พ่ายพรหมลิขิต
พลับพลึงทำงานด้านสถาปัตย์ประจำอยู่ที่เชียงใหม่วันหนึ่งเธอได้รับมอบหมายงานให้ออกแบบบ้านพักของธนดลโดยไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งเธอกลับต้องมารับบทเจ้าสาวของเขาเนื่องจากญาติผู้น้องซึ่งเป็นลูกสาวของป้าหนีออกจากบ้านก่อนวันแต่งงานหนึ่งวัน ด้วยเสียงขอร้องแกมบังคับของป้าและลุงทำให้พลับพลึงไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะหากเธอปฏิเสธป้าก็อ้างว่าหล่อนกับสามีจะต้องถูกอีกฝ่ายฟ้องจนถึงขั้นล้มละลาย เพราะนอกจากธนดลจะเป็นเจ้าบ่าวแล้วยังเป็นเจ้าหนี้อีกด้วย พลับพลึงจำยอมตกเป็นเจ้าสาวสำรองจนกว่าปิติและพิลาวรรณจะนำเงินมาชดใช้หนี้สินได้หมด และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายของคนสองคน....
Tags: รักหวานซึ้ง

ตอน: พ่ายพรหมลิิิขิต ตอนที่ 4

4
“ไม่มีเวลาแล้ว คิดซะว่าป้าขอร้องนะยายพลับ ถ้าบอกว่าป้าล้ำเลิกบุญคุณก็ได้ เอ้า…”

พิลาวรรณมองหลานสาวอย่างอ้อนวอนแกมบังคับ เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะไม่ต้องถูกฟ้องล้มละลาย หล่อนไม่รอให้พลับพลึงได้นึกคิดนานนักก็จูงมือหลานสาวที่ยังอึ้งอยู่กับคำขอร้องที่คาดไม่ถึงไปนั่งหน้ากระจกบานใหญ่พยักหน้าให้ช่างเสริมสวยจัดการแต่งหน้าทำผมให้สวยงามอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“แต่ป้าคะ ทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ” พลับพลึงค้านสุดเสียง
พยายามขืนตัวไว้ไม่ยอมนั่งลงที่เก้าอี้ พิลาวรรณต้องออกแรงอย่างมากรวมถึงช่างแต่งหน้าด้วยที่ถูกขอร้องให้บังคับหลานสาวให้นั่งลงให้ได้

“ป้าขอร้องล่ะพลับพลึง แค่เข้าพิธีหลอกๆ เท่านั้น รักษาหน้าของป้ากับลุงไว้ก่อนเถอะนะพลับนะ”
“แล้วฝ่ายโน้นจะยอมหรือคะ”

“ยอมสิ”
พิลาวรรณพยักพเยิดให้สามีรีบลงไปจัดการกับฝ่ายชายที่อาจจะเดินทางมาถึงแล้ว ส่วนหล่อนต้องรีบหว่านล้อมหลานสาวให้ได้โดยเร็ว
“เราน่าจะบอกความจริงกับพวกเขานะคะ ทำแบบนี้อาจจะเป็นเรื่องใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า อีกอย่างเขาต้องการแต่งงานกับพิมพ์ไม่ใช่หนู ถ้าเขาเห็นหนูเข้าต้องไม่พอใจมากแน่ๆ” พลับพลึงพยายามหว่านล้อมเพื่อหาทางเอาตัวรอดจากสภาพถูกบีบบังคับซึ่งไม่ต่างอะไรกับการคลุมถุงชน

“เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจหรอก ลุงจัดการได้ เชื่อป้านะพลับพลึง ถ้าวันนี้ไม่มีงานแต่งงานละก็...ลุงกับป้าตายแน่ แค่เข้าพิธีเท่านั้น เมื่อจบเรื่องป้าจะไม่บังคับอะไรแกอีกเลย นะพลับนะ ทำเพื่อป้าซักครั้งเถอะนะ”

พิลาวรรณอ้อนวอนไม่ขาดปากแต่เมื่อหลานสาวทำท่าว่าจะไม่รับคำอ้อนวอนก็เริ่มใช้ไม้แข็ง
“แกไม่ทำก็ได้! ช่างเถอะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปแล้วกัน ฉันมันคนมีกรรม มีลูกลูกก็หนีไป มีหลานที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออดก็อกตัญญู รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากให้ตายไปตั้งแต่เล็กก็ดี”

แล้วยกมือขึ้นกรีดน้ำตาออกจากหางตาร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยน
“ป้าคะ…”

“แกไม่ต้องพูดแล้ว ไปเถอะ แกจะไปไหนก็ไป ชิชะ มีลูกก็โชคร้าย มีหลานก็เนรคุณ โอ้ย...นี่ชีวิตฉันจะทำคุณไม่ขึ้นเลยหรือไงนะ”
พิลาวรรณสะบัดหน้าโกรธเคืองโชคชะตาแถมสายตาประชดประชันหลานสาวเต็มที่ พลับพลึงได้แต่ถอนหายใจเฮือกๆ เมื่อผู้มีพระคุณพูดถึงขนาดนี้จะไม่ยอมช่วยเหลือได้อย่างไร ตั้งแต่พ่อกับแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่เธอยังไม่จบชั้นประถมก็ได้ป้าแท้ๆ นี่แหละอุปการะเลี้ยงดูไม่แต่งลูกสาวจนเรียบจบปริญญาตรี

“ก็ได้ค่ะ แค่เข้าพิธีเท่านั้นใช่มั้ยคะ”
พิลาวรรณหันขวับกลับมารวบมือบางของหลานสาวทั้งสองข้างมากุมไว้ด้วยความตื่นเต้นยินดี
“ใช่จ้ะหลานรัก ขอบใจมากนะพลับพลึง”

พลับพลึงพยักหน้ายิ้มแกนๆ แม้จะรู้สึกสงสัยนักหนาว่าเหตุใดป้าของเธอถึงต้องร้อนรนนักกับเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ ทำราวกับว่า ถ้างานแต่งงานวันนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ป้าจะต้องถูกเข่นฆ่าอย่างนั้น แล้วยังการเปลี่ยนตัวเจ้าสาวง่ายๆ อีกล่ะ หรือว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความรักของคนทั้งคู่ แต่จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะ เวลานี้เธอควรทำตัวให้สบายยอมนั่งเป็นหุ่นให้ช่างแต่งหน้าละเลงสีและคอยฟังเสียงกำกับของป้าก็พอ

ปิติรีบปรี่เข้าไปหาชายหนุ่มซึ่งเพิ่งก้าวลงจากรถ ดึงตัวเขาออกมาจากข้างรถนิดหนึ่งแล้วกระซิบกระซาบโดยไม่สนใจสายตาที่จ้องมองด้วยความสงสัยของหลายๆ คนที่ก้าวลงจากรถพร้อมๆ กัน

“มีอะไรหรือครับคุณปิติ” เจ้าบ่าวของวันนี้เอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าตื่นๆ ของว่าที่พ่อตา ในใจภาวนาว่าอย่าให้เป็นเรื่องร้ายแรงเลย เขาต้องการให้งานแต่งงานครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น

“มีปัญหานิดหน่อยครับ”
“คงไม่ใช่เจ้าสาวหายตัวไปหรอกนะครับ”

เจ้าบ่าวเอ่ยแกมประชด เพราะมันไม่มีทางเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ประมาณเดือนหนึ่งเห็นจะได้เขาได้มีโอกาสพูดคุยและทานข้าวกับว่าที่เจ้าสาวเอ่ยถามความสมัครใจของหญิงสาวมาบ้างแล้ว และฝ่ายหญิงก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจรังงอนอะไร ที่เขาชอบมากเห็นจะเป็นความหัวอ่อนและมารยาทเรียบร้อยของเธอ ทำให้มั่นใจได้ว่าหลังแต่งงานสิ่งที่เขาคาดหวังไว้จะเป็นไปในทิศทางที่ราบรื่น

“เอ่อ...คุณรู้ได้ยังไงครับ” ปิติอุทาน ราวว่าชายหนุ่มมีตาทิพย์หูทิพย์ ปากพระร่วงจริงๆ ปิตินึกในใจ

“อะไรนะ!” คนปากพระร่วงปั้นหน้าเคร่งมองปิติเค้นเสียงเอ่ยถาม

“พิมพ์หายตัวไปครับ ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่รับรองได้ว่าเรื่องนี้พิมพ์พรรณไม่ใช่ตัวการแน่นอนครับ” ปิติทั้งแก้ตัวทั้งยืนยันหนักแน่น
“แล้วที่คุณมาบอกผมนี่…”

“ไม่ต้องห่วงนะครับ งานนี้ต้องมีเจ้าสาวแน่นอนครับ”

“นี่คุณปิติ หมายความว่าไง มีเจ้าสาวแน่นอน คุณเห็นผมเป็นอะไรที่จะจับใครใส่ชุดเจ้าสาวมาเข้าพิธีกับผมก็ได้” ชายหนุ่มเค้นเสียงเดือดดานแต่หากจะให้ยกเลิกงานแต่งงานก็คงไม่ได้เช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นก็เข้าทางแม่เขา เพราะแม่ของเขาไม่ได้เห็นด้วยกันการแต่งงานครั้งนี้ซักเท่าไหร่
“เธอหายไปได้ยังไง แล้วทำไมต้องหนีด้วย”

ดวงตาคู่คมแทบจะเผาคนตรงหน้าด้วยความโกรธ ที่ลูกสาวของปิติกล้าหักหน้าถึงเพียงนี้ เห็นเงียบๆ เรียบร้อยอย่างนั้นนึกว่าไม่มีพิษมีภัย ที่ไหนได้ ดื้อเงียบนี่นา
“ผมว่าเอาไว้คุยกันอีกทีหลังพิธีแต่งงานดีกว่านะครับ”

ปิติมองผ่านร่างชายหนุ่มไปยังบุคคลสำคัญที่ยืนอยู่หน้าบ้าน ชายหนุ่มเหลือบตามองนิดหนึ่งแล้วหันกลับมาสบตาวาวคนที่ต้องพินอบพิเทาตรงหน้า
“ผมคิดว่ามันไม่คุ้มกับการลงทุนซะแล้วสิคุณปิติ”

“อย่าเพิ่งด่วนสรุปสิครับ ได้โปรดฟังผมอธิบายก่อน” ปิติพยายามยื้อเวลา
ขอแค่ชายหนุ่มยอมรับฟังในสิ่งที่เขาจะบอกต่อไปนี้เท่านั้น

ชายหนุ่มหรี่ตามอง ความมุ่งมั่นที่จะบอกอะไรบางอย่างกับเขาทำให้ต้องหยุดความโกรธเพื่อรอฟังคำอธิบาย แน่นอนว่าหากสิ่งที่ได้ยินได้ฟังต่อไปนี้ไม่เข้าหู ปิติเตรียมตัวถูกยึดทรัพย์ได้เลย
“ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนตัวเจ้าสาวครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อคุณที่สุดครับ”

ปิติหยุดมองดูปฏิกิริยาของชายหนุ่มเล็กน้อยก่อนบอกกล่าวถึงข้อแลกเปลี่ยนใหม่ที่ต้องมีการเปลี่ยนตัวเจ้าสาวในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าในตอนแรกเจ้าบ่าวที่เพิ่งมาถึงมีท่าทีไม่พอใจเลยแต่เมื่อรู้ข้อแลกเปลี่ยนใหม่ก็ยิ้มพอใจ แม้ว่าในรอยยิ้มนั้นจะปนความไม่พอใจอยู่พอสมควรที่อีกฝ่ายเล่นตุกติก นี่ละมั้งที่เขาเรียกว่า 'กรรมตามสนอง' แต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากติดใจเอาความในเมื่อข้อเสนอใหม่นี้ตนได้เปรียบก็พร้อมจะเดินหน้าต่อไป เมื่อเข้าใจทุกอย่างตรงกันแล้วเจ้าบ่าวก็เดินกลับเข้าสู่ขบวนส่วนปิติก็พาความโล่งอกเข้าไปข้างในเพื่อรอต้อนรับขบวนขันหมากทันที

“มีอะไรหรือเปล่า” ลลนาเอ่ยถามลูกชายเมื่อเดินกลับเข้ากลุ่ม อดที่มองเลยผ่านไปถึงว่าที่พ่อตาของลูกชายไม่ได้ เวลาอย่างนี้ปิติน่าจะอยู่ข้างในมากกว่าออกมากระซิบกระซาบอยู่ข้างนอก

“ไม่มีอะไรหรอกครับ เราเข้าไปเถอะ” ชายหนุ่มหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามใดๆ ในตอนนี้ เขายิ้มฝืนๆ กับมารดา
“เดี๋ยว จริงหรือ” ลลนารั้งแขนลูกชายไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ไปเถอะคุณ เดี๋ยวเสียฤกษ์” ธเนศเอ่ยชวนตัดบทช่วยลูกชาย
“แต่คุณคะ”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ครับแม่ เข้าไปข้างในเถอะครับ” ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง แล้วเดินนำหน้าเข้าไปข้างในโดยไม่คิดจะสนใจท่าทางฮึดฮัดของใครทั้งนั้น




ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนงดงามและแขกเหรื่อหน้าตายิ้มแย้ม แม้แขกจะไม่มากเท่ากองทัพนักข่าวที่กรูกันเข้ามาตั้งกล้องจ่อรอถ่ายภาพคู่บ่าวสาว แต่ก็ถือว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่และคนมีชื่อเสียงที่สนิทชิดเชื้อของทั้งสองฝ่าย แต่ส่วนมากจะเป็นแขกของปิติและพิลาวรรณเสียมากกว่า กองทัพนักข่าวเองก็เช่นกัน ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่พิลาวรรณติดต่อให้มา เพราะฉะนั้น งานนี้ถึงล้มไม่ได้ เจ้าสาวจำเป็นถอนหายใจยาวเดินตาลอยๆ อย่างคนไร้ชีวิตตามมือที่เชื้อเชิญของผู้ช่วยซึ่งกินตำแหน่งช่างแต่งหน้าก่อนหน้านี้ คนหน้าบอกบุญไม่รับฝืนยิ้มเมื่อช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองกระซิบกระแซะแตะตัว แน่ล่ะ ขืนทำหน้าบอกบุญไม่รับแขกเหรื่อจะได้ตื่นตระหนกแทนนะสิ เมื่อเห็นหน้าเธอทุกคนคงฉงนกันบ้างล่ะ เพราะแขกที่มาวันนี้ไม่น้อยเลยที่รู้จักพิมพ์พรรณ ต่อให้หน้าเหมือนกันแค่ไหนก็เถอะ เสียงปรบมือต้อนรับเจ้าสาวดังขึ้นพร้อมเสียงฮือฮาและแสงแฟลตที่รัวกระหน่ำ เมื่อก้าวลงจากบันไดชั้นบนเสียงแซ่ซ้องชื่นชมก็เปลี่ยนเป็นซุบซิบ คาดว่าหลายคนคงยังไม่รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเจ้าสาว แต่หารู้ไม่ว่าคนที่ตกใจที่สุดในงานนี้ก็คือ...เจ้าบ่าว เจ้าสาว นั่นเอง

สองสายตาประสานกันเบิกกว้างที่สุดในชีวิต พลับพลึงถึงกับลืมตัวยกมือขึ้นชี้หน้าเจ้าบ่าว ปากบางสีชมพูนั้นอ้าค้างอย่างคาดไม่ถึง เช่นเดียวกับเจ้าบ่าวที่เบิกตากว้างแต่ก็ยังควบคุมตัวเองได้ดีกว่าเจ้าสาวมากเพราะเขาสามารถทำตัวเองให้นิ่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งสองเดินเข้าไปหากันช้าๆ ตามคำสั่งของผู้ใหญ่ หากแต่สายตาสองคู่นั้นไม่ได้ละจากกันเลย ต่างก็สงสัยว่าทำไมต้องเป็นอีกฝ่าย ทำไมโลกถึงได้กลมอย่างนี้ จนถึงตัวพลับพลึงถึงได้อุทานออกมาเบาๆ

“คุณ!”
เธอเหลือบตามองรอบๆ เมื่ออีกฝ่ายจ้องหน้าแต่เขากลับนิ่งมากแล้วจึงเอ่ยถามต่อ
“เป็นคุณได้ไง”

ยังไม่ทันที่เจ้าบ่าวจะได้ตอบอะไรลลนาที่หน้าบึ้งตั้งแต่ออกจากบ้านก็เอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
“นี่หลานสาวคุณหรือ”

หน้าตาสะสวยอยู่หรอก แต่สีหน้าบอกชัดว่าไม่เต็มใจ ลลนาพินิจพิจารณาตั้งแต่หัวจรดเท้า บอกตามตรงดูอย่างไรก็ไม่ถูกชะตา
“ครับ หลานสาวฝ่ายภรรยาน่ะครับ แต่เราก็รักเหมือนลูกเพราะเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก รับรองได้ครับว่าพลับพลึงเป็นเด็กดี”
แต่จะว่านอนสอนง่ายด้วยหรือเปล่าปิติก็ไม่กล้ายืนยัน ปิติไม่ได้ใส่ใจกับคำถามของลลนาเท่าไหร่ แต่สนใจเจ้าบ่าวที่ยืนนิ่งอยู่นั้นมากกว่า

“คุณดลคงไม่...”
“ไม่หรอก ผมไม่มีปัญหา”

ลลนามองขวับที่ลูกชาย เพราะไม่นึกว่าลูกชายจะไม่รู้สึกอะไรกับการเปลี่ยนตัวเจ้าสาวอย่างกระทันหันแบบนี้ นางกำลังจะค้านแต่ถูกธเนศคว้าแขนไว้แล้วกระซิบเบาๆ
“ดลตัดสินใจแล้ว”

“แต่ว่า...”
ลลนายังคงจะค้านเพราะไม่เคยเห็นด้วยกันการแต่งงานครั้งนี้ตั้งแต่แรก แต่เมื่อธเนศส่ายหน้าแกมบังคับผู้เป็นภรรยาก็ยอมลดละหากแต่ยังสะบัดเสียงหายใจพรืดให้ได้ยิน

เมื่อทุกคนไม่คัดค้านพิธีการก็ดำเนินต่อไปได้ งานแต่งงานครั้งนี้คงมีเพียงเจ้าสาวเท่านั้นที่ค้านอยู่ในใจลำพัง
'แต่ฉันมี' หากแต่เสียงค้านนั้นดังเพียงในใจหญิงสาวที่แอบถอนหายใจฮึด สุดท้ายพลับพลึงก็ต้องจนใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงฟ้าผ่าครั้งนี้




หลังพิธีแต่งงานแบบเรียบง่ายผ่านพ้นธนดลยืนอยู่หน้าเตียงมองหญิงสาวในชุดไทยจักรีสีครีม พลับพลึงถลึงตาใส่ทันทีเมื่อได้ยินเสียงระอาจากในลำคอของอีกฝ่าย ผู้ชายผิวขาวอมเหลือง ใบหน้ารูปไข่หากแต่มีกรามนิดๆ จมูกโด่งเป็นสันรับกับปากหยักหนา รูปตารียาวหากแต่ไม่เล็กประกบกับคิ้วหนาเข้ม ดูอย่างไรก็หล่อและมาดดี แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พลับพลึงเคลิบเคลิ้มไปได้เมื่อเขาทำกิริยาอย่างนั้น มันช่างไม่ต่างจากวันแรกที่พบเขาที่ล็อบบี้โรงแรมนั่นเลย

“ทำไมเป็นคุณ”
พลับพลึงเชิดหน้าเมื่อได้ยินคำถามค่อนข้างเบา พลับพลึงเยาะ ที่แท้เขาก็สงสัยเช่นกันแต่เขาก็เก่งที่รอจนเสร็จพิธีแล้วถึงได้เอ่ยถาม
“ว่าไง”
“คุณลุงคุณป้าไม่ได้บอกอะไรคุณหรือไง” เธอย้อน

“บอก แต่ผมอยากรู้จากปากคุณ ก็คงพอๆ กับที่คุณอยากถามผมนั่นแหละ” อีกฝ่ายก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
“ฉันเองก็อยากรู้ว่าทำไมผู้ชายของน้องสาวฉันถึงเป็นคุณ อ้อ...ที่คุณบอกว่า อาทิตย์นี้ไม่ว่างก็คงเพราะเรื่องนี้”
“ก็คงเหมือนคุณ”

“ไม่เหมือน เพราะฉันไม่ได้ตั้งใจมาแต่งงาน ฉันแค่...จะมาร่วมงาน”
แต่ตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นเจ้าสาวเฉยๆ ประโยคหลังได้แต่พูดกับตัวเองเท่านั้น
“จะเหมือนหรือไม่เหมือนคุณก็ได้เข้าพิธีกับผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

“ก็แค่พิธีกำมะลอ ว่าแต่ทำไมป่านนี้ป้าถึงยังไม่มาอีกนะ” พลับพลึงกลบเกลื่อนความอึดอัดด้วยการชะเง้อคอรอญาติของทั้งสองฝ่ายเข้ามาในห้องหออีกครั้ง ระหว่างรอพลับพลึงก็วกเข้าสู่คำถามอีกครั้ง “ว่าไง คุณยังไม่ตอบคำถามฉันเลย”
“ถามว่าไงล่ะ”

“เอ๊ะ คุณนี่ กวนนะ”
ธนดลแค่นหัวเราะ เขานี่นะกวน ก็ไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนนี่ก็ต้องถามสิ
“ก็ได้ งั้นฉันถามใหม่ คำถามแรก ทำไมเจ้าบ่าวน้องสาวฉันถึงเป็นคุณ แล้วพวกคุณรักกันจริงๆ หรือเปล่า ถ้ารักกันทำไมถึงเกิดเรื่องบ้าๆ นี้ขึ้นได้”

ธนดลถอนหายใจ นี่แม่คุณหายใจทางเหงือกหรือเปล่า ถึงได้ปล่อยคำถามมาเป็นชุด
“น้องสาวคุณ ป้า ลุงคุณ ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังบ้างหรือไง”

พลับพลึงค้อน ถ้าเล่าจะมาถามหาพระง้าวพระแสงอะไรล่ะ ก็เพราะไม่ได้เล่านะสิ
“เปล่า ฉันไม่ค่อยอยู่บ้านน่ะ อีกอย่าง ฉันก็เพิ่งรู้ข่าวว่าพิมพ์จะแต่งงานเมื่อไม่กี่วันนี้เอง ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นบอกว่ามีคนรัก”
ดีนะ เป็นพี่น้องที่รักกันจริงเหลือเกิน เรื่องในบ้านปิดบังกันหมด ธนดลประชดคนตระกูลฝ่ายหญิงในใจ

“ผมจะแต่งงานกับน้องสาวคุณเพราะอะไรผมคงไม่จำเป็นต้องบอกคุณ ส่วนเรื่องบ้าๆ ที่คุณหมายถึง ผมเองก็ไม่รู้ แต่เรื่องที่ผมจะบอกคุณได้ก็คือ เราจะต้องแต่งงานกัน อยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็จนกว่าจะแน่ใจว่าคนในสังคมจะไม่เอาเรื่องนี้ไปนินทา หรือที่คนโบราณเรียกว่า 'หม้อข้าวดำ' ซะก่อน”

“ว่าไงนะ!” พลับพลึงอุทาน “ไม่ได้นะ เราจะแต่งงานกันจริงๆ ไม่ได้ นี่ลุงกับป้าคุยกับคุณยังไงเนี่ย”
คนโวยวายชะเง้อคอมองหาที่พึ่งก่อนจะตกลงเข้าพิธีลุงกับป้าไม่ได้พูดแบบนี้นี่
“เรื่องนี้คุณคงต้องคุยกับลุงกับป้าคุณเองแล้วล่ะ”

ธนดลอยู่ในท่าทางเรียบเฉย แค่มองไปที่ประตูที่กำลังจะถูกเปิดออก พลับพลึงเสียอีกที่หันขวับไปเห็นประตูห้องกำลังจะเปิดออกก็เปิดตารอ หัวใจเต้นแรงอย่างลุ้นระทึก
“ป้า...พลับออกไปได้แล้วใช่มั้ยคะ”

พลับพลึงรีบปรี่เข้าไปเกาะแขนพิลาวรรณเพื่อทวงสัญญา แต่ก่อนจะออกไปจากห้องก็อดไม่ได้ที่จะหันไปถลึงตากับคนที่เคยร่วมพิธี แต่จะออกฤทธิ์ออกเดชมากไปก็ไม่ดีเพราะเดือนหน้าเธอกับเขายังต้องเจอกันอีกเรื่องแบบบ้าน แต่ก็ไม่แน่หรอกว่า หลังจากงานแต่งกำมะลอนี้จบลงเขาอาจจะไม่อยากให้เธอทำบ้านต่อแล้วก็ได้ สวรรค์...ช่างใจร้ายนัก โยนแต่เรื่องวุ่นวายให้ไม่หยุดหย่อน จะกลั่นแกล้งคนอาภัพไปถึงไหน พลับพลึงตีอกชกลมหาแพะไปเรื่อย

“ว่าไงคุณพิลาวรรณ มีแต่พวกเราแล้ว ทีนี้จะบอกได้หรือยังว่าลูกสาวคุณหายไปไหน”
ลลนาไม่สนใจเสียงนกเสียงกาที่เจื้อยแจ้วร้องขออิสรภาพ กลับสบตาแล้วเบือนหนีจากพิลาวรรณก่อนจะเริ่มต้นคำถามที่เสียดแทงหัวใจของผู้เป็นพ่อแม่ด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งและดูแคลน

“ผมก็ไม่รู้ว่ายายพิมพ์หายตัวไปได้ยังไงครับ”
เป็นปิติที่ตอบคำถามแทนภรรยาซึ่งสีหน้าไม่สู้ดี ซึ่งไม่ว่าใครจะเป็นผู้ตอบคำถามสำหรับครอบครัวของปิติแล้วคงไม่ต่างกัน
“คุณจะตอบแบบกำปั้นทุบดินแบบนี้ไม่ได้นะคุณปิติ แบบนี้ครอบครัวฉันเสียหาย เห็นมั้ยตาดลแม่บอกแล้วว่าไม่ให้แต่งกับผู้หญิงคนนี้ลูกก็ไม่เชื่อ เป็นไงล่ะ ทำเราเสียหน้าจนได้ โอ้ย! แล้วทีนี้จะเอาหน้าไปไว้ไหน จะตอบแขกเหรื่อว่ายังไง”

ลลนาพาลไปหมด ด้วยเหตุที่ไม่ชอบครอบครัวของปิติเป็นทุนเดิม นี่ดีนะที่แขกฝ่ายตนไม่มาก แต่แม้จะมีแขกแค่คนเดียวเรื่องแบบนี้ก็สามารถอื้อฉาวได้ แล้วไหนจะกองทัพนักข่าวที่พิลาวรรณขนมาอีกเล่า ได้เป็นข่าวใหญ่กันสมใจล่ะทีนี้

“พอเถอะคุณลลนา ฟังลูกดีกว่านะ เอ้า...ว่าไงตาดล เราจะเอาไง” ผู้เป็นพ่อส่งการตัดสินใจทั้งหมดให้ลูกชาย งานนี้จะเลิกหรือล้มขึ้นอยู่กับธนดลแล้ว

“งานแต่งงานก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ผมไม่ถือหรอกว่าใครจะเป็นเจ้าสาว เพราะอย่างไรเสียก็เป็นญาติของคุณปิติ จริงมั้ยครับ” ประโยคหลังนี้ธนดลหันไปทางปิติ ซึ่งทำให้ปิติกลืนน้ำลายเหนียวลงคอเลยทีเดียว

“เอาเป็นว่าผมยินดีรับผู้หญิงคนนี้เป็นภรรยา”
“หา! ว่าไงนะ ไม่ได้นะ!” พลับพลึงปฏิเสธเสียงหลง ชายหนุ่มจะทำแบบนั้นไม่ได้จึงหันไปอ้อนวอนผู้เป็นป้า “ป้าคะ”

‘ป้าคะ’ กำลังลมจะใส่ซึ่งไม่ต่างอะไรกับลลนาที่โงนเงนจะเป็นลมเช่นเดียวกัน ลลนาเกือบจะกรี๊ดออกมาด้วยความโมโหกับการตัดสินใจแบบสิ้นคิดของลูกชาย ไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับธนดลถึงได้ฝังชีวิตทั้งชีวิตไว้กับผู้หญิงที่ไม่รู้จัก

“แม่ไม่ยอม! ยังไงแม่ก็ไม่ยอม!” ลลนาเสียงแข็งเข้ม ดูจากแววตาก็รู้ว่า ลูกสะใภ้รายนี้ไม่ยอมคน ดวงตางี้แข็งกร้าวเชียว ต่างจากพิมพ์พรรณที่ดูอ่อนโยน ยอมคน ที่ยอมให้แต่งงานเพราะคิดว่าคงจะควบคุมลูกสะใภ้ได้ไม่ยาก บีบๆ ไปซักพักคงทนไม่ไหวร้องขอหย่า แต่รายนี้ไม่เหมือนกัน ดูสู้คนมากกว่า ลลนาขบกรามเม้มปากถลึงตามองพิลาวรรณ

“นี่เป็นแผนของเธอหรือเปล่ายะ อ้อ...คงรู้สิว่าฉันไม่ปลื้มลูกสาวถึงสร้างสถานะการณ์เปลี่ยนตัวเจ้าสาว เจ้าเล่ห์!”
“เปล่านะคะ ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเลย พิมพ์หายตัวไปจริงๆ ค่ะ ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะกลัวพวกคุณจะเสียชื่อเสียงไปด้วย” พิลาวรรณรีบอธิบาย

“ก็ยังดีที่คิดได้” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังแบะปากให้ ลลนาเดินเข้าไปเกาะแขนลูกชายเหลือบหางตามองลูกสะใภ้หมาดๆ “แม่ยอมเสียชื่อเสียงนะดลถ้าลูกจะยกเลิกงานแต่งงานครั้งนี้”

ไม่ใช่แค่ลลนาเท่านั้นที่รอลุ้นคำตอบของชายหนุ่ม แม้แต่พลับพลึงก็เกือบจะกลั้นหายใจกับคำตอบที่กำลังจะหลุดออกมาจากปากชายหนุ่ม เธอกลืนน้ำลายจ้องตาชายหนุ่มเป็นเชิงอ้อนวอนอย่างที่สุด
“ผมตัดสินใจแล้วครับแม่ เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วคงยกเลิกไม่ได้”

เสียงห้าวนั้นดับความหวังของทุกคนลงทันที มีเพียงปิติเท่านั้นที่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อการแต่งงานไม่ถูกยกเลิก เงินที่เขากู้ธนาคารมาก็ต้องถูกชดใช้ตามนั้น แต่มันคงไม่ง่ายนัก เพราะก่อนหน้านี้ได้มีข้อแม้ใหม่เกิดขึ้นก่อนที่เงินสิบห้าล้านที่กู้ยืมไปนั้นจะหายจากตัวแดง
“ตามนั้นค่ะคุณดล”

“ป้าคะ!” พลับพลึงอุทาน
ป้าแท้ๆ พูดแบบนั้นได้อย่างไร ก็ไหนตอนแรกบอกว่าแค่เข้าพิธีหลอกๆ ไง พลับพลึงน้ำตารื้นด้วยความผิดหวัง
“ป้าขอโทษนะพลับพลึง ป้าไม่มีทางเลือกจริงๆ” พิลาวรรณเสียงอ่อนเครือให้น่าสงสารที่สุด

“ดูเหมือนว่าป้าหลานจะมีเรื่องต้องคุยกัน เราออกไปรอข้างนอกเถอะครับพ่อ ไปครับแม่ ผมเองก็มีเรื่องจะคุยกับแม่เหมือนกัน”
ทุกคนทยอยออกไปจากห้องจนเหลือแค่พลับพลึง พิลาวรรณและปิติ พลับพลึงที่ยืนหน้าแดงก่ำ โกรธเกรี้ยวจนหูตาฟ่าฟางจ้องเขม็งที่พิลาวรรณที่ปั้นหน้ายากอยู่และปิติที่เคร่งเครียดจนหัวคิ้วชนกัน

“ป้าทำแบบนี้ได้ยังไง” นี่ไม่ต่างอะไรกับขายหลานในไส้
“ป้าขอโทษนะพลับพลึงที่ต้องโกหก แต่ป้าก็ไม่นึกว่าคุณดลจะพอใจในตัวแก คิดซะว่าช่วยป้าซักครั้งนะพลับพลึง มีแต่แกคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยป้ากับลุงได้” พิลาวรรณรวบมือทั้งสองข้างของหลานสาวมากุมไว้ ส่งสายตาอ้อนวอนอย่างสุดซึ้ง
“หนูคงช่วยไม่ได้หรอกค่ะ นี่มันชีวิตทั้งชีวิตของหนูนะคะ ก็ไหนป้าบอกว่า แค่ผ่านพิธีไงคะ แล้วทุกอย่างจะถูกยกเลิก”
“โธ่...พลับ...” พิลาวรรณพยายามจะหว่านล้อม
“ไม่ค่ะ ยังไงหนูก็ไม่ยอม”
“เอ้อ...ให้มันได้อย่างนี้สิหลานฉัน ป้าเดือดร้อนจะเป็นจะตายแค่นี้ก็ช่วยไม่ได้ มีลูกก็ไม่ได้ดั่งใจ มีหลานก็อกตัญญูอีก”
“ป้าคะ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ ป้าให้หนูตอบแทนอย่างอื่นก็ได้”

เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่เอาชีวิตทั้งชีวิตมาเสี่ยงกับผู้ชายที่ไม่รู้จักหรอก
“แกคงมีเวลาตอบแทนฉันหรอก ถ้าไม่ใช่ครั้งนี้ แกคงต้องไปทดแทนบุญคุณฉันในคุกแล้วล่ะ หรือว่าแกมีเงินสิบห้าล้านล่ะ ถ้ามีแกก็ล้มงานแต่งครั้งนี้ได้เลย ว่าไง”

“ป้า!” พลับพลึงอุทาน ดวงตาเบิกโพลงตกใจ “มะ หมายความไงคะ”
“คุณ...” ปิติเข้ามาแตะแขนของภรรยาแต่ถูกพิลาวรรณสะบัด

“ถึงตอนนี้จะมีอะไรต้องปิดบังอีกละคะ ก็ดี บอกซะแต่วันนี้ ฉันเองก็อยากเห็นน้ำใจหลานเหมือนกันว่าจะกล้าปล่อยให้พวกเราติดคุกกันมั้ย”

“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ทำไมถึงต้องติดคุกด้วย” เจ้าสาวจำเป็นจ้องเอาคำตอบ หรือที่พิมพ์พรรณหนีไปจะเกี่ยวกับความคับข้องใจเรื่องนี้ด้วย “ว่าไงคะ ป้าคะ อย่าเงียบแบบนี้สิ”
“โอ้ย! จะโวยวายทำไมนักหนา” ผู้เป็นป้าหงุดหงิด ทั้งอับอายที่จะเล่า

“เอาล่ะ ลุงเล่าเอง เรื่องมันเป็นแบบนี้...” ปิติจึงเป็นฝ่ายเล่าเสียเอง

แม้จะไม่ละเอียดนักแต่พลับพลึงก็จับใจความได้ว่า ธุรกิจของลุงปิติทำท่าว่าจะเจ๊งจึงต้องไปกู้เงินจากธนาคารมาจำนวนหนึ่ง แต่สถานการณ์กลับไม่ดีขึ้นมีแต่เลวร้ายลง จนตอนนี้ต้องปิดโรงงานตามมาด้วยการฟ้องร้องอีกมากมาย ทั้งเรื่องค่าแรงคนงานและเงินกู้ยืม เรื่องนี้แม้แต่พิมพ์พรรณเองก็ยังไม่รู้ว่าปิติกับพิลาวรรณกำลังจะถูกฟ้องล้มละลายถ้าหากไม่มีเงินไปใช้หนี้ธนาคารและจัดการค่าชดเชยแรงงานของคนงานได้หมด และเหมือนฟ้ามาโปรดที่วันหนึ่งธนดลก็ก้าวเข้ามานัดเจรจา เขายื่นข้อเสนอที่ปิติและพิลาวรรณแทบลอยเมื่อบอกว่า พึงพอใจในตัวพิมพ์พรรณและรับปากจะจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายในการชดเชยค่าแรงคนงานให้ ส่วนเรื่องเงินกู้เขาจะยังไม่ฟ้องจนกว่าปิติจะมีเงินมาใช้หนี้ หลังจากขายที่ดินที่เชียงใหม่ได้แล้ว ปิติรีบตอบตกลงทันทีโดยรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าพิมพ์พรรณจะไม่มีทางปฏิเสธเขาแน่นอน ด้วยรู้ว่าลูกสาวเป็นคนหัวอ่อนและยังไม่เคยมีคนรักมาก่อน การจะจับคู่ธนดลกับพิมพ์พรรณจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก ทั้งคู่ออกเดทกันสองครั้ง ทุกครั้งพิมพ์พรรณก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจอะไรแม้จะไม่ได้แสดงอาการปลาบปลื้มชายหนุ่มนักก็เถอะ จนสุดท้ายพิลาวรรณก็ตัดสินใจบอกกับลูกสาวว่าต้องการให้แต่งงานด้วยยกเหตุผลทางสังคมและความเหมาะสมต่างๆ นานามาเป็นข้ออ้าง ลูกสาวผู้ว่าง่ายแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ทุกอย่างเธอปล่อยให้พ่อแม่เป็นฝ่ายจัดการ แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้

“ตาบ้านี่ นี่เขามีปัญหาทางจิตหรือเปล่าคะ ถึงได้อยากหาเมียด้วยวิธีแบบนี้ ดูก็รู้ว่าเขาไม่บริสุทธิ์ใจ ไม่แน่ว่าพิมพ์อาจจะรู้ก็เลยหนีไป เอะ แล้วพิมพ์รู้เรื่องหนี้สินนี้หรือเปล่าคะ”
ปิติส่ายหน้า เชื่อด้วยว่าถ้าพิมพ์พรรณรู้ถึงสาเหตุลูกสาวจะไม่ทำแบบนี้แน่นอน และจนป่านนี้ปิติก็ยังไม่ปักใจเชื่อด้วยว่าพิมพ์พรรณจะคิดหนีไปเอง

“นะพลับ ช่วยป้าเถอะนะ หรือแกอยากเห็นป้ากับลุงติดคุก”
พลับพลึงปั้นหน้ายาก ใช่ว่าอยากเนรคุณแต่การจะให้ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“เถอะนะพลับ คิดซะว่าลุงขอร้อง พลับจะเชื่อลุงมั้ย ถ้าลุงจะบอกว่า ไม่แน่ว่า ในเร็ววันนี้พลับอาจจะได้อิสรภาพกลับคืนมา”
“อะไรทำให้ลุงคิดอย่างนั้นคะ”
พลับพลึงมองดวงตาวาววับและค่อนข้างมั่นใจนั้นด้วยความสงสัย เหมือนปิติจะมีไม้ตายอะไรซักอย่างรออยู่

“โธ่...เอ้ย...ก็เพราะเขาไม่ได้รักแกไงล่ะยายพลับ ไม่เห็นจะซับซ้อนตรงไหน เขาเองก็ต้องแต่งงานกับแกเพราะรักษาหน้าตาทางสังคมเหมือนกันนั่นล่ะ” พิลาวรรณตัดบท

“ขอโทษนะพลับ ลุงสัญญานะว่าพลับจะอยู่กับคุณดลไม่เกินหนึ่งปี จบเรื่องนี้แล้วลุงจะชดเชยให้พลับมากที่สุดเท่าที่ลุงจะทำได้”
พลับพลึงยิ้มขื่น จะมีอะไรมาชดเชยคำนำหน้าที่กำลังจะเสียไปได้อีกล่ะ แต่ก็พยักหน้ายอมรับคำสัญญานั้น นี่คงเป็นการตอบแทนบุญคุณที่ยิ่งใหญ่เท่าที่เธอจะทำเพื่อผู้มีพระคุณได้ เพราะการตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ต้องแลกกับอิสรภาพและชีวิตที่เหลืออยู่เลยทีเดียว หนึ่งปีสำหรับคนอื่นอาจจะเรียกว่า ‘แค่’ แต่สำหรับพลับพลึงแล้ว หมายถึง ‘ชั่วกัลป์!’




แก้วมุกดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 ต.ค. 2556, 09:40:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ต.ค. 2556, 09:41:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1591





<< พ่ายพรหมลิิขิต ตอนที่ 3   พ่ายพรหมลิิิิขิต ตอนที่ 5 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account