สะพานแห่งคำสัญญา
พายุกับน้ำฝน เด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มีความแตกต่างกันมากที่สุด ต้องมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป เมื่อการเรียนและชีวิตวันหยุดของทั้งสองต้องมาข้องเกี่ยวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความเฉยชากลายเป็นความสัมพันธ์ กลายเป็นความรัก ความรักที่ยากจะดึงทั้งสองออกจากกัน
Tags: คำสัญญา หนุ่มเกเร สาวเรียบร้อย

ตอน: สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 10

การเดินทางไปน่านของเรามาถึง เราใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนวันกว่าจะเข้าจังหวัดน่าน 4ชั่วโมงบนรถไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยเท่าใดนักสำหรับผม ถ้าไม่มีโทรศัพท์ฟังเพลงได้กับหนังสือเพชรพระอุมาเล่มที่36 ผมคงขาดใจตายในรถไปแล้ว
พี่ฝาง โชเฟอร์ของพวกเราพาแยกขึ้นดอยภูคา ดอยสูงขึ้นชื่อของจังหวัดน่าน ในขณะที่พี่ขวัญและภูพร้อมด้วยเพื่อนร่วมงานของเราอีก2คนที่ผมไม่ค่อยสนิทนักหยุดที่ตัวจังหวัดเพื่อเก็บงานในตัวจังหวัด
เราเข้าพักที่พักของอุทยานแห่งชาติ พี่นาถจัดการจองไว้เรียบร้อยแล้ว ผมคว้ากระเป๋ากล้องออกท่องความเย็นบนยอดดอยและอากาศอันสดชื่นทันทีที่จัดแจงข้าวของในห้องพักเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือจากนั้นผมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่ฝางผู้ขอตัวนอนพักหลังจากขี่รถมานาน

ในเขตอุทยานแห่งชาติและรอบที่พักมีต้นไม้และดอกไม้มากมายให้ผมเก็บภาพ อากาศเย็นสบายของยามบ่ายทำให้การถ่ายรูปของผมสบายขึ้นตามไปด้วย ถ้าไม่กลัวว่าจะมีคนเห็น ผมคงนอนเหยียดบนพื้นหญ้า ถ่ายรูปท้องฟ้าและก้อนเมฆไปแล้ว
บนดอยภูคานั้นมีต้นไม้หายากอยู่มากมายและมีบางชนิดที่หาได้แค่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น อย่างต้นชมพูภูคาและต้นก่วมภูคาหรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า เมเปิ้ลภูคา พี่นาถเลือกช่วงเวลามาที่นี่ได้เหมาะมาก ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้นชมพูภูคากำลังผลิดอกสีชมพูให้เชยชมกันพอดี นอกจากนั้น ต้นไม้ที่เห็นได้ทั่วไปที่นี่คือเต่าร้างยักษ์ที่ขึ้นอยู่ทั่วดอย ดูผ่านๆแล้วเหมือนกับป่าในหนังสัตว์โลกล้านปีเลยก็ว่าได้
ผมถ่ายรูปเพลินอยู่รอบที่พัก เดินเถลไถลลงไปตามถนน แถวนั้นมีคนเลี้ยงแพะด้วย เลยได้เดินหลบขี้แพะเป็นครั้งคราว
เสียงชัตเตอร์ดังถี่รัวของผมหยุดลงเมื่อมีเสียงเรียกมาจากข้างหลัง ผมหันไปมองนิดหนึ่งเพราะจำเสียงได้ดี ทั้งวันมานี้ที่อยู่ในรถ ผมไม่ได้คุยกับเธอเลย พวกสาวๆคุยกันโขมงโฉงเฉงอยู่ในรถโดยมีพี่ฝางคอยพูดแซมบางครั้ง เสียงฝีเท้ากระชั้นเข้ามา ผมชะลอฝีเท้า
“ฉันไปด้วยพายุ”
“ไปไหน”
“ไปถ่ายรูปกับเธอไง อยากจะดูด้วยว่ามีอะไรให้เขียนบ้าง แล้วเหมียวก็หลับ เห็นบอกว่าเพลีย”
ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว ถ้าจะพาน้ำฝนไปเดินถ่ายรูปด้วย เลยตอบรับง่ายๆ เราเดินลงดอยไปเรื่อยๆโดยไม่พูดอะไรกัน

“เธออ่านหนังสือที่ฉันซื้อให้หรือยังพายุ”
“ยัง”ผมตอบโดยที่ไม่ถอนตาออกจากกล้อง
“ทำไมล่ะ”
ผมกดชัตเตอร์ เช็คดูรูปที่ถ่าย “เราติดเพชรพระอุมาอยู่”
น้ำฝนเงียบไป ผมเองไม่ได้สนใจ เธออาจจะมองดูอะไรแถวนี้หรือถ่ายรูปอะไรเล่นก็ได้
“เธอน่าจะอ่านนะ”เสียงอ้อมแอ้มของคนซื้อดังมาจากข้างๆ
“อืม ไว้จะอ่าน”
“ดีจัง...”
“หือ?” จากท่าย่อถ่ายรูป ผมหันมองเธอ
“เปล่า ไม่มีอะไร”เธอตัดบทแล้วเลี่ยงไป ผมเองไม่ได้สนใจอะไร ยังคงตั้งใจถ่ายรูปต่อ

แสงตะวันเริ่มลดความสว่างของมันลงเมื่อคล้อยต่ำตามการโคจร ยามเย็นเคลื่อนเข้ามาแทนยามบ่าย ฟ้าสีเทากับเมฆหนาปกคลุมผืนฟ้า ลมหนาวพัดผ่านกิ่งใบของต้นเต่าร้างยักษ์และเมเปิ้ลภูคาไหวลู่ ดอกไม้สั่นตามแรงลม แต่ไม่หัก มองแล้วนึกถึงเพลงพายุของวงไมโครขึ้นมาเลยทีเดียว
เราสองคนเดินกลับมายังที่พัก เราพูดกันน้อยมาก ผมยังคงถือกล้องถ่ายไปเรื่อยๆจนมาถึงที่พัก
“ไปไหนกันมาน่ะ!!!”พี่นาถที่เตร่อยู่แถวหน้าที่พักตะโกนถามมาแต่ไกล
“ฝนเห็นพายุไปถ่ายรูป เลยตามไปด้วย”
พี่นาถมองมาทางผม “ได้เยอะไหม”
ผมพยักหน้า “พี่นาถอาจจะเลือกมาลงได้ แต่รอดูภาพที่พี่ขวัญก่อนก็ดีครับ พรุ่งนี้พี่ขวัญคงตะลุยถ่ายเหมือนกัน”
“วันนี้ก็ถ่ายไปก่อนละกัน คืนนี้พวกนั้นจะตามขึ้นมา มีรอบกองไฟกัน แล้วพรุ่งนี้ทำงาน”
“ครับ รับทราบครับ”
“พี่ไปโทรศัพท์ก่อนนะ” พี่นาถยิ้มแล้วถือโทรศัพท์เดินข้ามถนนทางเข้าบ้านพักไปยังสนามหญ้าอีกฟาก ปล่อยให้ผมกับน้ำฝนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“ฉันจะไปดูว่าเหมียวตื่นหรือยัง”
ผมพยักหน้า ไม่ได้แสดงท่าทีเบื่อหน่ายอะไร หากเป็นเมื่อก่อน ผมไม่สนใจเลยว่าเธอจะทำอะไร หลายอย่างเปลี่ยนไป แม้จะไม่มากนัก แต่เราสองคนต่างรู้ว่ามีการเปลี่ยนแปลง

ผมรูดซิปเสื้อแขนยาวขึ้นถึงคอ ดึงฮู้ดข้างหลังมาใส่ อากาศบนดอยภูคาในยามใกล้ค่ำเย็นจนเริ่มปวดหู มีคนบอกว่าปีนี้จะหนาวกว่า2-3ปีที่ผ่านมา ผมเริ่มเห็นเค้าลางของมันแล้วล่ะ
“เชี่ยเอ๊ย หนาวชิบเลย”ผมบ่นกับตัวเอง รู้สึกเหมือนขนลุกซู่อยู่ตลอดเวลา ลมที่พัดผ่านทิวไม้แรงขึ้นเรื่อยๆ มองซ้ายมองขวาสักพักก็เลยเลือกสะพายกล้องเดินไปทางบ้านพักของตัวเอง ผมพึ่งนึกได้ว่าผมยังไม่ได้เก็บภาพแถวนั้นเลย บางทีผมอาจจะเจอเจ้าหน้าที่ประจำอุทยานหรือชาวบ้าน พวกเขาอาจแนะนำอะไรดีๆให้ผมเอาไปใช้ทำงานได้บ้าง พอคิดได้อย่างนั้นแล้วผมก็รีบเดินฝ่าสายลมหนาวไปทันที
พี่ฝางกำลังเตร่อยู่แถวนั้นพร้อมบุหรี่ที่ลดไปเกือบครึ่งมวนพี่แกคงตื่นได้พักใหญ่แล้วก่อนผมจะไปถึง พี่ชายของน้ำฝนผู้ลงทุนลางานมาส่งน้องสาวถึงดอยภูคา ปล่อยควันอออกจากปากก่อนจะพยักหน้าทักทายด้วยสีหน้ามึนๆของคนพึ่งตื่นนอน
“ไงพี่ นอนสบายไหม”
“อือ หลับไม่รู้เรื่องเลยว่ะ เมื่อคืนนั่งทำบัญชีร้านซะดึกเลย”
“แล้วใครเฝ้าร้านล่ะพี่ เล่นมากันทั้งพี่ทั้งน้องแบบนี้”
“แม่เฝ้าแทน ปกติพ่อกับแม่พี่จะเฝ้าอีกร้านด้วยกันใช่ไหมล่ะ พอพี่มากับฝน แกก็แยกกันเฝ้า”พี่ฝางทิ้งก้นบุหรี่ลงบนพื้น รองเท้าผ้าใบที่สวมขยี้ดับ “แล้วนี่ น้ำฝนไปไหน เห็นไหม”
“ไปหาเหมียวมั้ง เหมียวมันหลับ”
“อ้อ.. แล้วแกล่ะจะไปไหน”
“ว่าจะไปเดินถ่ายรูปแถวนี้”
“แล้วนาถนัดไปหาข้าวกินกี่โมง”
ผมส่ายหน้า ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน “ไม่รู้ซิ สักพักแหละมั้ง นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว”
พี่ชายของน้ำฝนซึ่งเล่นบอลด้วยกันมาหลายปีเหลียวมองบ้านพักก่อนจะหันกลับมา “เดี๋ยวไปถามเอง หิวข้าวแล้ว อย่าไปไหนไกลล่ะ เดี๋ยวจะหากันไม่เจอ”
ผมตอบรับ พี่ฝางเดินกลับเข้าไปในบ้านพัก หยิบเสื้อแขนยาวแล้วเดินย้อนไปทางเดียวกับที่ผมเดินมา

แถวนั้นไม่มีใครอยู่เลย ผมเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย กล้องยังคงสงบนิ่งอยู่ในกระเป๋า ผมเก็บภาพทุกอย่างในตอนนั้นด้วยสายตา ผมเรียกมันว่าการถ่ายด้วย ”กล้องความทรงจำ” และตอนนี้ผมกำลังเก็บภาพทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทั้งท้องฟ้าขมุกขมัว ต้นก่วมภูคาและเต่าร้างยักษ์ เริ่มกลายเป็นเงาดำในความมัวหม่นของท้องฟ้ายามเย็น แลดูน่าหวั่นอยู่ไม่น้อยเลย แต่ด้วยสาเหตุใดไม่รู้ ผมชอบบรรยากาศช่วงเวลานี้มากกว่าตอนเช้า สาย บ่าย กลางคืน ผมว่าตอนเย็น ใกล้ค่ำเป็นช่วงเวลาที่น่าค้นหา และเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของวันและเมื่อยืนมองทุกสิ่งในความขมุกขมัวและฟ้าสีเทาเข้ม มันราวกับว่ากำลังมีบางอย่างเริ่มขยับออกมาโลดแล่น รวมถึงจิตใจของเราด้วย

ไม่รู้ว่าผมอยู่แถวนั้นนานแค่ไหน แต่มันนานพอที่จะทำให้มีคนเดินมาตามหาถึงที่ ผมกำลังนั่งอยู่บนก้อนหินและมองต้นเต่าร้างยักษ์เอนไปมาเหมือนไดโนเสาร์คอยาวตอนที่น้ำฝนเดินมาเรียกจากข้างหลัง
“จะไปกันแล้วเหรอน้ำฝน”
“อื้ม ฉันเห็นพายุยังไม่มา เลยมาตามก่อนพี่นาถจะบ่น”
“ขอบคุณนะที่ไม่ปล่อยให้เราโดนบ่น”
เธอยิ้มแป้น นานๆทีผมถึงจะเห็นเธอยิ้มแบบนี้ แม้แต่ตอนที่เธออยู่กับเหมียว ผมก็ไม่ค่อยเห็น
“ไปเถอะ”ผมยันตัวเองลุกขึ้น น้ำฝนเดินนำไปช้าๆ ผมเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปให้ทันเธอ ไฟกิ่งข้างทางเดินเปิดพร้อมกันราวกับว่ามันเปิดต้อนรับเราที่กำลังเดินผ่านไป พอมาถึงลานจอดรถ ทุกคนกำลังรออยู่แล้ว
“กว่าจะมานะ สองคนนี้ ไปเดินเล่นกันมาเหรอ”เหมียวแซว
“จะบ้าเรอะ”ผมตอบเหวี่ยงๆ
“แค่นี้ไม่เห็นต้องเสียงดังเลย อีตามรสุม”เหมียวยังไม่เลิก ทุกคนหัวเราะ
“เพราะเธอแหละ ยายปากแมว”
พี่นาถต้องออกโรงห้ามทั้งหัวเราะ แล้วไล่พวกเราขึ้นรถ พี่ฝางเองหัวเราะกึกๆก่อนจะเปิดประตูรถด้านตัวเอง

ที่ร้านอาหารซึ่งทางอุทยานแนะนำมา พวกเราเจอพวกพี่ขวัญ หรือที่นาถเรียกว่าพี่ยักษ์เพราะแกตัวใหญ่ราวกับนักมวยปล้ำ รออยู่ก่อนแล้ว พี่นาถเดินเข้าไปซักถามเรื่องงาน ผมเองเดินไปหาภู เพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมัธยมต้นที่มักเตะบอลก่อนกลับบ้านที่โรงเรียนด้วยกัน
“งานเสร็จไวเหมือนกันนะ”ผมบอกเพื่อนที่พึ่งมาสนิทกันตอนมาทำงานกับพี่นาถ หลังจากฟังหมอเล่าเรื่องงานที่ไปตะลุยทำกันเสร็จแล้ว พวกนี้ทำงานกันเก่งน่าดูเพราะงานค่อนข้างเยอะ แต่ทุกคนทำเสร็จและมาถึงที่หมายทันเวลา
“ขากลับจะแวะเก็บงานอีกรอบ น่าจะถึงบ้านช้ากว่าพวกนาย”ภูดื่มน้ำอึกหนึ่งเมื่อพูดเสร็จ
“พี่นาถน่าจะแวะก่อนกลับ เราคงได้กลับบ้านพร้อมๆกันแหละมั้ง”ผมตั้งข้อสังเกต
“ไม่รู้ว่ะ”
เมื่อต่างคนต่างไม่รู้ เราเลยเดินหน้ามึนตามคนอื่นเข้าไปในร้าน

เหมือนโดนแกล้ง ทุกคนเว้นที่นั่งข้างน้ำฝนไว้ให้ผม เหมียวนั่งอีกข้างหนึ่ง ผมนั่งข้างหนึ่ง ที่จริงไม่รู้หรอกว่าทุกคนตั้งใจแกล้งผมหรือเปล่า แต่ผมไม่ชอบแบบนี้เท่าไหร่ แน่ล่ะ ถ้าคนที่รู้เรื่องเมื่อก่อนจะรู้ดีว่าทำไม ส่วนน้ำฝนไม่ต้องพูดถึงเลย รายนั้นเค้าไม่คิดอะไรมาตั้งนานแล้ว ปล่อยให้ผมตกระกำลำบากกับการล้อสนุกสนานบ้าๆที่สร้างสรรค์กันโดยเพื่อนตัวแสบของผม...อยู่คนเดียว คิดแล้วเจ็บใจไม่หาย
“ทีมนั้นสามัคคีกันดีนะ ตากล้องกับคนเขียนตัวติดกันตลอดเลย”พี่ขวัญแซว ทุกคนยกเว้นพวกเราสามคนหัวเราะ แม้แต่พี่ฝาง พี่ชายของน้ำฝนยังหัวเราะเลย
“เหมียวไม่เกี่ยวนะ”ยายเพื่อนบ้านตัวแสบของผมและเพื่อนสนิทของหัวหน้าทีมเรารีบออกตัวทิ้งเพื่อนซะอย่างนั้น
“แกก็อยู่ทีมนั้นนี่ ไอ้ยุ แกโคตรโชคดี”ภูดึงเหมียวกลับเข้าเรื่อง ไม่วายเอาผมไปร่วมด้วย
“อีภู อีบ้า”เหมียวคิ้วชนกัน “ปากแมวนะแก”
“ปากแมวนั่นแกแล้ว”ภูย้อน
“ภู ฉันนั่งเฉยๆ นายก็ยังจะเอาฉันไปเกี่ยวด้วยอีกนะ”ผมรู้สึกว่าตัวเองจะเฉยไม่ได้เสียแล้ว ต้องออกโรงพิทักษ์ตัวเองบ้าง ก่อนจะโดนสองคนนั้นลากเข้าไปมากกว่านี้
ภูกับเหมียวหันมาหาผมแทบจะพร้อมกัน“นายน่ะไม่ต้องเลย!!!”
ทั้งโต๊ะหัวเราะครืนใหญ่
“อะไรวะ”ผมสวน
“ก็แกกับน้ำฝนไปไหนด้วยกันตลอดนี่”พี่ขวัญเสริมอย่างกับว่าได้เห็นเองกับตา
“พี่ขวัญอ๊ะ เห็นฝนไม่พูดล่ะเอาใหญ่”น้ำฝนออกโรงในที่สุด
พี่ยักษ์ของเราทำหน้าตาย ไม่มีใครทันได้สานต่อเจตนาของพี่ขวัญอีกเพราะกับข้าวถูกยกมาวางบนโต๊ะ และทุกคนล้วนแต่หิวข้าวกันทั้งนั้น

ขณะที่เรากำลังอร่อยกับมื้อเย็น เราต่างได้ทำความรู้จักกับสมาชิกใหม่อีก 2 คนที่พี่ขวัญดึงมาร่วมงาน คนหนึ่งเป็นผู้ช่วยช่างภาพชื่อเจ๋งและเพื่อนที่มาขับรถให้ชื่อแมน ทั้งสองคนซี้กับพี่ขวัญเพราะเป็นกลุ่มฟังเพลงเมทัลเหมือนกัน
“เออ นาถ”พี่ขวัญมองไปยังบรรณาธิการของพวกเรา
“ว่าไงพี่”
“สรุปแล้วพรุ่งนี้จะลงเก็บข้างล่างอีกคืนไหม”พี่ขวัญเป็นผู้ใหญ่เสมอเมื่อพูดเรื่องงาน แม้จะมีหลุดมาด หนีไปหลับบ้างเพราะพี่แกกรำงานหนักแบบหามรุ่งหามค่ำ แต่พวกเราก็เชื่อใจพี่แกในการทำงาน
“ใช่แล้วพี่ อยากเก็บภาพน่านตอนกลางคืน”
“วันนี้พวกพี่ลองตระเวนดูแล้ว กลางคืนน่าจะเงียบ”
ผมกำลังคิดอย่างนั้นเหมือนกัน ผมเคยมาเที่ยวจังหวัดน่านเมื่อเกือบ10ปีก่อน น่านเป็นจังหวัดที่สวยและเงียบมากในตอนนั้น แต่ความเงียบนั้นเป็นเสน่ห์ของเมืองน่าน (ในความคิดผม คนอื่นไม่รู้นะ) แต่ตอนนี้ไม่รู้ซิ ผมหวังว่ามันจะยังเหมือนเดิม ผมชักอยากลงไปเมืองน่านแล้วซิ แต่ที่แน่ๆคืนนี้พี่นาถได้ขออนุญาตก่อกองไฟแถวบ้านพักแล้ว โดยเชิญเจ้าหน้าที่มาร่วมวงสนทนาด้วย เพื่อสัมภาษณ์แบบนั่งลงเล่าเรื่องกันสนุกๆ ผมอยากเร่งเวลาให้ถึงตอนนั้นเร็วๆ



สันติภาพวัฒนะ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ต.ค. 2556, 22:38:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2556, 22:38:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1097





<< สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 9   สะพานแห่งคำสัญญา ตอนที่ 11 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account