Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้

นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ชีวิตที่เคลื่อนไหวไป

รถกระบะขนาดเล็กของไมค์วิ่งไปบนถนนลาดยางเก่าๆ ผ่านวิวสองฟากที่เป็นทุ่งบนดินสีแดงที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ไมค์คือชายฝรั่งที่ทักเขาตอนรอขึ้นเครื่องมาคอนแนลแลน เขามีห้องพักสำหรับแบ็คแพ็คเกอร์ใกล้กับเอเยอร์ร็อคแคมป์กราวด์ในยูลาร่าทาวน์ชิป
ลมสวนทางเสียดแทงเข้าไปในผิวหน้าขัดแย้งกับแดดอุ่นของเวลาสาย ถนนสายนี้ทอดตัวจากสนามบินไปชนกับเรดเซ็นเตอร์ไฮเวย์ พีรพงษ์มองไปไกลๆ จับสายตาไว้ที่ก้องหินสีแดงที่ผุดขึ้นมากลางพื้นราบเบื้องหน้า

“มิสเตอร์!” ไมค์ที่กำลังขับรถเอ่ยทัก
“ครับ” คนกำลังเหม่อมองสะดุ้งและหันกลับมาตอบ
“ผมแปลกใจจริงๆ ที่มีคนไทยแบบคุณมาที่นี่ แถมมาตามลำพัง” ฝ่ายนั้นเอ่ยด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงออสซี่ช้าๆ
“คุณเคยเจอคนไทยมาที่นี่ไหม?” พีรพงษ์ถาม
“เคยสิ แต่ถ้ามาพักที่โรงแรมผมก็แค่หนเดียว เป็นกรุ๊ปมากัน 8 คน พวกนักศึกษาน่ะ มาจากเมลเบิร์น” เจ้าบ้านบอก
“เหรอ?” พีรพงษ์คราง
“มาเมามายอยู่ที่รีสอร์ทกันเกือบทั้งทริป แต่ก็เป็นพวกอารมณ์ดี ไม่ค่อยเรื่องมากเหมือนพวกประเทศอื่น” ไมค์ว่าแล้วก็หัวเราะยิ้ม
“ผมจะไปที่นั่นยังไง? มีรถให้เช่ามั้ย?” พีรพงษ์ชี้ไปยังก้อนหินลูกใหญ่ที่เห็นอยู่เหมือนไม่ไกล
“เอเยอร์ร็อคน่ะเหรอ? ผมมีรถสองล้อให้เช่านะ” คนขับบอก
“แต่ถ้าต้องการไปดูพระอาทิตย์ตกอาจจะไปพร้อมพวกกรุ๊ปทัวร์ได้ เดี๋ยวผมเช็คให้”
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มกล่าว
....................

ห้องพักรวมแบบแยกชายหญิงราคาพอประมาณ พีรพงษ์โยนกระเป๋าขึ้นไปบนเตียงก่อนปีนตามขึ้นไป ไมค์บอกก่อนแล้วว่าในห้องมีผู้เข้าพักก่อนเขาอยู่สามคน เป็นวัยรุ่นมาจากดาร์วิน ตอนที่เข้าที่พักพวกนั้นออกไปเที่ยวที่โอลก๊าสหรือคาตาจูตา

หลังจากจัดแจงอาบน้ำให้สบายตัวแล้ว พีรพงษ์เลือกเดินสำรวจไปรอบๆ ที่พักและบริเวณใกล้ๆ แผนที่ในมือที่หยิบมาจากที่พักบอกชื่อถนนเส้นหลัก “ยูลาร่าไดฟว์” มีร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ บางทีเขาคงหาซิมมือถือใหม่ได้ที่นั่น

“ไทยซัง!” เสียงร้องดังมาจากบาร์ฝั่งตรงข้ามร้านมินิมาร์ที่พีรพงษ์แวะเข้าไปดูของ เป็นทากะที่ยกไม้ยกมือให้เห็น
“มาสิ...มาดื่มเบียร์กัน” เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นป้องปากร้องบอก
“มาสิไทยซัง” ยูมิช่วยชวน พีรพงษ์ที่ตอนแรกก็ลังเลอยู่เดินข้ามฟากถนนไปในที่สุด

ยังกลางวันเกินไปที่จะดื่มเบียร์ ชายหนุ่มจึงเพียงแต่ความฟากมาตามมารยาทเท่านั้น ถึงทากะจะชวนดื่มเขาก็ได้แต่ออกตัวว่ากำลังเดินสำรวจแถวนี้ เด็กหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นทั้งสองคนยกแก้วเบียร์ดื่มพลางชวนคุยไปด้วย แต่พีรพงษ์คุยด้วยซักพักก็ขอตัวไปต่อ

ทางเดินวนเป็นวงกลมในแผนที่ดูไม่น่าจะไกลนัก แต่พอได้เดินจริงๆ เขาก็รู้สึกว่ามันไกลเหมือนกัน กว่าจะกลับมาถึงที่พักได้ชายหนุ่มก็เดินไปกว่า 2 กิโลเมตร ไกลมากพอที่จะทำให้เหงื่อท่วม

ชายหนุ่มเจอไมค์ที่หน้าบาร์เล็กๆ ของเขา ไมค์กำลังคุยอยู่กับชาวผิวเข้มร่างเล็ก หัวฟูหยิกหยอย รูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายนั้นพีรพงษ์ดูออกว่าเป็นชาวอะบอริจิ้นที่มีการศึกษาระดับหนึ่ง เขาเหลือบมองก่อนจะเดินผ่านไป

“คนไทย” ไมค์เรียก
“ผมจะเอาของไปส่งที่หมู่บ้านของนายบาวากาตุมคนนี่ คุณอยากไปกับผมหรือเปล่า?” เจ้าของที่พักร่างใหญ่เอ่ยชวน ชายพื้นเมืองยิ้มยิงฟังกว้างเห็นฟันเหลืองเป็นคราบ
“เอาสิ... ขอผมเก็บของแป๊บนึงนะ” พีรพงษ์รีบบอก เขาเดินอย่างรวดเร็วไปยังห้องพักและรีบกลับมา ไมค์กับบากาวาตุมเอากระสอบใส่อาหารกับของใช้ขึ้นหลังรถเรียบร้อยแล้ว ชายอะบอริจิ้นนั่งหันหลังพิงกระจก เหยียดขาไปทางท้ายรถ

พีรพงษ์นั่งหน้าคู่ไปกับไมค์ อีกฝ่ายชวนสนทนาไปเรื่อยๆ นานๆ ครั้งที่ชายหนุ่มไม่เข้าใจประโยคที่อีกฝ่ายพูดก็จะขอคำอธิบายเสียทีนึง

“บากาวาตุมเป็นลูกจ้างที่ศูนย์วัฒนธรรมตรงฐานของอูยูรู เขาเป็นพวกอาร์น-อุง-อูน่ะ”ไมค์พยายามเล่าช้าๆ
“อาร์น-อุง-อู” พีรพงษ์พยายามออกเสียงตาม มันออกเสียงยากอยู่เหมือนกัน
“ใช่... นั่นแหละ เป็นสำเนียงท้องถิ่นหมายถึงชาวอะบอริจิ้นในบริเวณนี้” คำอธิบายมาจากสีหน้าเปื้อนยิ้มของไมค์
“เจ้าหน้าที่อุทยานจะทำงานร่วมกันระหว่างคนขาวกับคนดำ คนดำหมายถึงชาวอะบอริจิ้นไง” คนขับรถบอกต่อขณะที่เลี้ยวรถออกจากถนนสายหลักเข้าไปบนถนนลาดยางสายแคบๆ ที่มุ่งตรงไปยังก้อนหินยักษ์
“โฮ... มันใหญ่กว่าที่ตาเห็นอีกนะ” พีรพงษ์ครางเป็นภาษาไทย
“อะไรนะ?” ไมค์อุทาน
“อ๋อ... ผมหมายถึงมันดูใหญ่มากกว่าที่คิดไว้จริงๆ” พีรพงษ์แก้คำเป็นภาษาอังกฤษ
“เหมือนผมเลย ทีแรกผมก็คิดแบบนั้น” ชายร่างใหญ่พูดเสร็จก็หัวเราะเสียงดังลั่นรถ
“หมายความว่าไง?” ชายหนุ่มจากเมืองไทยถาม
“ผมหมายถึงตอนที่ผมมาที่นี่ใหม่ๆ ผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้” ไมค์ตอบ
“เมื่อก่อนผมอยู่ดาร์วิน แล้วก็ไปรู้จักกับชนพื้นเมืองที่นั่น สุดท้ายเลยได้หอบเงินมาลงทุนทำที่พักที่นี่”
“อืม... ฟังดูมีความสุขดีนะครับ” พีรพงษ์แสดงความเห็น
“แล้วนายล่ะคนไทย? ทำไมมาเสียไกลถึงนี่เลย”

คำถามนั้นตอบไม่ยาก แต่พีรพงษ์กลับรู้สึกว่ามันยากจะอธิบาย เขาเลยบอกว่าอยากมาที่ที่คนอื่นเขาไม่มากัน
ไมค์หัวเราะและบอกว่างั้นสองสามวันที่อยู่ที่นี่ เขาจะพาเพื่อนใหม่ชาวไทยคนนี้สัมผัสถึงความเป็นชาวอะบอริจิ้นที่แท้จริง
....................

บากาวาตุมเคาะกระจกหลังเบาๆ ตอนที่ชายผิวขาวชะลอรถตรงปากทางเข้าศูนย์วัฒนธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารเจ้าหน้าที่อุทยานด้วย มือไม้ของชาวอะบอริจิ้นวัยกลางคนพยายามบอกว่าไม่ให้ขับเข้าไปข้างในอีก

“เขาบอกให้ไปไหนเหรอ?” ชายหนุ่มถามคนขับรถหลังอีกฝ่ายออกรถไปต่อ
“ไปตาห์ลิงอุรู-ยึกอูนจุกอูน่ะ หมู่บ้านของบากาวาตุม อยู่ลึกเข้าไปหน่อย” ไมค์ตอบแข่งกับฝุ่นที่คุ้งขึ้นมา

พูดเสร็จไมค์ก็เอื้อมมือมาเปิดช่องเก็บของเอาแผนที่เล็กๆ ให้ บอกว่ามันมีอยู่ในแผนที่ พีรพงษ์ไล่สายตาหาบนแผนที่จนเจอว่าอยู่อีกฟากของภูเขาอูยูลู

รถวิ่งบดดินปนทรายบ่ายหน้าอ้อมไปอีกฟากของภูเขา เมื่อเข้าใกล้อาคารมากพอ พีรพงษ์เห็นผู้คนชาวอะบอริจิ้นกลุ่มใหญ่โบกไม้โบกมือมาทางพวกเขา พอรถจอดสนิทบากาวาตุมก็เรียกคนเหล่านั้นมาช่วยขนของ ไมค์กับพีรพงษ์ก็ช่วยขนของส่งต่อไปยังคนเหล่านั้น

ไมค์บอกว่าพวกนี้เป็นน้องชายกับลูกชายของบากาวาตุม คนหนุ่มรูปร่างสูงกำยำ ผมเผ้ายุ่งเหยิงช่วยกันยกกระสอบใส่ของขึ้นหลัง ส่วนเด็กเล็กๆ สามคนที่วิ่งตามไป ไมค์บอกว่าพวกนั้นเป็นลูกหลานของพวกเขา

บากาวาตุมเดินตามไป สักพักเขาก็หันกลับมาตะโกนเรียกไมค์ ชายฝรั่งตอบกลับไปในภาษาท้องถิ่นของคนพวกนั้น ก่อนจะหันมาคุยกับหนุ่มไทยที่ยืนงงอยู่ข้างๆ

“มาสิ บากาวาตุมเชิญพวกเราไปที่ชุมชนของพวกเขา” ไมค์เอ่ยด้วยความรู้สึกตื่นเต้นปนแปลกใจ
“จริงเหรอ?” ชายหนุ่มร้องถาม
“โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะ นายนี่โชคดีชะมัด โชคดีจริงๆ” ไมค์บอก เขาตะโกนตอบบากาวาตุมและเดินนำหน้าออกไป
....................

ที่พักของบากาวาตุมอยู่ห่างไปประมาณสองกิโลเมตร ทางเดินเท้าลัดเลาะไประหว่างซากพุ่มไม้และต้นไม้ไร้ใบที่เกิดจากการถูกไฟเผา ชายหนุ่มเคยอ่านเจอมาว่าชาวอะบอริจิ้นอยู่และเติบโตกับการใช้ไฟ พวกเขาเป็นนักเผาตัวยง ในเนื้อหาที่อ่านมานั้นอธิบายว่าคนพวกนี้เผาไฟเพื่อเร่งการเติบโตของหญ้าและชีวิตสัตว์ มันเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมและความเชื่อ

ตลอดทางที่เดินไป คนพวกนั้นเดินเท้าเปล่ากันอย่างรวดเร็ว ขณะที่เสื้อของไมค์ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ พีรพงษ์เองก็ไม่ต่างกัน แต่ชายหนุ่มรู้สึกมากกว่านั้นเมื่อเดินท่ามกลางแสงแดดแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนสติเลือนราง ภาพตรงหน้าเบลอ หนังตาหนักตกลงมาปิดการมองเห็น จังหวะก้าวเท้าของชายหนุ่มผู้มาจากเมืองไทยช้าลงเล็กน้อย ไมค์ทันหันมาเห็นตอนที่เขาเงียบเสียงไปและกำลังล้มคะมำมาข้างหน้า
พีรพงษ์ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องด้วยความตกใจของชายร่างใหญ่ที่เดินอยู่ข้างหน้า รวมถึงเสียงตะโกนโวกเวกหลังจากนั้น

ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาอีกครั้งในบ้านมุงสังกะสีที่ก่อผนังด้วยดินแข็งๆ อาการบีบรัดในหัวยังมีการออกแรงอยู่ สายตาพร่าแดดที่เขาจำได้เป็นสิ่งสุดท้ายกลับคืนมาเป็นปกติแล้ว

เสียงเด็กๆ ตะโกนอยู่ไม่ห่างไปมากนัก ไม่ช้าไมค์ก็มุดเข้ามาในบ้าน ตามมาด้วยบากาวาตุมและญาติของเขา

“ขอบคุณพระเจ้า นายไม่เป็นอะไรแล้ว” ไมค์เอามือทาบอกและถอนหายใจเฮือกใหญ่
พีรพงษ์กระพริบตาถี่ๆ มองหน้าคนที่เข้ามารายล้อมช้า
“ผมฝัน...”

......................
พยายามเขียนเรื่องนี้ให้จบ แต่ช่วงหลังที่เขียนอยู่มีพลังงานบางอย่างเปลี่ยนแปลงแนวคิดเดิมของเรื่อง ซึ่งมันจะมีผลต่อเนื้อหาที่ดำเนินมาทั้งหมด เลยต้องเขียนไปแก้ไขไป... ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะครับ



นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ต.ค. 2556, 20:30:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ต.ค. 2556, 20:30:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 972





<< ผืนทรายสีแดง   ความเข้าใจที่ไม่เข้าใจ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account