ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก (สนพ.กรีนมายด์) วางแผงเร็วๆ นี้
เมื่อย่างเข้าสู่วัยเบญเพสมักจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้นกับมนุษย์ ซึ่งอาจจะมีทั้งดีและร้าย แต่สำหรับ ’กานต์พิชชา’ การได้พบกับวิญญาณของ ‘ศิวา ศิโรรัตน์’ ดาราหนุ่มรูปหล่อขวัญใจของสาวๆ ทั้งประเทศ เธอไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่ เพราะว่าเขาไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่กลับน่ารักเสียจนเธอเผลอหลงรักวิญญาณเข้าเต็มเปา แล้วกานต์พิชชาควรจะจัดการกับหัวใจของตัวเองยังไงดี เพราะคุณวิญญาณรูปหล่อคอยวนเวียนตามป่วนหัวใจแถมหึงหวงเธออยู่ตลอดเวลา
“ผมหึงคุณหึงมาก ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนมาใกล้ชิดคุณ แล้วก็ไม่อยากให้คุณพูดถึงผู้ชายคนไหนต่อหน้าผมด้วย” พูดจบศิวาก็ก้มหน้าลงมาหาใบหน้าสวยคมของคนที่กำลังมองสบตาเขาอย่างงุนงงทันที
กานต์พิชชายืนนิ่งตะลึงงัน เมื่อริมฝีปากได้รูปของชายหนุ่มประทับลงมาบนกลีบปากบางของเธอ ถึงแม้ว่าร่างของเขาจะโปร่งแสงเป็นเพียงวิญญาณที่ไร้เลือดเนื้อ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่หญิงสาวกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนนุ่มนวล และเจือปนไปด้วยความอ่อนหวานที่ค่อยๆ แทรกซึมลึกเข้าไปในหัวใจของเธอ ก่อนจะลามไปทั่วร่างระหงราวกับถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขนอันแสนอบอุ่นของเจ้าของรอยจูบนั้น
แต่ความรักครั้งนี้จะสมหวังได้อย่างไร ถ้าเขายังกลับเข้าร่างตัวเองไม่ได้ ศิวาต้องไขปริศนาความทรงจำที่หายไป และหาวิธีกลับเข้าร่างของตัวเองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ ชายหนุ่มจะทำได้หรือไม่ และความรักของทั้งสองคนจะลงเอยอย่างไร มาร่วมลุ้นและเป็นกำลังใจให้คนทั้งคู่ได้ใน ‘ลิขิตฟ้าปาฏิหาริย์รัก’

***เนื่องจากนิยายได้รับการตีพิมพ์แล้ว ขอลงให้อ่านแค่ครึ่งเรื่องคือ 12 ตอนนะคะ ส่วนครึ่งเรื่องที่เหลือรบกวนติดตามอ่านต่อในเล่มค่ะ จะวางแผงสิ้นเดือนกันยายนนี้แล้วค่ะ***
Tags: กุ๊กกิ๊ก,หวานแหวว,แฟนตาซี

ตอน: ตอนที่ 9

“วิธีทำบูลเบอรี่ชีสเค้ก อันดับแรกก็คือเราต้องเตรียมแป้งสำหรับกรุพิมพ์ก่อน โดยการร่อนแป้งผสมกับน้ำตาลไอซิ่ง 1 ครั้ง ใส่เกลือผสมให้เข้ากัน จากนั้นก็ใส่เนยที่ตัดเป็นก้อนเล็กๆ ลงไป ใช้เบลนเดอร์ตัดเนยเป็นชิ้นเล็กๆ จนแป้งหุ้มเนยทั่วและมีขนาดเล็กเท่ากับเมล็ดถั่วเขียว แล้วค่อยๆ พรมน้ำเย็นลงไป แล้วใช้ปลายนิ้วตะล่อมแป้งให้เข้ากัน จนเนื้อส่วนผสมเนียนแบบนี้...” กานต์พิชชาอธิบายพลางแสดงวิธีการทำบูลเบอรี่เชีสเค้กให้ศิวาซึ่งนั่งห้อยขาอยู่บนโต๊ะดูอย่างคล่องแคล่ว

“อืม...ผมเพิ่งจะเคยเห็นวิธีการทำเค้กที่ผมชอบก็วันนี้เอง น่าสนุกดีจังเลย” ชายหนุ่มพูดพลางนั่งมองดูปลายนิ้วเรียวของหญิงสาวที่กำลังเคลื่อนไหวนวดแป้งอย่างเพลิดเพลิน

“น่ากิน แล้วก็อร่อยด้วยนะคะ ขอบอก” กานต์พิชชาพูดยิ้มๆ ก่อนจะถามชายหนุ่มว่า “ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ คุณพอจะนึกอะไรออกบ้างรึยังคะ?”

“ผมยังนึกอะไรไม่ออกเลย แต่เมื่อคืนตอนช่วงสามทุ่มผมได้ยินเสียงคุณแม่สวดมนต์แล้วก็แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของผมด้วยนะครับ...”

“ถ้าอย่างงั้นก็แสดงว่าจิตของคุณกับคุณแม่น่าจะสื่อถึงกันได้ แบบเดียวกับฉันไงคะ” กานต์พิชชาออกความเห็น แต่ศิวาส่ายหน้าก่อนจะพูดว่า

“ไม่หรอกครับ เพราะว่าผมได้ยินเสียงของคุณแม่เฉพาะเวลาที่ท่านสวดมนต์เท่านั้น แล้วเมื่อเช้าผมก็ได้ยินเสียงคุณแม่อีกครั้ง ตอนที่ท่านกรวดน้ำอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของผม แต่เวลาอื่นผมไม่ได้ยินเลย ไม่เหมือนเสียงของคุณซึ่งผมจะได้ยินทุกครั้งเวลาที่คุณเรียกชื่อผม”

“อ้าว! เหรอคะ แปลกจังเลย สงสัยต้องลองถามแม่ของฝ้ายดูนะคะ” กานต์พิชชาออกความเห็น พลางเอาแป้งที่นวดเสร็จแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วนเท่าๆ กันใส่ถุงพลาสติก จากนั้นจึงเดินเอาไปแช่เย็น

“ส่วนคุณระหว่างนี้ก็ต้องพยายามนึกเรื่องเหตุการณ์ในวันนั้นไปด้วย เอาไว้เดี๋ยวตอนเย็นกลับบ้านแล้วฉันจะลองช่วยคุณทบทวนความทรงจำวันนั้น เผื่อคุณจะนึกอะไรออกบ้าง” กานต์พิชชาพูดด้วยท่าทางจริงจังเมื่อเดินกลับมาที่โต๊ะ แล้วเริ่มทาไขมันที่พิมพ์ขนมเค้ก ศิวาอมยิ้มพลางมองหญิงสาวด้วยแววตาเอ็นดูก่อนจะถามว่า

“แล้วคุณจะช่วยทบทวนความทรงจำให้ผมยังไงเหรอครับตอง?”

“อืม...ก็คงต้องเริ่มทบทวนตั้งแต่เช้าวันที่เกิดอุบัติเหตุ ว่าวันนั้นตั้งแต่ตื่นนอนคุณทำอะไรบ้าง” กานต์พิชชาพูดด้วยสีหน้าและท่าทางครุ่นคิดอย่างจริงจัง แต่คนถูกถามกลับแกล้งตอบมาหน้าตาเฉยว่า

“วันนั้นพอตื่นเช้าผมก็ล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว กินข้าว แล้วก็ขับรถออกมาจากบ้านไงครับ”

“นี่คุณนึกเรื่องวันนั้นออกแล้วเหรอคะ?” กานต์พิชชาเงยหน้าขึ้นถามชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี ศิวาหัวเราะเบาๆ อย่างขบขันเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของหญิงสาวก่อนจะพูดว่า

“เปล่าครับ ที่ผมบอกคุณน่ะ มันเป็นกิจวัตรประจำวันของคนทุกคนอยู่แล้วนี่ครับ”

“คุณแกล้งฉันทำไมเนี่ย ฉันกำลังซีเรียสนะ!!!” หญิงสาวโวยชายหนุ่มเบาๆ พลางมองค้อนเขาอย่างขุ่นเคือง ทำให้ศิวาต้องรีบขยับเข้ามาใกล้ แล้วยกมือขวาขึ้นมาทำท่าล้อตรงหน้าหญิงสาวไปมาราวกับกานต์พิชชาเป็นเด็กเล็กๆ

“โอ๋ๆๆ แต่ช้าแต่ ตองอย่างอนนะครับ เดี๋ยวไม่สวยน้า”

กานต์พิชชามองค้อนชายหนุ่มอย่างหมั่นไส้ แต่ก็อดที่จะอมยิ้มไปกับท่าทางโอ๋เธอของเขาไม่ได้ ก่อนจะต่อว่าชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก

“บ้า!!! ไม่ต้องมาล้อฉันแบบนี้นะ ฉันไม่ใช่เด็กซะหน่อย คุณไปนั่งคิดทบทวนเรื่องของคุณเลยค่ะ ฉันจะทำงานของฉันต่อแล้ว”

“อ้าว!!! แล้วคุณจะไม่อธิบายวิธีทำเค้กให้ผมฟังต่อแล้วเหรอครับ?”

“คุณจะให้ฉันอธิบายไปทำไมกันคะ คุณจะหัดทำเค้กรึไง?”

“ครับ ถ้าผมกลับเข้าร่างได้ ผมจะลองหัดทำเค้กดู”

“หือ...คุณเนี่ยนะจะทำเค้ก คงมีเวลาหรอกคุณซุปเปอร์สตาร์ แค่งานถ่ายแบบ ถ่ายละครของคุณก็ยุ่งจะแย่แล้ว...”

“ผมอยากจะทำเค้กเป็นจริงๆ นะครับ เพราะเห็นคุณทำแล้วท่าทางน่าสนุกดี แต่ไม่เป็นไรเอาไว้ตอนผมกลับเข้าร่างได้แล้ว ผมจะมาชิมเค้กฝีมือคุณ แล้วค่อยมาเรียนวิธีทำเค้กกับคุณก็ได้ ช่วยสอนผมด้วยนะครับ”

“ได้เลยค่ะคุณดาราดัง เอ...ว่าแต่ฉันควรจะคิดค่าสอนคุณทำเค้กเท่าไหร่ดีนะ...” กานต์พิชชาแกล้งพูดพลางทำท่าคิดคำนวณค่าสอนชายหนุ่มทำเค้ก ในขณะที่ศิวาโวยวายขึ้นว่า

“โห! คุณเกลือ นี่คุณจะเค็มไปถึงไหนครับ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่รึไง ทำไมต้องคิดค่าสอนผมด้วยล่ะ?”

“ได้ไง เวลาฉันเป็นเงินเป็นทองนะคุณ ทีคุณถ่ายละครตอนนึงยังได้เงินตั้งเยอะเลย” กานต์พิชชายังไม่เลิกแกล้งชายหนุ่มง่ายๆ ในขณะที่ศิวาหัวเราะออกมาอย่างขบขัน พลางยกมือขึ้นมาเขกศีรษะหญิงสาวด้วยความเอ็นดูทั้งๆ ที่ร่างของเขาโปร่งแสง

“คุณนี่จริงๆ เลยนะตอง”

แล้วการกระทำอย่างสนิทสนมของเขาก็ทำให้กานต์พิชชาเกิดอาการร้อนผะผ่าวที่ใบหน้าขึ้นมาทันที น่าแปลกที่เธอรู้สึกได้ถึงสัมผัสของชายหนุ่มอีกแล้ว ราวว่าร่างของเขามีเลือดเนื้อจริงๆ แล้วที่สำคัญก็คือใจของเธอยังเต้นแรงแบบไม่มีเหตุผลอีกด้วย หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมต้องรู้สึกอะไรแปลกๆ แบบนี้

“เอ่อ...ฉันว่าคุณไปนั่งคิดเรื่องเหตุการณ์วันนั้นดีกว่าค่ะ อย่ามาเสียเวลาคุยกับฉันอยู่เลย...” กานต์พิชชาบอกชายหนุ่มเบาๆ ก่อนจะหยุดพูด เมื่อเห็นปรางทิพย์ยกถาดขนมเค้กที่หมดแล้วเดินเข้ามา ศิวาเลยพูดขึ้นว่า

“ถ้าอย่างงั้นผมขอออกไปเดินเล่นที่หน้าร้านหน่อยนะครับ เผื่อจะคิดอะไรออกบ้าง” พูดจบร่างของชายหนุ่มก็หายวับไปทันที ทิ้งให้หญิงสาวยืนครุ่นคิดกับความรู้สึกแปลกๆ ภายในใจของตัวเองอยู่คนเดียว



ชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวสีแทน สวมแว่นสายตา ท่าทางสะอาดสะอ้าน รูปร่างสันทัดซึ่งสวมเสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนกับกางเกงสแล็คสีดำและรองเท้าหนังสีดำเป็นมันปลาบที่เปิดประตูร้านก้าวเข้ามาในตอนบ่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้มนตราที่กำลังยืนรอต้อนรับลูกค้าอยู่ที่หน้าประตูออกอาการตะลึงนิดๆ ก่อนจะรีบกล่าวคำทักทายว่า

“สวัสดีค่ะ Sweet coffee & Bakery ยินดีต้อนรับค่ะ ต้องการนั่งรับประทานที่นี่หรือว่าจะซื้อกลับบ้านดีคะ?”

“ผมจะนั่งทานที่นี่ครับ แต่ผมอยากจะขอพบเจ้าของร้านก่อนจะได้มั้ยครับ?” ชายหนุ่มคนนั้นตอบและถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มนตรามีสีหน้างุนงงก่อนจะทวนถามอย่างไม่แน่ใจ

“คุณต้องการจะพบคุณตองเหรอคะ?”

“ใช่ครับ รบกวนช่วยบอกเค้าหน่อยนะครับ ว่าหมอปุณมนัสมาขอพบ”

“เอ่อ...ได้ค่ะ เชิญคุณนั่งรอสักครู่นะคะ” มนตราบอกชายหนุ่ม ก่อนจะรีบก้าวยาวๆ ตรงไปทางหลังร้านทันที

“จะไปไหนเหรอมน?” พราวตาถามขึ้นเมื่อเห็นมนตรากำลังจะเดินผ่านเคาเตอร์เข้าไปข้างใน

“จะไปตามคุณตองค่ะพี่พราว มีคนมาขอพบคุณตอง” มนตราตอบพลางบุ้ยใบ้ให้พราวตาหันไปมองยังโต๊ะที่ชายหนุ่มนามว่าปุณมนัสนั่งอยู่

“หนุ่มที่ไหนกันล่ะเนี่ย หน้าตาดีเชียว” พราวตาพูดเปรยๆ ในขณะที่มนตราเดินหายเข้าไปทางหลังร้านเพื่อตามกานต์พิชชา



ศิวานั่งมองดูเค้กที่กานต์พิชชาเพิ่งจะราดหน้าด้วยบูลเบอรี่เสร็จเรียบร้อยพลางพูดด้วยแววตาละห้อยท่าทางเหมือนเด็กว่าอยากจะรับประทานบูลเบอรี่ชีสเค้ก กานต์พิชชาจึงสัญญากับชายหนุ่มว่าถ้าหากเขากลับเข้าร่างได้เมื่อไหร่เธอจะทำเค้กส่งไปให้ถึงบ้านเลย

“คุณตองคะ มีคนมาขอพบคุณตองค่ะ” เสียงมนตราดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง

“ใครกันจ๊ะมน?” กานต์พิชชาหันกลับไปถามมนตราด้วยความประหลาดใจ

“เค้าบอกว่าชื่อคุณหมอปุณมนัสค่ะ” มนตราตอบโดยยังคงยืนอยู่ที่ประตูและกวาดตามองไปรอบๆ ห้องด้วยสีหน้าหวาดระแวงเพราะว่าเหตุการณ์ถาดลอยได้ยังคงติดตาอยู่

ในขณะที่กานต์พิชชามีอาการนิ่งอึ้งทันที ส่วนศิวากำลังขมวดคิ้วเข้มด้วยความสงสัยว่าคนที่ชื่อปุณมนัสคือใคร หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งกานต์พิชชาจึงบอกมนตราว่าอีกสักครู่เธอจะตามออกไปพบหมอปุณมนัสและขอให้มนตราช่วยยกกาแฟไปเสิร์ฟให้เขาด้วย มนตรารับคำเบาๆ ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินจากไป

“ใครกันครับหมอปุณมนัส?” ศิวาถามขึ้น

“เค้าเป็นรุ่นพี่ฉันที่มหาวิทยาลัยค่ะ” กานต์พิชชาตอบพลางปลดผ้าคลุมกันเปื้อนออกจากตัว แล้วเดินไปล้างมือ ก่อนจะรีบเดินออกไปด้านหน้าร้านทันทีโดยมีศิวาเดินตามออกไปด้วย

กานต์พิชชาพูดพลางพนมมือไหว้และทักทายปุณมนัสเมื่อเดินมาถึงโต๊ะที่เขานั่งรออยู่ซึ่งไม่ไกลจากเคาเตอร์มากนัก ชายหนุ่มยกมือขึ้นรับไหว้พลางทักทายตอบหญิงสาวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน

“พี่ปุ่นกลับมาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่คะ?” กานต์พิชชาถามเมื่อทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มรุ่นพี่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ศิวายืนพิงเคาเตอร์มองดูทั้งสองคนอยู่ด้วยความสนใจ

“เมื่อวานซืนครับ แต่พอดีพี่ยุ่งๆ เรื่องไปรายงานตัวที่โรงพยาบาลอยู่ ก็เลยเพิ่งจะว่างแวะมาหาตองวันนี้ ตองสบายดีรึเปล่าครับ?” ท้ายประโยคคุณหมอหนุ่มถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพอๆ กับแววตา

“ตองสบายดีค่ะ แล้วพี่ปุ่นล่ะคะ?” กานต์พิชชาถามชายหนุ่มรุ่นพี่ในตอนท้ายประโยค พลางขยับตัวนิดหนึ่งด้วยความรู้สึกอึดอัดเมื่อเห็นสายตาของเขาที่ทอดมองมา

“พี่สบายดีครับ ว่าแต่...กิจการของตองดูจะไปได้ดีนะครับ เพราะตั้งแต่พี่เข้ามานั่ง ก็เห็นมีลูกค้าเข้ามาตลอดเลย” คุณหมอหนุ่มชวนคุย หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างภาคภูมิใจ

“ก็ไปได้ดีพอสมควรค่ะ...”

“แล้วงานยุ่งมากรึเปล่าครับ?” ปุณมนัสถามอีก

“ก็ยุ่งเป็นช่วงค่ะ ช่วงเช้าจะไม่ยุ่งมากเท่าไหร่ แต่ช่วงตั้งแต่บ่ายสามโมงไปค่อนข้างยุ่ง เพราะว่าโรงเรียนเลิกจะมีเด็กๆ เข้ามานั่งทานเค้กกันเยอะค่ะ” กานต์พิชชาตอบ

“เอ...ว่าแต่งานยุ่งแบบนี้ แล้วเจ้าของร้านจะมีเวลาว่างให้แฟนรึเปล่าครับ?” ปุณมนัสถามพลางมองสบตาหญิงสาว กานต์พิชชามีอาการอ้ำอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะฝืนยิ้มแล้วตอบว่า

“ตองยังไม่มีเวลาให้ใครหรอกค่ะพี่ปุ่น ตอนนี้ตองสนใจแต่เรื่องร้านอย่างเดียว”

“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณฝ้าย” เสียงทักของปรางทิพย์ที่ดังขึ้นเหมือนกับระฆังช่วยชีวิตกานต์พิชชา ทำให้ปุณมนัสละสายตาที่กำลังมองสบตาหญิงสาวเปลี่ยนไปมองที่ประตูร้านแทน

“สวัสดีจ้ะปราง ตองอยู่ไหนจ๊ะ?” เสียงปราณปรียาถาม เมื่อปรางทิพย์พยักเพยิดหน้ามาทางโต๊ะที่กานต์พิชชากำลังอยู่กับปุณมนัส ปราณปรียามีอาการชะงักอยู่ครู่หนึ่ง พลางเพ่งมองดูชายหนุ่มคนที่กำลังส่งยิ้มให้เธอ ก่อนจะเบิกตากว้างแล้วรีบก้าวยาวๆ ตรงมาที่โต๊ะทันที

“ต๊าย!!! พี่ปุ่น สวัสดีค่ะ กลับมาจากอเมริกาตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ?” ปราณปรียาพนมมือไหว้กล่าวคำทักทายและถามชายหนุ่มรุ่นพี่รวดเดียว

“สวัสดีครับฝ้าย พี่กลับมาถึงตั้งแต่เมื่อวานซืน แต่วันนี้เพิ่งว่างก็เลยรีบมาหาตองที่นี่ครับ” ปุณมนัสตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ปราณปรียามองหน้ากานต์พิชชากับชายหนุ่มรุ่นพี่ก่อนจะพูดจาล้อเลียนปุณมนัสซึ่งรีบมาหากานต์พิชชาเป็นคนแรกทันทีที่เดินทางกลับมาถึงเมืองไทย ทำให้กานต์พิชชาต้องเรียกชื่อเพื่อนรักเบาๆ พลางมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นเชิงปรามอยู่ในทีว่าไม่ควรพูดแบบนี้ แต่ปุณมนัสหัวเราะอย่างขบขันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาแต่ความหมายไม่ธรรมดาว่าเขาต้องรีบมาหากานต์พิชชาเป็นคนแรกอยู่แล้วเพราะว่าเขาคิดถึงเธอมากที่สุด

แล้วคำพูดของคุณหมอหนุ่มก็ไม่ได้ทำให้แค่ปราณปรียาที่เบิกตากว้างอีกรอบกับกานต์พิชชาที่ใบหน้าร้อนวูบวาบเท่านั้น แต่กำลังทำให้ศิวาซึ่งยืนฟังอยู่ห่างๆ เริ่มมีอาการเลี่ยนปนหมั่นไส้กับคำพูดหวานๆ ของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้และไม่มีเหตุผลด้วย

“พูดได้น้ำเน่าชะมัด นึกว่ามีแต่ในละครที่เราเคยแสดงซะอีก” ศิวาบ่นพึมพำ ก่อนที่ร่างสูงจะหายวับไปจากจุดที่เขายืนอยู่ทันที
กานต์พิชชาถึงกับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นชายหนุ่มหายตัวไปดื้อๆ โดยไม่บอกไม่กล่าว ในขณะที่ปราณปรียาแอบอมยิ้มอยู่คนเดียวเมื่อเห็นท่าทางของศิวาเพราะเห็นชายหนุ่มยืนจ้องมองดูปุณมนัสและกานต์พิชชาเขม็งอยู่ตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาภายในร้านแล้ว
ปุณมนัสขอเลี้ยงอาหารค่ำหญิงสาวทั้งสองเนื่องในโอกาสที่ได้พบกันอีกครั้ง กานต์พิชชากำลังจะเอ่ยปฏิเสธอยู่แล้วแต่ก็ยังช้ากว่าปราณปรียาที่ตอบรับคำเชิญของคุณหมอหนุ่มทันที หญิงสาวเลยได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางมองค้อนเพื่อนรักที่ตอบตกลงโดยไม่ถามความเห็นของเธอเลยสักนิด แล้วก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ว่าศิวาหายตัวไปไหนโดยที่เขายังไม่ได้บอกเธอเลย



กานต์พิชชาขมวดคิ้วโก่งเรียวขึ้นทันทีเมื่อก้าวเข้ามาภายในบ้านเอื้อมมือไปเปิดสวิตช์ไฟแล้วเห็นศิวากำลังนอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟารับแขกก่อนจะถามเขาว่า

“อ้าว?!!! ทำไมคุณถึงมานอนอยู่ในบ้านมืดๆ แบบนี้ล่ะคะ?”

ศิวาขยับลุกขึ้นนั่งก่อนจะบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ว่า

“ถ้าผมเปิดไฟในบ้านโดยที่คุณยังไม่กลับมา คุณไม่คิดว่าเพื่อนบ้านของคุณจะสงสัยเหรอครับ?”

“อืม...ก็จริงของคุณนะ...” กานต์พิชชาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พลางเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัว ก่อนจะถามชายหนุ่มว่า

“แล้วคุณหายไปไหนมาล่ะคะเนี่ย?”

“ผมจะมีที่ไหนให้ไปได้ล่ะครับ นอกจากไปที่โรงพยาบาลแล้วก็กลับมาที่บ้านตั้งแต่ตอนหนึ่งทุ่ม คุณต่างหากที่หายไป กลับมาถึงบ้านเกือบจะสามทุ่ม ผมมานั่งรอนอนรอคุณตั้งนานแล้วด้วย” ศิวาพูดพลางทำหน้ามุ่ย

“ขอโทษนะคะ พอดีฉันไปกินข้าวเย็นกับฝ้ายแล้วก็พี่ปุ่นมาค่ะ” กานต์พิชชาบอกชายหนุ่ม

“ผมลืมไปว่าคุณมีคนพิเศษมาหา ไม่อย่างงั้นผมก็คงจะอยู่ที่โรงพยาบาลต่อ ไม่รีบกลับมาบ้าน เพราะคุณคงมีเรื่องที่จะต้องคุยกับคนพิเศษของคุณเยอะแยะ...” ศิวาพูดด้วยน้ำเสียงประชดนิดๆ ทำให้กานต์พิชชาต้องขมวดคิ้วมุ่นทันทีเมื่อได้ยินน้ำเสียงและเห็นท่าทางงอนๆ ของชายหนุ่ม พลางมองจ้องหน้าเขาก่อนจะถามขึ้นว่า

“คุณหมายถึงใครกันที่ว่าเป็นคนพิเศษของฉัน?”

“ก็คุณหมอคนนั้นไงครับ คนพิเศษของคุณ” ศิวาตอบ

“พี่ปุ่นไม่ใช่คนพิเศษของฉัน เค้าเป็นรุ่นพี่ฉันที่มหาวิทยาลัยฉันคิดว่าเมื่อตอนกลางวันฉันบอกคุณแล้วนะคะ” กานต์พิชชาพูด

“แต่ถ้าผมเดาไม่ผิดคุณหมอคนนั้นไม่ได้คิดกับคุณแค่รุ่นน้อง ใช่มั้ยครับ?” ศิวาถามเสียงขุ่นโดยไม่รู้ตัว

กานต์พิชชาถอนหายใจเบาๆ เธอรู้จักกับปุณมนัสมาตั้งแต่ตอนที่เธอยังเรียนอยู่ปีหนึ่ง ในขณะที่เขาเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสี่เนื่องจากไปออกค่ายอาสาพัฒนาของมหาวิทยาลัยด้วยกัน ซึ่งหลังจากจบกิจกรรมครั้งนั้นชายหนุ่มรุ่นพี่ก็พยายามตามจีบเธอมาโดยตลอด แต่เธอก็ให้ได้แค่ความเป็นรุ่นพี่และรุ่นน้องกับเขาเท่านั้น

จนกระทั่งเขาเรียนจบและไปเรียนต่อที่ต่างประเทศจึงทำให้เธอกับชายหนุ่มรุ่นพี่ห่างกันไปบ้าง เพราะนานๆ ปุณมนัสถึงจะมีเวลาเขียนจดหมายมาหาเธอ และเธอก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง เนื่องจากอยากจะให้ชายหนุ่มรุ่นพี่ตัดใจจากเธอ ซึ่งหญิงสาวก็หวังว่าระยะทางและเวลาคงจะทำให้เขาลืมเธอและได้พบเจอกับผู้หญิงที่ถูกใจเขาสักคน

แต่จากคำพูดและแววตาของปุณมนัสในวันนี้ กานต์พิชชารู้ดีว่าเขายังคงไม่เปลี่ยนใจไปจากเธอ ซึ่งกำลังทำให้หญิงสาวรู้สึกหนักใจอยู่ลึกๆ เพราะไม่ว่าชายหนุ่มรุ่นพี่จะพยายามยังไง แต่กานต์พิชชาก็รู้ตัวดีว่าเธอคิดกับเขาได้แค่พี่ชายเท่านั้น

“ไม่ว่าพี่ปุ่นจะคิดยังไงกับฉัน แต่ฉันคิดกับเค้าแค่รุ่นพี่และพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น เพราะฉะนั้นคุณกรุณาอย่าเรียกพี่ปุ่นว่าคนพิเศษของฉันอีกนะคะ” หญิงสาวบอกชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย

“แล้ววันนี้คุณไปโรงพยาบาลเป็นยังไงบ้าง มีคนไปเยี่ยมคุณเยอะรึเปล่า?”

“ก็เยอะเหมือนทุกวันครับ วันนี้คุณพ่อคุณแม่ผมคุยกับพวกญาติๆ ว่าจะมีคุณหมอคนใหม่มาดูแลผมแทนคุณหมอคนเก่าที่จะเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศสามเดือน เห็นว่าคุณหมอคนนี้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับอาการของผมด้วย ทุกคนก็เลยมีความหวังว่าผมคงจะฟื้นในเร็วๆ นี้ ไม่มีใครรู้เลยว่าความจริงแล้วที่ผมยังไม่ฟื้น เป็นเพราะว่าวิญญาณของผมยังกลับเข้าร่างไม่ได้ต่างหาก” ศิวาพูดยืดยาวก่อนจะถอนหายใจเบาๆ กานต์พิชชามองชายหนุ่มอย่างเห็นใจก่อนจะพูดว่า

“เดี๋ยวฉันขอตัวขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึงนะคะ แล้วจะรีบลงมาช่วยคุณทบทวนความทรงจำในวันที่เกิดอุบัติเหตุ”

“ผมนึกว่าคุณลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะอีก” ศิวาพูดขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะลืมล่ะคะ?”

“ก็...วันนี้ผมเห็นคุณหมอคนนั้นมาหาคุณ ก็เลยคิดว่าคุณคงจะไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของผมแล้ว” ชายหนุ่มพูดเสียงแผ่ว

“ฉันสัญญากับคุณเอาไว้แล้ว ฉันจะลืมได้ยังไงกันล่ะคะ คุณรอแป๊บนึงนะ ไม่เกินสิบห้านาทีเดี๋ยวฉันลงมาค่ะ” พูดจบกานต์พิชชาก็คว้ากระเป๋าสะพายเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนทันที ศิวามองตามร่างเพรียวระหงของหญิงสาวไปด้วยแววตาอ่อนโยน และนึกดีใจที่เธอยังไม่ลืมเรื่องที่สัญญาว่าจะช่วยเขา



ปราณปรียายกมือขึ้นเคาะประตูห้องทำงานของมารดาเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงอนุญาตเธอจึงผลักประตูห้องก้าวเข้าไป พอเดินเข้าไปจนชิดโต๊ะทำงานของมารดาหญิงสาวก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เพราะเห็นว่าบนโต๊ะทำงานของคุณปานดาวเต็มไปด้วยตำราพยากรณ์หลายเล่มเปิดกางอยู่ แต่ที่ท่านกำลังอ่านอยู่ตรงหน้าคือตำราพยากรณ์โบราณเล่มหนาที่ชื่อว่า “ลิขิตแห่งดวงดาว” ซึ่งเป็นมรดกตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษต้นตระกูลที่คุณปานดาวหวงแหนนักหนาและเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีในตู้เซฟ

“แม่กำลังหาวิธีให้คุณศิวากลับเข้าร่างจากตำราเล่มนี้อยู่เหรอคะ?” ปราณปรียาถาม

“ใช่จ้ะ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือแม่อยากจะลองตรวจดูดวงชะตาของคุณศิวาอย่างละเอียดอีกสักครั้ง ก็เลยต้องอ่านตำราเล่มนี้อย่างละเอียดด้วย เผื่อจะได้อะไรเพิ่มเติมบ้าง” คุณปานดาวตอบ

ปราณปรียาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงกันข้ามกับมารดาพลางถามท่านว่าศิวามีโอกาสจะกลับเข้าร่างได้มากน้อยแค่ไหน คุณปานดาวตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างมั่นใจว่าชายหนุ่มจะต้องกลับเข้าร่างของตัวเองได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ท่านยังไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่เท่านั้น

“แม่แน่ใจเหรอคะ ว่าถ้าคุณศิวาจำเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ เค้าจะสามารถกลับเข้าร่างได้จริงๆ”

“ลูกเคยเห็นและสัมผัสกับวิญญาณของคนที่ตายด้วยสาเหตุต่างๆ มาตั้งแต่เด็กแล้วไม่ใช่เหรอฝ้าย แล้ววิญญาณพวกนั้นก็สามารถบอกลูกได้ใช่มั้ยว่าเค้าตายด้วยสาเหตุอะไร มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับเค้าบ้างก่อนที่เค้าจะตาย แต่ในกรณีของคุณศิวาไม่ใช่ เค้าจำเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะเกิดอุบัติเหตุกับตัวเองไม่ได้เลยนะ ลูกไม่รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าแปลกบ้างเหรอ?”

“ก็จริงของแม่ค่ะ ฝ้ายก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน...” ปราณปรียาพูดด้วยแววตาครุ่นคิด

คุณปานดาวอธิบายให้ลูกสาวฟังต่อไปอีกว่าเรื่องเคราะห์กรรมก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ศิวาต้องประสบกับอุบัติเหตุรุนแรง ถึงแม้ว่าจะไม่เสียชีวิตแต่วิญญาณของชายหนุ่มกลับหลุดออกมาแล้วกลับเข้าร่างไม่ได้ในขณะที่กายเนื้อยังคงมีลมหายใจอยู่ ซึ่งในตำราลิขิตแห่งดวงดาวบอกเอาไว้ว่าจะต้องหาสาเหตุให้ได้เสียก่อนว่าเพราะอะไรวิญญาณจึงหลุดออกมาจากร่าง เกิดจากการที่วิญญาณอยากจะละทิ้งร่างหรือว่าเพราะสาเหตุอื่น

เมื่อหาสาเหตุเจอจึงค่อยมาหาทางให้วิญญาณที่หลุดออกจากร่างได้กลับเข้าร่างอีกครั้ง ซึ่งปัจจัยที่จะสามารถเหนี่ยวรั้งและดึงวิญญาณให้กลับคืนเข้าสู่ร่างได้ จะต้องเป็นสิ่งที่วิญญาณรู้สึกผูกพันมากหรือเป็นสิ่งสุดท้ายที่วิญญาณนั้นกำลังคิดถึงก่อนที่วิญญาณจะหลุดลอยออกจากร่าง ดังนั้นเรื่องความทรงจำของศิวาจึงเป็นปมปริศนาที่สำคัญในการกลับเข้าร่างของเขามากที่สุด

ปราณปรียาพยักหน้าอย่างเข้าใจเมื่อฟังมารดาอธิบายจบ ในขณะที่คุณปานดาวพูดต่อไปอีกว่า

“แล้วก็เพราะว่าไม่ว่าแม่จะตรวจดูดวงชะตาของคุณศิวาด้วยวิธีไหน แต่ทุกวิธีก็บอกออกมาเหมือนกันว่าดวงเค้ายังไม่ถึงฆาต แม่ก็เลยคิดว่าเค้าจะต้องกลับเข้าร่างได้อย่างแน่นอน แล้วที่สำคัญก็คือหลังจากผ่านพ้นเคราะห์กรรมครั้งนี้ไปได้ดวงหน้าที่การงานและความรักของเค้าจะรุ่งโรจน์มากด้วย แปลกจริงๆ เลย”

“เหมือนยัยตองเลยแฮะ” ปราณปรียาพึมพำ แต่คุณปานดาวก็ยังได้ยินจึงถามขึ้นว่า

“อะไรเหมือนตองเหรอฝ้าย?”

“ก็ดวงของคุณศิวากับตองน่ะสิคะแม่ ก่อนหน้าที่จะถึงวันเกิดตองฝ้ายดูดวงให้ตอง ดวงของตองออกมาว่ากิจการงานจะเจริญรุ่งเรือง จะได้พบความรักแบบคาดไม่ถึงแต่ความรักจะต้องเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุ ความเป็นความตายแล้วก็สิ่งเร้นลับเหนือธรรมชาติ ตอนที่ฝ้ายเห็นคำทำนายออกมาแบบนี้ฝ้ายยังตกใจเลยนะคะ ว่าจะเอาดวงตองมาให้แม่ช่วยดูให้อีกทีแต่ก็เห็นว่าแม่ยุ่งๆ อยู่ เลยไม่อยากจะรบกวนค่ะ” ปราณปรียาตอบมารดายืดยาว ในขณะที่คุณปานดาวนิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ฝ้ายช่วยเขียนวันเดือนปีเกิดแล้วก็เวลาตกฟากของตองให้แม่ที เดี๋ยวแม่จะลองดูดวงตองอย่างละเอียดอีกครั้ง”

ปราณปรียาพยักหน้าก่อนจะหยิบกระดาษและปากกาบนโต๊ะมาเขียนวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของกานต์พิชชาส่งให้มารดา เมื่อคุณปานดาวรับกระดาษไปเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงขอตัวกลับห้อง เพราะรู้ดีว่าในการคำนวณดวงชะตาอย่างละเอียดนั้น มารดาของเธอจะต้องใช้สมาธิสูงมากทีเดียว



แก้วแสงจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2556, 19:41:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2556, 19:41:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1122





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 10 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account