หวานรักในลมหนาว
หวานรักในลมหนาวเป็นหนึ่งนิยายใน ชุดลัดฟ้าไปหารัก โปรเจ็กล่าสุดของ สนพ.กรีนมายด์ค่ะ โดยธีมเรื่องจะเกิดขึ้นในต่างประเทศ โดยลาฌีนุสได้เลือกประเทศภูฏานและญี่ปุ่นมาเป็นโจทย์ความรักในครั้งนี้ของพระ-นาง สไตล์เรื่องจะเป็นแนวรักหวานๆ ค่ะ

ปล.พระเอกเป็นลูกครึ่งหนุ่มไทย-ภูฎานค่ะ หล่อลื้มมม คริๆ

+++++หากสนใจติดตามผลงานลาฌีนุส กดไลท์ไปที่แฟนเพจได้นะคะ ^^ https://www.facebook.com/lacheenus
Tags: หวานรักในลมหนาว,ภูฎาน

ตอน: บทที่ 11 สารภาพ

บทที่ 11 สารภาพ



วันรุ่งขึ้นทั้งคู่ก็ได้ออกเดินทางร่วมกับทีมงานรายการโทรทัศน์ของไทยไปที่เมืองกังเต และออกเดินทางไปอีกหน่อยเพื่อไปพบกับหมู่บ้านที่เลี้ยงจามรี เมื่อถึงที่หมายคณะเดินทางก็เห็นชายวัยกลางคนพร้อมกับเจ้าจามรียืนรออยู่ก่อนแล้ว ทางไกด์ของทีมงานได้อธิบายว่าจากนี้พวกเขาต้องจอดรถทิ้งไว้ที่นี่และเดินเท้าข้ามเขาเพื่อไปยังหมู่บ้านของคนเลี้ยงจามรี ด้วยลักษณะของจามรีที่ต้องอยู่ในบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็นนั้น ที่ๆ พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ตอนนี้อากาศร้อนเกินไปที่จะเลี้ยงจามรี

ทีมงานทุกคนหันมามองหน้ากันไม่เว้นแม้แต่ชนมนที่หันไปมองชายหนุ่มที่เดินทางมาด้วยกันตลอดทริป พอลพยักหน้าเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ไกด์ชาวภูฏานพูดนั้นเป็นเรื่องจริง หากพวกเขาอยากเห็นฝูงจามรี พวกเขาต้องเดินเท้าข้ามเขาไปเกือบ 2 ลูก

“มาถึงขนาดนี้ก็คงต้องไปให้ถึงที่สุดละครับ” โปรดิวเซอร์หนุ่มเซอร์หันไปพูดกับไกด์ชาวภูฏาน ขณะที่ลูกทีมพากันพยักหน้าฮึดสู้

“ว่าไงครับ คุณมินนี่จะกลับหรือจะไปต่อ”

คำถามที่จะว่าหวังดีก็ได้หรือท้าทายก็ดีของชายหนุ่มทำให้นักท่องเที่ยวตัวยงอย่างชนมนตอบกลับไปอย่างหนักแน่นว่า “ไปแน่นอนค่ะ แค่นี้เด็กๆ สำหรับมินนี่ ขึ้นภูเขาไฟฟูจิมินนี่ก็ผ่านมาแล้ว” คนตัวเล็กหยักคิ้วให้อย่างไม่ยี่หระ

เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วไกด์ได้ให้ทุกคนนำสัมภาระมาให้เจ้าของจามรีเพื่อนำมาผูกไว้บนหลังของมัน ด้านรายการก็เริ่มบันทึกภาพการเดินทางพร้อมกับให้พิธีกรบรรยาย ถามและโต้ตอบกับไกด์ไปเรื่อยๆ ชนมนนึกทึ่งเหล่าทีมงานที่นอกจากจะต้องเดินทางไกลแล้วยังต้องถือกล้องถ่ายวิดีโอเพื่อบันทึกภาพอยู่เป็นระยะอีกต่างหาก ขนาดเธอแค่เดินตัวเปล่ายังเริ่มจะปวดขามั่งแล้ว

“ไหวรึเปล่าครับ” พอลถามขึ้นเมื่อเห็นร่างบางชะงักฝีเท้า โค้งตัวลงมือทั้งสองข้างจับอยู่ที่หัวเข่า ดูจะเหนื่อยแล้วจริงๆ

พอจบประโยคทุกคนต่างกันมามองหญิงสาวเป็นตาเดียวไม่เว้นแม้แต่กล้องของช่างภาพก็แพลนมาหาเธอคนเดียวในกลุ่ม

คนถูกมองรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเป็นตัวถ่วงเลยฝืนยิ้มส่ายหน้าแล้วยืนยันด้วยคำพูดอีกครั้งว่าไม่มีอะไร

แต่คนที่คอยสังเกตอยู่ตลอดอย่างพอลนั้นรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดความจริง ร่างสูงตัดสินใจย่อตัวลงด้านหน้าหญิงสาวผู้ปากแข็ง ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายทำอย่างนั้นชนมนถึงกับตะลึง แม้ปากอยากจะถามว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ก็กลัวว่าจะกลายเป็นถามอะไรโง่ๆ ออกไปทั้งที่ก็เห็นอยู่ชัดเจนว่าเขาต้องการอะไร

“ขึ้นมาเถอะครับ” ชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็พอจะรู้ว่าหญิงสาวคงไม่กล้า

“มินนี่ไหวจริงๆ ค่ะ คุณพอลไม่ต้องลำบากหรอกลุกขึ้นเถอะค่ะ”

ร่างที่นั่งบนปลายเท้าเอี้ยวหน้าไปมองหญิงสาวอย่างขัดใจ พร้อมเอ่ยเสียงเข้มไม่ยอมให้เธอได้บอกปัดอีกเป็นครั้งที่ 2

“ถ้าไม่ขึ้นมาผมคงต้องอุ้มคุณจริงๆ แล้วนะครับ ตอนนี้คุณไหว แต่อีกสักโลสองโลรับรองคุณร่วงแน่ๆ” หญิงสาวหันไปมองทีมงานรายการทีวีอย่างเก้อเขิน ยิ่งเห็นพวกเขาส่งยิ้มให้คล้ายจะแซว เธอยิ่งทำตัวไม่ถูกแต่พอมองพ่อคุณช่างจัดแจงกลับเขินอายยิ่งกว่า ยิ่งเขาส่งสายตาเร่งเร้ามาเธอก็ทำได้แค่บ่นงุบงิบยอมขึ้นไปบนแผ่นหลังกว้างแต่โดยดี

ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาสวมบทนางเอกเกาหลีที่ภูฏาน โฮ้ว อายนะเนี่ย

ชายหนุ่มกระชับต้นขาหญิงสาวขึ้นหลังก่อนจะส่งเสียงบอกให้ทีมงานเดินทางต่อ ตากล้องเห็นภาพตรงหน้าก็รู้สึกเอ็นดูอดที่จะกดบันทึกภาพเอาไว้ไม่ได้

“อย่ามาบ่นว่ามินนี่หนักนะคะ มินนี่โกรธจริงๆ ด้วย” เธอขู่เขาเสียงเขียว

ไม่รู้ละอย่ามาบ่นว่าหนักว่าปวดหลังแล้วโบ้ยความผิดมาที่เธอก็แล้วกัน

แทนที่จะปฏิเสธหรือให้การยืนยันกลับมีเพียงเสียงหัวเราะในลำคอของชายหนุ่มเท่านั้น

“หัวเราะอย่างนี้หมายความว่ายังไงคะ” หญิงสาวแหวขึ้นมาทั้งๆ ที่แขนเรียวโอบรอบคอเขาเอาไว้หลวมๆ

“เอาเป็นว่าถึงมันจะทำให้ขาผมจมหิมะลงไปอีกหลายเซ็นต์ผมก็จะไม่โทษคุณ โอเคมั้ยครับ” คำตอบของเขาทำให้เธอรัดคอชายหนุ่มแน่นขึ้นอย่างตั้งใจ แต่ถึงจะรัดแน่นยังไงก็ไม่ถึงกับทำให้เขาไอคอกแค่กเหมือนคนขาดอากาศหายใจขึ้นมาจริงๆ หรอก “แค่กๆ นี่ตั้งใจจะรัดให้ผมขาดใจตายรึไงครับ”

“เว่อร์ไปแล้วคุณ มินนี่ไม่ได้รัดแรงขนาดนั้นเสียหน่อย” หญิงสาวคลายอ้อมแขนลงดังเดิมแล้วยื่นหน้าเข้าไปหาชายหนุ่มเพื่อต่อว่าที่ทำเป็นโอเว่อร์แอ็กติ้ง

ขณะเดียวกันชายหนุ่มเอี้ยวคอกลับมาเธอ ใบหน้าทั้งคู่ห่างกันเพียงแค่ปลายขนตา ริมฝีปากหยักห่างแก้มเนียนเพียงช่วงปลายจมูกทำเอาคนที่อยู่บนหลังผงะ รีบถอยออกมาแทบไม่ทันก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยกันเอียงใบหน้าออกไปด้านข้างด้วยใบหน้าแดงก่ำ

ความเงียบเดินทางมาเยี่ยมเยียนหนุ่มสาวกว่า 5 นาที พอลยังคงเดินหน้าต่อไปโดยมีหญิงสาวอยู่บนหลังเช่นเดิม ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างปกติ จะมีก็แค่ชนมนเกร็งตัวไม่กล้าเอนตัวเข้าไปหาชายหนุ่มอีกเลย

“กอดแน่นๆ สิครับเดี๋ยวก็หล่นกันพอดี” พอลเอ่ยขึ้นเมื่ออีกฝ่ายชักจะคลายอ้อมกอดขึ้นเรื่อยๆ พอเขาพูดดังนั้นเธอจึงรู้สึกตัวยอมเอนตัวไปหาเขาอย่างเดิม สายตากลมโตมองคนที่แบกเธอด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก เขาแบกเธอโดยไม่มีอาการเหนื่อยล้าไม่บ่นให้เธอสักนิด

“คุณไม่เหนื่อยหรือคะ” อดที่จะถามไม่ได้จริงๆ เมื่อมองดูเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ ที่เริ่มแสดงอาการเหนื่อยหอบออกมาให้เห็น ทั้งที่ก็ผู้ชายเหมือนกันไม่ได้แบกน้ำหนักกว่า 47 กิโลไว้บนหลังแบบพอลด้วยซ้ำ ในขณะที่ไกด์และคนเลี้ยงจามรีนั้นเธอไม่แปลกใจที่เขายังดูปกติ เพราะคิดว่าเขาคงชินแล้ว แต่กับคนที่ถูกเลี้ยงดูในรั้วในวังอย่างคุณพาโร ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชนิกุลคนหนึ่งยังปกติอยู่ได้นี่นับว่าเป็นอะไรที่ทำให้เธอทึ่งสุดๆ

“แค่นี้สำหรับผมสบายมากครับ ผมเคยไปช่วยชาวบ้านแบกของข้ามเขามาแล้ว หนักกว่าคุณอีกแน่ะ”

“ฉันนึกว่าคุณจะสบายๆ อยู่ในวังเสียอีก”

“การเกิดของพวกเราถูกผูกไว้ด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบต่อประชาชนไม่มีเวลาให้มาสบายหรอกครับ ถึงครอบครัวผมจะห่างจากเชื้อพระวงศ์อยู่มาก แต่หน้าที่รับใช้ประชาชนก็ไม่ได้ลดน้อยลง จะมีก็แค่ช่วงที่ผมไปอยู่อังกฤษเท่านั้นแหละครับที่เหมือนได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา”

หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่เขาอธิบายและรู้สึกชื่นชมเขาอยู่ในใจ เพราะเคยฟังเดยุลเล่าเรื่องชาติกำเนิดของเธอมาบ้างว่าพวกเธอเป็นเชื้อพระวงศ์หางแถวแล้ว ไม่ได้มีหน้าที่อะไรในราชวงศ์ แต่ทางครอบครัวเธอเองก็ไม่เกี่ยงงอนที่จะช่วยงานราษฎร์งานหลวงเพื่อความสุขของประชาชนชาวภูฏาน



ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็มาถึงหมู่บ้านคนเลี้ยงจามรีจนได้ แม้จะแวะพักกันอยู่หลายครั้งซึ่งชนมนเองก็ไม่ได้กินแรงพอลไปเสียทั้งหมด เมื่อเธอรู้สึกว่าตัวเองพอเดินไหวแล้วก็ขอเขาลงเดินด้วยตัวเองโดยที่ชายหนุ่มก็ไม่ขัดข้อง ส่วนหนึ่งเธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเขาเองก็เริ่มล้าแล้วเหมือนกัน

อากาศบนยอดเขาที่เหมาะกับการเลี้ยงจามรีนั้นทำให้ชนมนรู้ว่ามันไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยของคนขี้หนาวอย่างเธอเลย หญิงสาวทึ่งอีกรอบเมื่อเห็นที่พักของคนในหมู่บ้าน อันที่จริงไกด์ได้อธิบายเอาไว้ว่าคนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นชนเผ่าเร่ร่อนดังนั้นไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่อยู่อาศัยของพวกเขาจึงเป็นแค่กระโจมธรรมดาๆ ทั้งที่อยู่ท่ามกลางอากาศหนาวติดลบขนาดนี้!

“อย่างนี้ไม่หนาวแย่หรือคะ” หญิงสาวมองกระโจมของเจ้าของจามรีกว่า 400 ตัวอย่างสงสัยปนทึ่ง ขนาดโรงแรมมิดชิดที่พวกเธอเพิ่งไปพักอากาศไม่หนาวขนาดนี้ เธอยังรู้สึกถึงความหนาวแผ่อยู่รอบตัว นี่ถ้าไม่ได้เตาผิงมีหวังได้นอนหนาวตายแน่ๆ

“กระโจมนี้ดูด้วยตาเปล่าอาจจะไม่เชื่อว่ามันจะกันความหนาวเย็นได้ แต่จริงๆ มันกันได้ดีกว่าที่คุณคิดนะครับ ผ้ากระโจมทำด้วยขนจามรีทั้งหลัง พื้นถูกรองด้วยหญ้าแห้ง เดี๋ยวคืนนี่เราจะได้รู้กันครับว่ามันจะกันหนาวได้ดีขนาดไหน” พอลอธิบายพร้อมชี้ชวนให้หญิงสาวดูภายในกระโจม

หลังจากได้ที่พักแล้วคณะเดินทางก็ต่างแยกย้ายกันทำงาน ทางด้านทีมงานรายการก็ออกไปถ่ายทำรายการต่อ ส่วนพอลและชนมนในนั้นเดินแยกออกมาอีกทาง ชายหนุ่มพาเธอมาดูทุ่งกว้างที่ไกลสุดลูกหูลูกตา หญิงสาวในชุดเสื้อหนาวมากกว่า 3 ชั้นกอดอกยืนมองความสวยงามและรับเอาไอเย็นเข้าสู่ปอด แต่ไม่ทันไรเสียงจามฮัดเช้ยก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะชมวิว

พอลหันไปมองคนตัวเล็กที่บัดนี้กลายเป็นลูกหมูตัวอ้วนเพราะเสื้อที่สวมใส่ยกนิ้วขึ้นถูจมูกแดงๆ แล้วจามต่ออีกสองสามทีด้วยแววตาหวานซึ้งก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปใกล้แล้วถอดผ้าพันคอที่คล้องคอตัวเองให้ย้ายมาอยู่บนคอระหง

หญิงสาวแข็งทื่อ มองชายหนุ่มตาปริบๆ สายตาที่เขามองเธอมันบ่งบอกอะไรได้มากมายเกินกว่าจะเอ่ยปากถาม แม้มันจะทำให้เธอใจเต้นแรง แต่ก็แฝงมาด้วยความหวั่นใจเช่นกัน

เมื่อเห็นแววตาสับสนของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเอ่ยปากออกมาอย่างชัดเจน ขณะที่มือเองยังคงสาละวนอยู่กับผ้าพันคอผืนหนา

“ผมคิดว่ามินนี่คงรู้ว่าตอนนี้ผมคิดอะไรอยู่” ชายหนุ่มลดคำนำหน้าของเธอออกเพื่อให้ฟังดูสนิทสนมขึ้น

หญิงสาวอึกอักปิดปากเงียบไม่รู้จะตอบออกไปอย่างไรดี เธอกำลังสับสน เธอมาที่นี่เพราะมาทำงานและมาเพราะอยากเที่ยว เรื่องของพอลมันอยู่เหนือความคาดหมายของเธอ

“แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจ ผมก็จะพูดให้ชัดเจน ผมชอบมินนี่และอยากให้เรามีเวลาศึกษากันมากขึ้นไม่ใช่ในฐานะพี่ชายของเดยุล หรือคนรู้จัก แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มอันแน่วแน่ของเขาที่จ้องมองเธอในระหว่างที่รอคำตอบนั้นมันทำให้เธอหวั่นไหวและหวาดกลัว เธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจเขา ในขณะเดียวกันเธอยังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นกับใคร ไม่ใช่เพราะยังลืมคนรักเก่าไม่ได้ แต่เพราะเธอยังไม่อยากเอาความรู้สึกของตัวเองไปฝากไว้ที่ใครให้ต้องเจ็บปวดอีก เธอจึงเลือกที่หักหาญไมตรีของเขา

“ฉันยังไม่พร้อมจะรับความรู้สึกของใคร ฉัน...ไม่อยากเอาเปรียบคุณ ฉันยังลืมเขาไม่ได้” หญิงสาวเม้มปากแน่นเมื่อต้องโป้ปดเขาเพื่อเอาตัวรอด

ความเงียบปกคลุมทันทีที่เธอตัดสินใจบอกเขาออกไปอย่างนั้น เธอคิดว่าเขาคงถอดใจแล้วแน่ๆ แต่ชนมนคิดผิดเมื่อพอลตอบกลับมาในสิ่งที่เธอไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะพูด

“แล้วถ้าผมเต็มใจให้คุณเอาเปรียบ คุณจะยอมทบทวนเรื่องระหว่างเราอีกครั้งไหม”

ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้หญิงสาวจึงได้แต่มองเขาหน้าตื่น หลุดปากออกมาว่าเขาบ้าไปแล้วที่คิดอย่างนี้

“ผมไม่ได้บ้า นี่ผมจริงจังนะครับ ผมไม่อยากโกหกความรู้สึกของตัวเองอีกแล้ว”

“แต่คุณเป็นพี่ของยัยเดียร์นะคะ” หญิงสาวยกเหตุผลที่ไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องกันขึ้นมาอ้าง

“ครับ แล้วคุณก็เป็นเพื่อนรักยัยเดียร์ ซึ่งผมก็เป็นพี่ชายของเพื่อนรักคุณด้วย แล้วถ้าจะรับผมไปเป็นคนรักอีกคนมันจะแปลกตรงไหน” ชายหนุ่มตอบหน้าตายจนคนเพิ่งถูกสารภาพรักผงะไปอีกรอบ

คิดหรือว่าคนอย่างเขาจะยอมแพ้ง่ายๆ ในเมื่อพลาดจากเธอมาครั้งหนึ่งแล้ว ไม่มีเสียล่ะที่จะยอมพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง ยิ่งเมื่อครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเขาถึงที่ ต่อให้เธอจะเห็นเขาเป็นแค่คนหน้าด้านที่ตามตื้อเธอ เขาก็จะเดินหน้าต่อไป ไม่เคยได้ยินหรือไง ด้านได้อายอด ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก

“แต่ฉันยังลืมแฟนเก่าไม่ได้นะคะ” เธอย้ำชายหนุ่มอีกรอบ

นี่งงสุดๆ ฉันรับมือพี่ชายเธอไม่ถูกแล้วนะ

ร่างสูงไหวไหล่ ดูเหมือนเขากำลังจะบอกว่าเขาไม่สนใจว่าเธอจะลืมหรือไม่ลืมแฟนเก่านะนี่

พอลคิดว่าตนเองเข้าใจถูกว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ลืมคนรักเก่าไม่ได้ เพราะจากคำบอกเล่าของเดยุลเรื่องราวความรักของหญิงสาวดูจะไม่ใช่อะไรที่น่าจดจำ เพียงแต่เธอป้องกันตัวเองจากความรักเท่านั้น แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมเสียโอกาสเพราะเรื่องแค่นี้ เขาจะทำให้เธอเปิดใจและเลิกกลัวความรู้สึกที่ทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพู

“ผมพร้อมจะสู้กับเงาในอดีตของคุณ ไม่จำเป็นต้องให้โอกาสผมก็ได้ แค่อย่ากีดกันความรู้สึกผมก็พอ ผมอยากให้มินนี่แค่คอยรับความปรารถนาดีจากผมก็เท่านั้น ยังไม่จำเป็นต้องให้ผมกลับมาก็ได้ ได้ไหมครับ” ชายหนุ่มวอนเสียงหวานพร้อมสายตาอ่อนเชื่อม
น้ำเสียงเว้าวอนร้องขอทั้งคำพูดของคนหน้าตาดีมันเหมือนมีมนต์สะกดที่ทำให้ต่อมปฏิเสธในร่างกายไม่ยอมทำงาน
อย่าทำน้ำเสียงแบบน้าน ด้วยใบหน้าหล่อเหลานี้ได้ไหม ชนมนรำพึงในใจ

“คุณจะเสียเวลาเปล่านะคะคุณพอล” เธอเตือนเขาเป็นครั้งสุดท้ายแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยี่หระกับคำเตือนนี้ ทั้งยังหยิบเอาประโยคนี้ของเธอมาโมเมว่าเธอตกลงรับข้อเสนอของเขา
“ถ้าจะพูดกันเรื่องเวลา ผมเสียเวลามา 1 ปีแล้วครับ” ชายหนุ่มตอบแล้วยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจก่อนประกาศชัดถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ของตน
“ฉันเป็นคนใจแข็งมากนะคะ” เธอบอก แทนที่เขาจะสลดกลับกระชับผ้าพันคอในมือขึ้นทำให้ร่างเธอเซเข้าไปหาเข้าโดยทันที หญิงสาวหน้าตื่นมองเขาด้วยแววตาตระหนกระคนเขินอาย แต่ชายหนุ่มกลับส่งยิ้มหวาน เอนใบหน้าเข้ามากระซิบชิดริมหูเล็กที่แดงเพราะอากาศเย็น ลมหายใจอุ่นๆ ที่รดใบหูทำให้ร่างบางถึงกับสะดุ้งราวถูกไฟลวก

ชนมนหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกว่าริมฝีปากร้อนๆ เฉียดไปเฉียดมาอยู่ที่ติ่งหูของเธอ

นี่ฉันไม่เคยรู้สึกระทึกอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยนะ ผู้ชายคนนี้กำลังทำให้ฉันบ้า

“นับจากนี้ไประวังหัวใจของคุณให้ดีๆ ผมจะทำให้คุณรักผมมากกว่าเขา รักจนไม่มีพื้นที่ของหัวใจไว้นึกถึงใครอีกแล้ว”
เสียงกระซิบแผ่วเบาแต่ก้องสะท้านลงไปกลางใจของผู้หญิงที่ชื่อชนมนเป็นที่สุด ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนี้ประกาศหวานแหล่มเกินจริงในความคิดของคนฟัง ในอนาคตจะทำให้เธอรักเขามาก...มากขนาดที่ยอมเอาชีวิตตัวเองเข้าไปเสี่ยงตายแทนเขา

++++++++++++++++++++++

เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดด พอแค่นี้ก่อนเนอะ ฮี่ๆๆ ที่เหลือไปตามต่อในหนังสือนะคะ เหลืออีกประมาน 10 กว่าตอนรวมตอนพิเศษ อีก 2 ตอน ต่อจากนี้พี่พอลของเราน่าจะรุกหนักหน่วงแล้วนะคะ >///< แอร๊ยยยย

+++ปุกาศๆๆๆๆ เกมฉลองผลงานเล่มที่ 10 มาแล้วจ้าาา ติดตามได้ที่


หน้าเพจนะคะ อ่านรายละเอียดดีๆน้า ^^

ของรางวัลจัดแน่นจัดหนักว้ากกกกกก


คลิกได้ที่เพจ ของลาฌีนุสใน Facebook นะคะ



ลาฌีนุส
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ต.ค. 2556, 11:54:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ต.ค. 2556, 11:54:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1276





<< บทที่ 10 เริ่มต้นเดินเครื่องเต็มกำลัง   ตัวอย่างตอนต่อไปในเล่มค่ะ ^^ Kiss me >>
nasa 5 ต.ค. 2556, 22:28:58 น.
นายแน่วแน่มาก เชียร์สุดใจเลยค่ะพี่พอล


pkka 5 ต.ค. 2556, 22:39:58 น.
เขิลแทน


pattisa 8 ต.ค. 2556, 10:32:19 น.
อร๊ายย อ่านมาถึงตอนนี้แล้วยิ่งอ่านยิ่งเขินนนน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account