ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก (สนพ.กรีนมายด์) วางแผงเร็วๆ นี้
เมื่อย่างเข้าสู่วัยเบญเพสมักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งอาจจะมีทั้งดีและร้าย แต่สำหรับ ’กานต์พิชชา’ การได้พบกับวิญญาณของ ‘ศิวา ศิโรรัตน์’ ดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของสาวๆ ทั้งประเทศ เธอไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะว่าเขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับน่ารักเสียจนเธอเผลอหลงรักวิญญาณเข้าเต็มเปา แล้วกานต์พิชชาควรจะจัดการกับหัวใจของตัวเองยังไงดี เพราะคุณวิญญาณรูปหล่อคอยวนเวียนตามป่วนหัวใจแถมหึงหวงเธออยู่ตลอดเวลา
“ผมหึงคุณหึงมาก ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาใกล้ชิดคุณ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพูดถึงผู้ชายคนไหนต่อหน้าผมด้วย” พูดจบศิวาก็ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าสวยคมของคนที่กำลังมองสบตาเขาอย่างงุนงงทันที
กานต์พิชชายืนนิ่งตะลึงงัน เมื่อริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มประทับลงมาบนกลีบปากบางของเธอ ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะโปร่งแสงเป็นเพียงวิญญาณที่ไร้เลือดเนื้อ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่หญิงสาวกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนนุ่มนวล และเจือปนไปด้วยความอ่อนหวานที่ค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ก่อนจะลามไปทั่วร่างระหงราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นของเจ้าของรอยจูบนั้น
แต่ความรักครั้งนี้จะสมหวังได้อย่างไร ถ้าเขายังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ศิวาต้องไขปริศนาความทรงจำที่หายไป และหาวิธีกลับเข้าร่างของตัวเองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ชายหนุ่มจะทำได้หรือไม่ และความรักของทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร มาร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้คนทั้งคู่ได้ใน ‘ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก’

***เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้ว ขอลงให้อ่านแค่ครึ่งเรื่องคือ 12 ตอนนะคะ ส่วนครึ่งเรื่องที่เหลือรบกวนติดตามอ่านต่อในเล่มค่ะ จะวางแผงสิ้นเดือนกันยายนนี้แล้วค่ะ***
Tags: กุ๊กกิ๊ก,หวานแหวว,แฟนตาซี

ตอน: ตอนที่ 6

“อ้าว! คุณศิวา” กานต์พิชชาทักขึ้นเบาๆ เมื่อแต่งหน้าเค้กมะพร้าวอ่อนเสร็จเรียบร้อยแล้วหมุนตัวหันกลับมาเจอร่างโปร่งแสงของศิวายืนอยู่ทางด้านหลัง ซึ่งทำให้หญิงสาวรู้ได้ทันทีว่าวิญญาณชายหนุ่มยังไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ เพราะถ้าหากศิวากลับเข้าร่างได้แล้ว เธอก็คงจะไม่เห็นเขามายืนอยู่ตรงนี้หรอก

“ไม่สำเร็จครับ ผมยังกลับเข้าร่างไม่ได้เลย” ศิวาบอกหญิงสาวเสียงแผ่วสีหน้าเศร้าซึมอย่างเห็นได้ชัด กานต์พิชชาจึงได้แต่มองชายหนุ่มด้วยแววตาเห็นใจ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อให้ชายหนุ่มหายซึม

“ถ้าอย่างงั้นฉันว่าคุณออกไปข้างนอกกับฉันดีกว่า วันนี้ร้านฉันขายดีตั้งแต่เช้าเลยนะคะ เพราะว่าเป็นวันเสาร์ มีพวกเด็กๆ ที่เลิกเรียนพิเศษมานั่งกินเค้กแล้วก็อ่านหนังสือกันเยอะแยะเลย แล้วที่สำคัญก็คือส่วนมากจะเป็นแฟนคลับของคุณทั้งนั้น คุณน่าจะลองถือโอกาสนี้เข้าอยู่ไปใกล้ชิดกับแฟนคลับของคุณ แล้วก็ฟังว่าทุกคนรู้สึก แล้วก็พูดคุยถึงคุณว่ายังไงบ้าง เพื่อเก็บเป็นข้อมูลไงคะ”

ศิวาเลิกคิ้วเข้มของเขาเล็กน้อย พลางมองใบหน้าสวยคมที่กำลังยิ้มแย้มของผู้หญิงตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจนัก

“ตามฉันมาสิคะ คุณจะได้รู้จักกับแฟนคลับของคุณในมุมมองที่ไม่เหมือนกับที่คุณหรือว่าดาราคนไหนเคยเจอมายังไงล่ะคะ” พูดจบหญิงสาวก็เดินนำออกไปจากห้องทันที ชายหนุ่มจึงรีบเดินตามหญิงสาวออกไป


กานต์พิชชาจัดให้มีการเล่นเกมชื่อว่า แฟนพันธ์แท้ศิวา ศิโรรัตน์ ขึ้นแบบกะทันหันท่ามกลางความงุนงงของพราวตา ปรางทิพย์ และมนตรา โดยใช้วิธีตั้งคำถามให้ทุกคนตอบเกี่ยวกับเรื่องของศิวา ถ้าใครตอบถูกก็จะได้รับรางวัลเป็นขนมและเครื่องดื่มฟรีทันที ซึ่งก็สร้างความสนุกสนานเฮฮาให้กับลูกค้าที่อยู่ภายในร้านเป็นอันมาก รวมทั้งศิวาซึ่งคอยบอกคำถามและเฉลยตอบที่ถูกต้องให้หญิงสาวด้วย เพราะชายหนุ่มอมยิ้มและหัวเราะอยู่ตลอดเวลา

“เอาล่ะค่ะสำหรับคำถามข้อนี้เป็นคำถามข้อสุดท้ายแล้วนะคะ รางวัลก็คือเค้กไวท์ช็อกโกแล็ตฟรีหนึ่งชิ้นกับเครื่องดื่มฟรีอีกหนึ่งแก้วแล้วแต่คนที่ตอบถูกจะเลือกนะคะ ในเมื่อเป็นคำถามข้อสุดท้ายเพราะฉะนั้นคำถามก็ต้องเป็นอะไรที่พิเศษๆ หน่อยนะจ๊ะ อืม...ถามว่าอะไรดีน้า...” กานต์พิชชาพูดกับเด็กๆ และถือโอกาสบอกกับศิวาเป็นนัยว่าเขาต้องตั้งคำถามที่พิเศษจริงๆ ให้เธอเป็นคำถามสุดท้าย เพราะว่าคำถามที่ผ่านมาบรรดาแฟนคลับของเขาดูจะรู้ดีไปหมด ไม่ว่าจะวันเกิดของเขาคือวันที่ 18 มีนาคม สีที่เขาชอบคือสีขาว ดอกไม้ที่เขาชอบคือดอกกุหลาบสีขาว และอื่นๆ อีกมากมายที่กานต์พิชชาก็พลอยได้รู้ในวันนี้ไปด้วย

“คุณถามพวกน้องๆ ว่าผมชอบทานเค้กอะไรมากที่สุดสิครับ” ศิวาบอกกับหญิงสาว กานต์พิชชาพยักหน้า ก่อนจะตั้งคำถามกับพวกเด็กๆ ว่า

“คำถามข้อสุดท้ายก็คือ ใครรู้บ้างว่าคุณศิวาชอบทานเค้กอะไรมากที่สุด ยกมือตอบได้เลยจ้า”

ทุกคนต่างก็แย่งกันตอบชื่อเค้กที่คิดว่าผู้ชายน่าจะชอบรับประทานทั้งเค้กกาแฟ เค้กช็อกโกแลตและอื่นๆ แต่ศิวาก็ยังส่ายหน้า กานต์พิชชาจึงกับพวกเด็กๆ ว่าคำตอบยังไม่ถูกต้อง ทุกคนพากันบ่นทันทีว่าคำถามข้อนี้ยากมากและต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าศิวาไม่เคยให้สัมภาษณ์ที่ไหนเกี่ยวกับเรื่องเค้กที่เขาชอบรับประทานเลยสักครั้ง พร้อมทั้งขอให้กานต์พิชชาช่วยบอกใบ้คำตอบด้วย ศิวาจึงบอกคำใบ้กับกานต์พิชชาว่า

“ในร้านคุณมีเค้กที่ผมชอบ แล้วเค้กชนิดนี้ก็มีส่วนผสมของผลไม้ชนิดหนึ่งอยู่ด้วยครับ” กานต์พิชชาบอกกับพวกเด็กๆ ตามที่ชายหนุ่มบอกทันที แล้วทุกคนก็แย่งกันตอบชื่อเค้กผลไม้ออกมาทันที ทั้งเค้กมะพร้าว เค้กสตอเบอรี่ เค้กกีวี่ เค้กส้ม และสารพัดเค้กผลไม้ที่ในร้านของกานต์พิชชามี แต่ก็ยังไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องเสียที จนศิวาต้องบอกให้กานต์พิชชาใบ้ว่า เป็นผลไม้ที่มีสีม่วง ซึ่งก็ทำให้เด็กสาวคนหนึ่งยกมือขึ้นทันทีแล้วตอบอย่างมั่นใจว่า

“บูลเบอรี่ชีสเค้กค่ะพี่ตอง”

ศิวาพยักหน้าให้หญิงสาวทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของเด็กสาวรุ่นน้อง

“คำตอบนี้...เป็นคำตอบที่...ถูกต้องนะคะ” พูดจบกานต์พิชชาก็ปรบมือให้เด็กสาวรุ่นน้องทันทีซึ่งทุกคนต่างก็พากันร่วมปรบมือไปด้วย ก่อนที่หญิงสาวจะบอกกับเด็กสาวรุ่นน้องคนนั้นไปรับรางวัลได้ที่เคาเตอร์

“คุณตองคิดยังไงถึงจัดเล่นเกมแฟนพันธุ์แท้คุณศิวาขึ้นมาคะเนี่ย?” ปรางทิพย์ถามขึ้นทันทีที่กานต์พิชชาเดินเข้ามาทางด้านหลังเคาเตอร์ ในขณะที่ร่างโปร่งแสงของศิวาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้านหน้าเคาเตอร์ กานต์พิชชายิ้มก่อนจะตอบว่า

“ตองอยากคืนกำไรให้ลูกค้า แล้วก็อยากจะให้ทุกคนได้เล่นอะไรสนุกๆ กันบ้างน่ะจ้ะ”

“แล้วคุณตองรู้เรื่องคุณศิวาจนเอามาตั้งเป็นคำถามได้ยังไงกันคะ คุณตองไม่เคยสนใจอ่านเรื่องเกี่ยวกับดาราเลยนี่คะ” มนตราถามขึ้นด้วยความสงสัย ก่อนที่ปรางทิพย์จะเสริมขึ้นอีกคน

“จริงด้วยค่ะ อย่างคำถามข้อสุดท้ายน่ะ ขนาดปรางกับมนเป็นแฟนคลับคุณศิวาแท้ๆ ยังไม่เคยรู้เลยนะคะว่าคุณศิวาชอบทานบูลเบอรี่ชีสเค้ก เพราะว่าคุณศิวาไม่เคยให้สัมภาษณ์ที่ไหนเลยจริงๆ แล้ว คุณตองไปรู้เรื่องนี้มาจากที่ไหนกันคะ?”

กานต์พิชชานิ่งอึ้งไปทันทีพลางนึกหาคำตอบมาตอบพนักงานสาวทั้งสองคน ในขณะที่ศิวาก็กำลังนั่งรอฟังอย่างสนใจว่าหญิงสาวจะตอบคำถามเมื่อครู่นี้ว่ายังไง ครู่หนึ่งกานต์พิชชาก็ตอบพร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างนึกสนุก

“อ๋อ...พอดีว่าตองมีพรายกระซิบนะจ้ะ”

“ฮะ?!!! พรายกระซิบเนี่ยนะคะ” มนตรากับปรางทิพย์พูดขึ้นพร้อมๆ กันด้วยความงุนงง ในขณะที่ศิวาหัวเราะอย่างขบขันกับคำตอบของหญิงสาว

“พรายกระซิบที่ไหนกันคะคุณตอง? อย่าอำเราสองคนสิคะ” มนตราถามขึ้น

กานต์พิชชาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบโดยไม่ให้ความกระจ่างอะไรกับทั้งสองสาวเลย

“พรายกระซิบก็คือพรายกระซิบสิจ๊ะ เอาล่ะตองขอตัวเข้าไปเก็บของข้างในก่อนนะจ๊ะ เย็นมากแล้ว”

พูดจบหญิงสาวก็รีบเดินเข้าไปหลังร้านทันที ทิ้งให้ปรางทิพย์กับมนตรายืนมองหน้ากันด้วยความงุนงง


ศิวาเดินตามหญิงสาวเข้ามาที่หลังร้านแล้วกล่าวคำขอบคุณที่กานต์พิชชาจัดเล่นเกมในวันนี้ขึ้นทำให้เขารู้สึกสนุกสนาน และได้รู้จักกับแฟนคลับของเขาในมุมมองที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย กานต์พิชชาเลยบอกกับชายหนุ่มว่าเขาไม่จำเป็นต้องขอบคุณเธอเลยสักนิด เพราะว่าการที่เธอจัดเล่นเกมแบบนี้ทำให้ลูกค้าทุกคนได้ร่วมสนุกกันแล้วยังถือว่าก็เป็นการคืนกำไรให้กับลูกค้าอีกด้วย จากนั้นหญิงสาวก็หันไปจัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับใช้ทำขนมให้เรียบร้อยเข้าที่เข้าทาง

ศิวามองดูหญิงสาวที่กำลังวุ่นวายอยู่กับงานของตัวเองด้วยแววตาและรอยยิ้มอ่อนโยน เขารู้ดีว่าที่กานต์พิชชาจัดเล่นเกมในวันนี้ เหตุผลหลักก็เพราะหญิงสาวตั้งใจจะช่วยให้เขาลืมความทุกข์ใจที่ยังไม่สามารถกลับเข้าร่างตัวเองได้มากกว่า ส่วนเรื่องอื่นนั้นเป็นเพียงเหตุผลรองเท่านั้นเอง

“ถึงยังไงผมก็ต้องขอบคุณที่วันนี้คุณทำให้ผมรู้สึกสนุก มีความสุข แล้วก็หัวเราะได้”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะว่าฉันก็สนุกเหมือนกัน อย่างน้อยวันนี้ฉันก็ได้รู้เรื่องดาราดังอย่างคุณเพิ่มขึ้นตั้งหลายเรื่องนะคะคุณพรายกระซิบ” กานต์พิชชาพูดล้อเลียนชายหนุ่มในตอนท้ายประโยคก่อนจะหัวเราะเบาๆ

“ตกลงว่าวันนี้คุณเพิ่มตำแหน่งพรายกระซิบให้ผมอีกหนึ่งตำแหน่งแล้วใช่มั้ยครับ?” ศิวาถามหญิงสาวพร้อมรอยยิ้ม กานต์พิชชายิ้มเช่นกันก่อนจะตอบว่า

“ค่ะ แล้วถ้าคุณพรายจะกระซิบบอกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งให้ฉันบ้าง ฉันก็ยินดีนะคะ ฉันจะได้หมดหนี้ธนาคารเร็วๆ ไง”

“ผมไม่ใช่นักใบ้หวยนะคุณ” ศิวาพูดพลางส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างขบขันในความคิดและคำพูดของกานต์พิชชา ก่อนจะช่วยหญิงสาวทำงานโดยการบังคับถาดเปล่าให้ลอยขึ้นไปเก็บบนชั้นอย่างมีระเบียบ



ในตอนค่ำปราณปรียาก็เดินหน้ามุ่ยเข้าไปภายในบ้านของกานต์พิชชาท่ามกลางความงุนงงของหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้าน หลังจากที่ศิวาใช้พลังของวิญญาณเปิดประตูรั้วบานเล็กให้อีกฝ่ายเดินเข้ามา โดยที่กานต์พิชชาไม่ต้องเดินไปเปิดให้เพื่อนรักเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“เธอเป็นอะไรน่ะฝ้าย ทำไมทำหน้าตาบอกบุญไม่รับแบบนี้ล่ะ?” กานต์พิชชาถามเพื่อนรัก

“มีคนบางคนมาทำให้ฉันอารมณ์เสียน่ะสิ” ปราณปรียาตอบพร้อมทั้งทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวที่ยังว่างอยู่ กานต์พิชชารินน้ำมาวางให้เพื่อนรักก่อนจะถามอีกฝ่ายอย่างขบขันว่า

“ใครกันที่ทำให้เธออารมณ์เสียได้ขนาดนี้” ปราณปรียาปรายตาไปมองศิวานิดหนึ่ง ก่อนจะตอบกานต์พิชชา

“ก็นายวิปัศย์น่ะสิที่ทำฉันอารมณ์เสียมาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว”

“วิปัศย์ ใครกันเหรอฝ้าย?” กานต์พิชชาถามอย่างงุนงง เพราะเธอไม่รู้ว่าคนที่เพื่อนรักพูดถึงเป็นใคร ในขณะที่ศิวาขมวดคิ้วเข้มของเขานิดหนึ่งแล้วถามขึ้นทันที

“คุณฝ้ายหมายถึงวิปัศย์ อัครไพศาลสกุลรึเปล่าครับ?”

“ใช่ค่ะ ก็นายวิบัติ คู่เกย์ของคุณนั่นแหละค่ะ” ปราณปรียาตอบอย่างฉุนๆ พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อชายหนุ่มที่ถูกกล่าวถึงเสร็จสรรพ แต่คำตอบของเธอกลับทำให้กานต์พิชชาถึงกับทำหน้าเหวอ และเบิกตากว้างอย่างตกใจกับข่าวใหม่ที่เพิ่งได้รับรู้ พลางทวนคำพูดของเพื่อนรักด้วยเสียงอันดังว่า

“คู่เกย์!!!”

“นายปัศย์ไม่ใช่คู่เกย์ของผมนะครับคุณฝ้าย คุณตอง” ศิวารีบปฏิเสธเสียงหลงทันที

“อ้าว!!! ก็เห็นเค้าลงข่าวซุบซิบคุณกับนายวิบัติแบบนั้นนี่คะ” ปราณปรียายังคงพูดหน้าตาเฉย

“ผมขอยืนยันว่าผมกับนายปัศย์ไม่ได้เป็นเกย์นะครับ เราสองคนชอบผู้หญิง แต่เพราะว่าเราสนิทกันมาก แล้วผมกับนายปัศย์ก็ยังไม่มีแฟนทั้งคู่ ก็เลยมีข่าวลือแบบนั้นออกมา” ศิวาชี้แจงด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ฉันเชื่อก็ได้ว่าคุณไม่ได้เป็นเกย์ แต่นายวิบัติน่ะฉันว่าเค้าต้องเป็นเกย์แน่ๆ” ปราณปรียายังคงไม่เลิกราที่จะยืนยันว่าวิปัศย์เป็นเกย์ จนศิวาอดที่จะหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่าเพื่อนรักของเขาไปทำอะไรให้ปราณปรียาโกรธได้มากมายขนาดนี้ กานต์พิชชาจึงบอกให้เพื่อนรักเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอกับชายหนุ่มฟัง ปราณปรียาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มต้นเล่าเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายให้กานต์พิชชาและศิวาฟังอย่างละเอียด

“ผมขอโทษแทนนายปัศย์ด้วยนะครับที่เพื่อนผมพูดจากับคุณฝ้ายไม่ดี ที่นายปัศย์ว่าคุณแบบนั้นก็เพราะไม่รู้ว่าคุณฝ้ายไปที่นั่นเพื่อช่วยผม คุณอย่าโกรธนายปัศย์เลยนะครับ” ศิวาบอกปราณปรียา

“ที่เพื่อนคุณไม่รู้ว่าฉันไปที่นั่นเพราะอะไรฉันก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกค่ะ แต่ท่าทางเพื่อนคุณดูเหมือนจะไม่ชอบหน้าฉันเป็นการส่วนตัวมากกว่า ทั้งๆ ที่ฉันยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าฉันไปทำอะไรให้เค้า” ปราณปรียาพูดพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความสงสัย

“คือ...นายปัศย์เป็นคนไม่ค่อยเชื่อถือเรื่องการดูดวงหรือการทำนายอะไรทั้งนั้น หมอนั่นบอกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะฉะนั้น...” ศิวาอ้ำอึ้ง ปราณปรียาเลยพูดต่อประโยคให้ชายหนุ่มว่า

“เพราะฉะนั้นเพื่อนของคุณก็เลยไม่ชอบแม่ของฉันที่เป็นนักพยากรณ์ แล้วก็เลยพาลไม่ชอบฉันไปด้วยใช่มั้ยคะคุณศิวา?”

“ก็...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับคุณฝ้าย” ศิวาพูดเสียงอ่อนพลางยิ้มแหยๆ

“แต่ก็ประมาณนั้นใช่มั้ยคะ?” ปราณปรียาถาม พลางนึกถึงคำพูดของวิปัศย์ที่พูดกับเธอเมื่อตอนกลางวัน แล้วนึกเข่นเขี้ยวชายหนุ่มคนนั้นอยู่ภายในใจ

จากนั้นกานต์พิชชาก็ถามเพื่อนรักว่าหาวิธีกลับเข้าร่างให้ศิวาได้หรือยัง ปราณปรียาส่ายหน้าพร้อมทั้งบอกว่ายังอ่านหนังสือไม่พบวิธีที่จะช่วยให้ชายหนุ่มกลับเข้าร่างได้เลย และคิดว่าคงจะต้องรอจนคุณปานดาวเดินทางกลับมาจากฮ่องกงเสียก่อนจึงจะให้ท่านช่วยหาวิธีให้ชายหนุ่มกลับเข้าร่างได้ ในขณะที่กานต์พิชชาถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปมองศิวาอย่างเห็นใจ แล้วก็พบว่าเขากำลังมองพวกเธออยู่เหมือนกัน

“พวกคุณสองคนอย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ความจริงผมเป็นวิญญาณแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกันนะครับ เพราะว่าผมสามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่างซึ่งคนธรรมดาทำไม่ได้ อย่างเช่นสั่งให้ข้าวของลอยไปลอยมา สั่งให้ประตูบ้านเปิดได้ แล้วผมก็ยังสามารถเป็นพรายกระซิบให้คุณตองได้อีกด้วยนะครับ” ศิวาบอกกับทั้งสองสาวด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงพอๆ กับสีหน้าและแววตา

“หืม...พรายกระซิบอะไรกันคะ?” ปราณปรียาถามอย่างงุนงง

กานต์พิชชาเลยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเล่าเรื่องการเล่นเกมที่ร้านของเธอในช่วงบ่ายให้ปราณปรียาฟังอย่างสนุกสนานโดยมีศิวาคอยช่วยพูดเสริมและหัวเราะไปด้วยกันตลอดเวลา ในขณะที่ปราณปรียานั่งมองดูภาพความคุ้นเคยและสนิทสนมกันมากขึ้นระหว่างเพื่อนรักของตัวเองกับดาราหนุ่มรูปหล่อด้วยแววตาครุ่นคิด



เช้าวันอาทิตย์ภายในร้าน Sweet Coffee & Bakery ซึ่งยังไม่มีลูกค้า เมื่อพราวตาหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าขึ้นมาอ่านแล้วก็บ่นขึ้นทันทีที่เห็นพาดหัวข่าวตัวโตบนหน้าหนังสือพิมพ์

“ทำไมคนเราสมัยนี้มันถึงได้โหดร้ายกันนักนะ ดูสิเข้าไปปล้นบ้านที่มีคนแก่อยู่ในบ้านคนเดียว แล้วมันก็ใจร้ายใจดำทำร้ายคนแก่จนได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย”

“จริงด้วยค่ะ ยายแกก็แก่มากแล้วไม่มีแรงจะสู้อะไรด้วยซ้ำ ไอ้โจรใจร้ายมันยังตียายได้ลงคออีก” มนตราเสริมขึ้นอีกคนด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

“ขอให้ตำรวจจับไอ้โจรใจร้ายเอามาลงโทษได้เร็วๆ ด้วยเถอะ สาธุ” ปรางทิพย์พูดขึ้นบ้าง

“ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี ขโมยกับโจรก็เลยเยอะแยะไปหมด มีข่าวจี้ปล้นลงหนังสือพิมพ์แล้วก็ออกทีวีทุกวันเลยนะคะ แย่จังที่คนทำมาหากินสุจริตต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาแบบนี้” กานต์พิชชาพูดพลางยกเค้กที่หั่นเป็นชิ้นเรียบร้อยแล้วเข้าไปจัดวางโชว์ในตู้อย่างพิถีพิถัน พราวตาจึงเตือนด้วยความห่วงใยว่าให้กานต์พิชชาระวังตัวด้วยเพราะว่าเธออาศัยอยู่ในบ้านคนเดียว ซึ่งหญิงสาวก็พยักหน้ารับด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจในความห่วงใยของหญิงสาวรุ่นพี่

“ว่าแต่รถคุณตองใกล้จะซ่อมเสร็จรึยัง นี่ก็วันที่ห้าแล้วไม่ใช่เหรอคะ?” ปรางทิพย์ถามขึ้น

“ตองโทร.ไปถามแล้ว ช่างบอกว่าเสร็จวันนี้จ้ะ เดี๋ยวตอนเย็นตองจะไปเอารถที่อู่เลย จะได้แวะไปหาซื้อของที่ห้างฯ ด้วย เพราะพรุ่งนี้ครบรอบวันตายยายพอดี แล้วก็เป็นวันหยุดของร้านเราด้วย ตองว่าจะเตรียมของใส่บาตรให้ยายตอนเช้าจ้ะ” กานต์พิชชาตอบ พลางคิดอยู่ภายในใจว่าถ้าหากคืนนี้ศิวากลับมาที่บ้านของเธอ พรุ่งนี้เธอก็ตั้งใจว่าจะชวนเขาใส่บาตรด้วยกัน เพื่อให้เขาได้ทำบุญชายหนุ่มจะรู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง ถึงแม้เมื่อคืนเขาจะบอกกับเธอและปราณปรียาว่าเขารู้สึกสนุกที่สามารถสั่งให้สิ่งของลอยไปมาได้ แต่หญิงสาวรู้ดีว่าที่ศิวาพูดแบบนั้นก็เพราะต้องการให้เธอกับปราณปรียาสบายใจเท่านั้นเอง

“แล้วเมื่อไหร่คุณตองกับคุณฝ้ายจะไปเยี่ยมคุณศิวาที่โรงพยาบาลอีกล่ะคะ มนกับปรางจะได้ฝากของไปเยี่ยมคุณศิวาด้วย” มนตราถามขึ้น

“ตองก็ยังไม่รู้เลยจ้ะ ต้องรอฝ้าย เพราะว่าฝ้ายเค้ารู้จักกับคุณแม่ของคุณศิวา” กานต์พิชชาตอบ

“นี่ถ้ารู้มาก่อนว่าคุณฝ้ายรู้จักกับคุณแม่ของคุณศิวา มนกับตองฝากคุณฝ้ายขอลายเซ็นคุณศิวาให้ตั้งนานแล้วล่ะค่ะ” มนตราพูดอีก ในขณะที่กานต์พิชชาเพียงแต่ยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไร

“ยังไงถ้าคุณตองกับคุณฝ้ายไปโรงพยาบาลอีก อย่าลืมบอกเราสองคนด้วยนะคะ” ปรางทิพย์ย้ำ

“จ้า ไม่ลืมแน่นอน...” กานต์พิชชาบอกยิ้มๆ ก่อนที่ทั้งสองสาวจะรีบพากันไปต้อนรับลูกค้าที่เริ่มเดินเข้ามาภายในร้าน ในขณะที่กานต์พิชชาและพราวตาต่างก็แยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตัวเองอยู่ที่ด้านหลังเคาเตอร์เช่นกัน



คุณศศิกาญจน์เดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ข้างเตียงคนไข้ พลางยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าของลูกชายอย่างอ่อนโยนพร้อมทั้งบอกกับร่างที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“ศิวา ลูกต้องรีบฟื้นขึ้นมานะจ๊ะ แม่ คุณพ่อ และทุกๆ คนรอลูกอยู่นะ”

ในขณะที่ศิวาซึ่งกำลังยืนกอดอกพิงหน้าต่างห้องอยู่ ได้แต่มองดูมารดาของเขาพลางถอนหายใจอย่างหนักหน่วงด้วยความรู้สึกสงสารท่าน วันนี้เขามาที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้าและพยายามหาทางกลับเข้าร่างตัวเองทั้งวันจนกระทั่งถึงตอนเย็น แต่ผลก็ยังคงเป็นเหมือนหลายวันที่ผ่านมา นั่นก็คือเขายังกลับเข้าร่างไม่ได้อยู่ดี

เสียงเปิดประตูห้องเบาๆ ทำให้คุณศศิกาญจน์หันหน้าไปมองที่ประตูห้องเช่นเดียวกับศิวา แล้วชายหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินผ่านประตูเข้ามาคือวิปัศย์เพื่อนรักของเขานั่นเอง

“ปัศย์!!!” ศิวาเรียกชื่อเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงยินดี ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยินเสียงของเขาก็ตาม เพราะตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ชายหนุ่มก็เพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นหน้าเพื่อนรักของเขาวันนี้เป็นครั้งแรก

“สวัสดีครับคุณแม่” วิปัศย์พูดพลางพนมมือไหว้คุณศศิกาญจน์ นางยกมือขึ้นรับไหว้เขาพร้อมทั้งถามว่า

“สวัสดีจ้ะตาปัศย์ ทำไมวันนี้ถึงมาเร็วได้ล่ะลูก ทุกวันแม่เห็นมาตั้งสองสามทุ่มนี่จ๊ะ”

“พอดีวันนี้ผมประชุมปิดโปรเจ็คท์งานโฆษณาชิ้นล่าสุดเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ไม่ต้องอยู่ทำงานต่อเหมือนทุกวันก็เลยรีบแวะมาเยี่ยมนายศิวาแต่วัน นายศิวาอาการเป็นยังไงบ้างครับวันนี้?” วิปัศย์ตอบและถามในประโยคเดียวกัน

“ก็เหมือนเดิมแหละจ้ะ ยังนอนไม่รู้สึกตัวเลย” คุณศศิกาญจน์ตอบพลางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า

“เมื่อตอนสายวันนี้คุณแอนนี่ก็โทร.มาบอกแม่เหมือนกันว่าทางช่องต้นสังกัดเค้าประชุมกันแล้ว ถ้าหากว่าภายในหนึ่งเดือนนี้ศิวายังไม่ฟื้น ทางนั้นเค้าก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวพระเอกคนใหม่ เพราะคิวเปิดกล้องละครเรื่องใหม่คือปลายเดือนหน้าเค้ารอศิวาไม่ได้แล้ว”

“ผมก็ได้ข่าวมาว่ามีบางบริษัทจะขอยกเลิกสัญญาที่จะให้นายศิวาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าเหมือนกันครับคุณแม่” วิปัศย์พูดขึ้นบ้าง คุณศศิกาญจน์พยักหน้าก่อนจะพูดว่า

“เรื่องนั้นแม่เข้าใจดี เพราะถ้ามัวแต่รอศิวาพวกเค้าก็จะเสียหาย แม่ไม่สนใจเรื่องรายได้ของตาศิวาหรอกนะ เพราะครอบครัวเราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่แม่เป็นห่วงศิวาอยากให้เค้ารู้สึกตัวฟื้นขึ้นมามากกว่า ความจริงก็มีเพื่อนของแม่หลายคนแนะนำให้แม่ลองพึ่งวิธีอื่นในการรักษาศิวาดูเหมือนกัน นอกเหนือจากวิธีการรักษาของหมอเผื่อว่าจะได้ผล แม่มาคิดๆ ดูก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะปัศย์”

“วิธีอะไรเหรอครับคุณแม่?” วิปัศย์ถามพลางขมวดคิ้วเข้มของเขาอย่างสงสัย เช่นเดียวกับศิวาที่รอฟังคำตอบของมารดาอยู่เช่นกัน

“ก็...เพื่อนๆ แม่เค้าแนะนำว่า แม่น่าจะลองไปปรึกษากับอาจารย์ปานดาวดู เผื่อว่าอาจารย์ปานดาวจะช่วยได้น่ะจ้ะ” คุณศศิกาญจน์ตอบ วิปัศย์ส่ายหน้าทันทีเมื่อได้ยินคำตอบจากมารดาของเพื่อนรัก ก่อนที่เขาจะพูดว่า

“หมอดูจะมาช่วยอะไรนายศิวาได้ครับ หมอดูก็คู่กับหมอเดา คุณแม่อย่าไปเชื่อเรื่องพวกนี้เลย ตอนนี้ผมก็กำลังติดต่อไปที่ต่างประเทศให้เพื่อนทางโน้นหาหมอเก่งๆ เพื่อรักษานายศิวาอยู่ ผมคิดว่าน่าจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้นะครับ”

“เฮ้! ปัศย์ นายไม่เชื่อถือเรื่องพวกนี้แต่นายก็ไม่ควรลบหลู่นะ” ศิวาแย้งเพื่อนรักของเขาทันที แต่แน่นอนว่าวิปัศย์ไม่มีทางได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
คุณศศิกาญจน์พยายามพูดจาหว่านล้อมให้วิปัศย์ช่วยพาท่านไปที่ตำหนักปานดาวพยากรณ์ โดยให้เหตุผลว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรที่จะลองดู วิปัศย์พยายามพูดจาทัดทานคุณศศิกาญจน์แต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดเขาก็จำใจต้องรับปากพาคุณศศิกาญจน์ไปตำหนักปานดาวพยากรณ์ในวันพรุ่งนี้จนได้

ศิวาส่ายหน้าพลางหัวเราะอย่างขบขันเมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางขัดใจของเพื่อนรัก เขากับวิปัศย์เป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็กชายหนุ่มจึงพอจะรู้จักนิสัยเพื่อนรักของตัวเองดี ว่าวิปัศย์ต่อต้านเรื่องเกี่ยวกับหมอดูมาแต่ไหนแต่ไร เพราะคิดว่าเป็นความเชื่อที่งมงายนั่นเอง



กานต์พิชชากำลังยืนจัดอาหารและขนมหวานเป็นชุดๆ เรียงไว้ในถาดเพื่อสะดวกในการใส่บาตรเช้านี้โดยมีศิวายืนมองอยู่ข้างๆ เมื่อคืนชายหนุ่มอยู่ที่โรงพยาบาลจนถึงสามทุ่ม รอจนกระทั่งวิปัศย์เดินทางกลับไปแล้วเขาจึงกลับมาที่นี่ แล้วเขาก็พบว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของบ้านกำลังนั่งจัดช่อดอกกล้วยไม้สำหรับถวายพระอยู่อย่างขะมักเขม้น กานต์พิชชาบอกกับเขาว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบวันตายคุณยายของเธอ ดังนั้นหญิงสาวจึงจะทำบุญตักบาตรให้ท่าน

“คุณเก่งจังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาทำกับข้าวใส่บาตรเองแต่เช้ามืดเลย” ศิวาชมหญิงสาว

“ฉันอยากจะทำกับข้าวที่ยายชอบใส่บาตรให้ท่านด้วยตัวเองค่ะ” กานต์พิชชาบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“น่ากินจังเลยนะครับ เสียดายจังที่ผมไม่มีโอกาสได้ชิมอาหารฝีมือคุณ ได้แต่ยืนมอง แม้แต่กลิ่นก็ยังไม่มีโอกาสได้รับรู้เลย” ศิวาพูดด้วยน้ำเสียงเสียดายจริงๆ กานต์พิชชาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม ก่อนจะบอกกับเขาว่า

“ถ้าคุณอยากกินจริงๆ เอาไว้คุณกลับเข้าร่างได้เมื่อไหร่ ฉันจะทำอาหารเลี้ยงฉลองให้คุณเอง รับรองว่าอร่อยชัวร์ค่ะ”

“ผมถือว่าคุณสัญญาแล้วนะห้ามคืนคำเด็ดขาด ผมจะให้คุณทำอาหารเลี้ยงฉลองให้ผมแน่นอน ถ้าผมกลับเข้าร่างได้” ศิวาบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังและใบหน้ายิ้มแย้ม

“ได้เลยค่ะ แต่ว่าตอนนี้ฉันว่าเรารีบออกไปยืนรอใส่บาตรดีกว่า ใกล้เวลาที่พระท่านจะมาแล้วล่ะ” กานต์พิชชาบอกพร้อมทั้งยกถาดที่จัดอาหารและดอกไม้สำหรับถวายพระวางเอาไว้เรียบร้อยแล้วเดินนำหน้าชายหนุ่มออกไปที่หน้าบ้านทันที

ในระหว่างที่ยืนรอพระมาบิณฑบาตกานต์พิชชาเล่าให้ชายหนุ่มฟังด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุขว่า เมื่อก่อนเธอจะมายืนรอใส่บาตรที่หน้าบ้านพร้อมกับยายเป็นประจำทุกเช้า ศิวาเลยเล่าให้หญิงสาวฟังว่าเขาก็ใส่บาตรกับมารดาทุกเช้าเหมือนกัน แต่ครั้งหลังสุดนานมากแล้วเพราะเขาทำงานกลับถึงบ้านดึกดื่น จึงตื่นเช้าไม่ทันมารดาใส่บาตรเสียที แม้กระทั่งวันเกิดที่ผ่านซึ่งเขาตั้งใจว่าจะใส่บาตรกับมารดาแต่ก็ติดต้องไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัดอยู่กลางป่าลึกจึงไม่มีโอกาสได้ใส่บาตรอย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้

“ถ้าอย่างงั้นวันนี้คุณอยากจะใส่บาตรมั้ยล่ะคะ?” กานต์พิชชาถาม

“อยากสิครับ แต่สภาพผมเป็นแบบนี้ผมคงใส่บาตรไม่ได้หรอก” ศิวาพูดอย่างเสียดาย

“ถ้าคุณอยากจะใส่บาตรจริงๆ ก็ไม่ยากหรอกค่ะ” กานต์พิชชาพูด ทำให้ศิวาต้องมองหน้าหญิงสาวอย่างประหลาดใจพลางถาม

“คุณคงไม่คิดจะบอกให้ผมสั่งให้ข้าวของลอยลงไปในบาตรพระใช่มั้ยครับ?”

“ขืนคุณทำแบบนั้นพระท่านก็ตกใจแย่สิคะ” กานต์พิชชาพูดอย่างขบขัน

“แล้วคุณจะให้ผมใส่บาตรวิธีไหนล่ะครับ?”

“ง่ายนิดเดียวค่ะ เดี๋ยวพอตอนที่ฉันหยิบของใส่บาตร คุณก็เอามือแตะที่ข้อศอกของฉันไว้ แค่นี้ก็ถือว่าคุณได้ใส่บาตรแล้วล่ะค่ะ” กานต์พิชชาบอก ศิวาจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่พระภิกษุรูปหนึ่งเดินมาถึงพอดี หญิงสาวจึงนิมนต์ให้ท่านรับบาตร ซึ่งชายหนุ่มก็ได้เอามือแตะที่ข้อศอกของกานต์พิชชาตอนที่เธอหยิบของใส่บาตรพระตามที่หญิงสาวบอกเขาไว้ด้วย

ทั้งคู่ร่วมใส่บาตรด้วยกันจนกระทั่งเหลืออาหารชุดที่เก้าซึ่งเป็นชุดสุดท้าย พระภิกษุชรารูปหนึ่งซึ่งกานต์พิชชาดูออกว่าท่านเป็นพระธุดงค์เนื่องจากท่านมีกลดสะพายอยู่ทางด้านหลังก็เดินมาถึงจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ เมื่อหญิงสาวนิมนต์ให้ท่านรับบาตร พระภิกษุชราก็หยุดยืนรับบาตรด้วยทีท่าสงบและสำรวม หลังจากที่ทั้งสองใส่บาตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นมีเมตตาว่า

“รับศีลรับพรนะคุณโยมทั้งสอง”

“เอ๊ะ!!!” กานต์พิชชาและศิวาอุทานขึ้นพร้อมๆ กัน พลางมองดูพระภิกษุชราด้วยความงุนงง ก่อนที่หญิงสาวจะถามท่านขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“หลวงตาเห็น...เค้าด้วยเหรอคะ?”

พระภิกษุชรายิ้มอย่างมีเมตตาก่อนจะตอบว่า

“อาตมาสัมผัสได้ด้วยจิตและสมาธิ นั่งลงรับศีลรับพรเถอะคุณโยมทั้งสอง”

กานต์พิชชาและศิวาจึงรีบทรุดตัวลงนั่งพนมมือเพื่อรับศีลรับพรจากพระภิกษุชราทันที เมื่อท่านกล่าวคำให้พรร่างโปร่งแสงของศิวาก็ถูกอาบไล้ไปด้วยแสงสีขาวเป็นประกายวูบวาบ ซึ่งก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนร่างของเขาได้รับพลังบางอย่างซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นขึ้นมาทันที ในขณะที่กานต์พิชชาเองก็รู้สึกมีความสุขและอิ่มเอิบใจเช่นกัน

“ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะบุญและกรรมที่ทำกันมา จึงทำให้ได้มาพบเจอและได้เกื้อหนุนกันในชาตินี้ อีกไม่นานก็จะหมดเคราะห์แล้วล่ะนะ...” พระภิกษุชราพูดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะเดินจากไปท่ามกลางความงุนงงของกานต์พิชชาและศิวา ซึ่งไม่เข้าใจในคำพูดของท่านนัก




แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.ย. 2556, 19:25:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.ย. 2556, 19:25:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1311





<< ตอนที่ 5   ตอนที่ 7 >>
phugan 24 ก.ย. 2556, 21:28:05 น.
มาให้กำลังใจค่ะ....


แก้วแสงจันทร์ 24 ก.ย. 2556, 22:43:56 น.
@phugan
ขอบคุณมากค่า ^_^ ว่างๆ เชิญแวะไปพูดคุยกันที่หน้าเพจบ้านแก้วแสงจันทร์ได้นะคะ ยินดีต้อนรับเสมอค่ะ และถ้านิยายวางแผงแล้วจะมีการจัดเล่มเกมแจกนิยายฟรีสำหรับแฟนเพจด้วยนะคะ
https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C/273025036104198?ref=hl


OhLaLa 24 ก.ย. 2556, 23:25:59 น.
รออ่านตอนต่อไปค่ะ


แก้วแสงจันทร์ 25 ก.ย. 2556, 19:42:30 น.
@OhLaLa
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account