ใต้ปีกรักสีเพลิง {นวนิยายชุด ความลับของผีเสื้อ สนพ.อรุณ}
สร้อยผีเสื้อสีเพลิงจากคนแปลกหน้า
เปลี่ยนเธอให้กลายเป็นคนใหม่
เธอไม่รู้ว่ารักเขาจริงๆ
หรือเป็นเพราะอำนาจของผีเสื้อตัวนี้กันแน่
เปลี่ยนเธอให้กลายเป็นคนใหม่
เธอไม่รู้ว่ารักเขาจริงๆ
หรือเป็นเพราะอำนาจของผีเสื้อตัวนี้กันแน่
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ ๑๗ (จบตอน)
ทว่าบรรยากาศอบอุ่นแสนดีเหล่านั้นก็กลับปลาสนาการไปในพริบตา เพียงเพราะเงาของใครบางคนทาบทับลงมา พรนางฟ้าเงยขวับขึ้นมองผู้มาใหม่ แล้วความรู้สึกสองฝ่ายก็ปะปนกันวุ่นอยู่ในหัวใจ
“พี่พัทธ์...มาประชุมแถวนี้เหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างไว้ตัว เม้มปากซ่อนคำพูดอื่นไว้ในใจทันควัน เธอมัวแต่กังวลกับตัวเองจนไม่ทันสังเกตท่าทางของผู้ชายทั้งสองคน ว่าพัทธ์ธนัยชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอมิได้อยู่ลำพัง ส่วนคิรินทร์นั้นดวงตาวาวจ้าแปลกๆเมื่อเห็นผู้มาใหม่
“ได้ยินจากเกรซว่าแพนกับเขาดีกันแล้วหรือครับ” พัทธ์ธนัยถือวิสาสะนั่งลงยังเก้าอี้ที่ว่าง สีหน้าที่หันไปทางผู้หญิงเพียงคนเดียวในที่นั้นบอกความใส่ใจและตั้งใจฟังคำตอบแท้จริง
“ค่ะ ไม่อยากถูกหาว่าเจ้าคิดเจ้าแค้นน่ะค่ะ” พรนางฟ้าย้อนทันควัน “แพนแนะนำให้รู้จักกันก่อนดีกว่า พี่พัทธ์คะ นี่คุณคี เพื่อนแพนค่ะ” เธอทอดเสียงอ่อนกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว “ส่วนนี่ก็พี่พัทธ์ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยฉัน แล้วก็เป็นแฟนของเกรซด้วย”
แค่วาจาที่หญิงสาวใช้ พัทธ์ธนัยก็มองออกว่าเธอสนิทกับผู้ชายคนนี้...มากด้วย!
“พี่มีเรื่องจะคุยกับแพนหลายเรื่องเลย คือ...พี่อยากขอโทษแพนที่พูดรุนแรงไปเมื่อคราวก่อน” พัทธ์ธนัยเอ่ยตรงๆ ไม่สนใจแม้ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง เขาแปลกใจนิดๆด้วยซ้ำที่ตัวเองอยากประกาศความสนิทสนมกับสาวน้อยผู้นี้ให้ผู้ชายอีกคนเห็น
ไม่ใช่พัทธ์ธนัยที่ขยับตัวอย่างอึดอัด แต่กลับเป็น...คิรินทร์! ชายหนุ่มลบรอยยิ้มบนใบหน้าราวกับเมื่อครู่ไม่ได้หัวเราะอยู่ก่อน และเมื่อเห็นว่าคนมาใหม่ทำท่าจะเอ่ยสิ่งใด คิรินทร์ก็รีบแทรก “คุณแพนมีเพื่อนแล้ว งั้นผมขอตัวกลับไปทำงานต่อดีกว่า” เขาเก็บสีไม้ที่ระเกะระกะอยู่บนโต๊ะใส่กล่อง รวบรวมสมุดระบายสีผลงานของพรนางฟ้าใส่กระเป๋าเป้ มือหนึ่งคว้าหูจับด้านบนของกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน
“อ้าว! อะไรกัน ฉันไม่อนุญาตนะ คุณยังกลับไม่ได้” เจ้ามือโวยวาย
คนรับเลี้ยงไม่นำพา “ขอบคุณมากนะครับที่กรุณาเลี้ยงกาแฟ ลาละครับคุณพัทธ์” เขาถือแก้วกาแฟของตัวเอง ค้อมศีรษะให้เพื่อนของพรนางฟ้า แล้วเดินรี่หนีไปอย่างรวดเร็ว
กระนั้นก็ยังพอได้ยินคำพูดของพัทธ์ธนัยดังตามหลังมาแว่วๆ “พี่คุ้นหน้าเพื่อนแพนคนนี้จัง เหมือนเคยรู้จักที่ไหนมาก่อนก็ไม่รู้”
“พี่พัทธ์น่ะเหรอจะรู้จักกับศิลปินอย่างนี้ แพนว่าพี่พัทธ์จำคนผิดแล้วละ”
คิรินทร์กำหูกระเป๋าแน่นด้วยความกังวล แต่ก็โล่งใจเมื่อฝ่ายชายตัดบท “พี่คงจำคนผิดอย่างแพนว่าจริงๆ เพราะพี่คีที่พี่รู้จักเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย นับไปก็ต้องบอกว่าเป็นรุ่นพี่ของแพนด้วยแหละ ตอนพี่เข้าปีหนึ่ง พี่คีอยู่ปีสี่ละ ที่เคยได้ยินมาเมื่อหลายปีก่อน รู้สึกว่าเขาจะเป็นนักการทูตมั้ง” ขนาดได้ยินจากที่ไกล คิรินทร์ยังจับสำเนียงประหลาดในประโยคนั้นได้บางเบา
“แพนก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ เพื่อนแพนเป็นจิตรกรวาดภาพ อยู่คนละโลกกับรุ่นพี่นักการทูตของพี่พัทธ์คนละขอบฟ้าเลยละ”
เมื่อพัทธ์ธนัยเปลี่ยนมาขอโทษขอโพยหญิงสาวอีกครั้ง แทนที่คิรินทร์จะหมดความสนใจ เขากลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รอฟังบทสนทนานั้นต่อ ไม่กล้าหาคำตอบให้ตัวเองสักนิดว่าทำแบบนั้นเพื่ออะไร!
ชายหนุ่มยืนหลบมุมอยู่เบื้องหลังกำแพงส่วนที่ซอกหลืบ ลอบมองสองหนุ่มสาวที่เพิ่งแยกจากมา และก่อนจะทันห้ามตัวเอง เขาก็เผลอเบือนสายตาแลเลยไปยังพรนางฟ้าเสียแล้ว! เพียงเห็นสายตาที่หญิงสาวทอดมอง ‘รุ่นน้อง’ คิรินทร์ก็เผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว น่าแปลก...ที่หัวใจเขาสามารถเต้นเป็นจังหวะประหลาดเช่นนี้ได้ เป็นจังหวะ...แบบที่ชายหนุ่มไม่กล้าถามตัวเองว่ามันปะปนด้วยความรู้สึกใดกันแน่! น้อยใจหรือว่าเสียดาย!
คิรินทร์ก้มหน้าสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าก้าวออกจากห้างอย่างเหงาๆ มือลูบกางเกงยีนที่ซักจนซีดเก่าด้วยอาการใจลอย มโนภาพที่เกิดขึ้นในใจนึกเปรียบเทียบเครื่องแต่งกายเก่าปอนของตนกับเชิ้ตกลีบเรียบและเน็คไทยี่ห้อหรูของพัทธ์ธนัยอย่างเผลอไผล พลางย้ำกับตัวเอง
จำไว้ว่านายมันเป็นแค่เบ๊ซอมซ่อที่เธอจะจิกเรียกออกมาเมื่อไรก็ได้ ต่อให้ผ่านไปอีกสักร้อยชาติ ผู้หญิงบ้าวัตถุนิยมก็ไม่มีวันมองเขาด้วยสายตาชื่นชมแบบนั้นเด็ดขาด!
รถไฟฟ้าที่เคยวุ่นวายคลาคล่ำด้วยผู้คน วันนี้โล่งตาอย่างบอกไม่ถูก หรือเพราะใจเขาว่างเปล่าแปลกๆชอบกลก็ไม่รู้ คิรินทร์ปัดความคิดที่จะกลับไปทำงานต่อที่สตูดิโอทิ้ง จู่ๆเขาก็เกลียดความเงียบรอบกายอย่างไม่มีเหตุผล และมันคงแย่สิ้นดีหากต้องกลับไปนั่งจับเจ่าอยู่ลำพัง
ชายหนุ่มลงจากรถไฟฟ้า เดินทอดน่องผ่านยามหน้าหมู่บ้านที่ตะเบ๊ะให้อย่างนอบน้อมไปโดยไม่อินังขังขอบใดๆ สายตาของศิลปินที่เคยมองเห็นความงามของทุกสรรพสิ่งรอบด้าน วันนี้เงาหม่นอันไร้ที่มาซึ่งพาดผ่านในอารมณ์กลับฉายให้เขาเห็นแต่สีเทาหมองๆตรงโน้นทีตรงนี้ที ทำไมถึงเซ็งอย่างนี้นะ!
เพียงก้าวเข้าบ้าน สาวใช้ก็รี่เข้ามารายงานว่าธารารินนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลากลางสวน คิรินทร์จึงค่อยรู้สึกดีขึ้น เขาวางเป้แหมะไว้บนโซฟา แล้วก้าวยาวๆไปสมทบกับมารดา อ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดผู้เป็นแม่ทันทีที่พบ ขณะพึมพำ “คิดถึงแม่จังเลย”
“ไม่ต้องเอาคำหวานมาเป็นของกำนัลย่ะ พ่อตัวดี หายไปไหนมาเนี่ย แม่ไม่เห็นหน้าเป็นอาทิตย์ บทจะมาก็มา บทจะกลับไปนอนที่สตูดิโอก็ไม่บอกกล่าวกันสักคำนะ” ธารารินผลักบุตรชายออกห่างอย่างงอนๆ
“โธ่...อย่าโกรธเลยนะครับแม่ คราวนี้รับรองว่าผมจะอยู่นานๆจนแม่เบื่อไปเลยดีไหม”
ผู้สูงวัยกว่าชะงักเล็กน้อย เธอเอื้อมมือดึงอีกฝ่ายมานั่งข้างๆ ซึ่งลูกชายก็พิงศีรษะซบบ่าเธอดื้อๆ “ใหญ่ไปถูกใครขัดใจมาอีกแล้วหรือไงจ๊ะ”
“เปล่าสักหน่อย ทำไมแม่ชอบกล่าวหาผมจัง นี่ถ้าไม่มีปัญหา ผมกลับบ้านไม่ได้หรือครับ” เขาพ้อ
“ก็แล้วมันจริงไหมล่ะจ๊ะ” ธารารินอมยิ้ม เธอใช้สองมือประคองใบหน้าอันรกครึ้มด้วยหนวดเคราของชายหนุ่มแล้วบีบเบาๆอย่างมันเขี้ยว “หน้าตาอมทุกข์ขนาดนี้ ยังจะมาปากแข็งว่าไม่มีปัญหาอีกเหรอ”
“ผมเปล่า...” เขายังปฏิเสธไม่ทันเต็มคำ มารดาก็แทรกขึ้น
“แน่ะ! อย่าเถียงเลย แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน มีหรือจะดูไม่ออก คราวนี้ไปมีปัญหากับใครมาอีกล่ะ ถึงสติแตกหนีมาหลบภัยที่บ้าน”
“ผมไม่ได้สติแตกสักหน่อยนะครับ ผมก็แค่...” ชายหนุ่มกลอกตา หาคำตอบที่ตรงใจ “รู้สึกเซ็งๆแค่นั้นเอง”
“แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงเซ็งล่ะลูก” ธารารินโอบลูกชายมากอด พลางลูบศีรษะเหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์วัย
“ไม่รู้สิครับ บางทีผมก็อยากให้ตัวเองเป็นพวกวัตถุนิยมแบบคนอื่นๆเขาบ้างจัง ผมจะได้ทะเยอทะยาน มากกว่านี้ เผื่อมันจะทำให้ใครๆเขาชื่นชม หรือภูมิใจที่ต้องเป็นคนรู้จักของผมขึ้นมาบ้าง”
“ที่ผ่านมาใหญ่ก็ภูมิใจในตัวเองเสมอนี่นา จู่ๆทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองยังดีไม่พอ อยากจะดีกว่านี้อีก” ธารารินกังวล แต่แล้วก็ทำตาโต มีท่าทีลิงโลดเมื่อนึกคาดเดาบางสิ่งได้รางๆ
“อย่าบอกนะว่าใหญ่กำลังอินเลิฟน่ะ ตายแล้ว! อุ๊ย! แม่ดีใจจังเลย ใช่ยายหนูคนนั้นหรือเปล่าจ๊ะ คนที่คิดว่าใหญ่เอาต่างหูของเขาไปน่ะ”
“หนูคนไหนกันแม่!” คิรินทร์โวยวาย ขยับตัวออกจากอ้อมกอดนั้นอย่างตกใจ
“แน่ะ! ปฏิเสธเสียงสั่นเชียว แปลว่าแม่เดาถูกน่ะสิเนี่ย”
เขาขยับจะค้านอีกหน แต่เมื่อเห็นสายตาของธารารินก็ชะงัก สีหน้าสีตาจริงจังของแม่ย้ำให้เขารู้...ท่านมิได้ล้อเลียน แม่...พูดจริง! เขาเนี่ยนะจะชอบ ‘ยายหนู’ คนที่แม่ว่า!
คิรินทร์ส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน “แม่เพ้อไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมชักเหนียวตัว ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
“ตามใจเถอะจ้ะ จะหลอกแม่ยังไงก็ได้ แต่หลอกตัวเองให้เชื่อตามที่พูดได้หรือเปล่า ใหญ่เท่านั้นแหละที่รู้ตัวเองดี” ธารารินกระหนาบตามหลังมา เป็นผลให้เจ้าของร่างสูงรีบสาวเท้ายาวๆหนีไปให้พ้นจากสายตารู้ทันของมารดา กระนั้นทุกย่างก้าวที่เดินห่างจากศาลากลางสวน เท้าของเขากลับค่อยๆหนักขึ้นๆจนแทบยกไม่ไหว
จิตรกรหนุ่มหยุดเดิน ขณะแหงนมองท้องฟ้า เมฆครึ้มทำท่าคล้ายฝนกำลังจะตก เขาถอนหายใจหนักหน่วง บางที...ความรู้สึกของคนก็คงเหมือนเมฆฝนพวกนี้ เมื่อกอบเก็บความชื้นไว้เต็มที่ มันก็จะแปรเปลี่ยนเป็นสายฝน ไม่ว่าผู้คนใต้ฟ้าจะเต็มใจหรือไม่ สุดท้ายหยาดฝนก็จะโปรยปรายลงมาอยู่ดี
ความรู้สึกของเขาก็เป็นอย่างนั้น เมื่อกอบเก็บความรู้สึกดีๆที่มีให้กันไว้เต็มที่ มันก็แปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน ที่ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะพึงใจหรือไม่ สุดท้าย...ดอกรักก็จะเริ่มผลิบานให้คนอื่นเห็นอยู่ดี!
คิรินทร์เดินกลับเข้าไปในห้องรับแขก หยิบกระเป๋ามาเปิดดึงสมุดระบายสีผลงานของพรนางฟ้าขึ้นพิจารณา เขานั่งเอนศีรษะพิงพนักโซฟา หลับตาลงด้วยความรู้สึกอุ่นๆในหัวใจ เพิ่งรู้และเข้าใจว่าอาการประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขา...เรียกว่าอะไร!
ดวงตาคมปลาบตวัดมองภาพเปื้อนๆในมืออีกครั้ง พร้อมกับมีรอยยิ้มประดับที่มุมปากโดยไม่รู้ตัว ชั่ววินาทีที่เขาอยากรู้ ป่านนี้พรนางฟ้ากำลังทำอะไรอยู่ แยกกับเจ้าหนุ่มนั่นหรือยังหนอ!
/ / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / /
ตอนนี้ที่เพจสิริณมีเกมอีกแล้วนะคะ
คราวนี้แจก "ชุดความลับของผีเสื้อ" ยกชุด!!!
ตามไปร่วมสนุกตามกติกากันด่วนเลยค่ะ
www.facebook.com/SirinFC
คุณอาจจะเป็นผู้โชคดีก็ได้นะเออ ^^
“พี่พัทธ์...มาประชุมแถวนี้เหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างไว้ตัว เม้มปากซ่อนคำพูดอื่นไว้ในใจทันควัน เธอมัวแต่กังวลกับตัวเองจนไม่ทันสังเกตท่าทางของผู้ชายทั้งสองคน ว่าพัทธ์ธนัยชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเธอมิได้อยู่ลำพัง ส่วนคิรินทร์นั้นดวงตาวาวจ้าแปลกๆเมื่อเห็นผู้มาใหม่
“ได้ยินจากเกรซว่าแพนกับเขาดีกันแล้วหรือครับ” พัทธ์ธนัยถือวิสาสะนั่งลงยังเก้าอี้ที่ว่าง สีหน้าที่หันไปทางผู้หญิงเพียงคนเดียวในที่นั้นบอกความใส่ใจและตั้งใจฟังคำตอบแท้จริง
“ค่ะ ไม่อยากถูกหาว่าเจ้าคิดเจ้าแค้นน่ะค่ะ” พรนางฟ้าย้อนทันควัน “แพนแนะนำให้รู้จักกันก่อนดีกว่า พี่พัทธ์คะ นี่คุณคี เพื่อนแพนค่ะ” เธอทอดเสียงอ่อนกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว “ส่วนนี่ก็พี่พัทธ์ รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยฉัน แล้วก็เป็นแฟนของเกรซด้วย”
แค่วาจาที่หญิงสาวใช้ พัทธ์ธนัยก็มองออกว่าเธอสนิทกับผู้ชายคนนี้...มากด้วย!
“พี่มีเรื่องจะคุยกับแพนหลายเรื่องเลย คือ...พี่อยากขอโทษแพนที่พูดรุนแรงไปเมื่อคราวก่อน” พัทธ์ธนัยเอ่ยตรงๆ ไม่สนใจแม้ไม่ได้อยู่กันตามลำพัง เขาแปลกใจนิดๆด้วยซ้ำที่ตัวเองอยากประกาศความสนิทสนมกับสาวน้อยผู้นี้ให้ผู้ชายอีกคนเห็น
ไม่ใช่พัทธ์ธนัยที่ขยับตัวอย่างอึดอัด แต่กลับเป็น...คิรินทร์! ชายหนุ่มลบรอยยิ้มบนใบหน้าราวกับเมื่อครู่ไม่ได้หัวเราะอยู่ก่อน และเมื่อเห็นว่าคนมาใหม่ทำท่าจะเอ่ยสิ่งใด คิรินทร์ก็รีบแทรก “คุณแพนมีเพื่อนแล้ว งั้นผมขอตัวกลับไปทำงานต่อดีกว่า” เขาเก็บสีไม้ที่ระเกะระกะอยู่บนโต๊ะใส่กล่อง รวบรวมสมุดระบายสีผลงานของพรนางฟ้าใส่กระเป๋าเป้ มือหนึ่งคว้าหูจับด้านบนของกระเป๋าแล้วลุกขึ้นยืน
“อ้าว! อะไรกัน ฉันไม่อนุญาตนะ คุณยังกลับไม่ได้” เจ้ามือโวยวาย
คนรับเลี้ยงไม่นำพา “ขอบคุณมากนะครับที่กรุณาเลี้ยงกาแฟ ลาละครับคุณพัทธ์” เขาถือแก้วกาแฟของตัวเอง ค้อมศีรษะให้เพื่อนของพรนางฟ้า แล้วเดินรี่หนีไปอย่างรวดเร็ว
กระนั้นก็ยังพอได้ยินคำพูดของพัทธ์ธนัยดังตามหลังมาแว่วๆ “พี่คุ้นหน้าเพื่อนแพนคนนี้จัง เหมือนเคยรู้จักที่ไหนมาก่อนก็ไม่รู้”
“พี่พัทธ์น่ะเหรอจะรู้จักกับศิลปินอย่างนี้ แพนว่าพี่พัทธ์จำคนผิดแล้วละ”
คิรินทร์กำหูกระเป๋าแน่นด้วยความกังวล แต่ก็โล่งใจเมื่อฝ่ายชายตัดบท “พี่คงจำคนผิดอย่างแพนว่าจริงๆ เพราะพี่คีที่พี่รู้จักเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัย นับไปก็ต้องบอกว่าเป็นรุ่นพี่ของแพนด้วยแหละ ตอนพี่เข้าปีหนึ่ง พี่คีอยู่ปีสี่ละ ที่เคยได้ยินมาเมื่อหลายปีก่อน รู้สึกว่าเขาจะเป็นนักการทูตมั้ง” ขนาดได้ยินจากที่ไกล คิรินทร์ยังจับสำเนียงประหลาดในประโยคนั้นได้บางเบา
“แพนก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ เพื่อนแพนเป็นจิตรกรวาดภาพ อยู่คนละโลกกับรุ่นพี่นักการทูตของพี่พัทธ์คนละขอบฟ้าเลยละ”
เมื่อพัทธ์ธนัยเปลี่ยนมาขอโทษขอโพยหญิงสาวอีกครั้ง แทนที่คิรินทร์จะหมดความสนใจ เขากลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม รอฟังบทสนทนานั้นต่อ ไม่กล้าหาคำตอบให้ตัวเองสักนิดว่าทำแบบนั้นเพื่ออะไร!
ชายหนุ่มยืนหลบมุมอยู่เบื้องหลังกำแพงส่วนที่ซอกหลืบ ลอบมองสองหนุ่มสาวที่เพิ่งแยกจากมา และก่อนจะทันห้ามตัวเอง เขาก็เผลอเบือนสายตาแลเลยไปยังพรนางฟ้าเสียแล้ว! เพียงเห็นสายตาที่หญิงสาวทอดมอง ‘รุ่นน้อง’ คิรินทร์ก็เผลอถอนหายใจโดยไม่รู้ตัว น่าแปลก...ที่หัวใจเขาสามารถเต้นเป็นจังหวะประหลาดเช่นนี้ได้ เป็นจังหวะ...แบบที่ชายหนุ่มไม่กล้าถามตัวเองว่ามันปะปนด้วยความรู้สึกใดกันแน่! น้อยใจหรือว่าเสียดาย!
คิรินทร์ก้มหน้าสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าก้าวออกจากห้างอย่างเหงาๆ มือลูบกางเกงยีนที่ซักจนซีดเก่าด้วยอาการใจลอย มโนภาพที่เกิดขึ้นในใจนึกเปรียบเทียบเครื่องแต่งกายเก่าปอนของตนกับเชิ้ตกลีบเรียบและเน็คไทยี่ห้อหรูของพัทธ์ธนัยอย่างเผลอไผล พลางย้ำกับตัวเอง
จำไว้ว่านายมันเป็นแค่เบ๊ซอมซ่อที่เธอจะจิกเรียกออกมาเมื่อไรก็ได้ ต่อให้ผ่านไปอีกสักร้อยชาติ ผู้หญิงบ้าวัตถุนิยมก็ไม่มีวันมองเขาด้วยสายตาชื่นชมแบบนั้นเด็ดขาด!
รถไฟฟ้าที่เคยวุ่นวายคลาคล่ำด้วยผู้คน วันนี้โล่งตาอย่างบอกไม่ถูก หรือเพราะใจเขาว่างเปล่าแปลกๆชอบกลก็ไม่รู้ คิรินทร์ปัดความคิดที่จะกลับไปทำงานต่อที่สตูดิโอทิ้ง จู่ๆเขาก็เกลียดความเงียบรอบกายอย่างไม่มีเหตุผล และมันคงแย่สิ้นดีหากต้องกลับไปนั่งจับเจ่าอยู่ลำพัง
ชายหนุ่มลงจากรถไฟฟ้า เดินทอดน่องผ่านยามหน้าหมู่บ้านที่ตะเบ๊ะให้อย่างนอบน้อมไปโดยไม่อินังขังขอบใดๆ สายตาของศิลปินที่เคยมองเห็นความงามของทุกสรรพสิ่งรอบด้าน วันนี้เงาหม่นอันไร้ที่มาซึ่งพาดผ่านในอารมณ์กลับฉายให้เขาเห็นแต่สีเทาหมองๆตรงโน้นทีตรงนี้ที ทำไมถึงเซ็งอย่างนี้นะ!
เพียงก้าวเข้าบ้าน สาวใช้ก็รี่เข้ามารายงานว่าธารารินนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลากลางสวน คิรินทร์จึงค่อยรู้สึกดีขึ้น เขาวางเป้แหมะไว้บนโซฟา แล้วก้าวยาวๆไปสมทบกับมารดา อ้อมแขนแข็งแรงโอบกอดผู้เป็นแม่ทันทีที่พบ ขณะพึมพำ “คิดถึงแม่จังเลย”
“ไม่ต้องเอาคำหวานมาเป็นของกำนัลย่ะ พ่อตัวดี หายไปไหนมาเนี่ย แม่ไม่เห็นหน้าเป็นอาทิตย์ บทจะมาก็มา บทจะกลับไปนอนที่สตูดิโอก็ไม่บอกกล่าวกันสักคำนะ” ธารารินผลักบุตรชายออกห่างอย่างงอนๆ
“โธ่...อย่าโกรธเลยนะครับแม่ คราวนี้รับรองว่าผมจะอยู่นานๆจนแม่เบื่อไปเลยดีไหม”
ผู้สูงวัยกว่าชะงักเล็กน้อย เธอเอื้อมมือดึงอีกฝ่ายมานั่งข้างๆ ซึ่งลูกชายก็พิงศีรษะซบบ่าเธอดื้อๆ “ใหญ่ไปถูกใครขัดใจมาอีกแล้วหรือไงจ๊ะ”
“เปล่าสักหน่อย ทำไมแม่ชอบกล่าวหาผมจัง นี่ถ้าไม่มีปัญหา ผมกลับบ้านไม่ได้หรือครับ” เขาพ้อ
“ก็แล้วมันจริงไหมล่ะจ๊ะ” ธารารินอมยิ้ม เธอใช้สองมือประคองใบหน้าอันรกครึ้มด้วยหนวดเคราของชายหนุ่มแล้วบีบเบาๆอย่างมันเขี้ยว “หน้าตาอมทุกข์ขนาดนี้ ยังจะมาปากแข็งว่าไม่มีปัญหาอีกเหรอ”
“ผมเปล่า...” เขายังปฏิเสธไม่ทันเต็มคำ มารดาก็แทรกขึ้น
“แน่ะ! อย่าเถียงเลย แม่อาบน้ำร้อนมาก่อน มีหรือจะดูไม่ออก คราวนี้ไปมีปัญหากับใครมาอีกล่ะ ถึงสติแตกหนีมาหลบภัยที่บ้าน”
“ผมไม่ได้สติแตกสักหน่อยนะครับ ผมก็แค่...” ชายหนุ่มกลอกตา หาคำตอบที่ตรงใจ “รู้สึกเซ็งๆแค่นั้นเอง”
“แล้วทำไมอยู่ดีๆถึงเซ็งล่ะลูก” ธารารินโอบลูกชายมากอด พลางลูบศีรษะเหมือนเมื่อครั้งยังเยาว์วัย
“ไม่รู้สิครับ บางทีผมก็อยากให้ตัวเองเป็นพวกวัตถุนิยมแบบคนอื่นๆเขาบ้างจัง ผมจะได้ทะเยอทะยาน มากกว่านี้ เผื่อมันจะทำให้ใครๆเขาชื่นชม หรือภูมิใจที่ต้องเป็นคนรู้จักของผมขึ้นมาบ้าง”
“ที่ผ่านมาใหญ่ก็ภูมิใจในตัวเองเสมอนี่นา จู่ๆทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวเองยังดีไม่พอ อยากจะดีกว่านี้อีก” ธารารินกังวล แต่แล้วก็ทำตาโต มีท่าทีลิงโลดเมื่อนึกคาดเดาบางสิ่งได้รางๆ
“อย่าบอกนะว่าใหญ่กำลังอินเลิฟน่ะ ตายแล้ว! อุ๊ย! แม่ดีใจจังเลย ใช่ยายหนูคนนั้นหรือเปล่าจ๊ะ คนที่คิดว่าใหญ่เอาต่างหูของเขาไปน่ะ”
“หนูคนไหนกันแม่!” คิรินทร์โวยวาย ขยับตัวออกจากอ้อมกอดนั้นอย่างตกใจ
“แน่ะ! ปฏิเสธเสียงสั่นเชียว แปลว่าแม่เดาถูกน่ะสิเนี่ย”
เขาขยับจะค้านอีกหน แต่เมื่อเห็นสายตาของธารารินก็ชะงัก สีหน้าสีตาจริงจังของแม่ย้ำให้เขารู้...ท่านมิได้ล้อเลียน แม่...พูดจริง! เขาเนี่ยนะจะชอบ ‘ยายหนู’ คนที่แม่ว่า!
คิรินทร์ส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน “แม่เพ้อไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมชักเหนียวตัว ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
“ตามใจเถอะจ้ะ จะหลอกแม่ยังไงก็ได้ แต่หลอกตัวเองให้เชื่อตามที่พูดได้หรือเปล่า ใหญ่เท่านั้นแหละที่รู้ตัวเองดี” ธารารินกระหนาบตามหลังมา เป็นผลให้เจ้าของร่างสูงรีบสาวเท้ายาวๆหนีไปให้พ้นจากสายตารู้ทันของมารดา กระนั้นทุกย่างก้าวที่เดินห่างจากศาลากลางสวน เท้าของเขากลับค่อยๆหนักขึ้นๆจนแทบยกไม่ไหว
จิตรกรหนุ่มหยุดเดิน ขณะแหงนมองท้องฟ้า เมฆครึ้มทำท่าคล้ายฝนกำลังจะตก เขาถอนหายใจหนักหน่วง บางที...ความรู้สึกของคนก็คงเหมือนเมฆฝนพวกนี้ เมื่อกอบเก็บความชื้นไว้เต็มที่ มันก็จะแปรเปลี่ยนเป็นสายฝน ไม่ว่าผู้คนใต้ฟ้าจะเต็มใจหรือไม่ สุดท้ายหยาดฝนก็จะโปรยปรายลงมาอยู่ดี
ความรู้สึกของเขาก็เป็นอย่างนั้น เมื่อกอบเก็บความรู้สึกดีๆที่มีให้กันไว้เต็มที่ มันก็แปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน ที่ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายจะพึงใจหรือไม่ สุดท้าย...ดอกรักก็จะเริ่มผลิบานให้คนอื่นเห็นอยู่ดี!
คิรินทร์เดินกลับเข้าไปในห้องรับแขก หยิบกระเป๋ามาเปิดดึงสมุดระบายสีผลงานของพรนางฟ้าขึ้นพิจารณา เขานั่งเอนศีรษะพิงพนักโซฟา หลับตาลงด้วยความรู้สึกอุ่นๆในหัวใจ เพิ่งรู้และเข้าใจว่าอาการประหลาดที่เกิดขึ้นกับเขา...เรียกว่าอะไร!
ดวงตาคมปลาบตวัดมองภาพเปื้อนๆในมืออีกครั้ง พร้อมกับมีรอยยิ้มประดับที่มุมปากโดยไม่รู้ตัว ชั่ววินาทีที่เขาอยากรู้ ป่านนี้พรนางฟ้ากำลังทำอะไรอยู่ แยกกับเจ้าหนุ่มนั่นหรือยังหนอ!
/ / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / / /
ตอนนี้ที่เพจสิริณมีเกมอีกแล้วนะคะ
คราวนี้แจก "ชุดความลับของผีเสื้อ" ยกชุด!!!
ตามไปร่วมสนุกตามกติกากันด่วนเลยค่ะ
www.facebook.com/SirinFC
คุณอาจจะเป็นผู้โชคดีก็ได้นะเออ ^^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ต.ค. 2556, 06:47:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ต.ค. 2556, 06:47:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 1475
<< ตอนที่ ๑๗ (ครึ่งแรก) | ตอนที่ ๑๘ (ครึ่งแรก) >> |

พันธุ์แตงกวา 9 ต.ค. 2556, 08:27:56 น.
หึงหรือหวงเคอะคุณหญ่ายย
หึงหรือหวงเคอะคุณหญ่ายย

ketza 9 ต.ค. 2556, 09:07:02 น.
คิรินทร์รีบรุกซะทีจิ เดี๋ยวไม่ทันคนอื่นเค๊าน๊าา อิอิ
คิรินทร์รีบรุกซะทีจิ เดี๋ยวไม่ทันคนอื่นเค๊าน๊าา อิอิ

ree 9 ต.ค. 2556, 10:12:54 น.
นายใหญ่รู้ตัวแล้ว แล้วหนูแพนจะรู้ตัวเมื่อไหร่
นายใหญ่รู้ตัวแล้ว แล้วหนูแพนจะรู้ตัวเมื่อไหร่

Sukhumvit66 9 ต.ค. 2556, 10:53:21 น.
เดี๋ยวคิรินทร์จะโดนทำร้ายใจหนักกว่านี้ไหมค่ะ
เดี๋ยวคิรินทร์จะโดนทำร้ายใจหนักกว่านี้ไหมค่ะ

konhin 9 ต.ค. 2556, 19:41:48 น.
โอ๊ะ ยอมรับแล้วสิ
โอ๊ะ ยอมรับแล้วสิ

จิรารัตน์ 9 ต.ค. 2556, 20:02:54 น.
อ๊ะ คิรินทร์รู้ตัวซะแล้ว
อ๊ะ คิรินทร์รู้ตัวซะแล้ว