเชื่อถือได้ เพราะว่าก็ร่วมงานกันมาหลายครั้ง แต่คนภายนอกอาจจะไม่เชื่อใจ ทุกคะแนนการตัดสินบนหน้ากระดาษของกรรมการทุกท่าน หากผู้เข้าร่วมต้องการดู เราต้องให้เขาดูได้”

เลขาส่วนตัวของปัณณ์จดคำสั่งใส่กระดาษเป็นมือระวิง ปัณณ์ยังมีคำถามอีกอย่างที่เขาต้องรู้ภายในวันนี้

“การตัดสินรอบสุดท้าย ใช้อะไรเป็นตัวตัดสิน”

“จำนวนคนหนึ่งพันคน งานของเราจะจัดตรงส่วนไหนในตอนนี้จะเก็บไว้เป็นความลับกับทุกฝ่ายครับ...แต่ถ้าคุณปัณณ์อยากทราบก่อน เราจะนำมาบอกให้ทราบได้ แต่เราจะเปลี่ยนสถานที่ได้ทุกเมื่อ เพื่อป้องกันการโกงจากคนภายใน ใช้เวลาจัดงานไม่ถึงครึ่งวัน โดยช่วงแรกจะเป็นการพรีเซนต์งานของคนที่เข้ารอบสามคนสุดท้ายให้คนจำนวนหนึ่งพันคนฟัง ชั่วโมงต่อมาจะเป็นการลงคะแนนเลือก และนับคะแนน ประกาศผลพร้อมเซ็นสัญญากับแบบที่ชนะนั้นครับ”

ปัณณ์รู้ว่ามีพนักงานหลายคนไม่ต่างจากพนักงานชายคนนี้ ตรงที่ไม่ไว้ใจกับการตัดสินของบริษัทถ้าตราบใดมีเขาลงแข่งด้วย...เขาอยากจะพิสูจน์ตัวเองเพื่องานนี้จริงๆ

พิสูจน์ คำๆ เดียวเขายังเผลอใช้เหมือนกับผู้รุกรานอีกจนได้

ปัณณ์ตั้งสติกับการประชุม “ในส่วนนี้ผมเองก็เห็นด้วย ไม่คัดค้าน”

เสียงถอนหายใจโล่งอกดังมาจากหลายทางให้ได้ยิน ปัณณ์ส่งสายตาดุปราม “แต่การให้ลงคะแนนเสียงด้วยการหย่อนลูกบอลอย่างที่แล้วมา ไม่คิดว่ามันง่ายไปหรือครับ ระดับของดีเอสคอนสตรัคชั่น น่าจะมีความคิดที่สร้างสรรค์กว่านี้” ตั้งใจถามกันอย่างถ้วนหน้า สายตาเลื่อนมองขนมว่างเป็นครัวซองจืดๆ กับกาแฟไม่มีความเข้มข้นสักนิด ความคิดหนึ่งยิ่งบรรเจิด

“พวกเราใช้ลูกโป่งดีไหมคะ”

อีกหลายเสียงต่างช่วยกันสนับสนุนอีกหลายอย่าง ปัณณ์ยกมือขึ้นห้าม รอยยิ้มมุมปากเผยขึ้น “ผมคิดวิธียิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวออก” มือจับขนมปังบนโต๊ะขึ้นชู “กี่ปีแล้วที่ขนมของบริษัทลูกในเครือดีเอสของเราไม่ได้รับการพัฒนา”

ทุกคนกำลังสงสัยกับการเริ่มเรื่องคนละทิศกับสิ่งที่ควรจะเป็นในด้านการตัดสินผลการคัดเลือกแบบแปลนมากกว่า แต่ในช่วงอึดใจ ทุกอย่างก็คลี่คลาย “เราควรถือโอกาสนี้พัฒนาฝ่ายขนมไปในตัว ในเครือโรงแรมของดีเอสเองก็ขึ้นชื่อแต่อาหารคาว เชฟมิชลินมีหลายคน ใครๆ ก็ชื่นชม แต่กับเรื่องขนมหวานดีเอสของเราไม่ค่อยมีใครพูดถึง เราก็ควรจะขึ้นชื่อทางด้านอาหารในทุกๆ ด้าน ผมมีความคิดเห็นว่าในการตัดสินจากหนึ่งพันคนเรื่องการคัดเลือกแบบ เราควรใช้วิธีจากขนม”

“ทำยังไงคะ ขนมถ้ารสชาติไม่ไหว ดีเอสไม่เท่ากับเสียชื่อเหรอคะ”

“เราจะคัดเลือกขนมจากทั้งหมดที่เข้าแข่งขัน ใช้เป็นการแข่งขันแยก ให้เหลือห้าทีมในรอบสุดท้ายใช้กรรมการกิตติมศักดิ์ของบริษัทเป็นคนตัดสิน วิธีการแข่งขันเราจะยังไม่ระบุในการรับสมัคร ให้เป็นการแข่งขันภายใน แต่ใช้คนนอกตัดสิน ทีมที่ชนะจะได้ดูแลขนมของดีเอสแกรนด์เบเกอร์รี่ ส่วนทีมที่เหลือจะถือเป็นทีมพันธมิตรของดีเอส เราจะมีโอกาสร่วมทำงานด้วยกัน”

“แล้วคนทำเบเกอร์รี่ของเราที่มีอยู่ก่อนหน้าล่ะครับจะเอาพวกเขาไปไว้ไหน”

“พวกเขาไม่อยู่ในข้อยกเว้น ถ้ายังอยากทำงานกับดีเอส สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือลงแข่งขันครั้งนี้ หรือถ้าจะลาออกไปก่อนก็ได้ เพราะถ้าพวกเขาไม่ลงแข่ง ในวันงานจริง ถ้าทีมที่ลงแข่งขันมีทีมชนะ พวกเขาก็ต้องออกอยู่ดี” คนนั่งบนตำแหน่งสูงสุดหยุดเสียงนินทาให้เงียบด้วยความเด็ดขาด หลายคนมองเจ้านายตัวเองเหมือนปีศาจไร้หัวใจ

“เราต้องติดต่อต่างประเทศ หาเชฟยุ่งยากอีกนะครับ” หัวหน้าพนักงานชายคนเดิมยังใจกล้าอาจหาญซักไซร้ผู้เป็นนายต่อไปด้วยหัวข้ออื่น
ปัณณ์ยกมือห้าม ใบหน้านิ่งเฉย แต่แววตาเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ “หัดไว้ใจฝีมือคนไทยบ้าง คนไทยเก่งๆ ฝีมือดีๆ บางทีอาจจะเก่งกว่าเชฟฝรั่งที่พวกคุณเคยรู้จักก็ได้ งานนี้ผมขอให้จำกัดวงในการประกวดขนมแค่ในไทย ผมให้พวกคุณประกาศออกไป กรรมการจะเป็นแวดวงนักการอาหาร และผมขอคัดกรรมการจากพนักงานในบริษัทเราอีกส่วนหนึ่ง เป็นการคัดเลือกทีมห้าทีมในรอบแรก”

“ทำไมทำแบบนั้นคะ”

ปัณณ์ยิ้มมุมปากอีกครั้งกระชากใจสาวเล็กสาวใหญ่ให้ใจปลิดปลิวหายไป บ่อยครั้งเสียที่ไหนที่คนในบริษัทจะมีโอกาสได้พบรอยยิ้มของมนุษย์โลกส่วนตัวสูงจอมดุคนนี้

“อาหารจะอร่อยไม่อร่อย ไม่ได้วัดจากแค่ในตำรา หรือแค่นักชิม คนที่ซื้อกินเขาก็ดูว่าถูกปากมากน้อยแค่ไหน คนที่ไม่รู้หลักการ เขาจะใช้ความรู้สึกในการเลือกตามสัญชาตญาณตัวเอง ผมว่าประเภทหลังก็เปรียบได้กับคนที่กินทั่วไปในสังคม จำเป็นต้องมี ถ้าคนกลุ่มหลังถูกใจ เชื่อได้ว่าในงานตัดสินที่มีขนมเป็นตัวเลือกแบบ พวกเขาจะมีความสุข และเป็นการโปรโมทของหวานของดีเอสแกรนด์เบเกอร์รี่ไปในตัวอีกอย่าง”

ปัณณ์เดินออกมาจากห้องประชุม ส่ายศีรษะให้กับตัวเองด้วยความปลงตก แต่ใบหน้ายังยิ้มมุมปาก การตัดสินใจเกี่ยวกับขนม เขามีอิศยาเป็นตัวขับเคลื่อนทางความคิดอีกแล้ว...


...............................................................................................................

ในที่สุดตัวละครตัวนี้ก็เปิดมาเต็มตัว ตอนเขียนพรพิรุณ เป็นตัวละครที่เขียนไปแล้วรู้สึกรักมากๆ เลยค่ะ ไม่รู้ทำไม ฮาา วันนี้มาช้า แต่เขายังมานะเออ อิอิ

ขอบคุณขาประจำทั้งสอง :)

คุณ ariesleo ขอบคุณที่รักกันมากขนาดนี้ค่ะ สัญญาว่าจะเขียนให้ดีๆ ยิ่งขึ้นด้วย จะพยายามมาอัพให้บ่อยๆ เลย

คุณ icewinter ชอบนางเอก แต่จะเกลียดพรพิรุณหรือเปล่าเนี่ย ฮาา ย่าเขามีเวทมนตร์อันใดหนอถึงได้ทำใจพระเอกแกว่งได้ ฮาา

ขอบคุณสำหรับไลค์ด้วยค่า ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ^_^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2556, 18:50:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.พ. 2558, 22:09:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1454





<< มุมน่ารักของจอมมาร   องศา(เดือด) >>
ariesleo 24 ก.ย. 2556, 23:17:57 น.
มีแอบลูบผมด้วย
รอตอนต่อไปจ้า
อิ อิ


icewinter 25 ก.ย. 2556, 00:32:27 น.
พระเอกเริ่มวางแผนละค่ะ. รอลุ้นๆๆ


Auuuu 25 ก.ย. 2556, 04:47:56 น.
อ่านยาวๆทีเดียวเลย ชอบค่า อ่านแล้วยิ้มทุกคอนเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account