ยามเมื่อลมห่มฟ้า...มะนิลา
'ฟิลิปปินส์' ประเทศหมู่เกาะที่พายุลูกแล้วลูกเล่าพัดผ่านสร้างความเสียหาย
แต่คนยังคงยืนหยัดต่อสู้ได้ทุกครั้ง
เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาที่มีอุดมการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนร่วมชาติ
โดยไม่ระย่อต่ออุปสรรคที่เข้ามา


'ลิปดา' เป็นเหมือนสายลมแห่งความหวัง เธอมีความหวังและเชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ลงมือทำ
แต่สายลมนี้ก็แห้งผาก รอลมชุ่มชื้นพัดผ่านมาเสียที


กระทั่งได้พบใครคนหนึ่งเหมือนฝัน
'รัญชน์' ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตดังสายลมซึ่งไม่เคยหยุดนิ่งจากเมืองไทย
เขานำพาความเย็นชื่น หอบเอาความอบอุ่นมาหลอมรวมกับเธอ


แต่กว่าสายลมสองสายจะพัดมารวมภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ก็ต้องรอวันพายุจางไปจากมะนิลาเสียที

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๓ + ชวนเล่นเกมลุ้นหนังสือค่ะ



ลิปดาเริ่มร้อนใจขึ้นทุกขณะ เบียร์หมดกระป๋องนั้นแล้วแต่นักท่องเที่ยวหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าจะหลับตามแผน เขาเป็นคนรูดคีย์การ์ดเปิดประตูห้องพักในโรงแรมห้าดาวเข้าไปด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ และเมื่อเธอตามเข้ามา แขนยาวของคนตัวสูงก็ผลักประตูปิดลงกลอนอัตโนมัติทันที

เธอรีบตรงไปยังโต๊ะรับแขกเล็กที่เขาวางถุงซึ่งมีเสียงไพเราะจากกระป๋องเบียร์กระทบกัน ครั้นเธอกำลังจะหยิบเบียร์ออกมาชวนเขาดื่มต่อเพื่อประวิงเวลายาออกฤทธิ์ มืออุ่นจัดของเขาก็วางทาบบนเอวพร้อมกับรั้งร่างบางที่โน้มตัวน้อยๆ มาสวมกอดจากด้านหลัง

"มาร้องเพลงของเรากันเถอะลิบบี้" เสียงพร่าเอ่ยกระซิบชิดริมหู

ลิปดาขนลุกเกรียวด้วยความตื่นกลัว หากเธอพยายามข่มความตื่นตระหนก จับมือที่ลูบไล้ไปบนหน้าท้องของตนไว้พร้อมกับหมุนตัวกลับมา

"เดี๋ยวค่ะ" พูดไม่ทันขาดคำเธอก็ต้องเบือนหน้าหนี จมูกโด่งโฉบลงมาฝังบนแก้มสาวเต็มๆ

รัญชน์หัวเราะในลำคอทั้งที่พลาดจูบไปอย่างแสนเสียดาย เธอทำให้เขากลายเป็นคนตะกรุมตะกรามราวโจรห้าร้อยเช่นนี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ปกติเขามีแต่เป็นฝ่ายถูกผู้หญิงเรียกร้องและตอบสนองความต้องการของพวกเธอก็แค่นั้นฝ่ายเดียว

ชายหนุ่มยอมปล่อยแขนที่รัดร่างนุ่มนิ่มไว้มาวางบนสะโพกเจ้าหล่อนหลวมๆ ถ้าสิ่งที่เธอทำคือการยั่วให้เขาหลงใหลยิ่งขึ้นล่ะก็ มันประสบความสำเร็จทีเดียว และเขาจะยอมตามเกมนี้ของเธอสักครา

"ฉันอยากเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ แล้วเรา...ค่อยดื่มกันต่อนะคะ"

"ข้อแรกน่ะได้ แต่ข้อสองผมไม่อนุญาต คุณดื่มไวน์กับเบียร์ไปกระป๋องหนึ่งแล้วนะ ผมไม่อยากให้คุณเมาเครื่องดื่มพวกนั้นมากกว่าตัวผมหรอก" เขาบอกพร้อมพรายยิ้ม มีเพียงแววตาเท่านั้นที่แน่วแน่อย่างไม่ยอมรับการบิดพลิ้วใดๆ อีก

"ค่ะ...ค่ะ" เธอตอบเสียงสั่น

ไม่รอช้าเมื่อเขาปล่อยเธอเป็นอิสระพลางถอดเสื้อสูทลำลองพาดพนักเก้าอี้ตัวหนึ่ง ลิปดารีบเดินขาแทบขวิดเข้าไปยังห้องน้ำซึ่งมีกำแพงกั้นหลังหัวเตียง บ้าจริง! หากเธอคิดหนีโดยการวิ่งไปที่ประตู คงไม่แคล้วถูกอีตาบ้ากามนั่นจับทุ่มลงกับเตียงก่อนเป็นแน่

หญิงสาวเท้าแขนกับอ่างล้างหน้าหินอ่อนจ้องมองเงาของคนพาตัวเองเข้ามาติดกับในกระจก ก่อนเงาสะท้อนของอ่างอาบน้ำข้างหลังจะทำให้นึกแผนการบางอย่างได้ บางทีถ้าเขาเปลือยกายอยู่ในอ่าง เขาคงไม่บ้าพอตามเธอลงไปถึงข้างล่างกระมัง

ลิปดารีบเปิดก๊อกน้ำ ทว่าเจ้าหล่อนหารู้ไม่ว่าตนกำลังเหนื่อยคิดแผนการเปล่า ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศและพนักนุ่มของโซฟากำลังเห่กล่อมหมาป่าหนุ่มผู้นั้นเข้าสู่ห้วงนิทรา

................................

"คุณ... คุณ..." เสียงหวานลองเรียกใกล้พลางใช้นิ้วจิ้มต้นแขนคนที่นั่งหลับคาเก้าอี้นุ่ม

ลิปดากรีดร้องในใจเมื่อเขาไม่มีทีท่ารู้สึกตัวสักนิด แผ่นอกขยับขึ้นลงสม่ำเสมอ เธอรอดจากเงื้อมมือหมาป่าแล้ว และจะลอกคราบเขาให้สมกับที่เขาฉวยโอกาสกับเธอ

หญิงสาวไม่ยอมเสียเวลาอีกแม้แต่วินาทีเดียว เธอรูดแหวนทองเกลี้ยงออกจากนิ้วนางข้างขวาของเขา มันติดที่ข้อนิ้วนิดหนึ่งแต่ก็ประสบความสำเร็จในที่สุด ตามด้วยนาฬิกายี่ห้อดังจากสวิส ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็คแล้วดึงกระเป๋าสตางค์ออกมา

ธนบัตรนับสิบใบในนั้นดึงดูดสายตาเธอกว่าอะไรทั้งหมด เขาคงเพิ่งมาถึงและแลกเงิน ธนบัตรส่วนใหญ่จึงมีมูลค่าหนึ่งพันเปโซ แม้ไม่ใช่มิจฉาชีพโดยสัญชาตญาณ แต่คนร้อนเงินอย่างเธอก็อดตาโตไม่ได้ ลิปดารีบพับเงินทั้งหมดเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตนเอง ก่อนสายตาเธอจะสะดุดยังภาพถ่ายซีดเก่าที่ทีแรกมองข้ามไป

มันเป็นรูปของผู้หญิงและเด็กคุ้นตา ผู้หญิงอุ้มเด็กนั่งตักอยู่บนชิงช้า มือบางค่อยดึงมันออกมาจากช่องพลาสติกใส ไม่รู้ตัวเลยว่าตนจงใจเบามือเป็นพิเศษราวกับกลัวว่ามันจะเปื่อยขาดคามือ เด็กผู้หญิงลูกครึ่ง ผมสีดำขลับ ตาสีน้ำตาลอ่อนคนนั้นยิ้มกว้างสดใสให้กล้อง

บางอย่างดลใจให้ลิปดาพลิกดูด้านหลัง ก้อนเนื้อในอกเต้นผิดจังหวะ เมื่อตัวอักษรภาษาอังกฤษอ้วนกลมเขียนด้วยหมึกสีน้ำเงินปรากฏสู่สายตา

'Lipda Dylan'

.....................................

"ลิปดา"

เชอริลวิ่งตรงไปหาเพื่อนสนิทด้วยความร้อนใจทันทีที่เห็นร่างระหงเดินออกมาจากประตูกระจกหน้าโรงแรมบานใหญ่ หลังหายเข้าไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวหนุ่มเสียสองนาน

"ฉันกำลังจะแจ้งความอยู่แล้วว่าเขาล่อลวงเธอมา นี่มันเกินเวลาที่ตกลงกันไว้ แต่มาร์คบอกว่ารอก่อน เขาบอกว่าเธอเอาตัวรอดได้แน่ เฮ้อ โล่งใจจริง"

ลิปดาก้าวตามแรงกึ่งจูงกึ่งลากของเพื่อนไปยังรถจักรยานยนต์ซึ่งจอดรอยังลานหน้าโรงแรม มาร์คเดินมารับเช่นกัน ก่อนจะสังเกตเห็นท่าทีผิดปกติ เขาหยุดขวางหญิงสาวชาวฟิลิปิโน่ผู้เป็นทั้งเพื่อนและคนรัก บุ้ยใบ้ให้หันมองเพื่อนสนิทของพวกตนที่เหม่อลอยเหมือนอยู่ในอาการตกตะลึง

เชอริลค่อยรู้สึกถึงเนื้อตัวสั่นเทาของเพื่อนจากข้อมือซึ่งจับจูง ใบหน้าสวยซีดเผือดอย่างที่เครื่องสำอางก็ไม่อาจปกปิด จนคนมองรู้สึกถึงบางสิ่งผิดปกติได้เกิดขึ้นกับเพื่อนตน

"เป็นอะไรลิปดา หมอนั่นมัน...มันทำอะไรเธอหรือเปล่า"

คำถามนั้นดูจะเรียกสติคนเหม่อลอยให้กลับมาปกป้องตนเอง

"เปล่า เปล่า..."

ลิปดามองเพื่อนทั้งสองเต็มตาครั้งแรก แล้วก็ได้เห็นแววห่วงกังวลบนใบหน้าของเพื่อนที่ทำให้เธอต้องเฉลยเหตุผล ด้วยการส่งรูปถ่ายในมือที่กำแน่นให้พวกเขารับไปอย่างงุนงง

"อย่าบอกนะว่าเธอช็อกเพราะทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีอยู่แค่นี้"

เชอริลถือรูปถ่ายซีดเก่าโบกไปมา เป็นมาร์คที่ตาไวกว่าสังเกตเห็นตัวอักษรข้างหลังภาพนั้น เขาแย่งมาพลิกดู

"ลิปดา ดีแลน" สองเสียงอ่านขึ้นพร้อมกันพลางเบิกตามองคนตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง

เจ้าของชื่อนึกขันใบหน้าเหวอนั้นแต่ก็หัวเราะไม่ออก เธอได้แต่แค่นยิ้มพลางเอ่ยในสิ่งที่เธอเองก็ยังคิดว่าฝันไป

"ใช่ เด็กหญิงลิปดา ดีแลน...กับแม่ ในกระเป๋าสตางค์ของผู้ชายคนนั้น"

ผู้ชายที่มีชื่อในบัตรประจำตัวประชาชนไทยว่า 'รัญชน์ ฉัตรารัศมิ์' นักท่องเที่ยวหนุ่มมาดเพลย์บอย ลิปดาต่อในใจ

เธอไม่รู้ว่าเขาได้รูปนี้มาอย่างไร ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรกับแม่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่สุขสบายดีไหม แต่ที่มั่นใจคือแม่ไม่ได้มีนามสกุลนี้ พ่อเคยบอกเพียงครั้งเดียวว่าแม่ชื่อ 'สราลี บุษบาบริบาล' แล้วเธอก็จำได้ไม่ลืม แม้ใบหน้าของแม่ในความทรงจำที่เคยอยู่ด้วยกันสามปีจะซีดจาง แต่ผู้หญิงในรูปถ่ายนั้นก็ลงสีความทรงจำให้ชัดเจนขึ้นมา

"หมายความว่า...เขาเป็นญาติเธอเหรอ"

หญิงสาวสั่นศีรษะ "ฉันไม่รู้"

เขาอาจเป็นได้ทั้งญาติข้างแม่ที่เธอไม่รู้จัก หรืออาจเป็นคนรักของท่านก็ล้วนไม่แปลกทั้งนั้น แต่เมื่อเธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร พวกเธอก็ยังเป็นคนแปลกหน้ากันเหมือนเดิม เสียเวลาจะคิดให้มากความ วุ่นวายไปกว่านี้อีกแล้ว

"ไปเถอะ เจนิสจะรอ"

ลิปดาหยิบหมวกนิรภัยที่แขวนไว้ข้างรถมาสวมใส่เสียเอง ก่อนจะส่งให้เพื่อนสองคนที่มองมาอย่างไม่ใคร่สบายใจเท่าไร

"เอ้า จะรอให้เขาตื่นมาลากฉันเข้าคุกหรือไง" เธอเอ่ยกระตุ้นติดตลก

"เธอเอาเงินเขามาจริงน่ะ" เชอริลถาม

"แหงสิ ก็ฉันกับเขาเป็นแค่มิจฉาชีพกับเหยื่อนี่นา"

มาร์คสบถพลางรีบติดเครื่องรถจักรยานยนต์ ส่งกึ่งโยนหมวกอีกใบให้คนรักที่ขึ้นนั่งซ้อนมา

"แล้วรออะไรล่ะพวก"

ลิปดาค่อยหัวเราะออกขณะขึ้นซ้อนเป็นคนสุดท้าย ครั้นรถเลี้ยวพ้นออกจากเขตโรงแรม เชอริลก็ชูแขนสองข้างขึ้นกลางอากาศ ราวกับทีมชาติฟิลิปปินส์ได้เหรียญทองจากการแข่งขันกีฬา ราวเจ้าหล่อนถูกสลากรางวัลใหญ่ ท่าทางบ้าบออย่างนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากลิปดา

เธอยิ้มกับสายลมที่พัดผ่านใบหน้าไป ชีวิตเธอก็มีเท่านี้ห้องพักรูหนู มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน และเพื่อน เธออยู่กับอิสระ ไม่มีครอบครัวมากำหนดชีวิตเธอได้นานจนชิน

เชอริลเคยบอกว่าเธอเหมือนสายลม สายลมที่พัดเอาความเย็นชื่นไปให้ผู้คน แม้บางครั้งสายลมก็อาจทำให้เกิดภัยพิบัติได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรสายลมก็ไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกที่บนโลกนี้เป็นของมัน ก็เหมือนกับอิสรภาพในใจของเธอ
.....................


รถจักรยานยนต์ของมาร์คมาจอดส่งถึงยังหน้าตึกทีเดียว ก่อนเพื่อนจะแยกกลับที่พักของตนซึ่งเป็นหอพักอยู่ละแวกใกล้เคียง เมื่อเวลาล่วงเลยวันใหม่ถึงสองชั่วโมง

เธอไม่ได้กลับดึกเช่นนี้บ่อยนักตั้งแต่มีน้องมาอยู่ด้วย แต่วันนี้มันจำเป็นจริงๆ นี่นะ ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อตัวเธอเองและน้องทั้งนั้น หญิงสาวปลอบตัวเองให้ไม่คิดอะไร ขณะกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดสี่ชั้น กว่าจะถึงหน้าห้องพักตน

แสงไฟจากระเบียงทางเดินสลัว รอบตัวเงียบสงัดเมื่อเวลานี้เพื่อนข้างห้องคงหลับใหลกันหมด แว่วเสียงโทรทัศน์ดังออกมาจากห้องของตนจนเธอต้องนิ่วหน้า ก้มลงไขกุญแจก็เห็นแสงไฟลอดออกมาจากช่องใต้ประตู ลิปดานึกไม่พอใจขึ้นมา ดึกป่านนี้เจนิสควรเข้านอนได้แล้ว

ผู้พี่เปิดประตูเข้าไป แล้วกลิ่นคาวอย่างหนึ่งก็โชยมาปะทะจมูกแรง

"เจ..." เธอกำลังจะปริปากต่อว่า

ทว่าภาพที่เห็นบนเตียงตรงหน้าก็ทำเอาคำพูดทั้งหมดติดอยู่แค่ลำคอ ลิปดาโยนกระเป๋าสะพายไปคนละทาง เธอก้าวยาวแทบกระโจนถึงเตียง ก่อนจะพบว่าร่างซีดขาวของน้องที่นอนจมกองเลือดนั้นเย็นเยียบ ไม่มีแม้ลมหายใจผะแผ่วออกมาถึงนิ้วที่ยื่นไปอัง

"เจนิส! เจนิส!"

ต่อให้ตะโกน เขย่าร่างของน้องแรงแค่ไหนก็ไม่มีวี่แววว่าเด็กสาวจะรู้สึกตัว เธอนึกถึงหลักการกู้ชีพที่เคยอบรมมา แต่สมองกลับว่างเปล่า เธอขึ้นนั่งบนเข่าตัวเองพลางกดหน้าอกเหนือลิ้นปี่ขึ้นมาอย่างงกเงิ่นเต็มที

"เจนิส! อย่าเป็นแบบนี้สิ เจนิส..."

เมื่อรู้ว่าความพยายามของตนสูญเปล่า ลิปดาก็ฟุบกอดร่างเย็นเยียบนั้นไว้พร้อมน้ำตาที่ไหลทะลักราวทำนบแตก ไม่สนใจว่าเลือดซึ่งเปื้อนเต็มที่นอนนั้นจะเปรอะเธอแค่ไหน ก่อนหญิงสาวจะลุกไปควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า กดโทรออกถึงเพื่อนที่เพิ่งแยกจากกัน

"เชอริล เรียกรถพยาบาลให้ที ฉัน...ฉันทำอะไรไม่ถูกแล้ว เจนิส..." แล้วเธอก็พูดไม่ออก ไม่มีเสียงออกจากลำคอเมื่อจะเอ่ยคำนั้น

"เจนิสทำไม" ปลายสายจับความผิดปกติในน้ำเสียงเพื่อนได้

"เจนิส...อาจจะ...อาจจะตาย ฉันไม่รู้ มีเลือดเต็มไปหมด แล้วน้องก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว เร็วๆ นะเชอริล ได้โปรด พระเจ้า"

"ได้ๆ ใจเย็นๆ นะลิปดา อย่าเพิ่งคิดไปไกลนะ ฉันจะโทรเรียกรถเดี๋ยวนี้" เสียงปลอบไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรเลย

ลิปดาเพิ่งรู้ตัวว่าตนยังเป็นเพียงเด็ก ไม่ต่างจากเด็กคนหนึ่งก็วันนี้ เป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ฝันใหญ่เกินตัว พวกเธอจะเปลี่ยนโลกได้อย่างไร ในเมื่อแค่ปกป้องดูแลคนที่ตนรักยังทำไม่ได้เลย

....................................

'นางสาวเจนิส ดีแลน เสียชีวิตเพราะร่างกายสูญเสียเลือดจำนวนมากจากการตกเลือดครับ ไม่มีร่องรอยการทำร้ายร่างกาย แต่มีสารตกค้างจากยาในร่างกายที่ต้องรอผลจากแล็บอีกที เธอเสียชีวิตตั้งแต่ที่พัก เวลาราวสิบห้าชั่วโมงที่แล้ว'

สิ้นสุดรายงานจากแพทย์นิติเวชช่วงเช้าที่ผ่านมา ลิปดาแทบไม่รู้ว่าเธอยืนให้แม่เลี้ยงที่รีบมาโรงพยาบาลทันทีที่ทราบเรื่องทั้งตบตีทั้งทึ้งผมได้อย่างไร มันไม่เจ็บเท่าความรู้สึกในใจ ณ ตอนนั้นเสียด้วยซ้ำ ในหัวมีแต่คำถามว่าเจนิสทำอย่างนี้ทำไม หรือเธอทำผิดอะไรจึงมีส่วนให้น้องทำเรื่องโง่เช่นนี้

เป็นมาร์คที่ช่วยกันและเชอริลก็ดึงเธอออกมา พวกเขาทั้งสองยังไม่ได้นอนมาทั้งคืนเช่นเดียวกับเธอ ก่อนเพื่อนจะมาส่งเธอลงหน้าตึกที่พัก ที่ซึ่งเรียกสติลิปดากลับมาอีกครั้งหนึ่ง

รถพยาบาลที่มารับร่างเจนิสไปเมื่อคืนคงพอให้เกิดข่าวใหญ่ในชุมชนเล็กๆ แห่งนี้ได้ แต่ไม่รู้เพราะสภาพดูไม่ได้ของเธอ หรือดวงตาที่ขึงมองพวกที่คอยจับจ้องของเชอริลกันแน่ ทำให้คนเหล่านั้นทำได้แค่คอยมองและซุบซิบอยู่ห่างๆ กระทั่งหญิงสาวกลับเข้ามาในห้องส่วนตัวที่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดิม ยกเว้นรอยเลือดบนผ้าปูเตียงที่แห้งกรัง

"จะทำยังไงต่อไปล่ะลิปดา"

"คงต้องทิ้งนั่นแหละ" เจ้าของห้องตอบพลางลงมือรื้อผ้าปู

ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่เจนิสนอนแน่นิ่งจมกองเลือดยังติดตา เพียงสัมผัสผ้าปูที่เคยเป็นสีขาวสะอาดก็เหมือนได้สัมผัสตัวน้องอีกครั้ง เธอต้องซ่อนน้ำตาที่รื้นขึ้นมา เมื่อมันหยดลงก็แสบร้อนใบหน้าที่ระบมเพราะแรงจากฝ่ามือและเล็บข่วนของนางจูลี่ แม่เลี้ยงเธอ

"คอมฯ ยังเปิดอยู่นี่" เสียงห้าวของมาร์คเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นแสงไฟจากซีพียูใต้โต๊ะ

เขาลองขยับเมาส์ก็ปรากฏหน้าเว็บเสิร์ช เอ็นจิ้นบนโลกอินเตอร์เน็ต หญิงสาวคงช่วยกันรื้อผ้าปูเตียงต่อไป หากเพื่อนชายไม่ขัดขึ้นเสียก่อนด้วยการเรียกทั้งสองคนมาดูหน้าจอ

"ฉันลองกดดูหน้า 'ฮิสตอรี่' เจอหน้าเว็บนี้ที่เคยเข้าเมื่อราวสัปดาห์ก่อน ลิปดา คงไม่ใช่เธอที่เข้าเว็บลักลอบขายยาขับเลือดหรอกใช่ไหม"

ผู้พี่เซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ไม่ใช่เธอแน่ แล้วคงเป็นใครไปไม่ได้ที่อยู่ในห้องนี้ ใช้คอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกัน นอกจากเจนิส...

เหมือนชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ที่ขาดหายไปได้รับการต่อเพิ่มอีกชิ้น ลิปดาหวนนึกถึงวันที่เธอเห็นน้องจดจ่อกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่เมื่อเธอเดินไปใกล้ก็รีบกดปิดจอนั้นพลางเลิกทันที

เธอไม่รู้น้องทำอย่างนี้ได้อย่างไร เจนิสไม่ใช่คนใจเด็ดถึงเพียงนั้น แล้วทำไมพี่อย่างเธอถึงไม่เอะใจมาก่อนเลย ก็เพราะมัวแต่ใช้ชีวิตของตนใช่ไหม เพราะเธอมันเป็นจอมจุ้นจ้านดังที่ครอบครัวแม่เลี้ยงเคยค่อนขอดเอา เหมือนหนูน่ารำคาญที่วิ่งวุ่นไปทั่ว เธอเคยคิดว่าบริหารจัดการชีวิตตัวเองได้ดีแล้ว แต่เปล่าเลย เธออาจละเลยน้องที่ต้องการที่พึ่งหรือให้คำปรึกษาที่ดี

ร่างระหงมอมแมมทรุดลงนั่งกับพื้น เธอปิดหน้าสะอื้นแรงจนเชอริลต้องกอดปลอบ

"โธ่ ลิปดา มันอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิด เจนิสอาจแท้งเองก็ได้นะ" แม้เอ่ยเช่นนั้นแต่ผู้พูดก็รู้ว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

มาร์คเป็นผู้ดึงเพื่อนกลับสู่โลกความจริง เมื่อเขาปิดคอมพิวเตอร์ก่อนลุกไปยังถังขยะเล็กหน้าห้องน้ำ ไม่ต้องค้นหาให้ยากเมื่อขวดยาอย่างที่เห็นโฆษณาขายในอินเตอร์เน็ตถูกทิ้งอยู่บนสุด เขาหยิบขึ้นมาโดยมีสายตาเพื่อนสาวทั้งสองมองตาม เท่านั้นก็แทบไม่ต้องรอผลพิสูจน์หลักฐานจากแล็บอีกต่อไป

"พระเจ้า" เชอริลอุทานพลางกอดกันกับเพื่อนอย่างสะเทือนใจ

ความโศกเศร้าอาดูรไม่เคยแผ้วพานลิปดามานานแล้ว แม้เมื่อรู้ว่าพ่อจากไปเธอยังไม่เสียใจเท่านี้เลย นั่นเพราะเชื่อเสมอว่าพ่อจากไปด้วยความสุข ความรักในสิ่งที่ทำ ไม่ใช่ผู้ที่ต้องแบกรับความทุกข์เช่นเจนิส เธอจากไปอย่างทุกข์ทรมาน ขาดทั้งความรัก ความสุข ความฝัน และคนที่ทิ้งน้องให้อยู่กับความโดดเดี่ยวก็คือพี่อย่างเธอ

......................................

ร่างระหงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำกับกระโปรงยาวคลุมเข่าสีเดียวกันยืนหลบมุมต้นไม้ใหญ่ลับๆ ล่อๆ เป็นเช่นนี้ทุกวันที่มีพิธีมิสซาช่วงเย็น เธอได้แต่มองภาพนางจูลี่ผู้โทมนัสและครอบครัวใหม่ของท่านอยู่ห่างๆ หากโผล่ไปให้เห็นแม้เพียงหางตา คงไม่แคล้วเกิดเรื่องงามหน้าต่อหน้าแขกเหรื่อ เพื่อนบ้านที่มาร่วมงานเป็นแน่

ลิปดาก้มมองดอกกุหลาบสีขาวในมือตน เสร็จสิ้นพิธีฝังร่างของเจนิสที่สุสานหลังโบสถ์แล้ว แล้วรอบตัวก็ไม่เหลือใครสักคน เมื่อนั้นคนที่แอบซ่อนตัวมานานจึงค่อยเดินออกมาจากที่กำบัง

ไม่มีน้ำตาอีกต่อไปแล้วแม้เมื่อหญิงสาวคุกเข่าลงกับผืนหญ้า ป้ายสลักชื่อใต้ไม้กางเขนยังใหม่ เห็นตัวอักษรชื่อผู้ล่วงลับชัดเจน เธอวางดอกไม้สีขาวบนป้ายนั้น ก่อนปิดเปลือกตาซึ่งร้อนผ่าวขึ้นมา

"เจนิส พี่ขอโทษ"

"เจนิสต้องรับรู้ความรู้สึกเธอได้แน่ ลิปดา" เสียงทุ้มลึกดังขึ้นเบื้องหลัง

ลิปดาเงยหน้าหันมองแล้วก็ได้เห็นใบหน้าเปี่ยมเมตตาของบราเธอร์เบอร์นาร์ด เธอลุกยืนสำรวมเคียงข้างท่าน รอยหมองเศร้าปรากฏชัดเจนบนดวงตาที่เคยเปล่งประกาย

บาทหลวงวัยกลางคนนึกแล้วว่าเจ้าหล่อนต้องมาที่นี่ คนอย่างหญิงสาวผู้นี้ไม่มีทางทอดทิ้ง หนีความผิด ดังที่นางจูลี่กล่าวอ้างกับพรรคพวกของแก จึงได้ย้อนกลับมาดูให้แน่ใจ

"ผอมไปมากนะลิปดา เลิกโทษตัวเองเสียทีเถอะนะ ฉันกลับคิดตรงกันข้าม เธอช่วยเจนิสไว้มากตอนที่นางจูลี่ไล่ออกจากบ้านคราวนั้น ถ้าไม่มีเธอ เจนิสจะลำบากกว่านี้กี่เท่าไม่รู้"

"หนูเสียใจค่ะ"

เธอยกมือกรีดน้ำตาที่เคยคิดว่าเหือดแห้งไปแล้ว แต่ก็กลับไหลลงมาอีกเมื่อได้ฟังคำพูดปลอบโยน

"เรื่องเจนิสเตือนสติหนูหลายอย่าง"

"อะไรบ้างล่ะ" บราเธอร์เบอร์นาร์ดถามก็เพื่อให้อีกฝ่ายได้ระบาย

"หนูเคยใช้ชีวิตเร่งรีบ มองตรงไปแต่เป้าหมายข้างหน้าเท่านั้น หนูไม่เคย...ไม่เคยพูดกับน้องอย่างที่บราเธอร์ถามเลยค่ะ ไม่เคยสนใจว่าใจเจนิสคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ อย่างไร หนูมักตัดสินใจทุกเรื่องด้วยตัวเอง"

เธอแค่ยัดทุกสิ่งที่เป็นเพื่อนคลายเหงาให้น้องได้เข้าไปในห้องนั้น ไม่เคยถามสักครั้งว่าน้องต้องการอะไร อยากไปไหน หรือชีวิตแต่ละวันเป็นอย่างไร ทุกอย่างเป็นการตัดสินใจอันรวดเร็วของเธอทั้งนั้น จนลืมไปว่านั่นคือการปฏิบัติต่อสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่คน

"ที่เธอคิดก็ถูกนะลิปดา แต่ไม่ทั้งหมด เพราะเจนิสอ่อนแอต่างหาก เขาถึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรอย่างเธอเหมือนกัน"

ลิปดาก้มหน้านิ่งพลางปล่อยให้น้ำตาไหลรินเงียบๆ โดยมีใบหน้าสวยงามเปื้อนยิ้มของคนในรูปบนป้ายหินมองมา ราวต้องการบอกว่า 'ไม่เป็นไร'

..............................

ชวนเล่นเกมที่บล็อกค่ะ ลุ้นรางวัลหนังสือนิยาย "ใต้ฟ้าสิขราลัย" 2 รางวัล พรุ่งนี้วันสุดท้ายน้าาา

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=thezircon&date=13-10-2013&group=1&gblog=5



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ต.ค. 2556, 16:52:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ต.ค. 2556, 16:52:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1177





<< บทที่ ๒ + ชวนเล่นเกมลุ้นหนังสือค่ะ   บทที่ ๔ >>
ปริยาธร 20 ต.ค. 2556, 00:04:26 น.
อ่า เจนิสตายซะแล้ว
รอดูบทบาทของพระเอกต่อไปค่ะ


ภาพิมล_พิมลภา 20 ต.ค. 2556, 00:12:58 น.
พี่นุ้ย - จวนได้ไปเที่ยวแล้วค่ะ หวังว่าคุณรัญชน์คงพอกู้ภาพลักษณ์ได้บ้าง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account