Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ความเข้าใจที่ไม่เข้าใจ
ไมค์เร่งขับรถออกจากบ้านพักของบากาวาตุม เจ้าของที่พักร่างใหญ่ผู้มาจากดาร์วินต้องกลับมาจัดการดูแลห้องพักช่วยภรรยาของเขา เด็กหนุ่มๆ จากดาร์วินจะกลับมาจากคาตาจูตาก่อนพลบค่ำ เขาต้องเตรียมปาร์ตี้บาบีคิวไว้รอท่า ส่วนลูกค้าอีกสองกรุ๊ปที่มีโปรแกรมเข้าพักเมื่อตอนบ่ายจองโปรอแกรมดินเนอร์ชมพระอาทิตย์ตกไว้กับภัตตาคารของโรงแรมแห่งหนึ่งในเขตเอเยอร์ รีสอร์ท
อากาศอบอ้าวข้างนอกลากลมร้อนเข้ามาในรถกระบะ พีรพงษ์ปรับเบาะลงนิดหน่อยให้ลมตีหน้าตรงๆ แรงๆ พลางคิดถึงความฝันที่เกิดขึ้น
....................
ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา พีรพงษ์ยืนอยู่บนเนินดิน ทรายละเอียดสีแดงถูกลมหมุนขนาดเล็กๆ หอบให้ลอยขึ้น ชายหนุ่มมองตามมันไปเรื่อยๆ ค่อยๆ มองจากที่มันนอนนิ่งบนพื้น สูงขึ้น สูงขึ้น สูงจนต้องแหงนหน้ามองมันลอยหายเข้าไปในก้อนเมฆ
ท้องฟ้าบนโลกต่างสถานที่ก็ต่างสีหรือเปล่านะ? พีรพงษ์คิด
ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ในวันที่ฤดูหนาวเปลี่ยนแปลงมาแทนฤดูฝน ท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนระบายเมฆเป็นเส้นเหมือนสีไม้ แต่ท้องฟ้าออสเตรเลียเป็นสีม่วง ม่วงอมชมพูอ่อนๆ คล้ายๆ ขอบฟ้าก่อนตะวันลับสายตา
พีรพงษ์มองก้อนเมฆบนฟ้าเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วราวกับโดนลมเป่าพัด จากนั้นฟ้าก็มืดมิด แล้วดวงดาวกระพริบพรายก็สว่างขึ้นทีละดวงๆ จนเต็มท้องฟ้าไปหมด แล้วดาวเหล่านั้นก็หมุนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว เช่นกันกับที่เขารู้สึกเหมือนจุดที่ยืนอยู่บนโลกหมุนเป็นวงกลมตาม
กองไฟสว่างวาบขึ้น ทีละมุม ทีละกอง จนที่สุดก็ล้อมเขาไว้ตรงกลางวงกลมของกองไฟ เสียงเคาะเกราะไม้ดังก็อกๆ ก้องไปก้องมาในอากาศ สะท้อนแนวต้นไม้ที่ล้อมอยู่นอกแนวกองไฟ ถึงตอนนี้พีรพงษ์เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีต้นไม้โตขึ้นมาบนทะเลทราย
เสียงเกราะไม้ดังรัวถี่ขึ้นๆ หัวใจของพีรพงษ์เต้นตามจนทันจังหวะเคาะของมัน
ชายพื้นเมืองอะบอริจิ้นร่างอ้วนใหญ่ยืนอยู่เบื้องหลังกองไฟ ลวดลายวงกลมซ้อนๆ กันและก้นหอยสีขาวบนตัวของเขาต้องแสงไฟที่ลุกสว่าง
เขาหยุดมือจากการลากกิ่งไม้ในมือ เส้นที่เขาลากส่องแสงสว่างเรืองขึ้นให้เห็น วงกลมที่กระจัดกระจายบนพื้น สัตว์ประหลาดและงูที่ผิดสัดส่วน แสงไฟจากกองเพลิงระริกสั่นในลมที่พัดผ่านมาทำให้ดูคล้ายสัตว์และงูบนพื้นเคลื่อนไหว
ชายผู้นั้นหยุดนิ่ง เงยหน้าที่วาดลวดลายน่ากลัวเกรงไว้บนหน้าผากและสองข้างแก้ม ยิ้มยิงฟันสีคล้ำแล้วหัวเราะเบาๆ
ถ้อยคำพูดจากปากของชายผู้นั้นดังขึ้นในความเงียบงันของบรรยากาศ
“นินติริงอูล่า คามิล่า จามูล่า จานาลางอูรู
วิรูราล่า นินติริงอู มูนูลา วาตาร์กูรินจาวียา
นินติริงอูล่า จิลปิ มูนู ปามป้า นูร์อาริจา จูตานกูรู
มูนูล่า ราวางคู จูคูร์พ้า คูตูตุงกา มูนู กาตางก้า คายีล์กู
งูล่า ยากากูล่า นิติ-งานอาน่า นินติ
เมื่อเราได้เรียนรู้จากย่าจากยายของเรา
เรียนรู้จากปู่จากตาของเรา
และจากพวกผู้คนของเขา
เราเรียนรู้มันอย่างดีและไม่มีวันเลือนลืม
เรียนรู้จากผู้คนที่ย่ำเดินไว้เมื่ออดีตกาล
และเก็บรักษาสิ่งนั้นไว้ในจิตใจและวิญญาณของเรา
เรารับรู้เรื่องราวเหล่านี้ เรื่องราวบนแผ่นดินนี้
เราคือตัวตนของเรา คือความรู้ของเรา”
น่าแปลกประหลาดที่พีรพงษ์เข้าใจความหมาย หรืออย่างน้อยก็รู้สึกว่ามันหมายความเช่นนี้
พีรพงษ์นั่งลงขัดสมาธิกับพื้น รอบตัวคือพื้นทรายแต้มสีราวกับภาพวาดบนแผ่นพับที่สนามบิน เขาฟังคำพูดของอีกฝ่ายอย่างกับเป็นบทสวดหรือบทเพลง แต่มันมีจังหวะแบบแปลกๆ
ดาวบนฟ้าเลือนแสง ที่ขอบฟ้าสว่างเรือง แสงสีส้มบาดตาของเช้าวันใหม่สาดจากขอบฟ้าแล้วฉับพลันกลางคืนก็เปลี่ยนเป็นกลางวัน แล้วเวลาก็เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นกลางคืนอีกครั้ง
“คุณเป็นใคร?” พีรพงษ์ถามด้วยสงสัย
“เราคือเรา เหมือนที่ท่านคือท่าน” ชายผู้นั้นตอบ
“เราเป็นเพียงผู้เยี่ยมเยือนสถานที่นี้ เราเป็นเพียงผู้ก้าวผ่าน เจตจำนงของเราที่นี่คือการสังเกต เพื่อจะเรียนรู้ เพื่อจะเติบโต เพื่อจะรัก... และแล้วเราก็กลับไป” ชายผู้นั้นขยับปากพูด ถ้อยคำพุ่งตรงเข้าถึงความเข้าใจของสมอง
“หมายถึง?” พีรพงษ์ถาม
“หมายถึงชีวิตเราไม่ได้หยุดอยู่กับแต่เฉพาะวันนี้” ชายผู้นั้นตอบ โคลงศีรษะที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงไปมา แต่สายตายังแข็งค้างอยู่ที่ชายหนุ่ม
“ปล่อยสายตาจับจ้องที่ดวงตะวันและเธอจะไม่เห็นเงา” ชายท้องถิ่นผู้นั้นยังคงพูดต่อ
“"คนที่สูญเสีย... ความฝัน... จะหายไป” พูดจบชายผู้นั้นก็ยิ้มเห็นฟันสีเหลืองเกรอะของเขา
“เข้าใจใช่ไหม?” ชายผู้นั้นถาม พีรพงษ์รู้ว่าคำพูดนั้นเป็นภาษาอะบอริจิ้น แต่เขาก็ฟังออกอย่างกับที่เป็นภาษาไทย นั่นคงเพราะเป็นความฝัน
"คนที่สูญเสีย... ความฝัน... จะหายไป" พีรพงษ์ทวนแต่ใจยังสงสัยว่ามันหมายถึงอะไร
“เข้าใจใช่ไหม?” ชายผู้นั้นยังคงถามด้วยคำถามเดิม
“เข้าใจ??” ชายหนุ่มถามตัวเองในใจ
“ผมไม่เข้าใจ” นั่นคือสิ่งที่พีรพงษ์ตอบชายแปลกหน้าผู้นั้น
....................
“อาร์ ยู โอเค้?” ไมค์ถาม สองมือของเขาบังคับพวงมาลัยให้รถประคองตัวตรงทางหลังกระโดดข้ามหลุมเล็กหลุมน้อยมา
“ครับ ดีขึ้นแล้ว”
“แดดที่อูยูรูตอนบ่ายก็อย่างนี้แหละ ร้อนจนเป็นลม ไอ้ผมก็ลืมไปว่านายเพิ่งเดินทางมาหมาดๆ อยู่ๆ มาเดินกลางแดด” ไมค์กล่าวแบบโทษตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดมากเลยไมค์ อย่างน้อยผมก็ยังไม่ตายนะ” ชายหนุ่มว่าแล้วก็หัวเราะ
“ว่าแต่ที่ผมฝันนี่มันหมายถึงอะไรกันหนอ?” พีรพงษ์เอ่ยคำพูดลอยๆ
“แล้วในฝันนายเห็นใครมั่งล่ะ?”
“ผมเห็นตัวเองยืนอยู่กลางเนินทราย แล้วก็เห็นผู้ชายอะบอริจิ้นยืนอยู่หลังกองไฟ”
“ผู้ชายตัวใหญ่ บนตัวเขาวาดลวดลายด้วยสีสันแบบอะบอริจิ้นที่ผมเคยเห็น” ชายหนุ่มอธิบาย
“บาตา-นิติบาตา”
“บรรพบุรุษของอะบอริจิ้นแห่งวาตาร์รู นายคงเคยเห็นรูปเขามาก่อน ไม่งั้นคงไม่ฝันเห็นแบบนั้น” ไมค์ว่า
“พูดตามตรงเลยนะว่าผมไม่รู้จัก แต่ก็เป็นไปได้ที่ผมจะเคยผ่านตารูปของเขาตอนที่หาข้อมูลก่อนมาที่นี่”
“เดี๋ยวมีโอกาสผมจะชี้รูปเขาให้คุณดู” ไมค์ว่า
“คุณว่าเขาชื่ออะไรนะไมค์?” พีรพงษ์ถาม
“บาตา-นิติบาตา”
“บาตา-นิติ-บาตา” ชายหนุ่มทวนชื่อช้าๆ
....................
อากาศตอนเย็นบนแผ่นดินทะเลทรายออสเตรเลียไม่เย็นอย่างที่อยาก มันออกจะอบอ้าวเสียด้วยซ้ำ ไมค์กับภรรยาประจำการที่บาร์เครื่องดื่ม พวกเด็กหนุ่มๆ ส่งเสียงดังแข่งกับเพลงดิสโก้อยู่บริเวณริมสระน้ำซึ่งทำเป็นลานบาบีคิว เด็กๆ ลูกของไมค์กับเพื่อนบ้านได้รับอนุญาตให้อยู่ดึกได้ทุกคืนวันศุกร์แบบนี้ ดังนั้นสระว่ายน้ำจึงมีแต่ความวุ่นวาย
พีรพงษ์นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการฟรี 1 ชั่วโมง
“ทำไมไนท์หายเงียบไปเลย?” ข้อความตัดพ้อของหญิงสาวจากเมืองไทยทำให้เขารู้สึกผิด
“ขอโทษที” เขาพิมพ์ตอบ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เธอถาม
ชายหนุ่มรู้สึกดีที่สรัญญาเอ่ยถามเหมือนที่เธอเคยถามก่อนหน้านี้ ถ้าไม่นับตอนที่มีปัญหากันก่อนหน้าที่จะเดินทางมา พีรพงษ์รู้ว่านี่เป็นผู้หญิงคนเดียวในช่วงหลายปีที่เขาได้ใกล้ชิดด้วย
“เล่าให้ฟังบ้างสิคะ”
“ผมมาถึงสนามบินซิดนี่ย์เมื่อเช้า แล้วก็นั่งเครื่องต่อมาที่อูยูรู ผมโชคดีเจอไมค์ เขาเป็นเจ้าของที่พักแบบพวกแบ็คแพ็คเกอร์ที่นี่ด้วย ชื่อเอเยอร์ร็อคแอคคอมโมเดต ผมเลยไม่ต้องนั่งรถโค้ชของสนามบิน” ชายหนุ่มพิมพ์รัว
“ตอนบ่ายผมไปอูยูรูมา ใหญ่โตมโหฬารเลยล่ะจูน”
“สวยมั้ย?” คนที่เมืองไทยถาม
“สวยครับ” เขาตอบ ทั้งที่ตัวเองยังไม่มีเวลาชื่นชมความงามสักหน่อย
“อยากไปดูด้วยคนจัง” สรัญญาพิมพ์ประโยคลอยๆ
“ครับ” เขาตอบ
“ว่าแต่ได้ข่าว .... แล้วหรือยัง?” เธอพิมพ์ถามมา
“ข่าว??? ข่าวอะไรเหรอ?” พีรพงษ์สงสัย
“คนที่ไนท์ไปตามหาไง”
“เกมเหรอ? ยังเลย ยังไม่มีเมล์ตอบกลับมาเลย” เขาตอบ
“หวังว่าจะติดต่อเธอได้เร็วๆ นี้นะคะ เอาใจช่วย” หญิงสาวอวยพร
“ขอบคุณครับ”
“จูนจะออกจากที่ทำงานแล้ว ไว้คุยกันนะคะ”
“แล้วอย่าลืมถ่ายรูปส่งกลับมาให้จูนดูด้วยนะ” เธอเตือน
“ได้ครับ”
หลังจากเลิกสนทนากับหญิงสาว พีรพงษ์เช็คเมล์อีกครั้งแต่ยังไม่มีเมล์ตอบกลับมา เขาเลยส่งเมล์หาหญิงสาวคนรักเก่าอีกครั้งว่าเขาอาจจะโทรหา เพราะได้เบอร์เธอมาแล้วจากเพื่อนเก่าที่ออฟฟิศ โดยไม่ลืมบอกว่าคือคนที่บังเอิญเจอเธอที่ซิดนี่ย์
พีรพงษ์บอกว่าอีกสองวันเขาจะกลับจากอูยูรู โดยจะรอเมล์ตอบกลับว่าเกมยังอยากเจอกันหรือเปล่า ถ้าไม่ตอบกลับมาเขาจะโทรหาเธอเพียงแค่วันกลับไปซิดนี่ย์วันนั้นวันเดียวเท่านั้น
เสียงเพลงดังลั่นจากบาร์ และพลุแบบถือในมือเด็กๆ เชื้อเชิญให้พีรพงษ์เดินเข้าไปร่วมบรรยากาศ เขาได้เครื่องดื่มเบาๆ ผสมแอลกอฮอล์อย่างอ่อนๆ จากฝีมือภรรยาของไมค์
เด็กๆ กระโดดโลดเต้นตามประสา พอถามว่าพวกคนหนุ่มๆ พักที่นี่ทั้งหมดด้วยหรือ ไมค์ก็บอกว่าหนุ่มสาวครึ่งหนึ่งพักอยู่ห้องพักรวมของศูนย์พักเยาวชนที่อยู่เลยไปสองตรอก พวกเขาแวะมาว่ายน้ำที่นี่ด้วย
ชายหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งริมสนาม ดูเด็กๆ วิ่งเล่นกันไปรอบๆ สระว่ายน้ำ
“เออนี่ เมียผมเขาว่าพวกญี่ปุ่นแวะมาหานายด้วยนะ” ไมค์ตะโกนบอก
“ครับ”
“พวกนั้นทิ้งโน้ตไว้ให้ที่บอร์ดแน่ะ” ชายร่างใหญ่บอกขณะที่ก้มหน้าผสมเครื่องดื่มสำหรับเด็กหนุ่มๆ
พีรพงษ์เลยลุกขึ้นเดินไปยังบอร์ดติดประกาศ เขาเลือกมองหาแผ่นกระดาษโน้ตที่ลงชื่อของคนญี่ปุ่นไว้ ไม่ช้าเขาก็เจอ
..........
อากาศอบอ้าวข้างนอกลากลมร้อนเข้ามาในรถกระบะ พีรพงษ์ปรับเบาะลงนิดหน่อยให้ลมตีหน้าตรงๆ แรงๆ พลางคิดถึงความฝันที่เกิดขึ้น
....................
ทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา พีรพงษ์ยืนอยู่บนเนินดิน ทรายละเอียดสีแดงถูกลมหมุนขนาดเล็กๆ หอบให้ลอยขึ้น ชายหนุ่มมองตามมันไปเรื่อยๆ ค่อยๆ มองจากที่มันนอนนิ่งบนพื้น สูงขึ้น สูงขึ้น สูงจนต้องแหงนหน้ามองมันลอยหายเข้าไปในก้อนเมฆ
ท้องฟ้าบนโลกต่างสถานที่ก็ต่างสีหรือเปล่านะ? พีรพงษ์คิด
ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ในวันที่ฤดูหนาวเปลี่ยนแปลงมาแทนฤดูฝน ท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนระบายเมฆเป็นเส้นเหมือนสีไม้ แต่ท้องฟ้าออสเตรเลียเป็นสีม่วง ม่วงอมชมพูอ่อนๆ คล้ายๆ ขอบฟ้าก่อนตะวันลับสายตา
พีรพงษ์มองก้อนเมฆบนฟ้าเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วราวกับโดนลมเป่าพัด จากนั้นฟ้าก็มืดมิด แล้วดวงดาวกระพริบพรายก็สว่างขึ้นทีละดวงๆ จนเต็มท้องฟ้าไปหมด แล้วดาวเหล่านั้นก็หมุนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็ว เช่นกันกับที่เขารู้สึกเหมือนจุดที่ยืนอยู่บนโลกหมุนเป็นวงกลมตาม
กองไฟสว่างวาบขึ้น ทีละมุม ทีละกอง จนที่สุดก็ล้อมเขาไว้ตรงกลางวงกลมของกองไฟ เสียงเคาะเกราะไม้ดังก็อกๆ ก้องไปก้องมาในอากาศ สะท้อนแนวต้นไม้ที่ล้อมอยู่นอกแนวกองไฟ ถึงตอนนี้พีรพงษ์เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีต้นไม้โตขึ้นมาบนทะเลทราย
เสียงเกราะไม้ดังรัวถี่ขึ้นๆ หัวใจของพีรพงษ์เต้นตามจนทันจังหวะเคาะของมัน
ชายพื้นเมืองอะบอริจิ้นร่างอ้วนใหญ่ยืนอยู่เบื้องหลังกองไฟ ลวดลายวงกลมซ้อนๆ กันและก้นหอยสีขาวบนตัวของเขาต้องแสงไฟที่ลุกสว่าง
เขาหยุดมือจากการลากกิ่งไม้ในมือ เส้นที่เขาลากส่องแสงสว่างเรืองขึ้นให้เห็น วงกลมที่กระจัดกระจายบนพื้น สัตว์ประหลาดและงูที่ผิดสัดส่วน แสงไฟจากกองเพลิงระริกสั่นในลมที่พัดผ่านมาทำให้ดูคล้ายสัตว์และงูบนพื้นเคลื่อนไหว
ชายผู้นั้นหยุดนิ่ง เงยหน้าที่วาดลวดลายน่ากลัวเกรงไว้บนหน้าผากและสองข้างแก้ม ยิ้มยิงฟันสีคล้ำแล้วหัวเราะเบาๆ
ถ้อยคำพูดจากปากของชายผู้นั้นดังขึ้นในความเงียบงันของบรรยากาศ
“นินติริงอูล่า คามิล่า จามูล่า จานาลางอูรู
วิรูราล่า นินติริงอู มูนูลา วาตาร์กูรินจาวียา
นินติริงอูล่า จิลปิ มูนู ปามป้า นูร์อาริจา จูตานกูรู
มูนูล่า ราวางคู จูคูร์พ้า คูตูตุงกา มูนู กาตางก้า คายีล์กู
งูล่า ยากากูล่า นิติ-งานอาน่า นินติ
เมื่อเราได้เรียนรู้จากย่าจากยายของเรา
เรียนรู้จากปู่จากตาของเรา
และจากพวกผู้คนของเขา
เราเรียนรู้มันอย่างดีและไม่มีวันเลือนลืม
เรียนรู้จากผู้คนที่ย่ำเดินไว้เมื่ออดีตกาล
และเก็บรักษาสิ่งนั้นไว้ในจิตใจและวิญญาณของเรา
เรารับรู้เรื่องราวเหล่านี้ เรื่องราวบนแผ่นดินนี้
เราคือตัวตนของเรา คือความรู้ของเรา”
น่าแปลกประหลาดที่พีรพงษ์เข้าใจความหมาย หรืออย่างน้อยก็รู้สึกว่ามันหมายความเช่นนี้
พีรพงษ์นั่งลงขัดสมาธิกับพื้น รอบตัวคือพื้นทรายแต้มสีราวกับภาพวาดบนแผ่นพับที่สนามบิน เขาฟังคำพูดของอีกฝ่ายอย่างกับเป็นบทสวดหรือบทเพลง แต่มันมีจังหวะแบบแปลกๆ
ดาวบนฟ้าเลือนแสง ที่ขอบฟ้าสว่างเรือง แสงสีส้มบาดตาของเช้าวันใหม่สาดจากขอบฟ้าแล้วฉับพลันกลางคืนก็เปลี่ยนเป็นกลางวัน แล้วเวลาก็เคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นกลางคืนอีกครั้ง
“คุณเป็นใคร?” พีรพงษ์ถามด้วยสงสัย
“เราคือเรา เหมือนที่ท่านคือท่าน” ชายผู้นั้นตอบ
“เราเป็นเพียงผู้เยี่ยมเยือนสถานที่นี้ เราเป็นเพียงผู้ก้าวผ่าน เจตจำนงของเราที่นี่คือการสังเกต เพื่อจะเรียนรู้ เพื่อจะเติบโต เพื่อจะรัก... และแล้วเราก็กลับไป” ชายผู้นั้นขยับปากพูด ถ้อยคำพุ่งตรงเข้าถึงความเข้าใจของสมอง
“หมายถึง?” พีรพงษ์ถาม
“หมายถึงชีวิตเราไม่ได้หยุดอยู่กับแต่เฉพาะวันนี้” ชายผู้นั้นตอบ โคลงศีรษะที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงไปมา แต่สายตายังแข็งค้างอยู่ที่ชายหนุ่ม
“ปล่อยสายตาจับจ้องที่ดวงตะวันและเธอจะไม่เห็นเงา” ชายท้องถิ่นผู้นั้นยังคงพูดต่อ
“"คนที่สูญเสีย... ความฝัน... จะหายไป” พูดจบชายผู้นั้นก็ยิ้มเห็นฟันสีเหลืองเกรอะของเขา
“เข้าใจใช่ไหม?” ชายผู้นั้นถาม พีรพงษ์รู้ว่าคำพูดนั้นเป็นภาษาอะบอริจิ้น แต่เขาก็ฟังออกอย่างกับที่เป็นภาษาไทย นั่นคงเพราะเป็นความฝัน
"คนที่สูญเสีย... ความฝัน... จะหายไป" พีรพงษ์ทวนแต่ใจยังสงสัยว่ามันหมายถึงอะไร
“เข้าใจใช่ไหม?” ชายผู้นั้นยังคงถามด้วยคำถามเดิม
“เข้าใจ??” ชายหนุ่มถามตัวเองในใจ
“ผมไม่เข้าใจ” นั่นคือสิ่งที่พีรพงษ์ตอบชายแปลกหน้าผู้นั้น
....................
“อาร์ ยู โอเค้?” ไมค์ถาม สองมือของเขาบังคับพวงมาลัยให้รถประคองตัวตรงทางหลังกระโดดข้ามหลุมเล็กหลุมน้อยมา
“ครับ ดีขึ้นแล้ว”
“แดดที่อูยูรูตอนบ่ายก็อย่างนี้แหละ ร้อนจนเป็นลม ไอ้ผมก็ลืมไปว่านายเพิ่งเดินทางมาหมาดๆ อยู่ๆ มาเดินกลางแดด” ไมค์กล่าวแบบโทษตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอก อย่าคิดมากเลยไมค์ อย่างน้อยผมก็ยังไม่ตายนะ” ชายหนุ่มว่าแล้วก็หัวเราะ
“ว่าแต่ที่ผมฝันนี่มันหมายถึงอะไรกันหนอ?” พีรพงษ์เอ่ยคำพูดลอยๆ
“แล้วในฝันนายเห็นใครมั่งล่ะ?”
“ผมเห็นตัวเองยืนอยู่กลางเนินทราย แล้วก็เห็นผู้ชายอะบอริจิ้นยืนอยู่หลังกองไฟ”
“ผู้ชายตัวใหญ่ บนตัวเขาวาดลวดลายด้วยสีสันแบบอะบอริจิ้นที่ผมเคยเห็น” ชายหนุ่มอธิบาย
“บาตา-นิติบาตา”
“บรรพบุรุษของอะบอริจิ้นแห่งวาตาร์รู นายคงเคยเห็นรูปเขามาก่อน ไม่งั้นคงไม่ฝันเห็นแบบนั้น” ไมค์ว่า
“พูดตามตรงเลยนะว่าผมไม่รู้จัก แต่ก็เป็นไปได้ที่ผมจะเคยผ่านตารูปของเขาตอนที่หาข้อมูลก่อนมาที่นี่”
“เดี๋ยวมีโอกาสผมจะชี้รูปเขาให้คุณดู” ไมค์ว่า
“คุณว่าเขาชื่ออะไรนะไมค์?” พีรพงษ์ถาม
“บาตา-นิติบาตา”
“บาตา-นิติ-บาตา” ชายหนุ่มทวนชื่อช้าๆ
....................
อากาศตอนเย็นบนแผ่นดินทะเลทรายออสเตรเลียไม่เย็นอย่างที่อยาก มันออกจะอบอ้าวเสียด้วยซ้ำ ไมค์กับภรรยาประจำการที่บาร์เครื่องดื่ม พวกเด็กหนุ่มๆ ส่งเสียงดังแข่งกับเพลงดิสโก้อยู่บริเวณริมสระน้ำซึ่งทำเป็นลานบาบีคิว เด็กๆ ลูกของไมค์กับเพื่อนบ้านได้รับอนุญาตให้อยู่ดึกได้ทุกคืนวันศุกร์แบบนี้ ดังนั้นสระว่ายน้ำจึงมีแต่ความวุ่นวาย
พีรพงษ์นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการฟรี 1 ชั่วโมง
“ทำไมไนท์หายเงียบไปเลย?” ข้อความตัดพ้อของหญิงสาวจากเมืองไทยทำให้เขารู้สึกผิด
“ขอโทษที” เขาพิมพ์ตอบ
“เป็นอย่างไรบ้าง?” เธอถาม
ชายหนุ่มรู้สึกดีที่สรัญญาเอ่ยถามเหมือนที่เธอเคยถามก่อนหน้านี้ ถ้าไม่นับตอนที่มีปัญหากันก่อนหน้าที่จะเดินทางมา พีรพงษ์รู้ว่านี่เป็นผู้หญิงคนเดียวในช่วงหลายปีที่เขาได้ใกล้ชิดด้วย
“เล่าให้ฟังบ้างสิคะ”
“ผมมาถึงสนามบินซิดนี่ย์เมื่อเช้า แล้วก็นั่งเครื่องต่อมาที่อูยูรู ผมโชคดีเจอไมค์ เขาเป็นเจ้าของที่พักแบบพวกแบ็คแพ็คเกอร์ที่นี่ด้วย ชื่อเอเยอร์ร็อคแอคคอมโมเดต ผมเลยไม่ต้องนั่งรถโค้ชของสนามบิน” ชายหนุ่มพิมพ์รัว
“ตอนบ่ายผมไปอูยูรูมา ใหญ่โตมโหฬารเลยล่ะจูน”
“สวยมั้ย?” คนที่เมืองไทยถาม
“สวยครับ” เขาตอบ ทั้งที่ตัวเองยังไม่มีเวลาชื่นชมความงามสักหน่อย
“อยากไปดูด้วยคนจัง” สรัญญาพิมพ์ประโยคลอยๆ
“ครับ” เขาตอบ
“ว่าแต่ได้ข่าว .... แล้วหรือยัง?” เธอพิมพ์ถามมา
“ข่าว??? ข่าวอะไรเหรอ?” พีรพงษ์สงสัย
“คนที่ไนท์ไปตามหาไง”
“เกมเหรอ? ยังเลย ยังไม่มีเมล์ตอบกลับมาเลย” เขาตอบ
“หวังว่าจะติดต่อเธอได้เร็วๆ นี้นะคะ เอาใจช่วย” หญิงสาวอวยพร
“ขอบคุณครับ”
“จูนจะออกจากที่ทำงานแล้ว ไว้คุยกันนะคะ”
“แล้วอย่าลืมถ่ายรูปส่งกลับมาให้จูนดูด้วยนะ” เธอเตือน
“ได้ครับ”
หลังจากเลิกสนทนากับหญิงสาว พีรพงษ์เช็คเมล์อีกครั้งแต่ยังไม่มีเมล์ตอบกลับมา เขาเลยส่งเมล์หาหญิงสาวคนรักเก่าอีกครั้งว่าเขาอาจจะโทรหา เพราะได้เบอร์เธอมาแล้วจากเพื่อนเก่าที่ออฟฟิศ โดยไม่ลืมบอกว่าคือคนที่บังเอิญเจอเธอที่ซิดนี่ย์
พีรพงษ์บอกว่าอีกสองวันเขาจะกลับจากอูยูรู โดยจะรอเมล์ตอบกลับว่าเกมยังอยากเจอกันหรือเปล่า ถ้าไม่ตอบกลับมาเขาจะโทรหาเธอเพียงแค่วันกลับไปซิดนี่ย์วันนั้นวันเดียวเท่านั้น
เสียงเพลงดังลั่นจากบาร์ และพลุแบบถือในมือเด็กๆ เชื้อเชิญให้พีรพงษ์เดินเข้าไปร่วมบรรยากาศ เขาได้เครื่องดื่มเบาๆ ผสมแอลกอฮอล์อย่างอ่อนๆ จากฝีมือภรรยาของไมค์
เด็กๆ กระโดดโลดเต้นตามประสา พอถามว่าพวกคนหนุ่มๆ พักที่นี่ทั้งหมดด้วยหรือ ไมค์ก็บอกว่าหนุ่มสาวครึ่งหนึ่งพักอยู่ห้องพักรวมของศูนย์พักเยาวชนที่อยู่เลยไปสองตรอก พวกเขาแวะมาว่ายน้ำที่นี่ด้วย
ชายหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งริมสนาม ดูเด็กๆ วิ่งเล่นกันไปรอบๆ สระว่ายน้ำ
“เออนี่ เมียผมเขาว่าพวกญี่ปุ่นแวะมาหานายด้วยนะ” ไมค์ตะโกนบอก
“ครับ”
“พวกนั้นทิ้งโน้ตไว้ให้ที่บอร์ดแน่ะ” ชายร่างใหญ่บอกขณะที่ก้มหน้าผสมเครื่องดื่มสำหรับเด็กหนุ่มๆ
พีรพงษ์เลยลุกขึ้นเดินไปยังบอร์ดติดประกาศ เขาเลือกมองหาแผ่นกระดาษโน้ตที่ลงชื่อของคนญี่ปุ่นไว้ ไม่ช้าเขาก็เจอ
..........

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ต.ค. 2556, 14:03:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ต.ค. 2556, 14:03:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 994
<< ชีวิตที่เคลื่อนไหวไป | อูยูรู เบส วอล์ก(1) >> |