ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก (สนพ.กรีนมายด์) วางแผงเร็วๆ นี้
เมื่อย่างเข้าสู่วัยเบญเพสมักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งอาจจะมีทั้งดีและร้าย แต่สำหรับ ’กานต์พิชชา’ การได้พบกับวิญญาณของ ‘ศิวา ศิโรรัตน์’ ดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของสาวๆ ทั้งประเทศ เธอไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะว่าเขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับน่ารักเสียจนเธอเผลอหลงรักวิญญาณเข้าเต็มเปา แล้วกานต์พิชชาควรจะจัดการกับหัวใจของตัวเองยังไงดี เพราะคุณวิญญาณรูปหล่อคอยวนเวียนตามป่วนหัวใจแถมหึงหวงเธออยู่ตลอดเวลา
“ผมหึงคุณหึงมาก ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาใกล้ชิดคุณ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพูดถึงผู้ชายคนไหนต่อหน้าผมด้วย” พูดจบศิวาก็ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าสวยคมของคนที่กำลังมองสบตาเขาอย่างงุนงงทันที
กานต์พิชชายืนนิ่งตะลึงงัน เมื่อริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มประทับลงมาบนกลีบปากบางของเธอ ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะโปร่งแสงเป็นเพียงวิญญาณที่ไร้เลือดเนื้อ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่หญิงสาวกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนนุ่มนวล และเจือปนไปด้วยความอ่อนหวานที่ค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ก่อนจะลามไปทั่วร่างระหงราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นของเจ้าของรอยจูบนั้น
แต่ความรักครั้งนี้จะสมหวังได้อย่างไร ถ้าเขายังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ศิวาต้องไขปริศนาความทรงจำที่หายไป และหาวิธีกลับเข้าร่างของตัวเองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ชายหนุ่มจะทำได้หรือไม่ และความรักของทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร มาร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้คนทั้งคู่ได้ใน ‘ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก’

***เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้ว ขอลงให้อ่านแค่ครึ่งเรื่องคือ 12 ตอนนะคะ ส่วนครึ่งเรื่องที่เหลือรบกวนติดตามอ่านต่อในเล่มค่ะ จะวางแผงสิ้นเดือนกันยายนนี้แล้วค่ะ***
Tags: กุ๊กกิ๊ก,หวานแหวว,แฟนตาซี

ตอน: ตอนที่ 7

เมื่อสองหนุ่มสาวเดินกลับเข้ามาภายในบ้านหลังจากที่ใส่บาตรและกรวดน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศิวาก็ถามว่าวันนี้เป็นวันหยุดกานต์พิชชาจะไปเที่ยวที่ไหนหรือเปล่า ซึ่งหญิงสาวก็ส่ายหน้าก่อนจะบอกกับชายหนุ่มว่าเธอไม่คิดอยากจะไปเที่ยวที่ไหนทั้งนั้น เพราะว่าวันหยุดของร้านคือวันทำความสะอาดบ้านของเธอ ศิวาหัวเราะทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของกานต์พิชชา ก่อนจะแกล้งพูดดักคอหญิงสาวว่า

“ไม่ออกไปเที่ยวก็ไม่ต้องเปลืองตังค์ด้วยใช่มั้ยครับ?”

“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่าฉันถือนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงค่ะคุณดาราดัง” กานต์พิชชาพูดหน้าตาเฉย ก่อนจะย้อนถามเขาบ้าง

“แล้ววันนี้คุณจะไปโรงพยาบาลกี่โมงคะ?”

“ผมว่าจะไปโรงพยาบาลตอนบ่าย เพราะวันนี้คุณแม่ผมจะให้นายปัศย์พาไปที่ตำหนักปานดาวพยากรณ์ผมก็เลยว่าจะตามไปด้วยครับ”

“เอ...คุณแม่คุณจะไปบ้านยัยฝ้ายเหรอ ท่านจะไปทำไมกันคะ?” กานต์พิชชาถาม

“เห็นคุณแม่ผมพูดกับนายปัศย์ว่าเพื่อนๆ ของท่านแนะนำให้ไปปรึกษาคุณปานดาวเพื่อหาวิธีรักษาผมอีกทางครับ” ศิวาตอบ กานต์พิชชาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะชะงักเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เอ๊ะ! แต่แม่ของฝ้ายยังไม่กลับมาจากฮ่องกงนี่คะ น่าจะเป็นวันพรุ่งนี้หรือไม่ก็วันมะรืนนะคะ ถ้าวันนี้คุณแม่คุณไปที่บ้านฝ้ายก็คงจะเสียเที่ยวเปล่าๆ นะคะ”

“ไม่เป็นไรครับ ให้ท่านออกไปข้างนอกบ้างก็ดี เพราะคุณแม่อยู่เฝ้าผมที่โรงพยาบาลมาหลายวันแล้ว” ศิวาพูด จากนั้นชายหนุ่มก็อาสาช่วยหญิงสาวทำความสะอาดบ้าน ท่ามกลางความประหลาดใจของกานต์พิชชาเพราะเธอไม่คิดว่าดาราดังอย่างเขาจะทำงานบ้านเป็นด้วย

“คุณตองนั่นคุณจะปีนบันไดขึ้นไปทำไมครับ?” ศิวาถามทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังทำท่าจะปีนบันไดขึ้นไป

“ฉันก็จะปีนขึ้นไปเช็ดฝุ่นที่หลอดไฟบนเพดานไงคะ” กานต์พิชชาหันมาตอบ

“คุณเป็นผู้หญิงจะปีนขึ้นไปได้ยังไงกัน มันอันตรายนะเดี๋ยวก็ตกลงมาหรอก ให้ผมจัดการดีกว่า” ศิวาบอกก่อนจะมองไปที่ผ้าผืนหนึ่งแล้วสั่งให้มันลอยขึ้นไปเช็ดหลอดไฟทันที กานต์พิชชาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะบอกกับชายหนุ่มว่าเธอทำแบบนี้เป็นประจำจนชินแล้ว แต่ศิวาแย้งว่าตอนนี้เขาอยู่ที่นี่กับเธอด้วย เพราะฉะนั้นหน้าที่นี้ต้องให้เขาเป็นคนจัดการถึงจะถูกต้องเพราะว่าเขาเป็นผู้ชาย

“เดี๋ยวอีกหน่อยคุณไม่ได้อยู่ที่นี่ ฉันก็ต้องทำเองอยู่ดีแหละค่ะ” กานต์พิชชาบอกชายหนุ่ม แล้วคำพูดของหญิงสาวก็ทำให้ศิวาชะงักนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า

“ถ้าเผื่อว่าผมกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้จริงๆ คุณจะอนุญาตให้ผมอยู่ที่นี่กับคุณต่อไปได้รึเปล่าครับ?”

กานต์พิชชาหันมามองหน้าคนถามทันที เมื่อเห็นดวงตาที่ฉายแววสับสนไม่มั่นใจของเขา หญิงสาวจึงปลอบชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“คุณอย่าเพิ่งหมดหวังสิคะ ฉันมั่นใจว่าคุณต้องกลับเข้าร่างตัวเองได้แน่นอน แล้วในระหว่างที่คุณยังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ถ้าคุณจะอยู่ที่นี่ฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะคะ เพราะว่ามีคุณอยู่ด้วยอย่างน้อยก็มีคนช่วยฉันทำความสะอาดบ้านไงคะ ดีออกฉันไม่ต้องเสียตังค์ไปจ้างใครมาช่วยด้วย ประหยัดไปตั้งเยอะ”

ศิวายิ้มออกมาได้อีกครั้งเมื่อฟังกานต์พิชชาพูดจบประโยค ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะน้ำเสียงที่ร่าเริง อ่อนโยน และเต็มไปด้วยความจริงใจของเธอ กานต์พิชชาจึงสามารถพูดให้เขาลืมเรื่องทุกข์ใจและยิ้มออกมาได้หลายครั้งหลายหนแล้ว เขาส่ายหน้าเล็กน้อยพลางแกล้งถามหญิงสาวว่า

“ตกลงตอนนี้ผมมีตำแหน่งเป็นพนักงานทำความสะอาดบ้านเพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่งใช่มั้ยครับ?”

แถมตำแหน่งเพื่อนอีกหนึ่งตำแหน่งด้วยก็ได้ค่ะ ถ้าคุณไม่รังเกียจที่จะเป็นเพื่อนกับคนธรรมดาอย่างฉันนะคะ” กานต์พิชชาบอก
ศิวายิ้มกว้างกว่าเดิมก่อนจะบอกกับกานต์พิชชาว่าเขายินดีที่ได้เป็นเพื่อนกับเธอ แล้วทั้งสองหนุ่มสาวก็ตกลงกันต่อไปนี้ว่าจะเรียกชื่อของแต่ละฝ่ายโดยไม่มีคำนำหน้าว่าคุณอีกเพราะว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว

“ฉันว่าเรารีบทำความสะอาดบ้านดีกว่า เสร็จแล้วจะได้ออกไปล้างน้องฟ้า” กานต์พิชชาบอกด้วยน้ำเสียงร่าเริง ในขณะที่ศิวาทำหน้าฉงนทันทีพลางถามว่า

“ใครกันครับน้องฟ้า?”

“อ๋อ...ก็รถคู่ชีพของฉันที่จอดอยู่หน้าบ้านไงคะ ฉันตั้งชื่อมันว่าน้องฟ้าค่ะ” กานต์พิชชาตอบหน้าตาเฉย แล้วคำตอบของเธอก็ทำให้ศิวาหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างขบขัน จากนั้นทั้งสองคนก็ช่วยกันทำงานบ้านต่ออย่างสนุกสนาน



ช่วงบ่ายหลังจากช่วยกานต์พิชชาทำงานบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วศิวาก็เดินทางไปโรงพยาบาลตามลำพัง เพื่อติดตามคุณศศิกาญจน์กับวิปัศย์ไปที่ตำหนักปานดาวพยากรณ์ เมื่อเดินทางไปถึงตำหนักชายหนุ่มก็พบว่าที่นี่เป็นตึกทรงโบราณสไตล์ยุโรปทาสีไข่ไก่ทั้งตึก เหนือประตูทางเข้ามีป้ายไม้ทาสีดำสนิทเขียนด้วยตัวอักษรสีทองเอาไว้ว่า “ตำหนักปานดาวพยากรณ์”

ตำหนักแห่งนี้ปลูกอยู่ภายในอาณาบริเวณเดียวกันกับบ้านหลังใหญ่ของเจ้าของบ้าน โดยแยกห่างออกมาประมาณห้าร้อยเมตร มีไม้ดอกไม้ประดับและไม้เลื้อยหลายชนิดปลูกประดับตกแต่งอยู่โดยรอบ ในขณะที่กลิ่นกำยานหอมอ่อนๆ ซึ่งโชยตลบอบอวลอยู่ภายในตำหนัก ก็ช่วยสร้างสรรค์บรรยากาศที่นี่ให้แลดูลึกลับมีมนต์ขลังได้อย่างน่าประหลาดทีเดียว

คุณศศิกาญจน์กับวิปัศย์เดินเข้าไปขอพบคุณปานดาวกับพนักงานต้อนรับที่เคาเตอร์ แต่พนักงานสาวบอกกับทั้งสองว่าคุณปานดาวไปต่างประเทศจะเดินทางกลับมาวันมะรืนนี้พร้อมทั้งถามว่าคุณศศิกาญจน์จะจองคิวคุณปานดาวเอาไว้เลยหรือเปล่า ดังนั้นคุณศศิกาญจน์จึงตัดสินใจขอจองคิวคุณปานดาวเอาไว้ก่อน เมื่อพนักงานสาวจดชื่อคุณศศิกาญจน์เอาไว้เรียบร้อยแล้ววิปัศย์จึงชวนท่านเดินทางกลับโรงพยาบาลทันที

ทั้งสองคนเดินผ่านประตูออกมาด้านหน้าตำหนัก โดยศิวาเดินตามหลังออกมาอย่างช้าๆ แล้วก็พบกับปราณปรียาซึ่งก้าวพ้นบันไดขึ้นมาพอดี ปราณปรียาจึงพนมมือไหว้พลางทักทายคุณศศิกาญจน์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คุณศศิกาญจน์ก็รับไหว้หญิงสาวและทักทายตอบด้วยน้ำเสียงยินดีเช่นกัน

“ดีจังที่ได้เจอหนูพอดี” คุณศศิกาญจน์พูดขึ้นหลังจากที่ทักทายกันเรียบร้อยแล้ว

“คุณน้ามีอะไร...เอ๊ะ!...” ปราณปรียาถามคุณศศิกาญจน์ยังไม่ทันจบประโยคดีก็ต้องชะงัก เมื่อเหลือบไปเห็นร่างโปร่งแสงของศิวายืนอยู่ทางด้านหลังคุณศศิกาญจน์

“คุณศิ...” ปราณปรียาเกือบจะเผลอเรียกชื่อศิวาออกไปแล้ว ดีแต่ว่ายั้งเอาไว้ได้ทันเสียก่อน

“มีอะไรเหรอจ๊ะหนูฝ้าย?” คุณศศิกาญจน์ถามด้วยความแปลกใจ พลางหันกลับไปมองทางด้านหลังของตัวเอง

ปราณปรียารีบปฏิเสธทันทีพลางถามคุณศศิกาญจน์ว่าท่านมาถึงที่นี่มีอะไรให้ตำหนักปานดาวพยากรณ์รับใช้หรือเปล่า คุณศศิกาญจน์จึงบอกกับหญิงสาวว่าจะมาขอความช่วยเหลือจากคุณปานดาวเรื่องหาวิธีรักษาและทำให้ศิวาฟื้นแต่คุณปานดาวไม่อยู่ท่านจึงตั้งใจว่าจะมาที่นี่อีกครั้งในวันมะรืน

หญิงสาวบอกกับคุณศศิกาญจน์ว่าเธอจะรีบบอกเรื่องนี้กับมารดาทันทีที่ท่านเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ คุณศศิกาญจน์กล่าวคำขอบใจปราณปรียาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เมื่อเหลือบไปทางร่างสูงของวิปัศย์ซึ่งยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ
“ตายจริง! ดูสิมัวแต่คุยกับหนูฝ้าย เลยยังไม่ได้แนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกันเลย...” คุณศศิกาญจน์พูดขึ้น และทำท่าจะแนะนำให้สองหนุ่มสาวได้รู้จักกัน แต่แล้วปราณปรียากับวิปัศย์ก็พูดประสานเสียงขึ้นมาพร้อมๆ กันว่า

“ไม่จำเป็นหรอกครับ/ค่ะ”

คุณศศิกาญจน์มองหน้าสองหนุ่มสาวด้วยความงุนงงกับคำปฏิเสธ ในขณะที่วิปัศย์และปราณปรียามองสบตากันด้วยแววตาไม่เป็นมิตรก่อนจะเมินหน้าหนีไปคนล่ะทาง ส่วนศิวาที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างขบขันเมื่อเห็นท่าทางของทั้งคู่
“เอ่อ...ทั้งสองคนมีอะไรรึเปล่าจ๊ะ?” คุณศศิกาญจน์ถามขึ้น

“เปล่าครับ/ค่ะ” วิปัศย์และปราณปรียาพูดขึ้นมาพร้อมๆ กันอีกครั้ง ก่อนที่ปราณปรียาจะปรายตามองวิปัศย์แล้วรีบอธิบายกับคุณศศิกาญจน์ทันที

“คือว่า...คุณน้าไม่ต้องแนะนำหรอกค่ะ ฝ้ายรู้จักคุณวิปัศย์ดีอยู่แล้วค่ะ”

“อ้าว! จริงเหรอจ๊ะตาปัศย์?” คุณศศิกาญจน์หันไปถามวิปัศย์ ชายหนุ่มเลยได้แต่พยักหน้าพลางตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์พอๆ กับสีหน้าว่า

“ใช่ครับ ผมก็รู้จักคุณปราณปรียาอยู่แล้วครับคุณแม่”

“อ๋อ...ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะจ้ะ เป็นเพื่อนกันไว้นะจ๊ะ” คุณศศิกาญจน์บอกสองหนุ่มสาว ในขณะที่วิปัศย์กับปราณปรียาได้แต่ยิ้มแหยๆ ส่วนศิวายังคงหัวเราะเบาๆ อยู่คนเดียว คุณศศิกาญจน์ยืนพูดคุยกับปราณปรียาอยู่อีกครู่หนึ่งจึงขอตัวเดินทางกลับไปที่โรงพยาบาล



กานต์พิชชาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่อ่านอยู่แล้วหันไปมองดูนาฬิกาที่หัวเตียงซึ่งเข็มนาฬิกาบอกเวลาว่าเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว หญิงสาวเริ่มรู้สึกแปลกใจที่วันนี้ศิวายังไม่กลับมาที่บ้านของเธออีก เพราะว่าตามปกติประมาณสามทุ่มเศษชายหนุ่มก็จะกลับมาแล้ว

“เค้าคงจะอยากอยู่กับพ่อแม่นานๆ ล่ะมั้ง เดี๋ยวก็คงจะกลับมาเอง” กานต์พิชชาบอกตัวเอง แล้วหาวออกมาด้วยความง่วงงุนก่อนจะล้มตัวลงนอนพลางเอื้อมมือไปปิดโคมไฟที่หัวเตียง แล้วเผลอหลับไปอย่างง่ายดาย

กานต์พิชชาไม่รู้ว่าเธอหลับไปนานแค่ไหน แต่มาสะดุ้งตื่นก็ตอนที่ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากข้างล่าง หญิงสาวขยับลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางเอื้อมมือไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง แล้วมองดูนาฬิกาที่หัวเตียงซึ่งเข็มชี้บอกเวลาห้าทุ่มตรงพอดี คิ้วโก่งเรียวของกานต์พิชชาขมวดมุ่นด้วยความสงสัย เธอคิดว่าเสียงที่ได้ยินน่าจะมาจากศิวา แต่ว่าเขากำลังทำอะไรนี่สิที่เธอไม่เข้าใจ

“ทำอะไรของเค้าดึกป่านนี้นะ” หญิงสาวพูดพลางขยับก้าวลงจากเตียง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องนอน แล้วก้าวลงบันไดไปที่ชั้นล่าง พลางส่งเสียงเรียกชายหนุ่ม และพยายามมองหาร่างโปร่งแสงของเขาแต่ก็ไม่พบ

“ศิวา...คุณกลับมาแล้วเหรอคะ ศิ...อุ๊บ!!!” เสียงของกานต์พิชชาขาดหายไปทันที เมื่อมือของใครคนหนึ่งเอื้อมมาตะครุบปิดปากเธอจากทางด้านหลัง พร้อมๆ กับที่ร่างเพรียวระหงถูกกอดรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา หญิงสาวพยายามดิ้นรนหนี และต่อสู้ ทั้งเตะทั้งถีบเพื่อเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณทันทีเมื่อรู้แน่แล้วว่าขณะนี้เธอกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่แรงผู้หญิงอย่างเธอก็ไม่สามารถต่อสู้กับแรงของผู้ชายที่น่าจะมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเธอมากได้

“หยุดดิ้นนะ! ถ้ายังไม่อยากตาย” เสียงข่มขู่อย่างดุดันของผู้ไม่ประสงค์ดีดังขึ้น พร้อมทั้งหญิงสาวรู้สึกได้ถึงแรงบีบที่บริเวณลำคอของตัวเองจากมือที่แข็งราวกับคีมเหล็กของอีกฝ่ายจนเธอเริ่มหายใจติดขัด ทำให้กานต์พิชชาต้องหยุดดิ้นรนทันที

“ดีมาก ว่าง่ายๆ อย่างงี้ค่อยยังชั่วหน่อย ทีนี้ก็บอกมาว่าเงินทอง ข้าวของมีค่าของเธออยู่ที่ไหน?” คนร้ายถามเสียงเข้ม พร้อมทั้งคลายแรงบีบที่บริเวณลำคอของหญิงสาวลง เพื่อให้เธอสามารถพูดได้

“มีเงินอยู่...อยู่ในลิ้นชักโต๊ะวาง...ทีวี...” กานต์พิชชาตอบ

“ถ้างั้นเธอเดินนำฉันไป แล้วก็หยิบเงินขึ้นมาให้ฉันด้วย อย่าเล่นตุกติกนะ แล้วฉันจะไม่ทำอะไรเธอ” พูดจบคนร้ายก็ใช้มีดจี้ที่เอวของกานต์พิชชา แล้วดันร่างหญิงสาวให้เดินนำไปที่โต๊ะวางโทรทัศน์ทันที ซึ่งทำให้หญิงสาวได้รู้ว่าคนร้ายคนนี้มีมีดเป็นอาวุธเท่านั้น เพราะถ้าหากมีปืนมันก็คงจะเอาออกมาแล้ว

กานต์พิชชาก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พยายามปรับสายตาให้ชินกับความมืด เพื่อมองหาสิ่งที่เธอจะสามารถเอามาเป็นอาวุธต่อสู้กับคนร้ายเพื่อเอาตัวรอดได้บ้าง เพราะหญิงสาวไม่เชื่อใจว่ามันจะไม่ทำร้ายเธอจริงๆ อย่างที่มันพูด หลังจากที่มันได้เงินและสิ่งของมีค่าไปแล้ว แต่เธอก็ไม่พบสิ่งที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้เลย

หญิงสาวย่อตัวลงนั่งแล้วดึงลิ้นชักโต๊ะออกมา ก่อนจะหยิบซองสีน้ำตาลขนาดเอห้าขึ้นมา คนร้ายกระชากซองนั้นไปจากมือเธอแล้วรีบเปิดซองออกดูทันที กานต์พิชชาเห็นมันกำลังเผลอตัวและนึกขึ้นได้ว่าขณะนี้คนร้ายกำลังยืนอยู่บนพรมผืนเล็กซึ่งเธอเอาวางไว้ตรงหน้าโต๊ะวางทีวี เมื่อคิดได้อย่างนั้นหญิงสาวก็ค่อยๆ เอื้อมมือไปจับที่ขอบพรมผืนเล็ก ก่อนจะตัดสินใจกระชากเต็มแรง

“เฮ้ย!” คนร้ายอุทานด้วยความตกใจและเสียหลักเซเล็กน้อย พร้อมทั้งทำมีดที่ถืออยู่ในมือหล่นกระเด็นไปไกล กานต์พิชชาเลยอาศัยจังหวะนี้รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งตรงไปที่บันไดบ้านซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดทันที อย่างน้อยถ้าเธอวิ่งหนีขึ้นไปบนห้องนอนแล้วปิดล็อคประตูห้องเอาไว้ ก็น่าจะมีทางไปร้องตะโกนขอความช่วยเหลือจากคนข้างบ้านได้

“จะไปไหนนังตัวแสบ!!!” เสียงคนร้ายถามอย่างหัวเสีย พร้อมทั้งวิ่งตามมาจิกผมของหญิงสาวเอาไว้ก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวขึ้นบันได

“โอ๊ย!!!” กานต์พิชชาร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะอ้อนวอนอีกฝ่ายว่า

“ได้โปรดปล่อยฉันเถอะ นายได้เงินแล้วก็ไปซะสิ”

“ฉันปล่อยเธอแน่ แต่หลังจากที่เรามีความสุขด้วยกันก่อนนะคนสวย” คนร้ายพูดพลางกวาดตามองร่างของหญิงสาวด้วยแววตาหื่นกระหาย

ในขณะที่กานต์พิชชาใจหายวาบด้วยความหวาดกลัว พลางพยายามดิ้นรนต่อสู้เมื่อถูกโจรร้ายรวบกอดร่างของเธอเอาไว้แน่น ก่อนจะตัดสินใจยกเข่าขึ้นกระแทกที่จุดสำคัญกลางหว่างขาของคนร้ายจนมันถึงกับจุกตัวงอ แล้วพยายามจะสะบัดตัวหนีออกจากอ้อมแขนของมันแต่ก็ไม่สำเร็จ

“หมดอารมณ์แล้วโว้ย ฤทธิ์มากนักก็อย่าอยู่เลย” พูดจบคนร้ายก็ตะปบมือทั้งสองข้างลงบนลำคอของหญิงสาวทันที ก่อนจะออกแรงบีบเต็มแรง

“อ๊อก! ช่วย...ด้วย...ช่วย...ฉัน...ด้วย...” กานต์พิชชาพยายามร้องขอความช่วยเหลือ

“หึๆๆ ร้องให้ตายก็ไม่มีใครมาช่วยได้หรอก อย่าเสียเวลาเรียกเลย เตรียมตัวตายได้แล้ว!!!” คนร้ายพูดอย่างเหี้ยมโหด

“ช่วย...ด้วย...ศิ...วา...ช่วย...ฉัน...ด้วย...” กานต์พิชชาพยายามเปล่งเสียงขอความช่วยเหลือจากชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่เธอคิดถึงอยู่ในขณะนี้ ด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วงๆ ในขณะที่น้ำตาเริ่มไหลคลอหน่วยตาของหญิงสาวก่อนจะไหลรินลงมาอาบแก้ม เมื่อคิดว่าวินาทีสุดท้ายของชีวิตเธอกำลังใกล้จะมาถึงในไม่ช้านี้แล้ว



ศิวาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงในห้องนอนส่วนตัวภายในบ้านของเขาด้วยความรู้สึกท้อแท้ใจ หลังจากที่เขากลับมาที่บ้านเพื่อค้นหาความทรงจำของตัวเองในวันที่เกิดอุบัติเหตุ แต่จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็ไม่พบอะไรที่พอจะทำให้เขาจดจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้เลย

ห้องนอนของเขายังคงสะอาดเรียบร้อยเป็นปกติ ข้าวของส่วนตัวทุกอย่างถูกจัดวางเอาไว้อย่างมีระเบียบ หากแต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างภายในห้องหายไป แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกยังไงเขาก็ยังนึกไม่ออกว่าสิ่งที่หายไปคืออะไร ถึงแม้ว่าศิวาจะพยายามนึกทบทวนอยู่หลายรอบแล้วก็ตาม

“ช่วย...ด้วย...ศิ...วา...ช่วย...ฉัน...ด้วย...”

เสียงร้องขอความช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวของกานต์พิชชาที่ดังขึ้น ทำให้ศิวาลืมตาขึ้นมาและลืมเรื่องของตัวเองไปในทันที แล้วร่างของชายหนุ่มก็หายวับไปอย่างรวดเร็วด้วยความเป็นห่วงเจ้าของเสียง

เพียงครู่เดียวเขาก็มาปรากฏตัวภายในบ้านของหญิงสาว แล้วดวงตาคู่คมหวานซึ้งของชายหนุ่มก็ต้องลุกวาบด้วยความโกรธ เมื่อเห็นชายร่างใหญ่กำลังบีบคอกานต์พิชชาอยู่ ศิวาใช้พลังกระชากร่างนั้นลอยออกมาจากร่างของหญิงสาวแล้วเหวี่ยงไปกระแทกกับฝาผนังบ้านเต็มแรงจนคนร้ายร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด

“ศิวา...” กานต์พิชชาเรียกชื่อชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงยินดี เมื่อเห็นเขายืนอยู่กลางห้อง

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ?!!!” เจ้าคนร้ายสบถอย่างหัวเสีย พลางขยับลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วมันก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อเห็นข้าวของชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายในบ้านค่อยลอยขึ้นกลางอากาศได้เองโดยไม่มีคนจับต้อง

“เหวออออ!!! ผีหลอก!!!” คนร้ายร้องอุทานเสียงหลงด้วยความหวาดกลัว ในขณะที่ศิวาหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ก่อนจะสั่งให้สิ่งของทุกอย่างที่ลอยอยู่กลางอากาศพุ่งเข้าไปทำร้ายอีกฝ่าย จนมันต้องร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดพลางปัดป้องเป็นพัลวัน ก่อนจะพนมมือไหว้พลางพูดพร่ำอ้อนวอน

“โอ๊ยๆๆ พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกช้างด้วย อย่าทำลูกช้างเลย ลูกช้างกลัวแล้ว...” คนร้ายพูดได้แค่นั้นก็หมดสติไปทันทีเพราะความหวาดกลัวและตกใจสุดขีด

“คุณได้รับบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่าตอง?” ศิวาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยเมื่อเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งตรงหน้ากานต์พิชชาซึ่งกำลังนั่งอยู่บนขั้นบันไดด้วยทีท่าไร้เรี่ยวแรง

กานต์พิชชาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าชายหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่น้ำตาจะเริ่มไหลออกมาคลอหน่วยตาของหญิงสาวพร้อมกับเสียงสะอื้นเบาๆ เมื่อพูดว่า

“ฉันกลัว โจรมันเกือบจะฆ่าฉันไปแล้ว ถ้าคุณมาไม่ทัน”

“คุณไม่ต้องกลัวแล้วนะ ตอนนี้โจรมันทำอะไรคุณไม่ได้แล้ว ไม่ต้องร้องไห้นะครับ” ศิวาปลอบ แต่คำปลอบโยนของชายหนุ่มกลับทำให้หญิงสาวร้องไห้หนักกว่าเดิมพลางตัดพ้อต่อว่าเขา

“คุณไปไหนมา ไหนคุณบอกว่าจะช่วยดูแลบ้านให้ฉันไง ทำไมคุณทิ้งฉันไว้คนเดียว”

ศิวามองดูหญิงสาวตรงหน้าที่กำลังร้องไห้อย่างเสียขวัญด้วยความรู้สึกเห็นใจและรู้สึกผิดไปพร้อมๆ กัน ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ร่างระหงแล้วยกแขนทั้งสองข้างของเขาขึ้นโอบกอดร่างหญิงสาวเอาไว้ พลางปลอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มและอ่อนโยน

“อย่าร้องไห้นะครับ ผมผิดเอง ผมขอโทษที่ทิ้งคุณไว้คนเดียว ผมคิดถึงบ้านก็เลยกลับไปที่บ้าน ผมสัญญาว่าต่อไปนี้ไม่ว่าผมไปไหนผมก็จะรีบกลับมา จะไม่ทิ้งคุณไว้คนเดียวอีกเด็ดขาด คุณยกโทษให้ผมนะตอง”

กานต์พิชชาชะงักและหยุดร้องไห้ทันทีด้วยความรู้สึกงุนงงกับการกระทำของศิวา เพราะถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะเป็นเพียงร่างโปร่งแสงไม่มีเลือดเนื้อ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่เธอกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนจากอ้อมแขนที่กำลังโอบกอดเธออยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาหญิงสาวก็ได้สัมผัสกับความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือใจของเธอกำลังเต้นแรงขึ้นตามลำดับและใบหน้าร้อนผ่าวโดยไม่มีเหตุผล

ศิวายิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นคนในอ้อมกอดของเขาหยุดร้องไห้แล้ว ก่อนที่ชายหนุ่มจะก้มหน้าลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากเนียนเกลี้ยงเกลาของหญิงสาวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูว่า

“ก้านตองคนเก่งของผมหยุดร้องไห้แล้ว”

กานต์พิชชาได้แต่นั่งนิ่งอึ้งตะลึงงันหน้าร้อนวูบตัวร้อนวาบด้วยความรู้สึกงุนงงอย่างบอกไม่ถูก เมื่อครู่เธอรับรู้และสัมผัสได้ถึงริมฝีปากสวยได้รูปของชายหนุ่มที่จูบหน้าผากของเธออีกแล้ว สัมผัสนั้นอ่อนเบาเหมือนสายลมที่พัดผ่าน แต่ทว่าอบอุ่นแทรกซึมลึกเข้าไปถึงในหัวใจของเธอ ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพียงแค่วิญญาณเท่านั้น

“ถ้าคุณหายกลัวหายตกใจแล้ว ผมว่ารีบโทร.ไปแจ้งความก่อนดีกว่านะครับ ตำรวจจะได้มาจับตัวคนร้ายไป” ศิวาบอกพลางคลายวงแขนที่โอบกอดหญิงสาวออกก่อนจะขยับลุกขึ้นยืน ทำให้กานต์พิชชาเริ่มได้สติก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ้อมแอ้มพูดด้วยท่าทางเก้อเขิน

“เอ่อ...จริงด้วย ฉันต้องรีบโทร.ไปแจ้งความ” พูดจบหญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟในบ้านให้สว่าง ก่อนจะรีบโทรศัพท์ไปแจ้งความ ในขณะที่ศิวาหาเชือกมามัดมือและเท้าของคนร้ายเอาไว้อย่างแน่นหนา

เมื่อตำรวจเดินทางมาถึงก็มาตรวจดูสถานที่เกิดเหตุพร้อมทั้งสอบปากคำกานต์พิชชา ซึ่งหญิงสาวก็เล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นให้ตำรวจฟัง ก่อนจะจบลงตรงที่เธอใช้ข้าวของทุกอย่างภายในบ้านขว้างปาใส่คนร้าย มันพยายามวิ่งหลบแล้วลื่นล้มลงหัวฟาดฝาผนังห้องทำให้หมดสติไป เธอจึงรีบไปหาเชือกมามัดมือและเท้าของคนร้ายเอาไว้ ก่อนจะโทรศัพท์ไปแจ้งความ

ตำรวจและเพื่อนบ้านต่างไม่มีใครติดใจหรือสงสัยอะไรกับคำบอกเล่าของหญิงสาว และบอกว่าเป็นโชคดีของกานต์พิชชาที่คนร้ายลื่นล้มหัวฟาดหมดสติไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นมันอาจจะทำอันตรายเธอจนได้รับอันตรายถึงชีวิตได้

จากนั้นตำรวจก็ควบคุมตัวคนร้ายที่พอฟื้นได้สติขึ้นมาก็เอาแต่พร่ำพูดว่าผีหลอกด้วยท่าทางหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาไปโรงพัก โดยไม่มีใครติดใจอะไรกับคำพูดของคนร้าย เพื่อนบ้านบางคนก็บอกว่าคนร้ายคงแกล้งทำตัวเหมือนคนบ้าเนื่องจากกลัวความผิด บางคนก็บอกว่าคนร้ายคงจะได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองตอนที่ล้มลงไปหัวฟาดพื้น ซึ่งก็ทำให้กานต์พิชชารู้สึกโล่งอกที่ไม่มีใครสงสัยอะไรเลย

เมื่อตำรวจและเพื่อนบ้านกลับไปหมดแล้ว ศิวาก็รีบหายามาให้กานต์พิชชาทาบริเวณลำคอที่ถูกคนร้ายบีบจนเป็นรอยแดงช้ำ จากนั้นเขาก็ตามขึ้นไปส่งหญิงสาวจนถึงหน้าห้องนอนพลางบอกว่า

“ดึกมากแล้ว คุณรีบนอนพักนะครับ ข้าวของข้างล่างผมจะเก็บให้คุณเอง ไม่ต้องเป็นห่วง”

กานต์พิชชามองหน้าชายหนุ่มนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจว่า

“โชคดีที่คุณกลับมาที่นี่พอดี คุณเลยมาช่วยฉันทัน ไม่อย่างงั้นฉันอาจจะถูกฆ่าตายไปแล้วก็ได้ ขอบคุณมากนะคะ”

“ความจริงแล้วผมไม่ได้กลับมาที่นี่พอดีหรอกนะตอง แต่ที่ผมมาช่วยคุณทัน ก็เพราะว่าผมได้ยินเสียงคุณร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากผมต่างหากล่ะครับ” ศิวาบอกหญิงสาว

“คุณได้ยินเสียงฉันเรียกคุณงั้นเหรอคะ เป็นไปได้ยังไงกัน แปลกจัง” กานต์พิชชาพูดด้วยความประหลาดใจ

“ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ว่าผมได้ยินเสียงเรียกของคุณจริงๆ ผมก็เลยรีบกลับมา ผมว่าเราเก็บเรื่องนี้เอาไว้ถามคุณฝ้ายวันพรุ่งนี้ดีกว่านะครับ ตอนนี้คุณรีบเข้าไปนอนพักเถอะดึกมากแล้ว” ศิวาบอกหญิงสาว กานต์พิชชาพยักหน้าก่อนจะผลักประตูห้องก้าวเข้าไป ศิวายืนรอจนหญิงสาวปิดประตูห้องเรียบร้อยแล้วเขาจึงค่อยเดินลงบันไดกลับลงไปข้างล่างไปจัดการเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายในบ้านให้เข้าที่เข้าทางอย่างเรียบร้อยตามที่บอกกับกานต์พิชชาเอาไว้



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ย. 2556, 19:39:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ย. 2556, 19:39:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 972





<< ตอนที่ 6   ตอนที่ 8 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account