ยามเมื่อลมห่มฟ้า...มะนิลา
'ฟิลิปปินส์' ประเทศหมู่เกาะที่พายุลูกแล้วลูกเล่าพัดผ่านสร้างความเสียหาย
แต่คนยังคงยืนหยัดต่อสู้ได้ทุกครั้ง
เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาที่มีอุดมการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนร่วมชาติ
โดยไม่ระย่อต่ออุปสรรคที่เข้ามา


'ลิปดา' เป็นเหมือนสายลมแห่งความหวัง เธอมีความหวังและเชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ลงมือทำ
แต่สายลมนี้ก็แห้งผาก รอลมชุ่มชื้นพัดผ่านมาเสียที


กระทั่งได้พบใครคนหนึ่งเหมือนฝัน
'รัญชน์' ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตดังสายลมซึ่งไม่เคยหยุดนิ่งจากเมืองไทย
เขานำพาความเย็นชื่น หอบเอาความอบอุ่นมาหลอมรวมกับเธอ


แต่กว่าสายลมสองสายจะพัดมารวมภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ก็ต้องรอวันพายุจางไปจากมะนิลาเสียที

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒ + ชวนเล่นเกมลุ้นหนังสือค่ะ



สถานที่เลี้ยงต้อนรับค่ำคืนนี้ถูกใจนักธุรกิจหนุ่มชาวไทยเป็นพิเศษ ทันทีที่เปิดประตูกระจกทึบของร้าน '90's Nightclub' เข้ามาพบกับชุดโซฟาโค้งครึ่งวงกลมที่มีโต๊ะกลมตั้งเข้าชุดกันหันหน้าไปทางเวที หอมกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศอวลภายในร้านซึ่งปรับอุณหภูมิเย็นฉ่ำ เหมาะแก่การมาพักผ่อนหลังการเดินทางมาทำงานเช่นนี้จริงๆ

พนักงานต้อนรับเดินนำนายลีโอ...เพื่อนนักธุรกิจของพี่ชายเขาและเป็นผู้อาสาหาลู่ทางให้มาขยายธุรกิจที่ฟิลิปปินส์ ไปยังชุดโซฟาที่นั่งแถวสองจากกึ่งกลางเวที รัญชน์มองขึ้นไปก็เห็นนักร้องสาวกำลังหันหลังเจรจาบางอย่างกับนักดนตรี หลังเสียงเพลงล่าสุดเพิ่งจบไปตอนพวกเขาเปิดประตูเข้ามา

"เพลงสุดท้ายของฉันในค่ำคืนนี้นะคะ" เสียงหวานเอ่ยผ่านหูไปด้วยภาษาที่ชาวต่างชาติไม่เข้าใจ

ชายหนุ่มสั่งเครื่องดื่มกับบริกร ก่อนจะเอ่ยร่ำลากับเพื่อนพี่ชายที่ไปรับตนจากสนามบินไปส่งที่โรงแรม แล้วยังช่วยเลือกสถานที่พักผ่อนตามคำขอแห่งนี้ให้ ก่อนอีกฝ่ายจะขอตัวกลับก่อน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพูดคุยหาลู่ทางเปิดสาขาบริษัทด้านการเกษตรกันจริงจังพรุ่งนี้อีกที

เสียงเกากีตาร์เบาราวเสียงลำธารน้ำไหลเอื่อยผะแผ่วกระซิบอยู่ริมหู จุดรอยยิ้มบางให้คนฟังที่นั่งไขว่ห้าง มือหมุนแก้วคนไวน์พลางสูดกลิ่นหอมหวานอมเปรี้ยวของมันอย่างครึ้มใจ

Starry, starry night
Paint your palette blue and gray
Look out on a summer's day
With eyes that know the darkness in my soul

เพียงท่อนแรกที่เสียงกังวานใสขับขานกระซิบ รัญชน์ก็ต้องเคลื่อนสายตาเพ่งมองนักร้องสาวบนเวที เขาแทบลืมหายใจยามรอฟังเสียงที่ทำให้ตนขนลุกเกรียวเปล่งเสียงร้องท่อนต่อไป ราวกับมีผีเสื้อนับร้อยตัวกระพือปีกอยู่ในช่องท้องเขาให้หวามไหวยามได้ฟังเสียงเธอ

Shadows on the hills
Sketch the trees and the daffodils
Catch the breeze and the winter chills
In colors on the snowy linen land

ร่างระหงในชุดเดรสรัดรูปแขนกุดสีแดงเพลิงรับกับลิปสติกสีเดียวกัน คอเสื้อสี่เหลี่ยมคว้านลึกลงมาถึงเนินอกพอให้ใจคนมองสั่นไหว ถุงน่องสีดำเพิ่มความน่าค้นหาในตัวเจ้าหล่อน เมื่อปลายนิ้วขยับเกากีตาร์โปร่งที่สะพายบนไหล่บอบบางแต่ละที ภาพนั้นก็ช่างเย้ายวนยิ่งนัก

Now I understand
What you tried to say to me
And how you suffered for your sanity
And how you tried to set them free

They would not listen, they did not know how
Perhaps they'll listen now**

บ้าฉิบ! เขาอยากได้ตัวเจ้าหล่อน...ตอนนี้...เดี๋ยวนี้เสียด้วยซี ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาสิบกว่าปีแล้ว หรือถึงเคยเกิดขึ้นในอดีต มันก็ไม่โหมกระหน่ำรุนแรงเช่นนี้มาก่อนเลย

นายลีโอ เจ้าถิ่นที่นี่ก็กลับไปแล้วด้วย เขาไม่รู้ธรรมเนียมเสียด้วยว่าในไนต์คลับแห่งนี้จะมีบริการเสริมหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ได้พูดคุย ทำความรู้จักกับเธอคืนนี้ เขาคงกลับไปนอนตาค้างที่โรงแรม แล้วก็เสียดายเป็นบ้าเป็นหลัง ซึ่งนั่นไม่ใช่วิสัยของเขาเลย และรัญชน์จะไม่ยอมให้ตนเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นแน่

ชายหนุ่มยกนิ้วเรียกบริกรที่อยู่ไม่ไกล เรียกหาผู้จัดการร้านที่เขาเชื่อว่าจะไม่กล้าปฏิเสธข้อเสนอของตน

..................................

"อะไรนะ! แล้วเขาเป็นใคร ไม่ใช่นายคาบาเลสนั่นเหรอ" เชอริลอุทานมาตามสาย หลังทราบข่าวจากเพื่อนว่ามีลูกค้าท่าทางไม่น่าไว้ใจเรียกให้เจ้าหล่อนไปนั่งด้วย

"ไม่ใช่ ตาผู้จัดการบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ คงรับเงินจากหมอนั่นมาโขล่ะ ถึงบังคับฉันให้ออกไปให้ได้ แล้วนี่ฉันก็ติดต่อเจนิสไม่ได้เลย ไม่ได้บอกน้องด้วยว่าคืนนี้จะกลับดึก" นักร้องสาวบ่นอย่างเป็นกังวล

"ใจเย็นๆ นะลิบบี้ ฉันกับมาร์คอยู่ไม่ไกลร้านเธอเท่าไร เราจะรีบไป ส่วนเรื่องเจนิสน่ะ น้องเธอก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง" ปลายสายปลอบก่อนลดเสียงกระซิบซุกซน "บางทีอาจเป็นคืนนี้ล่ะ จะได้ตกปลาใหญ่กันจริงๆ จังๆ เสียที"

ลิปดาขำไม่ออก มีแต่เรื่องให้ต้องห่วงกังวลทั้งนั้น ทั้งเรื่องน้องและเรื่องงาน ซ้ำเสียงเคาะประตูเรียกก็ดังมาอีกโดยพนักงานร้าน เธอไม่มีเวลากระทั่งลบสีลิปสติกเข้มออกจากริมฝีปาก จำต้องเดินตามพนักงานคนนั้นออกไปอย่างหมดเวลาประวิง

กระนั้นเธอก็เป็นมืออาชีพพอ หญิงสาวทุ่มเทกับทุกงานเต็มที่อยู่แล้ว ครั้นกำลังจะออกไปพ้นห้องพักหลังเวที เธอก็หยุดสูดหายใจลึกเข้าไปเต็มปอด แล้วคิ้วที่ขมวดก็ค่อยคลาย

ทุกย่างก้าวที่ก้าวไปใกล้โต๊ะซึ่งผู้จัดการยืนกุมมือนอบน้อมอยู่นั้น ลิปดาก็ได้เห็นและไม่คิดเลยว่าแขกที่เรียกเธอมาจะยังเป็นชายหนุ่มที่เธอคาดคะเนว่าวัยเพียงสามสิบต้นๆ หากสายตาของเขาที่มองเธอโดยไม่ละนั้นกลับแลดูเจนจัด กร้านโลก ราวกับเหยี่ยวบนฟ้าสูงมองปลาในน้ำอย่างหมายมาด แววตาอย่างที่ทำเอาใจเธอสั่นไหวกับอำนาจแห่งบุรุษเพศที่แผ่ออกมา

ผู้จัดการร้านวัยกลางคนถอยออกมาอย่างรู้งานพร้อมกับบริกรที่ไปตามตัวเธอ ผู้ที่นั่งไขว่ห้างรออยู่นานขยับลุกยืนเต็มความสูงซึ่งสูงกว่าเธอราวสี่นิ้วขึ้นไป ก่อนเขาจะยื่นมือมาเพื่อทำความรู้จักกับเธอ

"ลิเบอร์ตี้ ชื่อเพราะมาก เหมือนกับเสียงของคุณ" เสียงเอ่ยภาษาอังกฤษของเขาชัดเจนราวเจ้าของภาษาทีเดียว

ลิปดาวางมือตนลงกลางฝ่ามือเรียวยาวนั้น เธอข่มความประหม่าคลี่ยิ้มน้อยๆ เมื่อเขาบีบมือแผ่วเบา

"ขอบคุณค่ะ" เธอตอบเสียงเบา

"ผม 'รัญชน์' จะเรียกรอนนี่ก็ได้"

ผู้พูดไหวไหล่ข้างหนึ่งพร้อมกับกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเสน่ห์ หญิงสาวเก็บมือตนมากุมกันไว้โดยอัตโนมัติทันทีที่เขาปล่อยมันเป็นอิสระ ก่อนเธอจะวางมือบนตักที่กระโปรงสั้นร่นขึ้นมา โชคดีที่เขาไม่ได้นั่งลงใกล้มาก แต่ห่างออกไปยังมุมโค้งของโซฟา ระยะที่สายตามองเห็นกันถนัดถนี่พอดี

บริกรเดินนำแก้วก้านยาวมาเพิ่มให้ แล้วแขกที่เรียกเธอมานั่งด้วยคืนนี้ก็ขยับไปรินไวน์ให้เธอเสียเอง

"ดื่มได้ไหม คุณคงบรรลุนิติภาวะแล้วกระมังถึงร้องเพลงที่นี่ได้" เขาถาม และมักมีรอยยิ้มประดับใบหน้าเสมอ

ลิปดายื่นมือไปรับทั้งที่ไม่เต็มใจ หากเขาจงใจไม่ปล่อยก้านแก้วนั้น ปลายนิ้วเธอกับเขาสัมผัสกัน แล้วประกายตาพราวระยับแฝงแววแย้มหัวคู่ตรงข้ามก็ทำให้หญิงสาวร้อนซู่ทั้งใบหน้า ชักมือเปล่ากลับมาวางบนตักเหมือนเคย

"ล้อเล่นน่า คุณดูเกร็งมาก ผมแค่อยากให้คุณผ่อนคลาย"

รวมทั้งตัวเขาเองเช่นกันที่ตื่นเต้นราวเด็กหนุ่มริรัก หูเขาไม่ได้ยินเสียงใด ไม่อาจละสายตาจากเธอได้เลย จึงต้องแกล้งเจ้าหล่อนด้วยมุกตลกโง่ๆ ที่เขานึกขันระคนสมเพชตัวเอง

รัญชน์หยิบแก้วของตนมาถือไว้เช่นกัน เมื่อเธอยื่นมือมารับอีกครั้ง เขาก็ยื่นแก้วตนไปรอให้เธอชนแก้วด้วยกัน เกิดเสียงกริ๊กใสกังวาน

"แด่การพบกันครั้งแรกของเรา และเสียงเพลงอันไพเราะของคุณ"

เขาจงใจเน้นคำว่า 'ครั้งแรก' ก็เพราะมั่นใจว่านับจากคืนนี้ไป เขาจะต้องหาโอกาสพบเธอให้ได้

"ขอบคุณค่ะ" เธอเอ่ยคำเดียวที่พูดกับเขาอีกครั้ง ก่อนยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอึกเล็กพอเป็นมารยาท

"คุณพูดน้อยจัง แต่คุณก็เข้าใจภาษาอังกฤษดีนี่ จริงไหม"

เขาขมวดคิ้วทักท้วง หากใบหน้าก็ยังคงเปื้อนยิ้มอย่างที่เธอนึกสงสัยว่าเขาทำได้อย่างไร

"ฉันเข้าใจค่ะ แต่คุณไม่ได้ถามอะไรฉันนี่คะ ฉันจึงเป็นฝ่ายฟัง"

รัญชน์กรอกตาขึ้นมองเพดานทันทีที่ได้รับคำตอบยาวๆ เป็นครั้งแรก ให้ตายเถอะ! เธอกวนประสาทเขาได้น่ารักเป็นบ้าเลย

"ร้ายมาก คุณจะว่าผมพูดมากอย่างนั้นซี" เขาแสร้งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

"ฉันไม่ได้พูดค่ะ" เธอเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง ไม่มีทีท่าเกรงกลัวสักนิดว่าอาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจ

คำพูด ท่าทางเช่นนั้นน่ามันเขี้ยวยิ่งนักในสายตาชายหนุ่ม เขาผลักความคิดว่าเธอขี้อาย ดูใสซื่อออกไปจากสมองจนหมด เธอมันแม่เสือสาว ร้ายไม่น้อยไปกว่าเขาหรอก หากแทนที่ความประทับใจในตัวเจ้าหล่อนจะลดน้อยลง เขากลับยิ่งนึกสนุกที่ได้เจอคู่ต่อกรสมน้ำสมเนื้อกัน ไม่ต้องระวังคำพูด ระวังความคิดไม่ให้ถลำลึกไปไกลเหมือนก่อน

"ก็ได้ ผมจะถามคุณบ้างล่ะลิบบี้"

เขาเปลี่ยนจากท่านั่งพิงพนักโซฟา ขยับโน้มตัวมาข้างหน้าใกล้หญิงสาวมากขึ้น ลิปดาเกร็งตัวนั่งตรง รอฟังคำถามที่ผู้พูดลดเสียงลง

"คุณจะออกไปเที่ยวกับผมต่อได้หรือเปล่า"

คนฟังเผลอหันขวับมองเจ้าของคำถามนั้น แววตาวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจสบกับดวงตาหมายมาด ซุกซนของชายหนุ่มที่อธิบายความหมายของประโยคเมื่อครู่นี้ได้ดีกว่าคำพูดใดๆ

ลิปดาสูดหายใจลึกอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ กลืนก้อนขมๆ ด้วยความรังเกียจบุรุษผู้นี้กลับลงไป ไม่แปลกที่เขาจะคิดเช่นนั้นกับผู้หญิงทำงานกลางคืน และเธอก็ต้องทำตามหน้าที่ของเธอ

"มันขึ้นกับว่าคุณจะไปไหนค่ะ"

รัญชน์เม้มปากพลางโคลงศีรษะพึงพอใจ ให้ตาย! ถ้าคืนนี้เขาไม่ได้ทำความรู้จักเธอลึกซึ้งกว่านี้ เขาคงไม่อาจข่มตานอนหลับลงอย่างแน่นอน

"แถวมากาติเป็นไง ผมพักอยู่แถวนั้น"

ในที่สุดเขาก็เผยธาตุแท้ ลิปดานึกถึงเพื่อนสองคนที่ป่านนี้คงรออยู่หน้าร้านขึ้นมา ถ้าเธอจะแก้เผ็ดผู้ชายประเภทนี้ล่ะก็ นายคนนี้ก็เหมาะสมจะได้รับเกียรตินั้นมากกว่าคุณคาบาเลสลูกค้าประจำหลายเท่า

...................................

นักร้องสาวกลับเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัวหลังเวที แม้ร้านนี้จะเป็นเพียงไนต์คลับเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้ส่งเสริมหรือห้ามพนักงานออกไปกับลูกค้าหลังเวลางาน นั่นขึ้นอยู่กับความพอใจของคนสองคน

ลิปดาโทรถึงเพื่อนทันทีที่มั่นใจว่าจะไม่มีใครโผล่มาได้ยิน มาร์คและเชอริลมารออยู่พักหนึ่งแล้วจริงๆ เมื่อเธอเล่าเรื่องลูกค้าต่างชาติให้ฟัง เพื่อนสาวก็ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดมาตามสาย พร้อมทั้งอธิบายวิธีใช้ยานอนหลับนั้นอย่างไรให้แนบเนียนที่สุด

"ว่าแต่ดูในกระเป๋าดีๆ ก่อนนะว่าเธอพกยานั่นมาด้วย ไม่อย่างนั้นเธอจะซวยเสียเอง"

"ดูแล้ว มีอยู่เป็นแผง นี่ฉันมันมิจฉาชีพชัดๆ เลยสินะเชอริล"

"ก็แค่แก้เผ็ดพวกเจ้าชู้นิดๆ หน่อยๆ น่า"

ก็คงเป็นเช่นนั้น ถ้าพวกเธอจะไม่ได้ของแถมเป็นทรัพย์สินของเขาด้วย แต่คนเมาจะจำอะไรได้มากกว่านั้น แล้วเธอก็จะหายไปเหมือนสายลม แม้แต่ร้านนี้ลิปดาก็อาจไม่กลับมาอีก ในเมื่อเธอก็เอือมระอากับผู้จัดการหน้าเงินเต็มที

หญิงสาวพยายามทำใจให้ว่างขณะเปลี่ยนกลับมาสวมเสื้อผ้าตนซึ่งได้แก่เสื้อเชิ้ตพับแขนสีขาวบางที่สวมทับเสื้อกล้ามสีดำ และกางเกงยีนส์สกินนี่ซึ่งเพิ่มความคล่องตัว เธอมองเงาตัวเองในกระจก แล้วจึงตัดสินใจไม่ลบเครื่องสำอาง ผมสีดำขลับสยายยาวเป็นลอนอ่อนๆ กลางหลัง อย่างน้อยก็เพื่อให้รู้สึกว่านี่ไม่ใช่ตัวตนแท้จริงของเธอ

ลิปดาตัดสินใจถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวบางเก็บใส่กระเป๋า เหลือเพียงเสื้อกล้ามสีดำ คอเสื้อย้วยจากการใช้มานานปี ไหนๆ ก็ไหนๆ เขาคงอยากออกเที่ยวกับนักร้องสาวพราวเสน่ห์บนเวทีคนนั้น มากกว่าเด็กกะโปโลตัวจริงของเธอ

................................

วาว... รัญชน์อุทานในใจเมื่อประตูหน้าร้านเปิดออก ปรากฏร่างระหงของนักร้องสาวชุดแดงแปลงกลายเป็นสาวเท่ในชุดเสื้อกล้ามสีดำกับกางเกงยีนส์เสียแล้ว แต่ไม่ว่าอยู่ในชุดไหน ท่วงท่าซึ่งแฝงด้วยความมั่นใจของเธอก็เซ็กซี่เป็นบ้าในสายตาของเขา

ชายหนุ่มไม่อาจยืนเฉยรอเธอเดินมาหาได้ เป็นเขาเสียอีกที่ร้อนใจ อยากให้คืนนี้สิ้นสุดลงดังหวังเสียที รัญชน์เดินเข้าไปโอบเอวคอดเจ้าหล่อนไว้ รั้งให้มาใกล้ตัว

"ผมไม่อยากสบถต่อหน้าสุภาพสตรีหรอกนะ แต่คุณสวยเป็นบ้าเลยลิบบี้"

เธอหัวเราะกิ๊กอย่างผ่อนคลาย เวลากว่าชั่วโมงที่ได้พูดจากับเขาก่อนหน้านี้เพิ่มความคุ้นเคยมากขึ้น และตอนนี้เธอก็ตระหนักดีว่าตนกำลังสวมบทบาทใด

"ผมชักหลงเสน่ห์ฟิลิปปินส์เสียแล้ว" เขาเอ่ยขณะเดินผ่านลานจอดรถหน้าไนต์คลับเพื่อไปเรียกรถแท็กซี่ด้วยกัน "โดยเฉพาะสาวฟิลิปิโน่เสียงเพราะอย่างคุณ"

"พูดเหมือนคุณไปมาแล้วทั่วประเทศ" เธอค่อน

"ผมถือคติว่าได้รู้จักนักร้องเสียงดีก็เหมือนมาถึงฟิลิปปินส์แล้วล่ะ" รัญชน์ตอบง่ายๆ ด้วยเกณฑ์ของตน

คราวนี้ลิปดาอยากหัวเราะออกมาจริงๆ ทัศนคติเช่นนั้นก็เหมาะสมกับผู้ชายเจ้าชู้ ฉาบฉวยอย่างเขา

หญิงสาวชิงบอกที่หมายกับคนขับรถแท็กซี่ที่ทั้งสองขึ้นมา ก่อนจะหันไปยิ้มให้บุรุษชาวต่างชาติที่นิ่วหน้ามองมา

"ฉันจะพาคุณไปรู้จักส่วนหนึ่งของฟิลิปปินส์ค่ะ ไม่ไกลจากที่พักคุณนักหรอก"

เขากรอกตา วาดแขนมาโอบรอบไหล่เธอพลางดึงเข้าหาตัวแรงๆ

"ให้ตายเถอะลิบบี้ คุณก็รู้ว่าผมอยากไปไหนที่สุดเวลานี้" เขาเค้นเสียงกัดฟันพูดอย่างมันเขี้ยว ก่อนโน้มใบหน้าลงมากระซิบแทบชิดริมหูทีเดียว "ผมอยากให้คุณร้องเพลงให้ฟังอีกครั้งจนอกแทบระเบิด แต่คราวนี้ผมจะเป็นคนเลือกเพลงเองนะ และจะมีผมคนเดียวเท่านั้นที่ได้ฟัง"

เป็นเพราะลมหายใจร้อนผ่าวของเขาที่รินรดข้างแก้ม หรือถ้อยความแฝงนัยยะนั้นก็สุดรู้ ลิปดาขนลุกซู่ หนาวยะเยือกไปทั้งใจกาย จนเธอต้องเบนสายตาไปมองกระจกข้างรถ เห็นรถจักรยานยนต์ของเพื่อนที่ขับตามมาห่างๆ จึงค่อยเบาใจไปบ้าง แม้จะสังหรณ์ว่าถ้าแผนที่วางไว้ล้มเหลว เธอคงไม่แคล้วเป็นเหยื่ออันโอชะของเขาทีเดียว

...................................

ร้านอาหารข้างทางในตึกคูหาเล็กๆ หลายร้านติดกันยามค่ำคืนเปิดไฟสว่าง แข่งกับไฟถนนและตึกรามบ้านช่องที่ทำให้ย่านใจกลางเมืองธุรกิจอย่าง ‘มากาติ’ สว่างไสว เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของกรุงมะนิลาที่ตึกอาคารสูงระฟ้าผสมกลมกลืนไปกับร้านค้ารายย่อย สวนสาธารณะ หรือแม้แต่บ้านคนที่เรียกได้ว่าแออัด เพียงข้ามถนนไปจากฝั่งตึกสูงก็อาจเป็นชุมชนแออัด หรือเพียงเลี้ยวหัวมุมถนนก็จะได้พบกับห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่นั่นเอง

ลิปดาจัดการ 'ปันซิก บิฮน' หรือผัดหมี่สีขาวหมดเกลี้ยงจาน โดยมีชาวต่างชาตินั่งพิงเก้าอี้พลาสติกตรงข้ามพลางจิบเบียร์เย็นจัดระหว่างรอ เขายื่นผ้าเช็ดหน้ามาเมื่อเธอดื่มน้ำปิดท้าย แต่ครั้นเจ้าหล่อนยื่นมือมารับเขาก็ชักกลับ กระดิกนิ้วเรียกให้เธอยื่นหน้ามาแทน

ลิปดาต้องอดทนอดกลั้นกับความยียวนของเขา เธอวางแขนบนโต๊ะพลางค้อมตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เห็นจากหางตาว่าเพื่อนทั้งสองรออยู่บนทางเท้าหน้าร้านที่แสงไฟจากร้านสะดวกซื้อติดกันส่องสว่างให้เห็น เชอริลส่งสัญญาณบางอย่างด้วยการชี้ไปยังร้านข้างๆ นั้น ก่อนหญิงสาวจะเบือนสายตากลับมายังภาพตรงหน้าอีกครั้ง แล้วก็ได้เห็นชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้นิดหนึ่งเพื่อชะโงกตัวมา เพียงชั่วกะพริบตาก่อนเธอจะตั้งสติได้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตน สิ่งที่นุ่มยิ่งกว่าผ้าหรือกระดาษใดๆ ก็ประทับลงมาบนเรียวปากเธอ

เพียงสัมผัสแผ่วเบาราวผีเสื้อบินลงลิ้มรสเกสรดอกไม้ แล้วมันก็โบยบินจากไป ลิปดาไม่ได้แม้แต่จะผงะถอยหนี สมองเธอมึนงง เบลอไปหมด เธออยากเชื่อว่าอาจเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ของจุมพิตนั้นก็เป็นได้

รอยยิ้มเจิดจ้าบาดตาของเขานั่นแหละที่เรียกสติเธอ ภาพกระจกที่แตกกระจายก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง กระทั่งเขาใช้นิ้วหัวแม่มือแตะบนมุมปากหยักสวยของเขาซึ่งเปื้อนสีลิปสติก เธอก็ร้อนซู่ไปทั้งใบหน้า รีบลุกหุนหันออกมาผ่านหน้าเพื่อนที่เหวอด้วยความตื่นตะลึงพอกันโดยไม่แม้แต่สบตา

เสียงผลักประตูร้านสะดวกซื้อตามเข้ามาเรียกสายตาหญิงสาวที่ยืนหอบกระป๋องเบียร์เต็มสองแขนให้หันมอง แล้วลิปดาก็ลอบถอนใจที่เป็นเชอริลมายืนข้างๆ ชั้นวางสินค้าสูงคงพอพรางพวกเธอจากสายตาคนข้างนอก

"นี่มันบ้า เรื่องบ้าชะมัด ฉัน...ฉันจะฆ่ามัน เอาให้มันไม่ตื่นอีกเลย ไอ้บ้ากาม" วาจาเคียดแค้นเอ่ยลอดไรฟันออกมาโดยไม่รอให้เพื่อนเริ่มก่อน

"พอแล้วล่ะลิปดา ถ้าเขากินจริงๆ แค่กระป๋องเดียวก็ล้มช้างได้แล้ว"

เชอริลรั้งมือเพื่อนที่ทำท่าเหมือนจะกวาดเบียร์ทั้งตู้มาไว้ในอ้อมแขนให้ได้ แล้วก็สัมผัสได้ว่าข้อมือนั้นสั่นน้อยๆ ก่อนพวกเธอจะผละจากเมื่อมีเสียงเปิดประตูเข้ามา

"เฮ้ เป็นอะไร" รัญชน์ถามคนที่หอบเบียร์เต็มอ้อมแขนไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์อย่างงุนงงเต็มที

คราวนี้ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มเป็นนิจกลับปรากฏร่องรอยเคร่งเครียด เกือบเรียกได้ว่าไม่พอใจ เขาตกใจแทบแย่ตอนเธอหุนหันออกไป รีบหยิบธนบัตรสองร้อยเปโซออกมาวางบนโต๊ะโดยไม่รอเงินทอน แต่ก็ถูกขวางจากเด็กวัยรุ่นผู้ชายที่จะเดินสวน มันก้าวดักเขาไปมาหน้าประตูร้านนั่นเอง

"ตกใจเหรอ" เขาถามมาอีกขณะรอพนักงานคิดเงิน

ลิปดาผงกศีรษะไปตามน้ำ เธอรู้ได้ว่าเขาหายเคลือบแคลงใจลงบ้างเมื่อชายหนุ่มเปิดกระเป๋าสตางค์หนังสีน้ำตาลเข้มหยิบธนบัตรออกมา ก่อนจะวาดแขนยาวโอบรอบไหล่เธอพลางดึงเข้าหาตัว มีเสียงหัวเราะหึในลำคอลอยมา

"ถึงว่า นี่กะจะเมาย้อมใจสินะ" เขาเอ่ยล้อพลางกวาดตามองเบียร์หลากยี่ห้อร่วมสิบกระป๋อง

ลิปดาไม่ตอบหากข่มใจรบเร้าเขาแทน "ออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะค่ะ ฉันจะซื้อของจำเป็นอีกอย่าง"

"อะไร" รัญชน์ถามประหลาดใจ

"เถอะค่ะ เดี๋ยวคุณก็รู้"

เขาไหวไหล่เล็กน้อยก่อนยกนิ้วชี้หน้าไม่จริงจัง

"แล้วอย่าตกใจหนีไปอีกล่ะ คราวนี้ผมจับคุณใส่กุญแจมือติดกันกับผมไม่รู้ด้วย"

หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายลงคอซึ่งแห้งผากขึ้นมากะทันหัน รู้ว่านั่นเป็นมุกตลกร้ายของเขา แต่เธอก็อดระแวงอย่างคนมีแผนการในใจไม่ได้

เธอฝืนยิ้มให้ขณะเขาเปิดประตูออกไป ก่อนเชอริลที่สังเกตการณ์อยู่ตลอดจะผงกศีรษะเรียกเธอไปหลังชั้นวางสินค้าอีกครั้ง เมื่อเหลือกันตามลำพัง

"เอาออกมา" เธอกระซิบกับเพื่อนรัก

ลิปดารีบหยิบเบียร์ออกจากถุงวางบนชั้นวางที่พอมีที่ว่าง ก่อนล้วงเอายาที่เพื่อนเคยให้ออกมาจากช่องกระเป๋า เชอริลรับไปบิยาเม็ดหนึ่งจากแผง หย่อนลงในกระป๋องเบียร์พลางหมุนเบาๆ ให้มันละลายเข้ากัน

"เธอแกล้งทำเป็นเหมือนเพิ่งเปิดกระป๋องให้เขานะ จะได้ตายใจ"

ลิปดาผงกศีรษะ เธอสบตาเพื่อนรักอย่างลังเลวูบหนึ่ง วูบเดียวเท่านั้นแล้วก็กลับมามุ่งมั่น มีแววขุ่นเคืองเผื่อแผ่ไปถึงชายคนนั้น ก่อนเธอจะเก็บของออกไป

รัญชน์เรียกรถแท็กซี่รออยู่แล้ว เขายืนเท้าประตูรถรอเมื่อเธอออกมา หญิงสาวแสร้งทำเหมือนเปิดกระป๋องเบียร์ดังเพื่อนว่าแล้วจึงส่งให้เขา อีกกระป๋องสำหรับตัวเอง ชายหนุ่มรับไปพลางผายมือเชิญเธอขึ้นรถไปด้วยกัน

"ได้ของมาหรือเปล่า" เขาถามเมื่อรถแล่นไปตามถนนยามค่ำคืนอีกครั้ง

ลิปดาล้วงหยิบอุปกรณ์การสอนที่เธอพกติดกระเป๋ากางเกงตัวนี้พอดี

รัญชน์ครางในลำคออย่างมันเขี้ยว เธอหันมองเขาก็เห็นสายตาคมกล้าที่จ้องกลับมาราวจะกลืนกินเธอทั้งตัว

....................................

**Vincent - Don McLean

....................................

มาชวนเล่นเกมที่บล็อกค่ะ ลุ้นรางวัลหนังสือนิยาย "ใต้ฟ้าสิขราลัย" 2 รางวัล
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thezircon&date=13-10-2013&group=1&gblog=5



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ต.ค. 2556, 14:54:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ต.ค. 2556, 14:54:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1144





<< บทที่ ๑   บทที่ ๓ + ชวนเล่นเกมลุ้นหนังสือค่ะ >>
ปริยาธร 19 ต.ค. 2556, 23:54:15 น.
ว้าว พระเอกเราก็ร้ายพอตัวนะเนี่ย เจอสาวครั้งแรก็ชวนออกมาเลย
ไปลุ้นตอนหน้าต่อเลยจ้ะ


ภาพิมล_พิมลภา 20 ต.ค. 2556, 00:10:57 น.
พี่นุ้ย - มีคนบอกว่าพฤติกรรมเสี่ยงถูกปลดทรัพย์มากค่ะ แพรวก็นึกว่าเสี่ยงติดโรค 55


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account