พ่ายพรหมลิขิต
พลับพลึงทำงานด้านสถาปัตย์ประจำอยู่ที่เชียงใหม่วันหนึ่งเธอได้รับมอบหมายงานให้ออกแบบบ้านพักของธนดลโดยไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอกลับต้องมารับบทเจ้าสาวของเขาเนื่องจากญาติผู้น้องซึ่งเป็นลูกสาวของป้าหนีออกจากบ้านก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน ด้วยเสียงขอร้องแกมบังคับของป้าและลุงทำให้พลับพลึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะหากเธอปฏิเสธป้าก็อ้างว่าหล่อนกับสามีจะต้องถูกอีกฝ่ายฟ้องจนถึงขั้นล้มละลาย เพราะนอกจากธนดลจะเป็นเจ้าบ่าวแล้วยังเป็นเจ้าหนี้อีกด้วย พลับพลึงจำยอมตกเป็นเจ้าสาวสำรองจนกว่าปิติและพิลาวรรณจะนำเงินมาชดใช้หนี้สินได้หมด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายของคนสองคน....
Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: พ่ายพรหมลิิขิต ตอนที่ 3

3
สัปดาห์ต่อมา...
วันนี้วิ่งวุ่นเป็นรอบที่สิบได้แล้วมั้ง!

พลับพลึงหยุดเอามือทาบลงที่หน้าขาทั้งสองข้าง โก้งโค้งหอบหายใจแรงอย่างเหน็ดเหนื่อย เนื่องจากต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงระหว่างห้องแต่งตัวกับบริเวณบ้านจนนับจำนวนรอบไม่ได้ ใบหน้าอ่อนเยาว์ของหญิงสาวในวัยยี่สิบห้าปีมีเหงื่อผุดพราย ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อเรียกกำลังแล้ววิ่งกลับไปยังห้องแต่งตัวอีกครั้ง นับเป็นสัปดาห์วิปโยคของพลับพลึงเลยก็ว่าได้ หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากป้าว่าน้องสาวจะแต่งงาน เธอก็จัดการลางานเพื่อมาร่วมงานแต่งงาน แต่พอมาถึงกลับพบกับเรื่องที่คาดไม่ถึง

“พลับพลึง!”
เสียงร้อนใจเรียกชื่อเธออย่างมีความหวังเพียงแค่เห็นร่างบางโผล่เข้าไปในห้องนั้น ตามด้วยเสียงของสามีคู่ชีวิตของป้าแท้ๆ
“เจอมั้ย!”

“ไม่เจอเลยค่ะลุง หนูหาจนทั่วบ้านแล้ว” พลับพลึงตอบทั้งๆ ที่ยังหอบแฮกๆ

“ฉันอยากจะเป็นลม แล้วทีนี้จะทำยังไงดี นี่ขบวนขันหมากก็ใกล้เข้ามาแล้ว” พิลาวรรณหญิงสูงวัยซึ่งมีศักดิ์เป็นป้าแท้ๆ ของพลับพลึงสวมชุดผ้าไหมสีแดงเลือดนกยกมือขึ้นทาบอก ดวงตาเศร้าสร้อยอ่อนโรยลงมากกว่าเดิม ใบหน้าซีดเผือดแม้จะตกแต่งด้วยเครื่องสำอางหนาเตอะยังสามารถมองเห็นความซีดขาว พลับพลึงต้องยื่นยาดมที่เธอขอยืมมาจากช่างแต่งหน้าเมื่อครั้งที่ต้องวิ่งลงไปยังห้องโถงรอบที่สิบให้อย่างห่วงใยในสวัสดิภาพ

พิลาวรรณสูดยาดมเต็มแรงราวกับจะสูดกลิ่นหอมเย็นนั้นให้หมดในคราวเดียว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น หล่อนมองหน้าสามีที่อยู่กินกันมาร่วมสามสิบปีอย่างอ้อนวอน

“นั่นสิ แล้วเราจะทำยังไงดี” ปิติเองก็พึมพำอย่างเคร่งเครียดและใช้ความคิดในเวลาเดียวกัน ยกมือขึ้นกอดอกอีกข้างยกขึ้นจรดไว้ที่ริมฝีปาก แต่ก็คิดไม่ออก คิ้วดกดำแซมด้วยสีขาวเล็กน้อยขมวดอย่างกลัดกลุ้ม และนั่นทำให้พลับพลึงต้องตัดสินใจอีกครั้ง

“ยังพอมีเวลาค่ะ หนูจะลองลงไปดูข้างล่างอีกรอบ”

“แกหามากี่รอบแล้วยายพลับ ไม่มีทางเจอหรอก ป่านนี้ยายพิมพ์คงหนีไปไกลแล้ว”

ปิติเริ่มปักใจเชื่อแล้วว่าลูกสาวที่แสนจะว่านอนสอนง่ายได้แหกม่านหนีไปแล้ว แต่ที่สงสัยก็คือ หนีไปกับใคร แล้วทำไมต้องหนีเอาวันนี้ อะไรดลใจให้ลูกสาวที่อยู่ในกรอบมาตลอดอย่างพิมพ์พรรณใจกล้ากระทำการอุกอาจฉีกหน้าพ่อแม่ได้ถึงเพียงนี้

“ลุงคะ อย่าเพิ่งปักใจเชื่ออย่างนั้นสิ หนูโทร.หาเพื่อนของพิมพ์หลายคน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พิมพ์ไม่ทำแบบนั้นแน่นอน เพราะไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ที่บ่งบอกเลยว่าพิมพ์คิดจะหนีหรือไม่อยากแต่งงาน พิมพ์อาจจะไปข้างนอกแล้วเกิดอันตรายอะไรหรือเปล่าคะ เราน่าจะเช็คตามโรงพยาบาล” พลับพลึงตั้งข้อสังเกต แต่ทุกคนก็ไม่เห็นพ้อง เพราะตั้งแต่เมื่อวานยังไม่มีข่าวอุบัติเหตุที่ไหนปรากฏให้เห็นเป็นข่าวเลย ถ้าเกิดอุบัติเหตุจริงก็น่าจะมีใครซักคนโทรศัพท์มาที่บ้านบ้าง

ถ้าอย่างนั้นก็เหลือเพียงข้อเดียวเท่านั้นคือ...พิมพ์พรรณถูกลักพาตัว! พลับพลึงสันนิษฐาน

ก่อนถึงวันแต่งงานหนึ่งสัปดาห์ป้าโทรศัพท์หาเธอบอกกล่าวถึงข่าวดีด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ยังบอกอีกว่า งานแต่งงานครั้งนี้พิมพ์พรรณตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้เรื่องที่พิมพ์พรรณหายตัวไปดูจะเล็กน้อยในความคิดของปิติกับพิลาวรรณ เพราะปัญหาใหญ่กว่านั้นคือ ทั้งสองจะตอบคำถามฝ่ายเจ้าบ่าวว่าอย่างไร หากงานแต่งงานวันนี้ไม่มีเจ้าสาว อีกเรื่องที่ทำให้พลับพลึงสุดเซ็งเห็นจะเป็นคำอวยพรที่ตระเตรียมไว้ให้น้องสาวกำลังจะเป็นหมัน อุตส่าห์ท่องไว้เสียดิบดี ว่าคำอวยพรคงจะซาบซึ้งจนน้องสาวน้ำตาไหลแต่สุดท้ายก็ต้องเก็บเข้ากรุไปตามระเบียบ ถึงตอนนี้พลับพลึงเริ่มเชื่ออะไรบางอย่างเสียแล้วสิ
หรือเธอจะเป็นตัวซวยจริงๆ...
หลายครั้งที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันในงานที่เธอก้าวย่างเข้าไปร่วมงาน ไม่เว้นแม้แต่งานบุญในวัดอย่างกฐิน ผ้าป่า จนเพื่อนสนิทที่รู้จักเข็ดขยาดไม่อยากให้ไปร่วมงานที่เป็นมงคลซักเท่าไหร่ เพราะทุกงานถ้าไม่เกิดเรื่องมากก็เรื่องน้อยแล้วแต่ความแข็งแรงของดวงเจ้าของงาน จนเธอต้องปลีกวิเวกไปอยู่ต่างจังหวัดทำงานอยู่เงียบๆ เสียหลายเดือน เผื่อว่าดวงความซวยจะลืมเลือนชื่อและใบหน้าของเธอไปบ้าง ไม่นึกว่าความซวยจะเกาะหนึบตามติดมาก่อกวนแม้ในงานของคนที่เธอเรียกว่า ‘ครอบครัว’

'วิสุทธิธารา' คือครอบครัวเดียวที่พลับพลึงเหลืออยู่…
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” พลับพลึงพึมพำส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับในความคิดที่ปรากฏขึ้นในหัว

“พลับพลึง! แล้วนั่น จะไปไหน” พิลาวรรณเรียกไว้เมื่อเห็นหลานสาวกำลังจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้องอีกครั้ง
“หนูขอไปดูรอบๆ บ้านอีกครั้งค่ะป้า เผื่อจะได้หลักฐานอะไรบ้าง” พลับพลึงบอกความตั้งใจ

ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าพิมพ์พรรณจะหนีงานแต่งงาน!
“นี่ถ้าหาตัวยายพิมพ์ไม่เจอเราจะทำยังไงกันดี” ปิติเครียดจนหน้าดำแดง ความหวังที่จะเจอตัวลูกสาวก็ริบหรี่ลงเรื่อยๆ จนป่านนี้ทั้งตนและภรรยายังไม่กล้าโทรศัพท์บอกเรื่องนี้กับฝ่ายเจ้าบ่าวเลย ปิติยกข้อมือขึ้นดูเวลา อีกชั่วโมงกว่าๆ จะถึงฤกษ์สู่ขอแล้ว ป่านนี้ขบวนเจ้าบ่าวคงใกล้จะถึงเต็มที ยิ่งเห็นสีหน้าซีดขาว ตัวโงนเงนจะเป็นล้มแล้วเป็นลมอีกของภรรยาก็ยิ่งกลัดกลุ้ม แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องการความคิดเห็นจากภรรยาที่อาการร่อแร่จนต้องมีคนประคองตัวอยู่ในตอนนี้

“เราจะทำยังไงดีคุณ” ปิติรำพันอ่อนใจ
“โอ้ย...ฉันคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้นแหละค่ะ ฉันอยากตาย...” พิลาวรรณกรีดร้องอย่างหมดหวัง ทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นหลังจากพิธีแต่งงานผ่านพ้น แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งให้จมดิน เงินจำนวนมหาศาลที่กำลังจะถูกปลดแอกลอยเด่นขึ้นในหัวและกำลังจะทับลงมากลางอกของสองสามีภรรยา

“ไม่ได้นะ คุณจะตายตอนนี้ไม่ได้ เรื่องอะไรจะตัดช่องน้อยหนีตายไปคนเดียว” ปิติเสียงเข้มขึงสะบัดหน้าใส่ภรรยา พลอยทำให้คนที่โงนเงนอย่างคนที่คงจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อย่างพิลาวรรณต้องเด้งออกจากมือเล็กบางของช่างแต่งหน้าเม้มปากแน่น จ้องหน้าสามีเขม็ง ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างโกรธเกรี้ยว

“ฉันประชด!” พิลาวรรณตะเบ็งเต็มเสียงจนทุกคนในที่นั้นสะดุ้ง ปิติสะดุ้งหนักกว่าใครเพื่อนเมื่อเสียงหายใจฟึดฟัดของภรรยาลอยมาแตะที่แก้ม แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้สบายใจขึ้น นั่นคือ อาการแบบนี้ ภรรยายังอยู่บนโลกนี้ไปอีกหลายปี




หญิงสาวผมสั้นในชุดผ้าถุงผ้าไหมสีชมพูอ่อนกรอมข้อเท้ากับเสื้อแขนกระบอกสีอ่อนกว่าผ้าถุงนิดหนึ่งรีบวิ่งลงบันไดผ่านห้องโถงที่กำลังเปิดเพลงไทยเดิมเบาๆ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของงานมงคล พลับพลึงนิ่วหน้านิดหนึ่งเมื่อรองเท้าคัทชูส้นสูงเริ่มเกเรกัดเท้าจนรู้สึกปวดแสบที่นิ้วเท้าหลายนิ้ว คิดอยากจะถอดมันทิ้งไว้เสียตรงนี้แต่เพราะแขกเหรื่อเริ่มทยอยกันเข้ามาในห้องโถงแล้วนั้นทำให้ต้องเชิดหน้าปั้นยิ้มทักทายแขกเหรื่อทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ทุกคนที่มองมาที่เธอก็พอเดาได้ว่า คงเป็นหนึ่งในเจ้าภาพของงานวันนี้ พลับพลึงรีบวิ่งออกประตูข้างของตัวบ้าน เธอมองไปรอบๆ บ้านอีกครั้งราวกับตำรวจสืบสวนสอบสวนกำลังสืบค้นคดี นิ่วหน้าก็หลายครั้งเมื่อไม่มีพิรุธอะไรให้เห็นเลย โทรศัพท์ติดต่อเพื่อนของน้องสาวก็หลายครั้งแต่ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ได้พบพิมพ์พรรณเลยตั้งแต่หญิงสาวเตรียมตัวจะเป็นเจ้าสาว

แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของพิมพ์พรรณพลับพลึงก็กดจนปุ่มหมายเลขบนตัวเครื่องจะหลุดกระเด็นออกมา เธอหันรีหันขวาง สะบัดตัวอย่างขุ่นเคืองก็หลายครั้ง ก่อนจะย่นคิ้วเมื่อการมาบริเวณนี้เป็นครั้งที่สามภายในระยะเวลาไม่ถึงชั่วโมงได้พบกับบางสิ่ง

พลับพลึงย่นคิ้วเมื่อหยิบชิ้นส่วนของผ้าลินินที่ติดอยู่ตรงพุ่มไม้ข้างรั้วเตี้ยๆ บริเวณนี้เป็นสวนดอกไม้ เป็นจุดที่ติดต่อกับบ้านฝรั่งจึงทำเป็นรั้วเตี้ยๆ เพื่อโชว์ดอกไม้นานาพรรณ บวกกับความคุ้นเคยระหว่างลุงกับฝรั่งเจ้าของบ้าน ลุงจึงไม่อยากกั้นกำแพงสูงเป็นคุกขังตัวเอง เธอรู้ดีเพราะเธอเป็นคนดีไซน์รั้วบ้านหลังนี้เอง ตามความต้องการของผู้เป็นลุง

นี่มันชิ้นส่วนของเสื้อนี่...

พลับพลึงหรี่ตามองแล้วเอื้อมมือไปหยิบ นึกคิดว่าเหมือนเคยเห็นผ้าลินินเนื้อบางสีครีมนี้ที่ไหน ก่อนจะเบิกตา เสื้อตัวที่พิมพ์พรรณสวมใส่เมื่อคืนนี้นี่ แล้วมันมาติดอยู่กับกิ่งไม้ที่คล้ายหนามของต้นไม้พันธุ์ต่างชาติของลุงได้อย่างไร รู้สึกถึงความไม่ปกติของเรื่องนี้เสียแล้ว อะไรบางอย่างทำให้เธอสงสัยบ้านฝรั่งที่รั้วติดกัน พลับพลึงเคยได้ยินพิมพ์พรรณเล่าให้ฟังว่า มีนักธุรกิจชาวต่างชาติมาซื้อบ้านติดกัน แต่ปีหนึ่งอยู่บ้านไม่กี่ครั้ง แต่เคยได้ยินลุงเล่าว่า ค่อนข้างคุ้นเคยกับนายฝรั่งข้างบ้านเพราะมักมีเรื่องคุยกันถูกคอ ทั้งเรื่องต้มไม้ ดอกไม้และบางครั้งก็

เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจบ้างในบางครั้ง อาจจะด้วยความคุ้นเคยกันของสองบ้านนี้ด้วยทำให้พลับพลึงสงสัยในตัวชายหนุ่มข้างบ้านขึ้นมา แม้จะอยู่ไม่กี่ครั้งในหนึ่งปีก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลน่าสงสัย ยิ่งเห็นชิ้นส่วนของเสื้อน้องสาวเกี่ยวอยู่กับต้นไม้บริเวณนี้ยิ่งทำให้น่าสงสัยมากขึ้นเป็นสองเท่า พลับพลึงมองซ้ายขวาตามประสาคนขี้สงสัย แม้จะมีเวลาน้อยนิดแต่หากจะทำให้ได้เบาะแสการหายตัวไปของน้องสาวเพิ่มขึ้นซัก

หน่อยเธอก็ยอมที่จะเสี่ยง จึงกระโดดข้ามรั้วที่สูงเกือบถึงเอวข้ามไปยังบริเวณของบ้านอีกหลัง หากเป็นเวลาปกติรั้วแค่นี้เธอแทบจะไม่ต้องออกแรงกระโดดหรือต้องจับราวรั้วเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่ออกแรงเลย แค่จะเทคตัวขึ้นยังยากลำบากเพราะติดกระโปรงทรงแคบยาวกรอมข้อเท้าสีหวานนี้ พลับพลึงถกกระโปรงขึ้นจนเกือบเหนือเข่าแล้วออกแรงวิ่งนิดหนึ่งเพื่อที่จะเทคตัวขึ้นให้สูงที่สุด แต่ท่าลงดูจะไม่สวยนัก

เพราะต้องประคองกระโปรงที่ทั้งแคบและรัดสะโพกจนทำให้เสียหลักล้มลงไปนอนเคล้งเก้งอยู่กับพื้นหญ้าของบริเวณบ้านอีกหลังอย่างหมดท่า โชคดีที่รองเท้าส้นสูงของเธอไม่พลิกหรือหัก พลับพลึงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะมาเห็นเธอในท่าประหลาดที่ยิมนาสติกไม่ระบุท่านี้ให้เป็นท่ามาตรฐาน พร้อมกับเขย่าตัวแรงๆ เพื่อให้กระโปรงทรงแคบนั้นเข้ารูป รีบเชิดหน้าขึ้นเหลือบตามองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้า ภาวนาอย่า

ได้เจอะกับสายตาคู่ใดๆ เลย นอกจากจะกลัวข้อหาบุกรุกแล้ว เธอยังกลัวที่จะต้องปั้นหน้าสู้สายตาที่อาจจะขบขันกับการกระโดดข้ามรั้วในท่าประหลาดนี้ด้วย

ปลอดคน!
จึงรีบวิ่งเข้าไปยังกำแพงบ้านหลังใหญ่ราวกับนักสืบมืออาชีพ หมายจะได้เห็นอะไรที่นำไปสู่การหายตัวไปของลูกพี่ลูกน้อง แต่น่าเสียดายที่นอกจากบ้านจะเงียบเชียบแล้ว ยังไม่มีแม้แต่รอยเท้าหมาแมวให้พอสังเกตว่ามีใครเคยเดินผ่านมาทางนี้ จนเมื่อ...

“คุณ!”
ว้าย! พ่อจ๋า แม่จ๋า ลงมาจากสวรรค์ช่วยลูกด้วย!

คำอุทานดังขึ้นในใจของพลับพลึงโดยไม่รู้เลยว่าเธอได้พูดมันออกมาด้วยหรือเปล่า และอีกสารพัดคำอุทานที่หลุดออกมาจากจิตใต้สำนึก เธอยกมือขึ้นทาบอกหลับตาปี๋ รู้สึกถึงการไหลเวียนของโลหิตสูบฉีดแรงจนน่าตกใจกลัวว่ามันจะวิ่งทะลุผิวหนังออกมาสูดอากาศและรับแสงแดดที่ร้อนแรงข้างนอก

“คุณ...มาทำอะไรแถวนี้ครับ”
พลับพลึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เธอหรี่ตาข้างหนึ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วค่อยๆ หมุนตัวไปตามเสียงและมือที่ยกขึ้นสะกิดที่หัวไหล่
“มาทำอะไรแถวนี้ครับ”

ชายในชุดหม้อฮ่อมเอ่ยถามหลังจากที่สำรวจหญิงสาวทั่วตัว ใบหน้ายับย่นคร้ามแดดนั้นสงสัยเต็มที่ มองชุดสวยแบบหญิงไทยแล้วมองไปที่บ้านข้างๆ ที่กำลังจะมีงานมงคลในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

“งานแต่งอยู่หลังโน้นครับ คุณคงหลงทางเข้ามาล่ะสิ เฮ้อ...รั้วบ้านเตี้ยก็อย่างนี้แหละครับ”

ชายวัยกลางคนทำเสียงระอา เพราะวันนี้ต้องคอยบอกทางแขกเหรื่อหลายคนที่หลงเข้ามาในบริเวณบ้านที่ตนดูแลอยู่

“อ๋อ...ใช่ค่ะ ฉันหลงเข้ามา ก็นะ บ้านคล้ายๆ กัน แถมยังจัดสวนคล้ายๆ กันอีก ฉันก็เลยนึกว่าบ้านหลังเดียวกัน” พลับพลึงตอบเสียงกุกกัก ข้างๆ คูๆ ซึ่งโอกาสที่จะหลงเข้ามาบ้านคนอื่นแม้จะรั้วติดกันมันก็มีความเป็นไปได้น้อยมาก นอกจากตั้งใจจะเดินเข้ามาชมสวนอย่างไม่ถือสามารยาท เธอยิ้มกลบเกลื่อนเล็กน้อยหมายจะได้รับความเห็นใจจากชายคร้ามแดดที่อายุน่าจะราวๆ สี่สิบปีคนนี้

“บ้านจัดสรรก็อย่างนี้แหละคุณ มองไปทางไหนก็เหมือนกันหมด” ชายคร้ามแดดเอ่ยแล้วยิ้มเยาะอย่างอิจฉาคนมีเงินพวกนี้ที่ได้อยู่บ้านราคาแพงๆ แต่ก็มีตำหนิที่ไม่ได้งดงามโดดเด่นอยู่หลังเดียว

“ว่าแต่ลุงทำงานอยู่ที่นี่หรือคะ” พลับพลึงถือโอกาสเอ่ยถาม หวังเต็มที่ว่าน่าจะได้เบาะแสอะไรบ้าง และได้รับรอยยิ้มย่องของชายคร้ามแดดกลับมาพร้อมกับคำตอบที่ภาคภูมิใจยิ่ง

“แม่หนูนี่ตาถึงนะ ใช่ ลุงทำงานอยู่ที่นี่ เป็นคนสำคัญที่นายฝรั่งไว้ใจที่สุดเลยล่ะ” ชายคร้ามแดดเชิดหน้าอวดโอ้ ดวงตาแก่ชรานั้นวาวขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“หรือคะ! แต่เอ๊ะ ทำไมเหมือนไม่มีใครอยู่เลยล่ะคะ” พลับพลึงแสร้งถาม

“ก็ไม่มีนะสิ นายฝรั่งยังอยู่ต่างประเทศอยู่เลย ทั้งๆ ที่กำหนดกลับน่ะอาทิตย์ที่แล้วแล้วนะ” ชายคร้ามแดดเองก็สงสัยปนงอนที่นายฝรั่งที่เคยตรงต่อเวลาและเชื่อถือคำพูดได้คราวนี้กลับหายไปเฉยๆ
“งั้นหรือ” พลับพลึงยกมือขึ้นเกาคางอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชายคร้ามแดดเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดนั้น

“อ๋อ...เปล่าค่ะ แค่สงสัยว่า บ้านหลังใหญ่แต่ทำไมถึงไม่มีใครอยู่”

“อ๋อ..นายฝรั่งแกเป็นหนุ่มโสด หล่อเชียวล่ะครับ แต่แกบ้างาน ลุงทำงานอยู่ที่นี่ก็นานยังไม่เคยเห็นแกพาผู้หญิงที่ไหนมาที่บ้านเลยนะ ลุงยังแปลกใจเลยว่า นายฝรั่งเองก็รู้จักมักจี่กับบ้านคุณปิติแล้วทำไมถึงไม่มางานแต่งงานคุณพิมพ์”

“หรือคะ”
ถ้าอย่างนั้นข้อสันนิษฐานนี้ก็ตกไป...

“ขอบคุณนะคะลุง หนูไปก่อนล่ะ”
พลับพลึงเดินหน้าม่อยด้วยความผิดหวังกลับทางเดิม ก่อนจะถอนหายใจเมื่อเห็นรั้วที่ทำให้เธอหัวทิ่มเมื่อกี้นี้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอล้มเลิกที่จะกระโดดข้ามมันอีกครั้ง

“จะทำอะไรครับคุณ!” ชายคร้ามแดดร้องขึ้นด้วยความตกตะลึง ที่หญิงสาวในชุดไทยอ้อนแอ้นกำลังจะเล่นกายกรรมกระโดดข้ามรั้ว
“เดี๋ยวก็สะดุดรั้วหัวร้างข้างแตกหรอกครับ ไปทางโน้นดูกว่า”

พลับพลึงมองตามมือหยาบกร้านที่บอกถึงการทำงานหนักมามากแล้วยิ้มเขินอย่างขอบคุณ ให้ตายเถอะ ทำไมเธอไม่เห็นร่องรั้วขาดตรงนั้นนะ
“กลับทางโน้นดีกว่ามั้ยครับ นี่ผมกำลังจะซ่อมรั้วที่พังอยู่พอดี”

พลับพลึงมองตามคำบอกกล่าวของลุงเฝ้าบ้าน เธอหันไปยิ้มแหยๆ ขอบคุณ ให้ตายเถอะ ก่อนจะข้ามมาฝั่งนี้น่าจะเห็นบริเวณรั้วพังจะได้ไม่จับกบกลางวันแสกๆ




หญิงสาวไม่รอช้ารีบนำชิ้นส่วนของเสื้อที่คาดว่าจะเป็นของลูกพี่ลูกน้องขึ้นไปข้างบนห้องแต่งตัว ซึ่งทุกคนในครอบครัวการพาณิชย์รวมตัวอยู่ในห้องนั้นรวมถึงช่างแต่งหน้าทำผมที่มาเก้อตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่

“ยายพลับ! เป็นไงบ้าง ได้เรื่องหรือเปล่า” พิลาวรรณรีบถามเสียงตื่นเต้น แม้ความหวังที่จะเจอลูกสาวนั้นริบหรี่เต็มที
“เราคงหมดหวังแล้วล่ะค่ะ แต่ว่า...นี่ค่ะ” พลับพลึงรีบยื่นเศษผ้าลินินที่เธอจำได้แม่นว่าเป็นของใครขึ้นให้ทุกคนดู ปิติรีบหยิบชิ้นผ้าจากมือหลานสาวไปพินิจแต่กลับเป็นพิลาวรรณที่ร้องขึ้นพร้อมกับกระชากเศษผ้าลินินในมือสามีไปพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด

“นี่มันเศษเสื้อของยายพิมพ์นี่ ฉันจำได้ พลับพลึงแกได้มันมาจากไหน” พิลาวรรณเอ่ยถามเสียงร้อนรน
“จากต้นไม้ริมรั้วค่ะ และหนูคิดว่า พิมพ์ไม่ได้คิดหนีไปเอง แต่อาจจะถูกลักพาตัว ไม่ทราบว่าคุณลุงกับคุณป้ามีศัตรูที่ไหนหรือเปล่าคะ”
ลักพาตัว!

หลายเสียงในห้องอุทานขึ้นพร้อมกัน ก่อนดวงตาแก่ชราของพิลาวรรณจะค่อยๆ หรี่ลงพร้อมกับลำตัวที่อ่อนแรง โชคดีที่ปิติคว้าตัวไว้ได้ทันและดึงตัวภรรยาเข้ามาซบอก

“ไม่มีหรอก” พิลาวรรณเด้งตัวออกจากอกของสามีที่ลูบไหล่ปลอบโยนให้หายจากอาการวิงเวียนตอบรวดเร็ว นอกจากหนี้สินที่กู้ยืมมาจากธนาคารที่ยังไม่ได้ชำระหล่อนกับสามีก็ไม่มีปัญหาอะไรกับใคร และเรื่องหนี้สินนี้ก็ไม่น่าใช่ปัญหาเพราะหลังจากแต่งงานหนี้ก้อนนี้ก็จะถูกปลดระวางเช่นกัน และที่สำคัญ หนี้สินที่หล่อนกับสามีกู้ยืมมานี้ก็เป็นธนาคารในเครือของว่าที่ลูกเขย ซึ่งชายหนุ่มก็รับปากว่าจะจัดการให้ตามที่ได้ตกลงกันไว้ และเป็นไปไม่ได้ที่ว่าที่ลูกเขยจะลักพาตัวลูกสาวของหล่อน เพราะการแต่งงานครั้งนี้เป็นข้อเสนอจากฝ่ายชาย

“แล้วใครกันที่คิดจะทำอย่างนั้น” ปิติขบกรามทั้งโกรธเกรี้ยวและสงสารลูกสาวจับใจ
“เรื่องนี้หนูไม่ทราบค่ะ หนูรู้แค่ว่า เรื่องนี้พิมพ์ไม่ผิด” พลับพลึงเอ่ยเข้าข้างน้องสาวเต็มที่

เรื่องการหายตัวไปของพิมพ์พรรณดูเหมือนจะเป็นเรื่องรองไปในตอนนี้เมื่อก้มลงดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือตัวเอง ดวงตาทุกคู่ในห้องนั้นเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก

“คุณคะ!” พิลาวรรณร้องขึ้นอย่างอยากรู้ว่าสามีจะทำอย่างไรต่อไปดี หัวใจเต้นไม่ต่างเสียงกลอง หากว่าฝ่ายโน้นรู้เรื่องนี้เข้าหนี้สินที่คาดว่าจะถูกปลดปล่อยก็เป็นอันล้มครืน ซึ่งหล่อนจะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดหล่อนก็จะต้องทำให้มีงานแต่งงานเกิดขึ้นให้ได้
“เราไม่มีทางเลือก” ปิติขบกรามเอ่ยเสียงเข้ม หลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม เห็นทีคงต้องยอมเป็นบุคคลล้มละลายอย่างเลี่ยงไม่ได้
“มีสิคะ” พิลาวรรณเสียงตื่นเต้น สูดลมหายใจเข้าปอดแล้วเบือนสายตาไปทางหลานสาวอย่างหมายมาด

“ช่วยลุงกับป้าด้วยนะพลับพลึง”
หญิงสาวผู้ถูกทุกสายตาในที่นั้นจับจ้องอย่างขอร้องแกมบังคับได้แต่เบิกตาแล้วส่ายหน้าเมื่อรู้ว่า ป้าของเธอหมายถึงเรื่องอะไร!






แก้วมุกดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ต.ค. 2556, 09:48:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ต.ค. 2556, 09:48:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1584





<< พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 2   พ่ายพรหมลิิิขิต ตอนที่ 4 >>
แก้วมุกดา 14 ต.ค. 2556, 09:48:56 น.
ขอขอบคุณทุกๆ กำลังใจนะคะ^^


mhengjhy 14 ต.ค. 2556, 10:55:40 น.
เอ้า พลับพลึง ลุย!

ดูไม่น่าลุยเท่าไรเลย 55


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account