ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก (สนพ.กรีนมายด์) วางแผงเร็วๆ นี้
เมื่อย่างเข้าสู่วัยเบญเพสมักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งอาจจะมีทั้งดีและร้าย แต่สำหรับ ’กานต์พิชชา’ การได้พบกับวิญญาณของ ‘ศิวา ศิโรรัตน์’ ดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของสาวๆ ทั้งประเทศ เธอไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะว่าเขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับน่ารักเสียจนเธอเผลอหลงรักวิญญาณเข้าเต็มเปา แล้วกานต์พิชชาควรจะจัดการกับหัวใจของตัวเองยังไงดี เพราะคุณวิญญาณรูปหล่อคอยวนเวียนตามป่วนหัวใจแถมหึงหวงเธออยู่ตลอดเวลา
“ผมหึงคุณหึงมาก ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาใกล้ชิดคุณ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพูดถึงผู้ชายคนไหนต่อหน้าผมด้วย” พูดจบศิวาก็ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าสวยคมของคนที่กำลังมองสบตาเขาอย่างงุนงงทันที
กานต์พิชชายืนนิ่งตะลึงงัน เมื่อริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มประทับลงมาบนกลีบปากบางของเธอ ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะโปร่งแสงเป็นเพียงวิญญาณที่ไร้เลือดเนื้อ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่หญิงสาวกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนนุ่มนวล และเจือปนไปด้วยความอ่อนหวานที่ค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ก่อนจะลามไปทั่วร่างระหงราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นของเจ้าของรอยจูบนั้น
แต่ความรักครั้งนี้จะสมหวังได้อย่างไร ถ้าเขายังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ศิวาต้องไขปริศนาความทรงจำที่หายไป และหาวิธีกลับเข้าร่างของตัวเองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ชายหนุ่มจะทำได้หรือไม่ และความรักของทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร มาร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้คนทั้งคู่ได้ใน ‘ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก’

***เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้ว ขอลงให้อ่านแค่ครึ่งเรื่องคือ 12 ตอนนะคะ ส่วนครึ่งเรื่องที่เหลือรบกวนติดตามอ่านต่อในเล่มค่ะ จะวางแผงสิ้นเดือนกันยายนนี้แล้วค่ะ***
Tags: กุ๊กกิ๊ก,หวานแหวว,แฟนตาซี

ตอน: ตอนที่ 8

เช้าวันต่อมาเมื่อทุกคนที่ร้านรู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นกับกานต์พิชชาเมื่อคืนต่างก็แสดงความเป็นห่วงหญิงสาวอย่างมาก แต่กานต์พิชชาก็บอกกับทุกคนว่าต่อไปนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งสายตรวจเข้ามาตรวจตราภายในซอยให้บ่อยขึ้น จึงทำให้ทั้งสามสาวโล่งใจขึ้นบ้าง จากนั้นกานต์พิชชาจึงขอตัวเข้าไปทำเค้กวันเกิดให้ลูกค้า

“ทำไมคุณไม่ไว้ผมยาวล่ะครับ?” ศิวาซึ่งเดินตามเข้ามานั่งดูหญิงสาวแต่งหน้าเค้กถามขึ้น กานต์พิชชาเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนถามแวบหนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงตามเดิมพลางตอบ

“ฉันชอบไว้ผมสั้นมากกว่าค่ะ สบายดี แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลากับมันมากด้วย”

“ผมเห็นผู้หญิงส่วนมากชอบไว้ผมยาวกันนี่นา” ศิวาพูดเปรยๆ คราวนี้กานต์พิชชาเลยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า

“สงสัยคงจะเป็นเพราะผู้ชายส่วนมากชอบพูดว่า ผู้หญิงในสเป็คของพวกเค้าต้องไว้ผมยาว หน้าตาสวย แล้วก็ท่าทางเรียบร้อยมั้งคะ ผู้หญิงส่วนมากก็เลยชอบไว้ผมยาวกัน”

“แล้วคุณไม่คิดจะเป็นผู้หญิงส่วนมากบ้างเหรอครับ?” ศิวาถามยิ้มๆ กานต์พิชชาส่ายหน้า

“ไม่ล่ะค่ะ ถ้าใครจะชอบฉันก็ต้องชอบในสิ่งที่ฉันเป็น ไม่ใช่ให้ฉันต้องไปเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเป็นในสิ่งที่เค้าชอบ”

“คุณเป็นตัวของตัวเองดีนะครับ ผมชอบคุณจัง” ศิวาพูดพลางมองหญิงสาวด้วยแววตาชื่นชม

ในขณะที่กานต์พิชชาชะงักมือที่กำลังบีบครีมแต่งหน้าเค้กอยู่ทันที พลางเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดของเขา แล้วก็เห็นว่าศิวากำลังมองเธออยู่ด้วยแววตาอ่อนโยนเสียจนทำให้หญิงสาวรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นตามลำดับ กานต์พิชชาจึงรีบก้มหน้าหลบสายตาชายหนุ่มแล้วแต่งหน้าเค้กต่ออย่างขะมักเขม้น ในขณะที่ศิวาอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นอาการของหญิงสาว

“เดี๋ยวผมออกไปดูที่หน้าร้านหน่อยดีกว่า วันนี้มีลูกค้าเข้าร้านเยอะรึเปล่าน้า” พูดจบชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปยืนอยู่ตรงประตูห้องเพื่อมองดูบรรยากาศที่ด้านหน้าร้าน
เมื่อแต่งหน้าเค้กเสร็จเรียบร้อยกานต์พิชชาก็หันไปทางชั้นวางซึ่งเธอวางกล่องใส่เค้กเอาไว้เป็นประจำ แล้วก็พบว่าชั้นวางนั้นว่างเปล่า

“อ้าว! กล่องใส่เค้กหมดตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่ได้ดูเลยแฮะ” หญิงสาวบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเดินไปที่ตู้ไซด์บอร์ดแล้วเขย่งปลายเท้าขึ้นเลื่อนประตูตู้ให้เปิดออก จากนั้นก็ยื่นแขนเข้าไปออกแรงดึงกล่องใส่เค้กที่พับวางซ้อนกันอยู่ในตู้ออกมาจำนวนหนึ่ง

กึก...กึก...กึก...

เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นที่เหนือศีรษะของหญิงสาว เมื่อกานต์พิชชาเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าถาดหลายสิบใบซึ่งถูกวางซ้อนกันเอาไว้บนหลังตู้อย่างหมิ่นเหม่กำลังเอนเอียงไปมาและกำลังจะร่วงลงมาใส่เธอ

“ว้ายยยย!!!” หญิงสาวร้องอุทานเสียงดังลั่นพลางหลับตาปี๋ พร้อมทั้งรีบยกแขนทั้งสองข้างขึ้นไขว้กันเอาไว้เพื่อบังศีรษะตัวเองจากถาดจำนวนหลายสิบใบที่กำลังจะร่วงหล่นลงมาทันที แต่แล้วทุกอย่างกลับนิ่งเงียบ กานต์พิชชาไม่ได้รู้สึกว่าถูกถาดหล่นลงมากระแทกให้เธอเจ็บตัว รวมทั้งไม่ได้ยินเสียงถาดตกลงไปที่พื้นห้องด้วย

หญิงสาวลืมตาขึ้นทันทีด้วยความงุนงง แล้วเธอก็แทบผงะเมื่อเห็นใบหน้าของศิวาในระยะใกล้ แถมร่างของเขาก็กำลังยืนอยู่ในระยะประชิดจนแทบจะติดกับร่างของเธอด้วย

“เฮ้อ!!! เกือบไปแล้วนะตอง ทำไมคุณไม่เรียกผม ถ้าผมไม่ได้อยู่แถวนี้ถาดพวกนี้ต้องหล่นใส่หัวคุณไปแล้วแน่ๆ เลย” ศิวาบ่นหญิงสาวยืดยาว แล้วกานต์พิชชาก็ได้เห็นตอนนี้เองว่าสาเหตุที่ถาดจำนวนหลายสิบใบไม่ร่วงหล่นลงมาใส่ศีรษะของเธอ ก็เพราะว่ามันถูกศิวาทำให้ลอยค้างอยู่กลางอากาศนั่นเอง

แต่เมื่อหญิงสาวละสายตาจากถาดที่ลอยอยู่กลางอากาศลงมา ดวงตาของเธอก็ประสานเข้ากับดวงตาคู่คมหวานซึ้งของศิวาซึ่งกำลังมองเธออยู่พอดี ตั้งแต่เหตุการณ์เมื่อคืนที่เขาโอบกอดปลอบโยนและจูบหน้าผากเธอ กานต์พิชชาก็รู้สึกว่าตัวเองชักจะเริ่มมีอาการแปลกๆ คือใจเต้นแรงและใบหน้าร้อนผะผ่าวโดยไม่มีเหตุผลทุกครั้งเวลาที่ศิวาเข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับเธอแบบนี้ หญิงสาวหลบตาชายหนุ่มทันทีพลางพึมพำพูดตะกุกตะกัก

“เอ่อ...คือฉัน...ขอ...โทษ...”

“หืม...คุณขอโทษผมเรื่องอะไรครับ?” ศิวาถามพลางยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นหญิงสาวหลบตาเขา ชายหนุ่มพอจะดูออกว่าเธอกำลังเขินเขาเพราะความใกล้ชิดนั่นเอง

“เอ่อ...ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉัน” กานต์พิชชารีบพูดใหม่ ก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า “คุณช่วยถอยออกไปก่อนเถอะค่ะ”

“ทำไมล่ะครับ?” ศิวาแกล้งถาม

“ก็ฉันจะได้เดินออกไปจากตรงนี้ยังไงล่ะคะ” กานต์พิชชาตอบ

“คุณเดินทะลุผ่านตัวผมไปเลยก็ได้นี่ครับ ผมไม่เจ็บหรอก” ชายหนุ่มบอกหน้าตาเฉย

“ไม่เอา ฉันไม่อยากเดินทะลุผ่านตัวคุณ” กานต์พิชชาปฏิเสธทันควัน ก็ขนาดแค่เขามายืนอยู่ใกล้ๆ ใจเธอยังเต้นแรงขนาดนี้ แล้วจะให้เธอเดินทะลุผ่านตัวเขาไปได้ยังไงกัน มันก็เท่ากับว่าเธอเดินเข้าไปใกล้ชิดกับชายหนุ่มเองน่ะสิ มีหวังใจเธอคงเต้นแรงมากกว่าเดิมอีกหลายเท่ากว่าจะเดินผ่านร่างเขาไปได้

“ก็แล้วทำไมคุณถึงไม่อยากเดินทะลุผ่านตัวผมล่ะครับ?” ศิวาเอียงหน้าถามหญิงสาวพร้อมด้วยรอยยิ้มเก๋ไก๋ที่มุมปาก ดวงตาคู่คมเป็นประกายพราวระยับอย่างนึกสนุกที่ได้แกล้งหญิงสาว

“เอ๊ะ! นี่คุณจะแกล้งฉันเหรอคะ?” กานต์พิชชาถามพลางมองค้อนเขา

“ผมเปล่าแกล้งคุณซะหน่อย” ชายหนุ่มตีหน้าซื่อ

“ถ้าอย่างงั้นก็หลีกทางฉันสิคะ” หญิงสาวบอกแต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงมนตราหวีดร้องขึ้นมาด้วยความตกใจเสียก่อน

“กรี๊ดดดดดด!!! ผีหลอก!!! ถาดลอยได้”

กานต์พิชชากับศิวาหันไปมองเจ้าของเสียงทันที แล้วก็พบว่าร่างของมนตราร่วงลงไปนอนกองกับพื้นหมดสติไปแล้วเพราะความตกใจสุดขีดนั่นเอง



มนตราปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ หลังจากที่ปรางทิพย์เอายาดมให้ดมได้ครู่หนึ่ง พลางมองดูหน้าทุกคนที่รายล้อมตัวเองอยู่ด้วยความงุนงง

“เป็นยังไงบ้างจ๊ะมน?” กานต์พิชชาถามขึ้น มนตราเลยหันมามองหน้าหญิงสาวอีกรอบ แล้วเจ้าหล่อนก็เบิกตากว้างเมื่อความทรงจำก่อนจะหมดสติกลับคืนมา พร้อมทั้งร้องโวยวายขึ้นทันที

“ผีหลอกค่ะผีหลอก!!!”

“ผีที่ไหนกันมน เธอตาฝาดรึเปล่า?” ปรางทิพย์ถาม

“เมื่อคืนดูหนังผีมารึเปล่าเนี่ยมน?” พราวตาถามขึ้นอีกคน

“ฉันไม่ได้ตาฝาดนะปราง แล้วมนก็ไม่ได้ดูหนังผีมานะคะพี่พราว เมื่อกี๊มนเห็นถาดลอยอยู่กลางอากาศบนหัวคุณตอง คุณตองก็เห็นเหมือนมนใช่มั้ยคะ?” ท้ายประโยคมนตราหันมาถามกานต์พิชชา เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เธอเห็นเป็นความจริง หญิงสาวนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อมองเลยไปสบตากับศิวาซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไปเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจพูดปดในที่สุด

“ตองไม่เห็นอะไรเลยนี่จ๊ะ เมื่อกี๊ตองกำลังจะหยิบกล่องลงมาใส่ขนมเค้ก แล้วก็ได้ยินเสียงมนร้อง พอตองหันมามองก็เห็นมนนอนหมดสติอยู่ที่พื้นแล้วล่ะจ้ะ มนคงจะตาฝาดอย่างที่ปรางบอกล่ะมั๊ง”

มนตรายืนยันว่าเมื่อครู่นี้เห็นถาดลอยอยู่กลางอากาศจริงๆ ในขณะที่พราวตาส่ายหน้าพลางบ่นว่ามนตราส่งเสียงร้องเสียจนดังลั่นร้านทำให้ตนเองกับปรางทิพย์ตกใจ โชคดีที่เมื่อครู่ลูกค้าเพิ่งจะเดินออกไปจากร้านหมด ไม่อย่างนั้นคงมีใครต่อใครเอาไปร่ำลือว่าที่นี่มีผีอย่างแน่นอน มนตราทำท่าจะแย้งคำพูดของพราวตา แต่ปรางทิพย์ก็ชักชวนให้มนตราออกไปทำงานต่อพลางดึงมือเพื่อนให้ลุกขึ้นยืน มนตรามองไปรอบๆ ห้องด้วยสายตาหวาดระแวงก่อนจะรีบเดินตามพราวตากับปรางทิพย์ออกไปที่หน้าร้านอย่างรวดเร็ว

“เพราะว่าคุณมัวแต่แกล้งฉันแท้ๆ เลย มนถึงเข้ามาเห็นถาดลอยได้แบบนั้น” กานต์พิชชาต่อว่าชายหนุ่มเบาๆ พลางมองค้อนเขาอย่างหมั่นไส้เมื่อเดินผ่านศิวากลับไปที่โต๊ะซึ่งวางเค้กเอาไว้

กานต์พิชชาบอกชายหนุ่มว่าต่อไปเขาจะต้องระวังให้มากๆ ไม่ควรแสดงอิทธิฤทธิ์แบบนี้อีก เพราะถ้ามีใครมาเห็นอีกเรื่องคงไม่จบง่ายๆ ศิวาพยักหน้าและรับปากหญิงสาวว่าต่อไปเขาจะระวังให้มากขึ้น เมื่อชายหนุ่มรับปากแล้วกานต์พิชชาจึงหันไปทำงานของตัวเองต่อ ในขณะที่ศิวาขอตัวไปที่โรงพยาบาลและบอกหญิงสาวว่าจะรีบกลับมาในตอนเย็น จากนั้นร่างสูงของเขาก็หายวับไปทันที



ปราณปรียาแวะมาที่บ้านของกานต์พิชชาในตอนค่ำเพื่อบอกให้เธอกับศิวาไปที่ตำหนักปานดาวพยากรณ์ในวันพรุ่งนี้เพราะว่าคืนนี้คุณปานดาวจะเดินทางกลับมาจากฮ่องกงแล้ว กานต์พิชชาจึงเล่าเหตุการณ์ที่คนร้ายเข้าบ้านเมื่อคืนให้เพื่อนรักฟังตั้งแต่ต้นจนจบ รวมทั้งถามถึงเหตุผลที่ศิวาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเธอทั้งที่ชายหนุ่มอยู่ไกลถึงบ้านของเขาด้วย

“เรื่องที่คุณศิวาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเธอเมื่อคืน ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะว่าจิตของเธอกับจิตของคุณศิวาสื่อถึงกันได้นะตอง” ปราณปรียาอธิบายให้ทั้งสองฟัง

“จิตสื่อถึงกันงั้นเหรอ ฉันเคยได้ยินเค้าพูดกันว่าคนที่จิตสื่อถึงกันได้จะต้องเป็นญาติหรือเพื่อนสนิทกันไม่ใช่เหรอฝ้าย?” กานต์พิชชาถามอย่างประหลาดใจ ในขณะที่ศิวาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ปราณปรียามองหน้ากานต์พิชชาและศิวาสลับกันไปมาก่อนจะตอบว่า

“บางทีถึงไม่ใช่ญาติหรือเพื่อนสนิท แต่ถ้ามีความรู้สึกผูกพันกันมากๆ จิตก็สามารถสื่อถึงกันได้นะ”

คำตอบของปราณปรียาทำเอาสองคนที่นั่งฟังอยู่ถึงกับกันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง ก่อนที่ทั้งสองจะถามขึ้นมาพร้อมๆ กันว่า

“คุณฝ้ายกำลังจะหมายความว่าเราสองคนผูกพันกันมากเหรอครับ?” ศิวา

“ฉันกับเค้าเนี่ยนะผูกพันกันมาก?” กานต์พิชชา

“ใช่ค่ะ ถ้าคุณไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับตอง คุณจะไม่มีทางได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของตองได้เลยคุณศิวา...” ปราณปรียาเว้นช่วงนิดหนึ่ง ก่อนจะหันมาทางกานต์พิชชาแล้วพูดว่า

“ส่วนเธอ...ถ้าหากเธอไม่ได้รู้สึกผูกพันกับคุณศิวา เธอก็คงจะไม่ร้องเรียกให้คุณศิวามาช่วยเหลือในเวลาที่เธอกำลังจะมีอันตรายหรอก จริงมั้ยตอง?”

กานต์พิชชากับศิวาหันมามองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในใจ

“เอ่อ...มันอาจจะเป็นความบังเอิญก็ได้นะฝ้าย” กานต์พิชชาบอกเพื่อนรัก

“ถ้างั้นเราลองมาพิสูจน์กันดูมั้ยล่ะ?” ปราณปรียาถามยิ้มๆ

“เธอจะพิสูจน์ยังไงเหรอ?” กานต์พิชชาถาม ในขณะที่ศิวาเองก็มองหน้าปราณปรียาด้วยความอยากรู้

ปราณปรียาจึงบอกให้ศิวาลองออกไปยืนอยู่ที่หน้าปากซอยซึ่งห่างจากบ้านของกานต์พิชชามากพอควร จากนั้นเธอจะลองเรียกชื่อศิวาดูว่าเขาจะได้ยินหรือเปล่าถ้าหากได้ยินก็ให้ชายหนุ่มกลับมาที่บ้านทันที แต่ถ้าผ่านไปห้านาทีศิวายังไม่กลับมาก็แสดงว่าเขาไม่ได้ยินเสียงเรียกของเธอ จากนั้นปราณปรียาจะลองให้กานต์พิชชาเรียกชื่อศิวาอีกครั้งถ้าหากเขาได้ยินก็ให้รีบกลับมาที่บ้านทันที ศิวาพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะหายตัวไปทันที

หลังจากที่ศิวาออกจากบ้านไปได้ประมาณสิบนาทีปราณปรียาก็ลองเรียกชื่อชายหนุ่ม แต่เวลาผ่านไปพักใหญ่ศิวาก็ยังไม่กลับมาถึงแม้ว่าปราณปรียาจะเรียกชื่อชายหนุ่มถึงสามครั้งก็ตาม จากนั้นปราณปรียาจึงบอกให้กานต์พิชชาลองเรียกชื่อศิวาแต่ให้เรียกอยู่ในใจห้ามออกเสียง ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับกานต์พิชชามากจนอดที่จะถามเพื่อนรักไม่ได้

“เธอจะให้ฉันเรียกเค้าในใจ ทั้งๆ ที่ขนาดเธอเรียกออกเสียงเค้ายังไม่ได้ยินเนี่ยนะ แล้วเค้าจะได้ยินที่ฉันเรียกเหรอ?”

“เธอทำตามที่ฉันบอกเถอะน่า เร็วสิตอง” ปราณปรียาบอก กานต์พิชชาเลยจำต้องทำตามที่เพื่อนรักบอก นั่นก็คือเรียกชื่อศิวาอยู่ในใจ

“ศิวา...ศิวา...คุณได้ยินฉันเรียกรึเปล่าคะ?”

“ได้ยินครับ” เสียงศิวาตอบพร้อมๆ กับที่ร่างสูงของเขาปรากฏขึ้นกลางบ้านทันที ท่ามกลางความประหลาดใจของกานต์พิชชา
ในขณะที่ปราณปรียาอมยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นศิวาก่อนจะถามว่าเขาไม่ได้ยินเสียงเรียกของเธอเลยใช่ไหม ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วสันนิษฐานว่าปราณปรียาอาจจะเรียกเสียงเบาทำให้เขาไม่ได้ยิน แต่ปราณปรียาบอกว่าเธอเรียกชื่อศิวาเสียงดังลั่นบ้านทีเดียว ซึ่งกานต์พิชชาก็พยักหน้าเป็นการช่วยยืนยันคำพูดของเพื่อนรักด้วย

“แล้วคุณได้ยินเสียงตองเรียกดังชัดมั้ยคะ?” ปราณปรียาถามชายหนุ่ม

“ได้ยินชัดครับ อย่างกับตองเรียกผมอยู่ใกล้ๆ เลย” ศิวาตอบ

ปราณปรียาเลิกคิ้วโก่งเรียวขึ้นเล็กน้อย เพราะเพิ่งจะสังเกตว่าศิวาเรียกชื่อเล่นกานต์พิชชาเฉยๆ โดยไม่มีคำว่าคุณนำหน้าเหมือนทุกครั้ง หญิงสาวอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อเริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไประหว่างเพื่อนรักของตัวเองกับดาราหนุ่มรูปหล่อ

“แต่เมื่อกี๊ตองไม่ได้เรียกคุณเสียงดังเลยนะคะ ฉันให้ตองเรียกคุณในใจ แล้วไม่ถึงหนึ่งนาทีคุณก็มายืนอยู่ในบ้านแล้วค่ะ คุณมาเร็วมากเลยนะคะคุณศิวา”

“เหรอครับ? เมื่อกี๊พอผมได้ยินเสียงตองเรียก ตัวผมก็เหมือนถูกดึงให้กลับมาที่บ้านทันที ผมยังงงๆ อยู่เลยครับว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้” ศิวาพูดด้วยสีหน้างุนงงจริงๆ

“นี่แหละค่ะคือข้อพิสูจน์ว่าคุณกับตองมีจิตที่สื่อถึงกันได้จริง ขนาดแค่ตองเรียกคุณในใจยังสามารถดึงคุณให้กลับมาที่บ้านได้ทันทีเลย แสดงว่าตอนนี้คุณกับตองผูกพันกันมากจริงๆ ใช่มั้ยคะคุณศิวา?” ปราณปรียาถามในตอนท้ายประโยคพลางมองหน้าศิวาและกานต์พิชชาด้วยรอยยิ้มมีความหมาย ทำเอาทั้งสองถึงกับมองหน้ากันอย่างอึ้งๆ ก่อนจะออกอาการเก้อเขินขึ้นมาทันที

“เหลวไหลน่าฝ้าย ผูกพันอะไรกันเราเพิ่งจะรู้จักแล้วก็อยู่ร่วมบ้านกันมาแค่หกวันเองนะ” กานต์พิชชาโวยเพื่อนรักแก้เขิน แต่กลับโดนปราณปรียาแซวกลับมาให้ได้เขินหนักกว่าเก่าอีกว่า

“ความผูกพันไม่เกี่ยวกับเวลาซะหน่อยมันเกี่ยวที่จิตใจจ้าคุณก้านตอง แล้วถ้าหากว่าเธอกับคุณศิวาไม่ผูกพันแล้วก็สนิทกันมากก็คงจะไม่ใช้คำว่าเราหรอก แถมตอนนี้คุยกันก็ยังไม่มีคำว่าคุณนำหน้าด้วย หรือว่าไงคะคุณศิวา?” ท้ายประโยคปราณปรียาหันไปถามศิวายิ้มๆ

“ก็...น่าจะประมาณนั้นนะครับคุณฝ้าย” ศิวาตอบด้วยท่าทางเก้อเขิน แต่ทำเอากานต์พิชชาถึงกับเบิกตากว้างพลางโวยวายชายหนุ่มว่า

“ศิวา!!! ทำไมคุณพูดเล่นแบบนี้ล่ะคะ?”

“ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ ก็คุณบอกผมเองว่าเราเป็นเพื่อนกัน เพราะฉะนั้นเวลาคุยกันเราก็จะเรียกชื่อกันเฉยๆ จำไม่ได้เหรอครับ?” ศิวาถามหญิงสาวพลางอมยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นเธอมองค้อนเขาอย่างเขินๆ

“ฉันว่าฉันไปรอรับแม่ที่สนามบินเลยดีกว่า ไม่อยากจะอยู่เป็น กขค.เพื่อนสนิทคู่ใหม่ แล้วพรุ่งนี้เจอกันที่บ้านฉันนะคะคุณศิวา ฉันไปนะตอง บายจ้า” พูดจบปราณปรียาก็คว้ากระเป๋าสะพายลุกขึ้นยืนแล้วเดินอมยิ้มออกไปจากบ้านทันที ทิ้งให้สองหนุ่มสาวยืนมองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลกๆ ภายในใจที่เริ่มเพิ่มมากขึ้นทีละนิด



เช้าวันต่อมากานต์พิชชากับศิวาก็เดินทางไปถึง “ตำหนักปานดาวพยากรณ์” ซึ่งก็อยู่ภายในบริเวณบ้านของปราณปรียาในตอนแปดโมงเศษๆ

“คุณแม่ผมกับนายปัศย์ยังไม่มาอีกเหรอครับคุณฝ้าย?” ศิวาถามขึ้นในระหว่างที่เดินคู่กับกานต์พิชชาตามหลังปราณปรียาเข้าไปภายในตำหนัก ซึ่งขณะนี้มีผู้คนที่มาเรียนเรื่องการพยากรณ์เข้าห้องเรียนและเริ่มเรียนกันหลายห้องแล้ว

“คุณแม่ของคุณนัดเวลาเอาไว้ตอนเก้าโมงเช้าค่ะ อีกสักพักก็คงจะมาถึงค่ะ” ปราณปรียาบอกเมื่อเดินนำทั้งสองเข้ามาจนถึงชุดรับแขกภายในห้องโถงใหญ่ จากนั้นหญิงสาวก็บอกกับศิวาว่ามารดาของเธอยินดีจะให้ความช่วยเหลือเขาเต็มที่ ศิวาจึงกล่าวขอบคุณหญิงสาวด้วยความยินดี อีกทั้งเริ่มมีความหวังที่จะได้กลับเข้าร่างมากขึ้น

“แน่ะคุณแม่คุณกับนายวิบัติเพื่อนรักของคุณมาแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวฉันขอตัวออกไปต้อนรับคุณแม่คุณก่อนนะคะ” พูดจบปราณปรียาก็รีบเดินออกไปต้อนรับคุณศศิกาญจน์ทันที ในขณะที่กานต์พิชชาถึงกับส่ายหน้ายิ้มๆก่อนจะพูดกับชายหนุ่มว่า

“ตกลงว่ายัยฝ้ายเค้าจะเรียกชื่อเพื่อนคุณว่าวิบัติตลอดไปแล้วล่ะมั้งเนี่ย”

“ก็คงจะอย่างงั้นมั้งครับ” ศิวาพูดอย่างขบขัน

ปราณปรียาหายไปครู่หนึ่งก็เดินกลับเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่ โดยมีคุณศศิกาญจน์และวิปัศย์เดินตามเข้ามาด้วย กานต์พิชชาพนมมือไหว้และทักทายคุณศศิกาญจน์อย่างนอบน้อม ในขณะที่วิปัศย์กำลังมองดูหญิงสาวอย่างพิจารณา คุณศศิกาญจน์รับไหว้กานต์พิชชาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเอ็นดู ก่อนจะแนะนำให้หญิงสาวกับวิปัศย์ได้รู้จักกัน

จากนั้นปราณปรียาก็เดินนำคุณศศิกาญจน์ไปที่ห้องพยากรณ์ของคุณปานดาว โดยมีวิปัศย์เดินตามไปด้วย ส่วนกานต์พิชชานั่งดูหนังสือแม็กกาซีนรออยู่ในห้องโถง ในขณะที่ศิวาไปยืนกอดอกชมสวนอยู่ที่ข้างหน้าต่างห้องเงียบๆ

ร่างสมส่วนของสุภาพสตรีสาวใหญ่ ใบหน้าสวยเคร่งขรึมในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวขลิบทองตามเชิงชาย ซึ่งกำลังนั่งด้วยท่าทางสงบนิ่งอยู่ด้านหลังโต๊ะมุกแปดเหลี่ยมภายในห้องสีครีมแลดูสะอาดตา และกลิ่นกำยานที่โชยคละคลุ้งอบอวลอยู่โดยรอบ ทำให้บรรยากาศภายในห้องนี้ดูมีมนต์ขลังและลึกลับได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทันทีที่คุณศศิกาญจน์และวิปัศย์ก้าวตามปราณปรียาเข้าไป

“สวัสดีค่ะคุณศศิกาญจน์และคุณวิปัศย์ เชิญนั่งเลยค่ะ”

“สวัสดีค่ะอาจารย์ปานดาว” คุณศศิกาญจน์เอ่ยปากทักทายคุณปานดาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงกันข้ามกับเจ้าของห้อง โดยมีวิปัศย์นั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ กัน ส่วนปราณปรียาเดินไปยืนอยู่ทางด้านหลังมารดา

“ดิฉันทราบแล้วว่าคุณอยากจะมาปรึกษาเรื่องของลูกชายคุณที่ประสบอุบัติเหตุ เพื่อไม่ให้เสียเวลาดิฉันขอทราบวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของลูกชายคุณด้วยค่ะ” คุณปานดาวบอกพลางส่งกระดาษให้ คุณศศิกาญจน์รับกระดาษมาเขียนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งกลับไปให้คุณปานดาวซึ่งรับไปแล้วก้มหน้าก้มตาคำนวณและขีดเขียนตัวเลขอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับคุณศศิกาญจน์ด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานว่า

“ตามดวงชะตาแล้วลูกชายของคุณกำลังมีเคราะห์หนัก แต่ว่าดวงชะตาของเค้ายังไม่ถึงฆาตค่ะ ก็เลยทำให้ประสบกับอุบัติเหตุรุนแรงแต่ไม่ถึงชีวิต เพียงแต่ยังนอนไม่ได้สติเท่านั้น”

“มีเคราะห์หนักเหรอคะ!!!” คุณศศิกาญจน์อุทานด้วยน้ำเสียงตกใจ ก่อนจะรีบถามต่อด้วยสีหน้ากังวลใจทันที “แล้วอาจารย์พอจะมีวิธีช่วยเหลือลูกชายของดิฉันได้บ้างมั้ยคะ จะต้องทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตาหรือว่าจะต้องทำพิธีอะไรบ้างคะ?”
วิปัศย์แอบถอนหายใจด้วยสีหน้าสุดแสนเซ็ง เมื่อคิดว่าคุณศศิกาญจน์คงจะต้องสูญเสียเงินทองจำนวนไม่น้อยเพื่อทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตาให้กับศิวาตามที่หมอดูทั้งหลายชอบแนะนำให้คนที่มาดูหมอในเวลาที่กำลังมีความทุกข์ใจทำ ซึ่งปราณปรียาก็สังเกตเห็นท่าทางของชายหนุ่มเธอจึงมองค้อนเขาอย่างหมั่นไส้

คุณปานดาวบอกกับคุณศศิกาญจน์ว่าจะไม่มีพิธีสะเดาะเคราะห์หรือว่าต่อดวงชะตาอะไรทั้งนั้น ก่อนจะแนะนำให้คุณศศิกาญจน์ไปทำบุญใส่บาตรและถวายสังฆทานพระที่วัดเพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของศิวา หลังจากนั้นก็ให้คุณศศิกาญจน์นั่งวิปัสสนากรรมฐานแล้วก็แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของศิวาทุกคืนติดต่อกันไปตลอดอย่าได้ขาด เพราะการทำแบบนี้จะช่วยสร้างบุญกุศลให้ศิวาเพิ่มมากขึ้น แล้วบุญกุศลนี้ก็จะทำให้ชายหนุ่มสามารถฟื้นขึ้นมาเองได้เมื่อถึงเวลาที่เคราะห์กรรมซึ่งเขากำลังประสบอยู่ผ่านพ้นไป จากนั้นชีวิตของศิวาก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานและมีความสุขในความรัก

คุณศศิกาญจน์มีสีหน้าประหลาดใจกับคำแนะนำของคุณปานดาวอยู่ไม่น้อย ในขณะที่วิปัศย์เองก็มีสีหน้าคาดไม่ถึงเหมือนกันเมื่อได้ยินคำแนะนำของคุณปานดาว ส่วนปราณปรียามองหน้าชายหนุ่มพลางยิ้มเยาะเมื่อเห็นท่าทางของเขา

คุณศศิกาญจน์บอกกับคุณปานดาวว่าจะรีบไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดในวันนี้เลย แล้วคืนนี้ก็จะเริ่มนั่งวิปัสสนากรรมฐานแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของศิวาด้วย พร้อมทั้งถามไถ่คุณปานดาวถึงค่าให้คำแนะนำปรึกษาในวันนี้ แต่คุณปานดาวส่ายหน้ายิ้มๆ พลางคุณศศิกาญจน์ว่ายินดีให้คำปรึกษากับทุกคนที่มีความทุกข์เพื่อสร้างกุศลให้กับตัวเองด้วย คุณศศิกาญจน์จึงกล่าวคำขอบคุณคุณปานดาวด้วยความรู้สึกตื้นตันใจก่อนจะขอตัวกลับทันทีเพื่อไปทำบุญ

“น้ากลับก่อนนะจ๊ะหนูตอง” คุณศศิกาญจน์พูดกับกานต์พิชชาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อเดินออกมาพบกับหญิงสาวข้างนอก กานต์พิชชาจึงพนมมือขึ้นไหว้ท่านพลางพูด

“สวัสดีค่ะคุณน้า”

“ถ้าวันไหนว่างหนูฝ้ายกับหนูตองก็อย่าลืมแวะไปคุยกับน้าที่โรงพยาบาลบ้างนะจ๊ะ” คุณศศิกาญจน์บอกกับหญิงสาวทั้งสอง เมื่อทั้งสองสาวรับคำแล้ว ท่านก็เดินออกไปพร้อมกับวิปัศย์ทันที

“เข้าไปหาแม่ฉันกันดีกว่า” ปราณปรียาบอกเมื่อคุณศศิกาญจน์และวิปัศย์เดินไปไกลแล้ว กานต์พิชชากับศิวาจึงรีบเดินตามอีกฝ่ายไปทันที

เมื่อเข้าไปภายในห้องทำงานของคุณปานดาว หลังจากที่กานต์พิชชากับศิวาพนมมือไหว้กล่าวคำทักทายคุณปานดาวและทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว คุณปานดาวซึ่งมองศิวาอย่างพินิจพิจารณาจึงพูดขึ้นว่า

“เมื่อครู่คุณแม่ของคุณเอาดวงของคุณให้น้าตรวจดูแล้ว ดวงชะตาของคุณยังไม่ถึงฆาตนะคะคุณศิวา ตามดวงแล้วคุณกำลังมีเคราะห์หนัก เลยทำให้ต้องประสบกับอุบัติเหตุร้ายแรงแบบนี้ น้าแนะนำให้คุณแม่ของคุณไปทำบุญ ถวายสังฆทาน แล้วก็นั่งวิปัสสนากรรมฐานเพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคุณ แต่น้าไม่ได้บอกคุณแม่ของคุณว่าตอนนี้วิญญาณของคุณออกจากร่างหรอกนะคะ เพราะว่าไม่อยากให้คุณแม่ของคุณต้องเป็นกังวลใจไปมากกว่านี้”

“ขอบคุณมากครับ ผมก็ไม่อยากให้คุณแม่รู้เหมือนกัน เพราะว่าไม่อยากให้ท่านต้องเป็นทุกข์ ผมสงสารท่านครับ” ศิวาพูด

“แล้วแม่มีวิธีที่จะช่วยให้คุณศิวากลับเข้าร่างได้รึยังคะ?” กานต์พิชชาถามขึ้นบ้าง

“เมื่อคืนแม่ลองค้นหาตำราเก่าแก่ทุกเล่มที่มีอยู่ในบ้านเอามานั่งอ่านจนเกือบถึงเช้า แล้วก็พบว่าตำราแทบทุกเล่มพูดตรงกันหมด เกี่ยวกับเรื่องที่วิญญาณของคนเราจะออกจากร่างในตอนที่เรานอนหลับ แล้วเดินทางท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นความฝัน แต่วิญญาณก็จะกลับเข้าร่างได้เองเมื่อถึงเวลาที่ต้องตื่นหรือถูกปลุกให้ตื่น

แต่ในกรณีคุณศิวา...วิญญาณของคุณหลุดออกจากร่างก็เพราะเกิดอุบัติเหตุแบบกะทันหัน ซึ่งเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่ร่างของคุณยังมีลมหายใจอยู่ ทั้งๆ ที่วิญญาณของคุณไม่สามารถกลับเข้าร่างได้นานถึงเจ็ดวันแล้ว แสดงให้เห็นว่าดวงชะตาคุณยังไม่ถึงฆาตจริงๆ เพียงแต่ว่าเราต้องมาหาสาเหตุกัน ว่าในเมื่อดวงคุณยังไม่ถึงฆาตแล้วทำไมวิญญาณของคุณถึงยังกลับเข้าร่างไม่ได้

ในตำราเก่าเล่มหนึ่งมีคำบอกเล่าจากคนเฒ่าคนแก่ที่เล่าสืบทอดกันมาว่า สาเหตุที่วิญญาณที่หลุดออกมาจากร่างไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ ก็อาจจะเป็นเพราะว่าดวงวิญญาณนั้นอาจจะมีเรื่องเจ็บปวดมาก ต้องการทอดทิ้งร่างกายตัวเอง หรือไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ในร่างเดิมแล้ว จึงปฏิเสธการกลับเข้าร่างของตัวเอง...” คุณปานดาวเว้นช่วงนิดหนึ่ง ศิวาจึงพูดขึ้นว่า

“แต่ว่าผมอยากจะกลับเข้าร่างตัวเองมากนะครับ ผมยังไม่อยากตาย ผมสงสารคุณพ่อคุณแม่ของผมครับ”
คุณปานดาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะถามชายหนุ่มว่าเขาจำได้หรือไม่ว่าวันที่เกิดอุบัติเหตุกำลังจะเดินทางไปที่ไหน กำลังทำอะไรหรือว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ คำถามของคุณปานดาวทำให้ศิวาถึงกับนิ่งเงียบไปทันที ในขณะที่กานต์พิชชากับปราณปรียาหันมามองสบตากันด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่ศิวาจะส่ายหน้าช้าๆ แล้วบอกกับคุณปานดาวว่าเขาจำเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุไม่ได้เลย และถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่วิญญาณของเขาไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ด้วยใช่หรือไม่

คุณปานดาวอธิบายให้ชายหนุ่มฟังด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า เรื่องความทรงจำของเขาอาจจะเกี่ยวข้องถึงสองเรื่องคือเรื่องที่วิญญาณศิวาไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ และอาจเป็นวิธีที่ช่วยให้วิญญาณของเขาสามารถกลับเข้าร่างได้ด้วย เพราะว่าความทรงจำสุดท้ายก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอาจจะเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคนหรือสิ่งของที่ชายหนุ่มคิดถึงและผูกพันมาก ซึ่งในตำราบอกเอาไว้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะสามารถดึงให้วิญญาณที่หลุดลอยออกจากร่างอย่างกะทันหันกลับเข้าร่างได้

ศิวาพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วพยายามนึกทบทวนถึงเหตุการณ์ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุกับตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ ท่ามกลางสายตาที่มองอย่างเอาใจช่วยของทุกคน แต่ไม่ว่าจะพยายามนึกยังไงชายหนุ่มก็พบแค่เพียงความว่างเปล่าอยู่ในสมอง ในที่สุดศิวาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาและแววตาผิดหวังว่า

“ผมนึกอะไรไม่ออกเลยครับ ถ้าผมนึกไม่ออกตลอดไปผมจะเป็นยังไงครับคุณน้า?” ศิวาถามคุณปานดาวในตอนท้ายประโยค

“ถ้าคุณนึกไม่ออกตลอดไปและคุณไม่สามารถกลับเข้าร่างจริงๆ ในที่สุดกายเนื้อที่ไร้จิตวิญญาณของคุณก็จะต้องเสื่อมสลาย ซึ่งก็หมายความว่าคุณจะต้องตายจริงๆ ค่ะ” คุณปานดาวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อะไรนะคะ?!!!” กานต์พิชชาร้องอุทานขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ พลางมองหน้าศิวาด้วยความเห็นใจ ก่อนจะรีบถามคุณปานดาวว่า

“จะต้องตายจริงๆ งั้นเหรอคะ แล้วเค้าจะมีเวลานานแค่ไหนคะแม่?”

“เรื่องเวลาแม่ไม่สามารถบอกได้หรอกจ้ะ มันเป็นเรื่องของเวรกรรม แต่...เราก็ยังไม่ควรจะสิ้นหวังไม่ใช่เหรอจ๊ะ ก็อย่างที่แม่บอกว่าดวงของคุณศิวายังไม่ถึงฆาตเพียงแต่กำลังมีเคราะห์หนัก และแม่มั่นใจว่าแม่ดูดวงใครไม่เคยพลาด เพราะฉะนั้นแม่ก็ยังเชื่อว่าคุณศิวาจะต้องสามารถกลับเข้าร่างได้อย่างแน่นอน ขอเพียงแค่ให้คุณศิวาค้นหาความทรงจำของตัวเองก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุให้พบก่อน...” คุณปานดาวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ในขณะที่กานต์พิชชาหันไปมองหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะบอกเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงจริงจังว่า
“ถ้าอย่างงั้นคุณก็ต้องมีความหวังต้องอย่าเพิ่งท้อแท้ แล้วก็พยายามค้นหาความทรงจำของคุณให้ได้นะคะ ฉันกับฝ้ายจะช่วยคุณค้นหาความทรงจำเองค่ะ”

“ขอบคุณมากครับตอง” ศิวาพูดกับหญิงสาวด้วยใบหน้าและแววตาที่บ่งบอกว่าซาบซึ้งในน้ำใจของเธอจริงๆ

***ถ้าใครอยากจะชมตัวอย่างปกนิยายเรื่องนี้เชิญคลิกเข้าไปชมได้ที่เว็บของสนพ.กรีนมายด์ ตามลิงค์ข้างล่างเลยนะคะ***
http://www.greenmindbook.com/product-%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81-347440-1.html



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ย. 2556, 20:07:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ย. 2556, 20:07:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1040





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account