น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: 019




019


แดดร่มลงอีกมากแล้วตอนที่ภาควัตและมารดาเดินทางมาถึง คุณแม่บ้านต้องออกมาต้อนรับ ทั้งที่จริงควรจะเป็นคุณโสภาพรรณ หรือไม่ก็นายอิศรา หรืออย่างน้อยที่สุดก็ควรต้องเป็นสมาชิกสักคนของบ้าน

คุณสาวิกาจำเป็นต้องแก้ตัวให้กับบรรดาเจ้านายของตนไปต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ตรงกับความเป็นจริง เช่น คุณโสภาพรรณกำลังต้อนรับคุณหญิงศรีประภาอยู่ที่ระเบียงหลัง คุณอิศราติดธุระอยู่ในห้องหนังสือกับบุตรสาว

“คุณแวววิไลจะไปพบคุณโสภาเลยไหมคะ หรือจะรอที่ห้องรับแขก... แล้วคุณล่ะคะ พวกคุณพันธ์กับหนุ่มๆ สาวๆ เขาไปรวมกันอยู่ที่ศาลาเล็ก”

ภาควัตไม่ได้สนใจฟังคำของคุณแม่บ้านอยู่ตั้งแต่แรก จึงไม่ได้ตอบคำ เพราะมัวแต่ลอบมองหาว่าอินทุอรน่าจะอยู่ตรงที่ใด

“...ที่ศาลา นอกจากคุณพันธ์ ก็ยังมีเพื่อนคุณอินท์...”

คนฟังได้ยินแต่คำท้ายๆ แต่ก็นึกถึงลลิตาได้ทันที พอคุณแวววิไลเดินแยกจากหญิงชราไปยังชุดเก้าอี้รับแขก เขาจึงก้าวตามติด แล้วกระซิบถามมารดาเบาๆ

“หลิวเขารู้เรื่องงานวันนี้ด้วยหรือเปล่าฮะคุณแม่”

ผู้เป็นมารดานิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะอ๋อขึ้นเบาๆ ขณะที่บุตรชายแกล้งทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ

“เผลอไปน่ะ คุยกันเพลินๆ เลยเล่าเรื่อยไปถึงที่จะมีนัดดูตัวอะไรนี่ แม่ไม่รู้ว่าหนูหลิวเขาจะรู้จักกับคนบ้านนี้”

“สนิทกันเลยละครับ”

ภาควัตช่วยย้ำ ด้วยความรู้สึกละเหี่ยใจนิดๆ

คุยกันได้แค่นั้น สาวใช้อีกคนที่คงจะไปรายงานเจ้านายว่าแขกผู้ใหญ่มาถึงอีกชุดหนึ่ง จึงกลับมาเชิญให้สองแม่ลูก เลยเข้าไปสนทนารอเวลารับประทานอาหารกันที่ระเบียงด้านหลัง

“สาวเจ้ามาดักรอถึงที่นี่ แล้วภาคจะไม่ไปพบเขาเสียหน่อยหรือลูก”

น้ำเสียงขันๆ เยาะๆ ของมารดา ทำให้ภาควัตหน้ายุ่งไปได้เหมือนกัน

แต่เขาไม่ได้ตอบคำใดๆ เพียงแค่เดินตามคุณแวววิไลมา ด้วยท่าทางเนือยๆ เหมือนจะรู้สถานการณ์ที่จะต้องเผชิญเป็นอย่างดี

ระเบียงกว้างที่ปกติใช้เป็นที่รับประทานอาหารร่วมกันของครอบครัว ถูกจัดใหม่ โดยเคลื่อนย้ายโต๊ะสำหรับมื้ออาหารออกไป แล้วแทนที่ด้วยชุดโซฟายาวชิดตลอดแนวผนัง ตรงกลางมีตั่งตัวกว้างใหญ่ ปูลูกไม้ถักผืนโต รองถาดของว่างของขบเคี้ยวหลากหลายประเภทไว้รอท่า

ส่วนเครื่องดื่มต่างๆ ถูกจัดไว้ในรถเข็นคันเล็กๆ เหมือนอย่างที่ใช้เสิร์ฟในภัตตาคารชั้นเลิศทั่วไป แบ่งเป็นคันของร้อน มีชาและกาแฟเป็นอาทิ กับคันของเย็น มีไวน์ชั้นดีกับเบียร์หลายยี่ห้อ แช่ซุกอยู่กับกองเกล็ดน้ำแข็ง ที่ใช้กระบะเงินดุนลายชดช้อยแทนคูลเล่อร์

ภรรยาเจ้าของบ้าน คือคุณแวววิไล และแขกของหล่อนคือคุณหญิงศรีประภา นั่งอยู่ตรงมุมด้านไกล ท่าทางเหมือนกำลังปรึกษาเรื่องราวเคร่งเครียดบางอย่าง แต่พอเป็นสองแม่ลูกเดินตามสาวใช้เข้ามา ทั้งคู่ก็รีบลุกขึ้นต้อนรับขับสู้เป็นพัลวัน

คุณหญิงศรีประภาแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ สลับกันไปกับการกล่าวสรรเสริญรูปสมบัติคุณสมบัติของชายหนุ่มตรงหน้า

ภาควัตยกมือไหว้ตามมรรยาท นึกไม่ออกเลยว่าคุณหญิงศรีประภาผู้นี้ ได้ตำแหน่งคุณหญิงมาอย่างไร

“รูปหล่อขนาดนี้ ยังไม่คิดมีแฟนอีกหรือคะคุณภาค”

หล่อนเรียกหาเขาอย่างสนิทสนม และคำถามนั้นก็ตรงไปตรงมาราวกับเป็นคนคุ้นเคยใกล้ชิดกันมาก่อน

“ตาภาคเขาเจ้าชู้ค่ะ”

ส่วนคุณแวววิไล พอรู้เสียแล้วว่าบุตรชายไม่ได้ต้องการจะสานสัมพันธ์อันใดกับคนที่ถูกชักนำไว้ให้ ก็เริ่มกระบวนการสะกัดดาวรุ่งทันที

“แหม... รูปร่างหน้าตาขนาดนี้ ไม่เจ้าชู้สิคะจะน่าเป็นห่วง”

แต่แม่สื่อมืออาชีพก็พลิกทางร้ายให้กลายเป็นดีได้อย่างคล่องแคล่ว

เมื่อผู้มากวัยยังทำท่าจะคุยทักทาย เออคะเออขา กันอยู่นั่นแล้ว ภาควัตผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาหลัก จึงเดินเลยไปเลือกที่นั่งในทำเลที่เหมาะเจาะ คือสามารถหันมองกลับเข้ามาเห็นความเคลื่อนไหวภายในบ้านได้อย่างชัดเจน

สตรีทั้งสาม เมื่อเห็นภาควัตเดินเลยมาเช่นนั้น ก็ยกวงสนทนาตามมานั่งคุยอยู่ใกล้ๆ โดยคุณหญิงศรีประภายังชื่นชมชายหนุ่มอยู่ไม่ขาดปาก จนเขาอดนึกไม่ได้ว่า จะหาคำชมที่ออกมาจากใจจริงของคุณหญิงที่หน้าตาเหมือนนกกระจิบคนนี้ ได้สักกี่คำ

“ได้ข่าวว่าเพิ่งกลับจากต่างประเทศ ไปเรียนต่อหรือว่าไปดูงานคะ”

“หลบไปเลียแผลน่ะค่ะ ก่อนไปนั่น เขาสะบักสะบอมไม่ใช่เล่น”

คนตอบนั้นนึกบาปปากตัวเองอยู่นัก ที่กล่าวให้ร้ายลูกชายของตัวเองเช่นนี้

“ก็ตามประสาคนหนุ่ม บ้างเรื่องก็ผลุนผลันบุ่มบ่ามไปหน่อย เราๆ ผู้ใหญ่นี่ละค่ะที่ต้องช่วยกันดูแล ก็พวกเรามันอาบน้ำร้อนมาก่อนนี่คะ ผ่านโลกผ่านสังเวียนชีวิตมาไม่รู้ตั้งกี่มากน้อย ก็ต้องช่วยกันดูช่วยกันแล”

หญิงวัยใกล้ชราผู้นี้ ช่างหาเรื่องมาพูดจา ต่อความให้ยาว เปลี่ยนดำให้ขาวได้อย่างเก่งกาจ จนภาควัตต้องแกล้งถอนหายใจออกมาให้เห็น ว่าอาจจะกำลังรำคาญถ้อยคำประดานั้นอยู่ก็เป็นได้

“ต๊าย! จริงสิ... มัวแต่ชื่นแต่ชมกันจนลืม จะดื่มอะไรดีล่ะคะคุณภาค...”

คุณหญิงศรีประภากลับแปลเสียงถอนหายใจเขาไปดังนั้น

“ดูเถอะค่ะคุณโสภา ขนาดจะเรียกเครื่องดื่มยังไม่กล้า ตามสบายเลยนะคะคุณภาค คุณโสภาน่ะเขาเป็นคนง่ายๆ บริการตัวเองได้เลยค่ะ...”

ที่ภาควัตต้องลุกมายังรถเข็นคันที่มีเบียร์แช่เย็นอยู่นั้น ไม่ได้เต็มใจเลย แค่เพียงขอให้ได้ห่างยัยคุณหญิงนั่นมาได้สักนาทีครึ่งนาทีก็ยังดี

ไม่มีเบียร์ยี่ห้อที่เขาโปรดปราน จึงยืนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ว่าระหว่างชาดอร์เน่กับพิงค์แชมเปญ ซึ่งเป็นยี่ห้อที่ราคาแพงระยับทั้งคู่ เขาจะเลือกเปิดขวดไหนก่อนดี

เหมือนมีผู้หญิงเดินผ่านไปแวบๆ ตรงหางตา ภาควัตรีบชำเลืองดูว่าคุณหญิงคุณนายและมารดาตนกำลังมองมาหรือไม่ เมื่อเห็นว่าไม่ ก็รีบทำเป็นเปลี่ยนมุมเล็งเลือกเครื่องดื่ม เพื่อที่จะแลตามผู้หญิงที่กำลังเดินไกลออกไปทางหน้าบ้านนั่นให้ชัดๆ

ไม่ใช่อินทุอรหรือลลิตา แต่ก็เป็นสาว ซ้ำยังมีท่าทางการเดินที่บอกชัดว่าเจนสังเวียนเพลงรักมาไม่ใช่น้อย

ภาควัตก็ยังนึกไม่ออกว่าเป็นใคร

เท่าที่สรรเสริญเยินยอกันมา ลูกสาวคนเล็กที่พยายามจะชักพาให้เขาได้พบปะนั่น เป็นสาวน้อยสวยใสไร้เดียงสานามว่าพิมพิกา ต้องไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น เพราะหล่อนที่เพิ่งเดินลับกรอบประตูหน้าบ้านนั่นไป ช่างมีท่าเดินทิ้งสะโพกได้อย่างกร้านโลก ทั้งยวนทั้งยั่วนัยน์ตาเหมือนอย่างกับสาวผับสาวบาร์ไม่มีผิด

ซึ่งแน่นอนว่าเขาได้พบเจอมานักต่อนัก และหมดความสนใจในผู้หญิงประเภทนี้ไปนานแล้ว

แชมเปญขวดสวย เหมือนเพิ่งถูกส่งมาจากร้าน เพราะลวดเกลียวและฟรอยด์ห้อมปากขวดยังอยู่ครบ ภาควัตนึกอยากจะเปลี่ยนเป็นไวน์ขาวสักแก้ว แต่ขั้นตอนการเปิดแชมเปญน่าจะง่ายกว่า

เมื่อสตรีสูงวัยทั้งสามคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับรสสนทนา เขาจึงโอ้เอ้กับรถเข็นเครื่องดื่มอยู่อีกนาน ทั้งด้วยเพราะรสชาติของเครื่องดื่มสีชมพูใส ที่มีละอองฟองละเอียดยิบ และมีกลิ่นรสอันละเอียดอ่อนนั้น และทั้งด้วยหมายตาว่าจะได้เจอคนที่อยากจะพบ

หลังจากรินรสอันถูกใจนั้นเติมอีกแก้ว... อีกเป็นครู่ กว่าที่ภาควัตจะตัดใจกลับมานั่งที่เดิม

แล้วก่อนที่จะหันหลังกลับไปนั้น ความสมหวังก็บังเกิด

เป็นอินทุอรแน่ๆ แม้เห็นเพียงด้านหลังก็ยังจำได้

ในชุดพลิ้วบางที่เห็นนั่น รูปร่างทรวดทรงละมุนตาในคืนนั้น หวนกลับเข้ามาสู่มโนสำนักได้ทันที




สาวน้อย คงเพิ่งพ้นวัยรุ่นมาได้ไม่นาน หน้าตาผุดผ่องสดใสจนน่าหมั่นไส้ บวกกับน้ำหน้าพี่ชาย ที่หล่อนแสนรังเกียจชิงชัง ทำให้ทั้งหมดที่เห็นเป็นน้องสาวของปริยัตินั้น ดูน่าตำหนิไปทั้งสิ้น

“จะไปเที่ยวสวนสนุกที่ไหนหรือคะ”

พิมพิกาพิจารณาคนที่อ่อนวัยที่สุดในกลุ่ม ก่อนเสียดสีให้ทันทีที่เห็นว่าสาวน้อยตรงหน้า สวมใส่เสื้อผ้าได้น่ารักราวกับตุ๊กตา

ทั้งที่รู้ว่าปิ่นปรียา ไม่ใช่ละอ่อนน้อยดังที่รูปร่างหน้าตาเผยไว้ให้เห็น เพราะที่จริงน้องสาวของปริยัติคนนี้ เรียนจบปริญญาตรีเรียบร้อยแล้ว และถ้าจะว่าไป ในบรรดาหญิงสาวที่หล่อนรู้จัก ก็ปิ่นปรียาคนนี้แหละ ที่เป็นแบบฉบับของผู้หญิงสมัยนางพิมโดยแท้

ดูเถอะ โดนด่ากระทบว่าแต่งตัวไม่ถูกกาลเทศะ แม่คุณได้แค่ยิ้มๆ แล้วยังมายกมือไหวให้เสียอีก

พิมพิกาแค่ยกมือรับไหว้อย่างขอไปที สะบัดหน้าหนีจากคนน้อง ไปค้อนเอากับคนพี่ ที่ถึงอย่างไรก็ทำใจไม่ได้ หากจะต้องเสียเขาไปให้กับอินทุอร

ก็เหมือนกับเหล้าเบียร์รสร้อนแรง ถึงจะขมบาดคอสักแค่ไหน ถึงจะรู้ว่าเสพเข้าไปแล้วจะต้องเมามายทรมานร่างกายเพียงไร แต่เมื่อเห็นมาตั้งวางอยู่ตรงหน้า ก็ให้รู้สึกนึกอยากขึ้นมาได้ทุกคราว

และในสายตาของหล่อน ปริยัติก็เป็นเสมือนเครื่องมึนเมาเหล่านั้น คือแม้การเสพสมกับเขาจะค่อนข้างบั่นทอนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต แต่หล่อนก็เหมือนกับเป็นพวกพิษสุราเรื้อรัง คือต้องใช้คาวสุรานั่นละ ดับพิษให้สร่างอารมณ์ถวิลหา

แต่ตอนนี้ความคับแค้นยังมากกว่าความอยากกระหายอื่นใด พิมพิกาจึงได้แต่สะบัดหน้าหนีไปอีกครั้ง คราวนี้มีพันธกานต์ยืนยิ้มๆ อยู่อีกคน ราวกับว่าเขารอให้หล่อนหันมามองอยู่ก่อนแล้ว

“อารมณ์ดีสินะคะ มีหญ้าอ่อนมาให้เคี้ยวเล่นถึงบ้าน”

พูดแล้วก็อดตวัดสายตาไปทาง “หญ้าอ่อน” นั่นไม่ได้ เมื่อเห็นว่าเธอก็ยังสำรวมกิริยาอยู่เป็นปกติ ก็ยิ่งขัดเคือง หันกลับมาพาลเอากับ “โคแก่” ผู้เป็นพี่ชายแท้ๆ ของตนเองอีกครั้ง

“สงสัยคุณแม่จะประกาศงานแต่ง งานหมั้นพร้อมกันเสร็จสรรพ พี่พันธ์หาแหวนอีกวงไว้ให้น้องเขาหรือยังล่ะคะ หรือว่าเอาแหวนนั่นไปหมั้นคนอื่นซะแล้ว”

น้องสาวซึ่งคลานตามกันออกมาจากท้องของคุณโสภาพรรณ พูดจาไม่ได้ไว้หน้าพี่ชายของตนเองเลยสักนิด ในถ้อยความนั้น ทั้งหมิ่นแคลนและหยามเหยียด

“ไปกินรังแตนที่ไหนมาละครับเนี่ยคุณพิมพิ์”

ปริยัติเพิ่งเอ่ยขึ้น ถ้าเป็นปกติ สองคนจะรู้กันดีว่า ถ้อยคำห่างเหินเช่นนี้คือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ยามที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ในเวลานี้ พิมพิกาอดนึกไม่ได้ว่า คนพูดตั้งใจเหลือเกินที่จะให้ถ้อยคำอันเหินห่างยิ่งห่างไกล ราวกับว่าชาตินี้ภพนี้ ทั้งสองคนไม่เคยแม้แต่พลาดเผลอกระทบแตะตัวกันมาเลยสักครั้งเดียว

ทั้งที่จริง ต่างคนก็ต่างถลำลึกลงไปในอีกฝ่าย จนไม่ง่ายที่จะถ่ายถอน

น้ำตาปริ่มขอบตาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ พิมพิกาจ้องหน้าปริยัตินิ่งๆ ให้เขาได้เห็นว่าหล่อนรวดร้าวขนาดไหน กับการกระทำที่เขาสร้างรอยแผลเอาไว้ รอยแผลที่ไม่ได้อยู่บนร่างกาย แต่มันกรีดลึกอยู่ในหัวใจ

“อยากรู้จริงๆ หรือเปล่าล่ะคะ... พิมพิ์จะได้เล่าให้ทุกคนฟัง”

แต่ก็เพียงอึดใจสั้นๆ เท่านั้น ก่อนที่น้ำตาจะแห้งเหือดลงไป พร้อมกับความรู้สึกที่อยากจะประกาศให้ใครต่อใครรู้กันไปเสียทีว่า ที่จริงนั้นปริยัติเป็นกรรมสิทธิ์ของใครกันแน่

ส่วนลลิตายังเงียบ ที่จริงหล่อนเงียบไปตั้งแต่ปริยัติพาปิ่นปรียาเข้ามาสมทบนั่นแล้ว ความรู้สึกของลลิตาที่มองเห็นสาวน้อยผู้นี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของพิมพิกา

คือมองเห็นวัยวันอันผ่านเลยของตน ที่ตัวเองลืมคิดจะทะนุถนอมไว้ตั้งแต่เนิ่น

ดอกไม้แรกผลิตรงหน้า ยังมีเวลาเบ่งบานได้อีกนานนัก ต่างกับตน และแน่นอน ต้องต่างกับคนอย่างพิมพิกาด้วยแน่ๆ

แล้วก็ดอกไม้ดอกนี้เอง ที่พวกผู้ใหญ่พยายามจัดหา ชักพาเตรียมไว้ให้พันธกานต์ ลลิตานึกไม่ออกเลยว่า ในเวลาพิสวาท ดอกไม้ดอกนี้จะถูกขยำขยี้ให้ชอกช้ำถึงเพียงไหน กลีบไม่ปริฉีกแหลกราญ ใบก้านไม่หักยับลงกับมือของเขานั้น คงเป็นไปไม่ได้

ก็ดูแต่ตัวของหล่อนเอง ที่แม้จะทานทนอยู่ได้ แต่ก็ต้องแทบจะกลายเป็นดอกไม้เปลี่ยนสี ดีว่ารู้จักวิธีดูแล จึงยังพอจะรักษารูปทรงไว้ไม่ให้ร่วงโรยไปตามแรงโหมของเขานั่น

จนประโยคสุดท้ายของพิมพิกานี่ละ ที่ทำให้หล่อนต้องเอ่ยปากถาม ด้วยอาการท่าทีว่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

“มีใครทำให้น้องพิมพิ์โมโหได้ขนาดนี้ด้วยหรือคะ”

ในคำว่า “ขนาดนี้” ของคนพูด ย่อมแสดงให้เห็นว่าถ้อยคำที่พูดมาตั้งแต่ต้นนั้น ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย

พิมพิกาค้อนให้คนอยากรู้หนึ่งขวับ ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ปริยัติอีกครั้ง ยิ้มเยาะๆ เป็นทีให้เขาเห็นว่าหล่อนกุมความลับยิ่งใหญ่ไว้ในกำมือ

“เพื่อนพี่คนไหนทำให้น้องพิมพิ์ไม่พอใจก็บอกนะครับ ไว้พี่จะกลับไปจัดการให้เอง”

แต่ปริยัติชิงแย่งบทเสียก่อน คำพูดจานั้น กระตุ้นความสนใจของคนทั้งกลุ่มได้มากมาย

“คะ... กับเพื่อนๆ คุณปอนด์”

ลลิตาก็ทำท่าแปลกใจได้สมบทบาท

“แสดงว่าน้องพิมพิ์ต้องเก็บความลับเก่งแน่ๆ นี่ขนาดหลิวมาบ้านนี้บ่อยๆ ยังไม่เคยรู้นะคะเนี่ยว่าคุณปอนด์... เอ้อ... ว่าเพื่อนคุณปอนด์จะแอบคบหาอยู่กับน้องพิมพิ์”

“ให้มันน้อยๆ หน่อยนะคะพี่หลิว พูดเองเออเองอย่างนี้ พิมพิ์เสียหาย”

ในที่สุด พิมพิกาก็รู้สึกเหมือนได้คู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อ

“เรื่องของตัวเองน่ะเอาให้รอดก่อนนะคะ ไอ้คนเรานี่น่ะ มันเคยทำอะไรไว้บ้าง อย่าคิดนะคะว่าใครอื่นเขาจะไม่รู้ไม่เห็น ยุคนี้มันเหมือนมีกล้องอยู่ทุกหัวถนนละค่ะ ใครไปใครมา เข้าออกซอกไหน เขาก็รู้กันได้หมด อยู่ที่ว่าเขาจะขุดเอาขึ้นมาโพทนาหรือเปล่าเท่านั้น พิมพิ์น่ะ จะดีจะชั่วยังไงก็นึกเสมอหรอกนะ ว่าเรื่องของใครก็เรื่องของใคร เราไม่ไปยุ่งเรื่องของคนอื่น คนอื่นก็อย่ามาสอดเรื่องของเรา เข้าใจไหมล่ะคะ”

ศรันย์ได้แต่ยืนงง กับความชุลมุนพัลวันของคนกลุ่มนี้ แต่ละคนพูดเหมือนจะไม่เป็นมิตรกันเสียเลย ขณะที่อีกทางหนึ่งก็รู้สึกเหมือนว่าแต่ละคน ต่างก็มีมีลับลมคมในอะไรซ่อนอยู่ด้วยกันทั้งนั้น

ยกเว้นแต่สาวน้อยนั่น ที่ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดจาใดๆ นอกจากการกล่าวคำสวัสดีพี่ๆ ตามมรรยาท

ความสดสวยของปิ่นปรียา ต้องเรียกว่างดงามผุดผาด คือทั้งแลดูสะอาดสะอ้านและสดใส ดวงหน้าเกลี้ยงเกลา ปราศจากเค้าของการแต่งเติมด้วยเครื่องสำอาง ผิวใสในเสื้อสีฟ้าอ่อน คงละมุนเนียนตาเสียยิ่งกว่าที่เห็นภายนอก

ศรันย์ปฏิเสธตัวเองไม่ได้หรอกว่า หลงตะลึงรูปของสาวน้อยผู้นี้ถึงเพียงไหน แต่เมื่อหัวใจคิดจะมอบให้ผู้หญิงอีกคนเสียแล้ว ความสวยงามที่เห็นอยู่ตรงหน้า แม้ว่าจะเลิศเลอสักเพียงไร ก็แค่อยากจะสัมผัสไว้ด้วยสายตามอง ไม่ถึงขนาดอยากจะเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เหมือนอย่างกับที่รู้สึกกับอินทุอร

“ตกลงว่าเพื่อนคนไหนของคุณปอนด์ล่ะคะ ที่ทำให้น้องพิมพิ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างนี้ หรือว่าทุกคน...”

ท้ายประโยค ลลิตายังเหน็บไว้ให้รู้สึก จนพิมพิกายิ่งเดือดปุดๆ หนักยิ่งขึ้น

“พี่ปอนด์เขาพูดเล่น พี่หลิวก็ดูจะจริงจังซะเหลือเกินนะคะ หรือว่าเรื่องสร้างความร้าวฉานนี่จะเป็นอาชีพเสริม”

“ก็ยังมีอาชีพหลักดีๆ อยู่มั่นคงหรอกค่ะ ไม่ต้องร่อนๆ ไปเรียนอาชีพเสริมไว้เสริมอาชีพ แล้วก็มานั่งอิจฉาริษยาคนนั้นคนนี้เป็นงานอดิเรก คนไกลเขาคงเห็นฤทธิ์เห็นเดช จนหนีกลับลับหายไปกันหมด เลยต้องมานั่งปั้นงานอดิเรกเล่นกับคนใกล้ตัว”

ลลิตามีหรือจะยอมแพ้ ยังจะต่อความยาวไปได้อีกมาก หากก็ต้องยั้งๆ ไว้ก่อน เพราะทั้งยังต้องเกรงใจพันธกานต์ และยังต้องรักษาหน้ารักษากิริยาเอาไว้บ้างต่อหน้าสาวน้อยและหนุ่มรุ่นน้อง

“น้องปิ่นดูเอาไว้นะคะ โบราณเขาว่าเอาไว้ไม่มีผิด ไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เผลอไปเล่นกับมันได้ที่ไหน ลามปามขึ้นมาเลียแข้งขาหน้าตา ให้เราสกปรกเปรอะเปื้อน หากยิ่งเป็นพวกสัตว์สันดานเสีย มันก็มีแต่จะตั้งท่าขบกัดอยู่อย่างเดียว”

แล้วหล่อนก็หันไปจ้องตาตรงๆ กับหญิงสาวรุ่นพี่อีกครั้ง

“พิมพิ์ไม่คุยด้วยแล้วละคะ จะไปสั่งให้แม่บ้านหาอะไรให้พวกหมาจรจัดข้างนอกมันกินเสียหน่อย เห็นว่าหิวโซจนต้องมาเห่ามาหอนให้รำคาญหูอยู่เรื่อย”




“คุณอินทุ์ คุณอินทุ์ครับ”

ภาควัตผละจากระเบียงหลัง ตามอินทุอรมา โดยไม่สนใจเลยว่า สตรีผู้มากวัยทั้งสามคนจะมองตามด้วยความแปลกใจอย่างไร

คนถูกเรียกไม่ได้หยุด ราวกับว่าเธอไม่ได้ยินอะไรด้วยซ้ำ

“คุณอินทุ์ครับ ได้โปรด...”

ต้องเดินตามอีกหลายก้าว เลี้ยวมาตรงส่วนรับแขกอีกห้อง ที่เรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือ และชุดโซฟาตัวสบายๆ ซึ่งห้องนี้เยื้องไปทางด้านหนึ่งที่ค่อนข้างจะเป็นมุมสงบ

“สวัสดีค่ะ... คุณภาควัต”

ที่จริงอินทุอรได้ยินเสียงเขาตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้เธอกำลังสับสน ต้องคิดหนักเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งได้พูดคุยกับบิดาเมื่อครู่

“ผม... อยากจะขอโทษ...”

“เรื่องอะไรอีกหรือคะ”

“ก็... ที่ผมเข้าใจผิด”

“เข้าใจผิดว่า...”

อินทุอรค้างคำไว้เป็นคำถาม แต่พอภาควัตอึกอักอย่างคนที่ไม่รู้จะหาคำใดมาพูดจา เธอก็เป็นฝ่ายพูดต่อเสียเอง

“คุณภาคเข้าใจไม่ผิดหรอกค่ะ ดิฉันก็ไปที่นั่นบ่อยๆ”

“นั่นผมทราบ รู้ครับว่าคุณอินทุ์ไปดักรอพบผม”

คนฟังไม่นึกว่าเขาจะพูดจาแบบตรงไปตรงมาได้ถึงเช่นนี้

“ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกค่ะ ตอนนี้คุณภาควัตกับหลิวก็กำลังคบหากัน ดิฉันกับคู่หมั้น ก็คงต้องแต่งงานกันในเร็ววันนี้ บอกตามตรงก็ได้ค่ะ ว่าที่ไปรอพบคุณภาควัตนั่น ก็...”

อินทุอรคิดว่าตัวเองน่าจะเข้มแข็งได้มากกว่านี้ น่าจะกล้าเอ่ยถามถึงข้อความสำคัญ ที่ค้างคาอยู่ในหัวใจมาตลอด แต่พอเอาเข้าจริงก็พูดไม่ออก

“ผมกับลลิตา... เราไม่ได้มีอะไรกัน ไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งสิ้น เพราะเธอเป็นเพื่อนคุณ ตั้งแต่วันแรกที่กลับมาถึงเมืองไทย ผมก็ไปที่ร้านนั่น แล้วก็พบกับเธอ จำได้ว่าเป็นเพื่อนคุณ เลยพยายามจะถามถึงคุณ...”

ภาควัตเองก็คิดว่า ที่พูดออกมานี้ ช่างดูเหมือนข้อแก้ตัวของคนเห็นแก่ตัวเสียเหลือเกิน แต่เวลานี้ ก็ยังไม่รู้จะประดิดประดอยถ้อยคำอันใด ให้รื่นหูน่าฟังได้มากกว่านี้

ระหว่างที่พยายามจะพูดต่อไป คนทำท่าเหมือนกำลังรอฟัง ก็เลื่อนตัวเองลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

“เรื่องของผมกับหลิว เราเคลียร์กันแล้ว”

“ตกลงกันได้แล้วหรือคะ”

อินทุอรอดประชดไม่ได้

“ถ้าคุณอินทุ์จะหมายถึง เราปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว เพื่อนของคุณเขาก็เข้าใจแล้วว่า ผมไม่มีเจตนาอย่างนั้นกับเขา”

“แล้วหลิวจะไม่เสียใจแย่หรือคะ เธอรักคุณมาก เท่าที่หลิวเล่าให้ฟัง คุณภาควัตก็ปฏิบัติกับเธอเหมือนอย่างที่คู่รักทั่วๆ เขาทำให้กัน”

“นั่นก็เป็นความผิดของผมเอง”

ภาควัตสารภาพด้วยเสียงอ่อนลง ขณะกำลังทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวตรงกันข้าม

“แล้วได้ขอโทษหลิวเขาบ้างหรือเปล่าล่ะคะ”

นั่นไง ประโยคที่ทำให้เขาเหมือนถูกถองเข้าที่ลิ้นปี่ จุกจนพูดไม่ออก

“ช่างเถอะค่ะ สำหรับดิฉัน มีเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ ที่จำเป็นจะต้องพูดกับคุณให้รู้เรื่อง”

“เรื่อง...”

“เรื่องคืนนั้น ดิฉันแทบจำอะไรไม่ได้เลย”

ความรวดร้าวแล่นปราดขึ้นมาอีกแล้ว แต่อินทุอรก็ต้องพยายามกล้ำกลืนเข้าไว้

“คุณถูกมอมยา”

“ก็คงอย่างนั้น... แต่... หลังจากนั้นล่ะคะ”

ลำคอของเธอแห้งผาก เพราะความแห้งแล้งเต็มที ที่ประดังเข้ามาในความรู้สึก

“ผมก็... เป็นความผิดร้ายแรงของผมเองที่... ทิ้งคุณไว้อย่างนั้น”

ภาควัตเองก็อึดอัด ด้วยไม่รู้จะหาคำใดมาพูดจาให้เรื่องราวมันไม่หมิ่นเหม่จนน่าเกลียด

“เป็นเรื่องที่ทำให้ผมทรมานใจมาตลอดจนถึงตอนนี้”

“คงไม่ได้ครึ่งของดิฉันหรอกมังคะ”

เมื่อได้สบตากันตรงๆ อีกครั้ง ภาควัตก็ได้เห็นชัดเจน ถึงความรวดร้าวจากแววตาของหญิงสาวตรงหน้า

“ผมยินดีที่จะรับผิดชอบทุกอย่างนะครับคุณอินทุ์”

“รับผิดชอบเรื่องอะไรคะ”

“ก็... คืนนั้น... ที่ผม...”

“เรื่อง... คืนนั้น... ดิฉันทำใจได้แล้วค่ะ ที่อยากจะขอคุณภาควัตก็คือ ขอให้คุณลืมมันไปได้ไหม คิดเสียว่าเราไม่เคยได้พบเจอกันมาก่อน...”

เสียงสะอื้นที่แฝงมาตรงท้ายประโยค ทำให้ภาควัตพอจะอ่านได้ว่า คนพูดไม่น่าจะอยากพูดถ้อยคำที่เอ่ยมานั่นมากนัก และการพูดจาตัดเยื่อใยกันถึงขนาดนี้ ก็ถึงกับทำให้เขาพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน

“ดิฉันอยากจะขอร้อง ให้เรื่องที่ผ่านมานั่นมันเป็นเพียงแค่ฝันร้าย ถ้าเผอิญว่ามันเป็นฝันร้ายของเราทั้งคู่ วันนี้... เวลานี้... เราก็ควรจะตื่นขึ้นมาในโลกของความเป็นจริงได้แล้ว นะคะคุณภาควัต... ดิฉัน... จะได้แต่งงานกับคู่หมั้นของดิฉัน ได้อย่างสบายใจขึ้นบ้าง”

เพราะต่างคนต่างก็กำลังเพ่งเล็งจดจ่ออยู่กับทุกคำพูดทุกความรู้สึกของฝ่ายตรงข้าม จนไม่ได้สังเกตว่ามีใครคนหนึ่งเดินผ่านเข้ามา แล้วหยุดยืนอยู่เงียบๆ ตรงหลังกรอบประตู

เป็นพิมพิกาที่คิดว่าตัวเองช่างเดินเข้ามาได้ถูกจังหวะ ที่แรกตั้งใจว่าจะได้เห็นฉากพิศวาท แต่แล้วสิ่งที่ได้ยินก็ทำให้แทบกรี๊ด

อินทุอรเพิ่งบอกกับเขาว่าจะยอมแต่งงานกับปริยัติ ทั้งที่อิดออดมาโดยตลอด

แต่คำที่ทำให้ยิ่งสะเทือนใจมากกว่านั้นก็คือ

“แต่ผม... ผม... ผมอยากจะขอโอกาส”

นั่นมันคำสารภาพรักชัดๆ

“โอกาสของเราไม่มีเหลือแล้วละค่ะ ดิฉันให้โอกาสตัวเองมานานเกินไปแล้ว ที่หวังว่าจะได้... เอ่อ... ช่างเถอะนะคะ ขอเพียงให้เรื่องที่ผ่านมา มันหายลับไปกับกาลเวลาเถอะนะคะ”

“แต่นายปริยัตินั่น... คุณอินทุ์รักเขาหรือครับ”

น้ำตาของอินทุอรรื้นขึ้นมากลบตาทีเดียวตอนได้ยินคำนี้

“แล้วยังไงล่ะค่ะ รักหรือไม่รัก แล้วมันต่างกันยังไง”

“คุณจะไม่มีความสุข”

“แต่ดิฉันทุกข์มามากเกินพอแล้ว”

“นั่นละ ผมถึงอยากขอเวลา ขอโอกาสให้ผมได้แก้ตัว”

ทำไมอินทุอรจะจับไม่ได้ว่า น้ำเสียงที่ภาควัตส่งผ่านออกมานั้น จริงใจขนาดไหน

“อย่าเสียเวลากับดิฉันเลย ดิฉันมีคู่หมั้นแล้ว และก็คงจะเข้าพิธีแต่งงานกันในไม่ช้า”

พิมพิกาอยากจะชะโงกหน้าไปดูให้เห็นชัดๆ ว่าผู้ชายคนที่กำลังพูดจากับอินทุอรด้วยความรู้สึกผู้สารภาพบาปและขอโอกาสกลับตัวกลับใจนั้น มีหน้าตาท่าทางเป็นอย่างไร ทว่าความขัดเคืองใจเรื่องที่อินทุอรยืนยันเป็นสองครั้งสามครั้งว่า จะยอมแต่งงานกับปริยัติแน่ๆ มีมากกว่า

“แต่ผมดูออก ว่าคุณอินทุ์ไม่ได้รักนายปริยัตินั่นเลยสักนิด”

“ในกรณีของดิฉัน ความรักคงไม่จำเป็นเสียแล้วละค่ะ ถึงอย่างไร ดิฉันก็คงต้องแต่งกับเขา”

พิมพิกาได้ยินแค่นั้น ก็สุดจะทนฟังได้อีกต่อไป หล่อนผละออกมาจากกรอบประตูนั่นอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะได้ยินถ้อยคำต่อจากนั้นของภาควัต

“แล้วทำไมคุณอินทุ์ไม่ให้โอกาสกับความรัก ให้โอกาสกับคนที่รักคุณบ้างเล่าครับ”




*********************




นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2554, 13:06:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2554, 13:06:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1920





<< 018   บทที่ ๐๒๐ >>
saralun 10 มิ.ย. 2554, 13:20:23 น.
หายไปนานมากกก อิอิ ดีใจจังได้อ่านละ!! อิอิ


หมูบิน 10 มิ.ย. 2554, 19:42:59 น.
ขอบคุณค่ะ ที่ลงให้ได้อ่านกันอีก นึกว่าจะหายไปเลยซะแล้วว รออยู่นะคะ


ree 11 มิ.ย. 2554, 12:35:24 น.
พ่อต้องเอาอะไรมีบีบลูกสาวแน่ะเลย เป็นพ่อประสาอะไร ไม่ได้คิดถึงใจลูกเลย


แพม 12 มิ.ย. 2554, 01:48:23 น.
เฮ้อ


Thekop 21 มิ.ย. 2554, 01:58:17 น.
อ๊ากกกก นางเอกเรื่องนี้โรคจิตชัดๆๆ โหยหาคืนนั้นตลอดเวลา พอกลับมากับ ผลักไสย บุคคลิค ดูแล้วอึดอึดเหมือนไม่ใช่คนทีมีตัวตนจริงๆๆ อยู่ๆๆ ก็อยากกลับมาเป็นคนปกติ

ให้กำลังใจคนเขียนคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account