โองการแช่งรัก
เกิดมาตั้ง 29 ปีอยากมีแฟนกับเขาสักทีทำไมมันยากยิ่งกว่าตามหามักกะลีผล ก็เธอทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งเริ่ด! แต่ทำไมไม่มีใครตกหลุมเลยสักคน มันต้องมีใครแอบมาแช่งชักหักกระดูกเอาไว้ให้อกหักรักคุดตลอดชาติแน่ๆ!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 9. คุณยายปริศนากับสายน้ำแห่งความหวัง



แสงแดดเจิดจ้าของบ่ายแก่ๆ เรียกเหงื่อเม็ดโตของทีมงานถ่ายแบบได้เป็นอย่างดี วันนี้กองถ่ายย้ายสถานที่ไปยังตลาดน้ำสี่ภาคอโยธยา ทั้งร้อนอบอ้าว ทั้งคนมุงดู จนนางแบบสาวแทบจะวีนแตกไปหลายรอบในการถ่ายแบบของวันนี้

“จูนร้อนค่ะพี่บี ช่วยหาพัดลมไอน้ำ หรือไม่ก็แอร์เคลื่อนที่ให้จูนสักตัวได้ไหมคะ” เมถุนบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ขณะรอถ่ายในฉากต่อไปบนเรือที่ล่องอยู่กลางตลาด

“อดทนหน่อยนะคะน้องจูน คุณคีก็ไม่อยู่ซะด้วย ไม่รู้จะไปหาพัดลมไอน้ำจากที่ไหนให้” พี่บีหน้าเสีย เข้าใจนางแบบสาวทันที เพราะอากาศที่นี่มันร้อนร้ายเหลือบรรยายจริงๆ ขนาดเพลินตาที่ฮึ่มๆ ใส่กันมาตั้งแต่เช้า พอตกบ่ายเช่นนี้ก็หมดแรง หอบแดดหลบร้อน เลิกเขม่นกันไปโดยปริยาย

“นี่มันวันอะไรกัน ทำไมถึงร้อนอย่างนี้ ต่อไปถ้าไม่มีห้องแอร์ให้จูนอยู่ จูนจะไม่รับแล้วนะคะพี่บี”

“ค่ะๆ พี่เข้าใจค่ะ คราวหน้าพี่จะเตรียมแอร์เคลื่อนที่มาให้นะ” พี่บีพูดเอาอกเอาใจ กลัวว่าเมถุนจะของขึ้นแล้วเลิกถ่ายไปเสียดื้อๆ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าหญิงสาวไม่มีวันทำเช่นนั้น เพราะเธอมีความรับผิดชอบมากพอ แต่บีก็อดหวั่นใจไม่ได้

“ก็คงต้องอย่างนั้นแหละค่ะ แต่ตอนนี้จูนร้อน พี่บีมีอะไรเย็นๆ มาให้จูนบ้างไหม”

“เอาหวานไอศกรีมไหมคะ เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้”

“อ้วน”

“งั้นเป็นน้ำเปล่าไหม เย็นชื่นใจ ไม่มีคอเรสตอรอล”

“โอเคค่ะ”

“งั้นรอแป๊บนะ เดี๋ยวให้เด็กเอามาให้” พูดจบบีก็หันไปส่งสัญญาณมือขอน้ำจากทีมงานที่คอยจัดหาน้ำหาท่าให้ทุกคนในกอง สักพักหนึ่งเด็กสาวผู้นั้นก็กลับมาพร้อมน้ำเย็นเจี๊ยบขวดหนึ่ง

“เปิดเลยก็ได้ค่ะ” บีหันไปบอกน้องทีมงาน แต่ก็ต้องอุทานเสียงดัง เมื่อน้ำเย็นๆ ในขวดกระฉอกออกมาเปราะเปื้อนใบหน้าและผมของนางแบบสาวจนชุ่มโชก

“หนูขอโทษค่ะพี่ หนูไม่ได้ตั้งใจ” เด็กสาวละล่ำละลักขอโทษเสียงสั่น เหตุเพราะไม่ทันระวังเปิดฝาขวดน้ำสุดแรง จนทำให้กระฉอกลงไปราดหัวนางแบบสาวที่นั่งหลบร้อนอยู่กับพื้น

“ตายแล้วน้องจูน เครื่องสำอางเลอะหมดแล้ว รีบเช็ดเร็วเข้า” พี่บีกุลีกุจอเอากระดาษทิชชูที่อยู่ในมือซับไปบนเส้นผมและใบหน้าของนางแบบสาวอย่างรีบเร่ง

“ไม่ต้องค่ะพี่บี” เมถุนพูดเสียงเย็น ค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืนจนค้ำหัวเด็กสาวที่ยืนตัวลีบอยู่ด้านหน้า ก่อนจะกระชากขวดน้ำออกมาจากมือของอีกฝ่าย ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มองมาอย่างเป็นห่วง

“หนูขอโทษค่ะคุณจูน หนูไม่ได้ตั้งใจ” น้ำเสียงของทีมงานสาวสั่นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความกลัว เมื่อเห็นใบหน้าถมึงทึงของคนที่ได้ชื่อว่าเรื่องมากที่สุดในกอง

“ขอบใจที่อุตส่าห์ทำให้ฉันเย็นขึ้น แต่ทีหลังไม่ต้อง แล้วอย่าพูดว่าไม่ได้ตั้งใจ เพราะถ้าเธอตั้งใจเปิดฝา ก็คงไม่ทำน้ำรดหัวฉันอย่างนี้หรอก” พูดแล้วก็ราดน้ำที่เหลือลงไปบนหัวของเด็กสาวที่ร้องไห้กระซิกๆ อยู่อย่างร้ายกาจ แต่ยังไม่ทันจะราดหมดพี่บีก็เข้ามาคว้ามือไว้ได้ก่อน

“หยุดนะคะน้องจูน!” ผู้จัดการสาวประเภทสองเอ่ยเสียงเข้ม นึกไม่ถึงว่าเมถุนจะกล้าทำได้ถึงขนาดนี้

“พี่บีมีสิทธิ์อะไรมาสั่งจูน!” ฝ่ายนางแบบสาวสะบัดมือออกทันที จนขวดน้ำกระเด็นกลิ้งหลุนๆ ไปไกล

“ก็สิทธิ์ของผู้จัดการส่วนตัว หรือเพื่อนคนเดียวของน้องจูนไง น้องคนนี้เขาก็บอกแล้วว่าไม่ได้ตั้งใจ ทำไมจูนถึงต้องไปทำร้ายเขาขนาดนี้ด้วย!”

“เพื่อนคนเดียวของจูน?” เมถุนเลิกคิ้วสวย แค่นยิ้ม หันมามองหน้าผู้จัดการส่วนตัวให้เต็มตาอีกครั้ง พร้อมพูดต่อ “ขอโทษนะคะพี่บี จูนไปเป็นเพื่อนพี่บีตอนไหนไม่ทราบ เท่าที่จูนรู้ พี่บีมีหน้าที่รับคำสั่งจูน ดูแลจูน แล้วก็เกาะจูนกินไปวันๆ ถามหน่อย...ถ้าจูนไม่ดัง ไม่ได้ค่าตัวแสนแพงอย่างนี้ แล้วพี่บีจะเอาปัญญาที่ไหนไปหาเงิน นอกจากไปสมัครเป็นขี้ข้าเขาเหมือนอย่างยัยเด็กคนนี้ไง”

“ทำไมน้องจูนถึงพูดอย่างนี้?!?”

“ก็มันเป็นความจริงไม่ใช่เหรอคะ หน้าที่ของพี่บีมันก็ไม่ต่างไปจากขี้ข้าสักเท่าไรหรอก!”

ได้ยินเพียงแค่นั้นบีก็หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ ปากระดาษทิชชูในมือใส่หน้านางแบบสาวทันที พร้อมพูดเสียงดังให้ได้ยินทั่วกัน

“ก็ได้ ต่อไปนี้ขี้ข้าอย่างฉันขอลาออกจากการเป็นผู้จัดการส่วนตัวของหล่อน ฉันทนหล่อนมามากพอแล้ว แล้วจะไม่ทนอีกต่อไป นิสัยอย่างหล่อนคงอยู่ในวงการนี้อีกไม่นานหรอก ดูถูกคนอื่นว่าเป็นขี้ข้า เป็นทาสรับใช้ ยกหางตัวเองจนสูงท่วมหัว แต่ขอโทษที ความจริงหล่อนมันก็แค่คางคกขึ้นวอเท่านั้นแหละย่ะ!”

“กล้าพูดอย่างนี้กับจูนเหรอพี่บี!”

“ทำไมจะไม่กล้า ตอนนี้ฉันไม่ใช่ขี้ข้าของหล่อนแล้ว แล้วไม่ต้องโทรมาง้อให้ฉันกลับมาทำงานด้วย เชิญใช้สมองฝ่อๆ ของหล่อนรับงานเองก็แล้วกันย่ะ!” โพล่งออกไปเสร็จ บีก็เดินกระแทกเท้าฝ่าวงล้อมของทุกคนที่ยืนอึ้งเป็นใบ้กินออกไปอย่างไม่แยแสคนที่ยืนหน้าม้านอยู่ข้างหลังอีกเลย

เมถุนเม้มปากเป็นเส้นตรง กำมือแน่นด้วยความโกรธ ไม่คิดว่าพี่บีจะทำอย่างนี้กับเธอได้ ขอบตาร้อนผ่าว พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลลงมาประจานความอ่อนแอให้ใครได้เห็น

“คุณจูนไม่เป็นไรใช่ไหมคะ หนูขอโทษค่ะคุณจูน ที่เป็นต้นเหตุให้คุณจูนกับคุณบีทะเลาะกัน” เด็กสาวที่หยุดร้องไห้แล้ว เอื้อมมือไปแตะแขนของคนที่ยืนนิ่งอยู่ ก่อนจะถูกสะบัดออกอย่างไร้เยื่อใย

“ไม่ต้องมาแตะตัวฉัน รีบไปเรียกช่างแต่งหน้ามาสิ เครื่องสำอางเลอะอย่างนี้แล้วฉันจะถ่ายต่อได้ยังไง” สิ้นเสียงสั่นๆ ของเมถุน เด็กสาวก็พยักหน้ารับ ก่อนจะรีบวิ่งไปตามช่างแต่งหน้าทันที ไม่เข้าใจว่าเกิดเหตุการณ์รุนแรงเช่นนี้แล้วทำไมเธอถึงยังสามารถทำงานต่อได้ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทว่าคนที่กำลังตกเป็นขี้ปากชาวบ้านอยู่ในขณะนี้ก็ไม่ได้ด้านชาจนไม่รู้สึกรู้สาอะไร เธอเพียงต้องทำงานให้เสร็จๆ ไปตามหน้าที่ แม้จะไม่มีคนมาคอยดูแลเหมือนแต่ก่อนก็ตาม กับอีแค่ผู้จัดการส่วนตัวจะหาเมื่อไหร่ก็ได้ ดังระดับประเทศอย่างนางสาวเมถุน มีหรือใครจะกล้าปฏิเสธลง

หลังจากที่ถ่ายทำกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมถุนก็นั่งเงียบมาตลอดทางกลับรีสอร์ต เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพี่บีถึงต้องออกโรงปกป้องเด็กสาวขนาดนั้น เธอก็แค่ทำโทษในสิ่งที่อีกฝ่ายสมควรโดน เป็นแค่เด็กในกองไม่ได้มีศักดิ์ศรีเท่ากับนางแบบอย่างเธอด้วยซ้ำ ทำไมถึงจะลงโทษไม่ได้!

“น่าสงสารจัง คนหัวเดียวกระเทียมลีบก็จ๋อยแบบนี้สินะ” เสียงของเพลินตาดังขึ้นด้านหลัง เรียกให้คนที่นั่งอยู่เบาะหน้าหันขวับไปมองทันที

“น้องเพลิน” พี่นิดหน้าเสีย รีบเอ่ยปรามเด็กในสังกัดตัวเองทันที

“หัวเดียวกระเทียมลีบสิดี น่าสงสารออก อย่างน้อยคะแนนในส่วนนี้ฉันก็คงสูงกว่าเธอหลายเท่าตัว ไม่แน่...ถึงจะไม่มีคะแนนความน่าสงสาร ฉันก็อาจจะชนะเธอใสๆ ก็ได้ my poor friend!” เมถุนลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่ยี่หระ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกแย่กับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่จะให้มาทำท่าจ๋อยต่อหน้าคู่อริน่ะเหรอ...ไม่มีวัน

“หึ...แล้วฉันจะคอยดู” เพลินตาแค่นยิ้ม อันที่จริงหากจะย้อนเวลากลับไปดูว่าพวกเธอเป็นคู่อริกันตอนไหนก็ตอบยาก เพราะก่อนเมถุนเข้าวงการ เธอยังเป็นนางแบบอันดับหนึ่งยากที่จะหาใครเทียบ แต่พอเด็กใหม่หน้าใสก้าวเข้ามาไม่นาน ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเธอก็ถูกฝ่ายนั้นแย่งไปหมด ทั้งงาน ทั้งเงิน แถมยังได้รับโอกาสไปเดินแบบเมืองนอกเมืองนา จนเข้าตาวิคตอเรียซีเคร็ต เลยทำให้เมถุนดังเป็นพลุแตกจนฉุดไม่อยู่ ส่วนเธอก็กลายเป็นนางแบบตกกระป๋องอย่างทุกวันนี้

เมื่อมาถึงรีสอร์ตในยามค่ำ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปยังบ้านพักของตนเอง ทว่าคนที่เพิ่งถูกลอยแพกลับยืนนิ่งอยู่หน้าบ้านพักไม่ยอมเข้าไปสักที สายตาจับจ้องแต่ประตูของห้องพักหลังติดกัน แม้จะไม่ยอมรับว่าเป็นความผิดของตนเอง แต่ก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ที่กลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างที่เพลินตาค่อนแคะไปจริงๆ

“คุณจูนเป็นอะไรไปเหรอครับ” ไมเคิลที่เดินผ่านมาแถวนั้นเอ่ยทักคนที่คล้ายกับตกอยู่ในภวังค์ของตนเอง จนไม่รู้ตัวว่าเขาเดินเข้าไปใกล้

“ไม่ได้เป็นอะไร” เมถุนสะดุ้งเล็กน้อย ตอบกลับเสียงขุ่น ถอยห่างคนร่างเตี้ยเล็กน้อย เพื่อความปลอดภัยของตนเอง

“แล้วมายืนทำอะไรตรงนี้ครับ”

“ฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ยุ่งอะไรด้วย”

“ไมเคิลเป็นห่วงคุณจูนนะ”

คำตอบของอีกฝ่าย ทำเอาเมถุนถึงกับจุกไปหมด ไม่คิดว่าบนโลกนี้เธอยังจะสามารถได้ยินคำคำนี้จากใครได้อีก จึงหันไปมองคนตัวเตี้ยกว่าด้วยความตื้นตัน

“ทำไมถึงเป็นห่วงฉัน”

“ก็คุณจูนใจดีเหมือนนางฟ้า แถมสวยด้วย ไมเคิลไม่เคยเจอผู้หญิงสวยๆ แล้วใจดีเหมือนคุณจูน” ไมเคิลพูดจากใจจริง

“นายคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”

“ครับ” พอได้ยินดังนั้น เมถุนก็เริ่มยิ้มออก แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าในตัวของไมเคิลเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ยังไงเขาก็เป็นได้แค่เพียงคนงานหน้าตาอัปลักษณ์ที่พูดจาหวานหูกับเธอก็เท่านั้น จะให้เลื่อนฐานะมาเป็นเพื่อนนั้น เมถุนรับไม่ได้จริงๆ

“ขอบใจนะ นายจะไปไหนก็ไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปพักผ่อนซะหน่อย ร้อนมาทั้งวันแล้ว” พูดเสร็จก็เดินปลีกตัวขึ้นไปบนบ้านพักหลังงาม ปล่อยให้ไมเคิลยืนอมยิ้มอยู่คนเดียวกับคำพูดของเมถุนที่ได้ยินเมื่อสักครู่

“เป็นบ้าเหรอไมเคิล มายืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้” อิชยาที่กำลังเดินกลับบ้านพักของตนเองเอ่ยทักลูกน้องคนสนิท หลังเห็นฝ่ายนั้นยืนหลับตาพริ้ม ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจสุดๆ อยู่หน้าบ้านนางแบบสาวที่เพิ่งมีเรื่องกับผู้จัดการส่วนตัวเมื่อตอนกลางวัน

“เมื่อกี้คุณจูนพูดขอบใจไมเคิลด้วยครับนาย”

“หูฝาดรึเปล่า อย่างนางมารเนี่ยนะจะขอบอกขอบใจคนอื่นเป็น” อิชยากระตุกยิ้ม เมื่อเห็นอาการของไมเคิลที่เป็นเอามาก

“จริงๆ ครับนาย คุณจูนเป็นนางฟ้าของผมเลย นายก็เป็นเทวดาของผม อันที่จริงนายกับคุณจูนน่าจะแต่งงานกันนะครับ ผมจะได้มีทั้งนางฟ้าและเทวดาคอยอยู่ใกล้ๆ อย่างนี้ตลอดไป”

“โห...ได้ยินแล้วขนหัวลุกเลยว่ะ จะให้ฉันเนี่ยนะไปแต่งงานกับคุณจูนของนาย ไม่ไหวไมเคิล ฉันยังไม่อยากเป็นบ้าตาย ถ้านายอยากแต่งก็แต่งเองเถอะ อย่าเอาฉันเข้าไปเกี่ยวเลย” ชายหนุ่มร่างสูงโบกมือไปมา ก่อนจะเดินเข้าไปตบบ่าลูกน้อง พร้อมพาเดินออกไปด้วยกัน

“แต่คุณจูนเขาสวยนะนาย”

“สวยสยองสิไม่ว่า แกยังไม่รู้อะไร วันนี้นางฟ้าของแกแผลงฤทธิ์ซะทุกคนกระเจิง”

“ยังไงเหรอครับนาย”

“เฮ้อ...ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวฝันของคนแถวนี้จะสลายไปเสียฉิบ เอาเป็นว่าวันนี้ไปช่วยฉันตรวจผักอีกสักรอบเถอะ พรุ่งนี้จะได้เอาไปให้ชาวบ้านทดลองปลูกที่แปลงในหมู่บ้าน”

“ได้ครับนาย” ว่าแล้วก็เลิกสนใจเรื่องของเมถุน เดินตามแรงดึงของนายไปต้อยๆ ทว่าคนที่บอกว่าไม่พูดกลับครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ฝ่ายเดียว ไม่รู้ว่าในหัวของเมถุนมีความคิดอะไรในนั้นบ้าง ถึงได้ทำเรื่องเล็กให้ใหญ่โตได้เพียงนี้ คิดแล้วก็อดสงสารบีและคีตะไม่ได้ ที่ต้องมาคอยเป็นกระโถนให้นางมารร้ายพ่นพิษใส่อยู่ร่ำไป



เสียงจ้อกแจ้กในห้องอาหารที่ของทีมงานทุกคนในเช้าวันใหม่ค่อยๆ เงียบลง เมื่อปรากฏร่างระหงของนางแบบสาวผิวสีน้ำผึ้งที่ประตูหน้า ต่างคนต่างคิดว่าเธอคงร้องไห้โฮเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปแล้ว แต่ที่ไหนได้ ยังทนทายาดไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทา ปรากฏตัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เมถุนกวาดตามองห้องอาหารรอบๆ อย่างไม่สนใจ คนที่แอบมองอยู่พากันหลบตากันเป็นแถว เธอออกก้าวเดินอย่างมั่นใจไปยังไลน์อาหารเช้าที่ถูกจัดอยู่ เพียงแค่บอกชื่อ พนักงานก็จะนำอาหารที่สั่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนสำหรับมื้อเช้ามาเสิร์ฟให้ เสร็จแล้วก็มองหาโต๊ะว่างๆ สักตัวเพื่อใช้นั่งละเลียดอาหารเช้า ทว่าสายตาก็พลันไปสะดุดอยู่กับนางแบบสาวคู่อริที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง เห็นดังนั้นเมถุนก็เดินตรงเข้าไปหาทันที แต่ก็ต้องชะงักกึก ขมวดคิ้วมุ่นทันที

“ขอบใจนะสำหรับแซนด์วิชที่อุตส่าห์ส่งมาให้เป็นคำขอโทษ เธอกล้าส่งมา ฉันก็กล้ากิน” เพลินตาเหยียดยิ้ม ขณะยกแซนด์วิชไส้ช็อกโกแลตที่พร่องไปเกือบหมดกับน้ำส้มคั้นสด โชว์ให้อีกฝ่ายเห็น

“ฉันเนี่ยนะส่งให้เธอ?” เมถุนนิ่วหน้า นึกไม่ออกว่าได้เผลอไปสั่งแซนด์วิชให้คู่อริตอนไหน

“ไม่ใช่เธอแล้วจะใครล่ะ การ์ดยังมีอยู่เลย” พูดแล้วก็ยื่นการ์ดสีเขียวอ่อนไปให้อีกฝ่าย เมถุนรับการ์ดมาอ่านอย่างงุนงง ในนั้นถูกเขียนเอาไว้ว่า ‘ขอโทษสำหรับเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด และขอเริ่มต้นใหม่ เพื่อมิตรภาพดีๆ ที่รออยู่ข้างหน้า’ พออ่านเสร็จใบหน้าสวยก็ยิ่งเหยเกกับความเลี่ยนของข้อความ สาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบนโลกนี้ว่าไม่ใช่เธออย่างแน่นอนที่เขียนการ์ดฉบับนี้ขึ้น

หรือว่าจะเป็นพี่บี?

“เธอได้มาตอนไหน” เมถุนเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่ด้วยน้ำเสียงใคร่รู้

“ก็ตอนเช้าไง อะไรกัน แค่นี้ก็ทำเขินไม่ยอมรับความจริงรึไง” เพลินตายิ้มเยาะ แต่ในขณะนั้นก็เริ่มรู้สึกคันที่บริเวณใบหน้าและลำคอขึ้นมาฉับพลัน

“ฉันไม่ได้ส่ง” เมถุนย้ำเสียงแข็ง เห็นอาการผิดปกติบนผิวหน้าของอีกฝ่าย ที่เริ่มบวมฉึ่งเหมือนอึ่งอ่างเข้าไปทุกที

“เธอแกล้งฉันใช่ไหม ใส่อะไรลงไปในแซนด์วิช!” คราวนี้เพลินตาตวาดลั่น จนทุกคนหันมามอง จึงทำให้เห็นว่าบัดนี้ใบหน้าสวยๆ ของเพลินตากำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง และบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“ฉันไม่ได้ทำ! ฉันไม่ได้เป็นคนส่งแซนด์วิชให้เธอนะ!” เมถุนปฏิเสธหัวชนฝา อย่างไรเสียเธอก็ต้องยืนยันในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำอยู่แล้ว

“ฉันไม่เชื่อ! ในนี้มันต้องมีถั่วแน่ๆ เลย ยัยสถุล! นางมารร้าย! เธอเกลียดฉันถึงขนาดนี้เลยรึไงกัน!”

“ตายแล้วน้องเพลิน ไปกินอะไรมาคะ!” พี่นิดที่เพิ่งเดินเข้ามา อุทานลั่นห้องอาหาร เมื่อเห็นเด็กในสังกัดตัวเองหน้าบวมแดงขนาดนี้ ก่อนจะปรี่เข้าไปประคองใบหน้าของเพลินตาอย่างระมัดระวัง เรียกหาคนรับผิดชอบทันที

“ใครที่ทำแบบนี้กับเพลินตา รู้ทั้งรู้ว่าเพลินตาแพ้ถั่ว!” ทว่าสายตาทุกคนที่เมียงมองมายังเมถุน ก็ทำให้นิดรู้ว่าต้นเหตุของเรื่องอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเลย

“ทำอย่างนี้ได้ยังไงคะน้องจูน พี่นิดไม่อยากจะเชื่อเลย!”

“จูนไม่ได้ทำ! จูนก็มาหาอะไรกินของจูน เจอยัยเพลินก็แค่จะเข้ามาทัก จูนไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย แล้วที่ยัยเพลินกินเข้าไปก็ไม่ใช่ถั่วสักหน่อย ช็อกโกแลตไม่ใช่เหรอ พี่นิดอย่ามามั่วนะ” เมถุนที่ถูกกล่าวหาปฏิเสธลั่น ยืนกรานคำตอบเดิม

“ช็อกโกแลตยี่ห้อนี้มันผสมถั่วค่ะ! ถ้าน้องจูนอยากจะเอาคืนน้องเพลิน ไปหาทางเอาคืนอย่างอื่นเถอะ แต่ถ้าจะมาลอบกัดอย่างนี้พี่รับไม่ได้!” พูดเสร็จก็ประคองเพลินตาที่เริ่มมีอาการเวียนหัวขึ้นยืนเพื่อไปโรงพยาบาล

“แต่จูนไม่ได้...”

“ไหนครับ เป็นยังไงบ้าง!” ทว่าเสียงกระหืดกระหอบของอิชยาก็แทรกขึ้นมา ก่อนนางแบบสาวผิวสีจะทันพูดจบ ร่างสูงใหญ่ของชายหนุ่มแทรกตัวผ่านพนักงานและทีมงานที่ยืนมุงดูกันจนแทบไม่มีที่ ก่อนจะหันไปชักสีหน้าใส่คนเจ้าของปัญหาทันที เมื่อเห็นสภาพของเพลินตา

“คราวนี้ก็สมใจคุณแล้วสินะ จะได้ไม่มีคู่แข่งทั้งเรื่องถ่ายแบบและเรื่องหัวใจ คุณนี่มันแย่กว่าที่ผมคิดเอาไว้มากนะ” อิชยาตอกเมถุนอย่างไม่ไว้หน้า จนคนที่ถูกว่าชาไปทั้งร่าง มือน้อยที่กำเอาไว้แน่นสั่นระริก ทำไมถึงไม่มีใครสักคนเลยที่เชื่อเธอ!

“ไปโรงพยาบาลกันเถอะครับ เดี๋ยวผมจะไปส่ง” พูดเสร็จอิชยาก็ก้มตัวลงไปอุ้มเพลินตาเอาไว้ ก่อนจะเดินฝ่าวงล้อมของผู้คนออกไป ท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทามากมายที่ต่างก็โยนความผิดให้เมถุนแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อทนอยู่ต่อไม่ไหว นางแบบสาวก็เดินกระแทกเท้าผ่านทุกคนที่เอือมระอากับนิสัยของเธอไปอย่างรีบเร่ง ไม่รู้ว่าจะต้องไปที่ใด แต่ขอให้ได้ออกไปจากที่แห่งนี้ก่อนเป็นพอ

สองขาเรียวในชุดจัมพ์สูทแขนกุดพาเจ้าของเดินมาจนถึงคิวรถไปเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ของจังหวัดอยุธยา เธอไม่มีจุดมุ่งหมาย เพียงแค่ขอให้ได้ไปพ้นๆ จากรีสอร์ตบ้าแห่งนี้

“มีเรื่องกลุ้มใจสิท่า งั้นไปเที่ยววัดพนัญเชิงไหม” คุณลุงเจ้าของรถเอ่ยปาก เมื่อเห็นผู้โดยสารคนสวยไม่พูดไม่จาอะไร เอาแต่ยืนทำหน้าเครียด นัยน์ตาแดงก่ำ

“แล้วทำไมต้องวัดพนัญเชิงด้วยล่ะลุง” เมถุนหันขวับ ถามด้วยความไม่เข้าใจ

“ไม่เคยได้ยินตำนานของพระนางสร้อยดอกหมากหรอกเหรอ เป็นตำนานความรักที่กินใจมากเชียวนะ”

“ไม่เคยได้ยินค่ะ แต่ถ้าลุงว่าดีก็ดี ไปกันเลย จูนไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว” พูดเสร็จก็โหนตัวเองขึ้นรถสองแถวอย่างไม่รอช้า ดวงตามีน้ำใสๆ เอ่อขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะกะพริบถี่ๆ เพื่อไล่มันให้หายไป ไม่อยากให้คนที่ร่วมโดยสารไปกับอีกสามสี่คนต้องเห็นความอ่อนแอที่เธอเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด



โบราณสถานเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าไม่ได้ทำให้หญิงสาวรูปร่างเพรียวระหงที่กำลังเดินลงมาจากรถสองแถวต้องตกตะลึงแต่อย่างใด ไม่เหมือนนักท่องเที่ยวต่างชาติรอบข้างที่ต่างตื่นเต้นในการมาเยือนวัดโบราณครั้งนี้ เมถุนถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาบังใบหน้าคมขำของตัวเองไว้จากแสงแดดในช่วงสาย ด้วยความโมโหจึงรีบจากมาโดยไม่ได้นึกถึงแสงแดดร้อนร้ายของเมืองไทยที่แผดเผาอยู่ในขณะนี้

“ก็แค่วัด จะอะไรกันมากมาย” เมถุนบ่นพึมพำขณะเดินตามผู้โดยสารต่างชาติที่นั่งรถคันเดียวกับเธอเข้าไปด้านใน แต่ในเมื่อมาแล้วเข้าไปสักการะเสียหน่อยก็ไม่เสียหาย หญิงสาวตรงไปยังหลวงพ่อประทานพร พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าใกล้ประตูเป็นอันดับแรก เพราะคุณลุงเจ้าของคิวรถบอกว่าหลวงพ่อประทานพรนั้นศักดิ์สิทธิ์ หากขอพรสิ่งใดก็จะได้สมหวังทุกประการ

“สาธุ ขอให้จูนผ่านเรื่องร้ายๆ พวกนี้ไปได้ด้วยเถอะค่ะ ขอให้พี่บีหายโกรธจูน ถึงแม้ว่าจูนจะไม่ได้ทำอะไรผิด แค่พูดความจริงออกไปก็ตาม แล้วก็ขอให้ยัยเพลินตาอย่าเป็นอะไรมาก จูนไม่ได้ทำจริงๆ นะคะหลวงพ่อ ทำไมไม่เห็นมีใครเชื่อใจจูนเลยสักคน” เมถุนพนมมือไหว้หลวงพ่อประทานพร พร้อมทั้งอธิษฐานพึมพำ จนคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง อดพูดกวนขึ้นมาไม่ได้

“โห...เจ๊ ขอซะหลวงพ่อจดไม่ทันเลยนะ” ได้ยินดังนั้น หญิงสาวก็หันขวับ จึงเห็นเด็กชายที่เคยฝากความเจ็บแค้นในความอ่อนด้อยภาษาอังกฤษของตนเองยืนยิ้มหน้าระรื่นอยู่

“ปากเสีย!” เมถุนแว้ดลั่น หน้าม้านทันที เมื่อเห็นไอ้เด็กปากมอมอีกครั้ง

“ก็จริงนี่ ที่ขอไปเนี่ย เจ๊เคยทำบุญไปกี่บาท ถ้าไม่เคยให้ ก็อย่าหวังเอาจากคนอื่นฝ่ายเดียวสิเจ๊ มันไม่แฟร์” เด็กชายที่ถือลอตเตอรี่ในมือไหวไหล่ เขาเห็นพี่สาวผู้นี้ลงรถมาแต่ไกล เลยคิดจะเข้ามาทักทายตามประสาคนเคยรู้จักสักหน่อย แต่พอเห็นเธอเอาแต่ขอนั่นขอนี่ไม่ร่วมทำบุญเลยสักบาท จึงอดค่อนแคะไม่ได้ ตามประสาเด็กที่เติบโตมาในวัด

“อ้อ...ทีเรื่องอย่างนี้รู้ดี แล้วอีตอนไปหลอกขายหวยชาวบ้านละ ทำไมถึงไม่คิดบ้าง”

“ก็แหมเจ๊ คนเรามันต้องหากิน รอผมรวยก่อนสิ แล้วผมถึงจะเลิก ผมมันก็แค่เด็กวัดหาเลี้ยงตัวเองไปวันๆ ไม่ได้รวยเหมือนเจ๊ หรือแฟนเจ๊นี่ ถ้าผมเลิกทำ ผมก็อดตาย”

พอสิ้นเสียงของเด็กหนุ่ม เมถุนก็อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าให้ลดความยโสลงเล็กน้อย ย้ำ...แค่เล็กน้อยเท่านั้น หลังจากได้ยินคำว่า แฟนเจ๊ ก่อนจะถามสวนกลับบ้าง

“แล้วอาชีพอื่นล่ะ มีอีกตั้งเยอะแยะทำไมไม่ทำ คนเราถึงเลือกเกิดไม่ได้ ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตได้ไม่ใช่รึไง”

“ก็มันไม่ได้ตังค์เท่าอาชีพนี้ไง ถามไรเยอะแยะเนี่ยเจ๊ เอาเป็นว่าช่วยซื้อหวยผมอีกใบนึงละกัน แล้วผมจะไม่มากวนใจเจ๊อีกเลย” คราวนี้เด็กหนุ่มยิ้มกริ่ม รีบยื่นลอตเตอรี่ไปให้หญิงสาวร่างสูงที่ยืนทำหน้าหงิกทันที

“อ๋อ...ที่เข้ามาชวนพูดนี่เพื่อขายหวยหรอกเหรอ” เมถุนฉุนกึก เกือบจะใจอ่อนเอ็นดูเด็กชายคนนี้เข้าให้จริงๆ

“เอาน่าเจ๊...ไม่ได้ทำบุญกับพระกับเจ้า ทำบุญกับเด็กก็ยังดีน่า ชาติหน้าจะได้สวยๆ อย่างนี้อีกไง”

“เอ้อ...พูดอย่างนี้ค่อยน่าซื้อหน่อย” ว่าแล้วก็เปิดกระเป๋าถือของตนเองขึ้นมายื่นธนบัตรสีแดงไปให้เด็กชายที่ยืนยิ้มกริ่มอยู่ด้านหน้า แล้วรับลอตเตอรี่มาเก็บไว้ในกระเป๋า

“ใจดีเหมือนกันนี่เจ๊” พูดพลางยื่นมือไปรับเงิน แล้วไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ขอบคุณ

เห็นดังนั้นเมถุนก็ต้องซ่อนยิ้ม ไม่คิดว่าเด็กเปรตที่ยืนด่าเธอด้วยภาษาอังกฤษ จะมีมารยาทกับเขาอยู่เหมือนกัน พลอยทำให้รู้สึกว่าการมาวัดแห่งนี้ก็ไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว

“ทำตัวน่ารักก็เป็น” หญิงสาวเปรยขึ้นมา ก่อนจะถามต่อ “แล้วชื่ออะไรล่ะเราน่ะ”

“กระติบ”

“กระติบ?”

“ใช่ เจ๊มีปัญหาอะไรกับชื่อผมรึไง” กระติบหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นคนตรงหน้ายิ้มกว้าง หลังได้ยินชื่อของเขา

“ไม่มีอะไรก็แค่น่ารักดี เด็กผู้ชายชื่อกระติบ เอาเป็นว่าวันนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี แถมยังโดดงานมาด้วย ฉันจะจ้างเธอให้คอยเป็นไกด์นำเที่ยววัดนี้ตกลงไหม”

“เท่าไร?”

“พันนึง”

“ตกลง!” พอได้ยินค่าจ้าง กระติบก็ฉีกยิ้มกว้าง รีบตอบรับเร็วไว แค่พาเที่ยววัดเดียวก็ได้ตั้งพันนึง นี่ถ้าเจ๊คนสวยจ้างเขาให้พาเที่ยวอีกหลายๆ ที่ คงได้ค่าจ้างมากกว่านี้อีกโขแน่

“จะเที่ยวแค่วัดเดียวเหรอเจ๊ ผมพาเจ๊ไปเที่ยวได้หมดนะ สนใจรึเปล่า”

“แหม...ทีอย่างนี้ละพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน เอาเป็นว่าให้ฉันประเมินผลงานก่อน ถ้าดีมีงานถัดไป โอเค?”

“ตกลง” กระติบรีบรับคำ ก่อนจะพาร่างสูงระหงของลูกค้าสาวเข้าไปยังวิหารของหลวงพ่อโต หรือพระพุทธไตรรัตนนายก พระพุทธรูปขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวต้องมาสักการะให้ได้หากมาถึงวัดพนัญเชิงแล้ว

“แล้วทำไมเราไม่เข้าตรงประตูหน้าล่ะ จะมาเข้าประตูหลังทำไมกัน” เมถุนบ่นอุบ หลังเดินฝ่าผู้คนเข้ามาด้านใน

“โหเจ๊ ลองดูคนซะก่อน ถ้าเจ๊ไปทางประตูหน้ามีหวังมาไม่ถึงด้านในหรอก” พูดเสร็จกระติบก็บุ้ยปากไปทางกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่ยืนเบียดเสียดถ่ายรูปกันอยู่อย่างล้นหลาม หญิงสาวเห็นดังนั้นก็เข้าใจทันที ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ พร้อมเดินไปย่อตัวลงนั่งเพื่อก้มกราบพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สวยงามวิจิตรบรรจงองค์นี้

“หลวงพ่อโตมีชื่อจีนด้วยนะเจ๊ รู้รึเปล่า” กระติบนี่นั่งอยู่ข้างกัน เอ่ยถามคนที่ไหว้พระเสร็จอย่างกระตือรือร้น

“อยากเล่าก็เล่ามาสิ เป็นไกด์ไม่ใช่เหรอ” เมถุนยิ้มน้อยๆ พลางคิดในใจ เด็กตัวแค่นี้ทำมาเป็นรู้ดี

“คนจีนจะเรียกหลวงพ่อโตว่า ซำปอกง”

“ทำไมถึงชื่อซำปอกง?”

“ซำปอกงเป็นชื่อของขันทีชื่อเจิ้งเหอ แต่รู้จักกันดีในนามซำปอกง ขันทีคนนี้มีความสามารถในการเดินเรือมาก สามารถล่องเรือไปในมหาสมุทรแล้วก็รอดกลับมาทุกครั้ง คนจีนเขาเลยนับถือเพื่อความโชคดีในการเดินทางทางน้ำ ในสมัยก่อนเลยแห่กันมาสักการะจนถึงทุกวันนี้” กระติบเล่าได้เป็นคุ้งเป็นแคว

“รู้ดีเหมือนกันนี่เรา”

“โธ่เจ๊ ทำไมผมจะไม่รู้ อยู่แถวนี้มาตั้งแต่เกิด ไม่รู้ก็เกินไปแล้ว ว่าแต่เจ๊รู้รึเปล่าว่าทำไมที่นี่ถึงมีศาลเจ้าแม่จู๊แซเนียด้วย” เด็กชายเลิกคิ้วสูงเพื่อหยั่งเชิง

“นี่...อย่ามาลีลาให้มาก อยากเล่าก็เล่า ไม่งั้นฉันไม่จ่ายเงินให้หรอกนะ” เมถุนชักฉุน เมื่อถูกอีกฝ่ายหลอกถามอยู่เช่นนี้

“อะ เล่าก็เล่า แต่เดินออกไปด้วยเล่าไปด้วยก็ได้ เจ๊จะได้ฟิลลิ่งไปด้วย”

“แหม...ฟิลลิ่ง!” คนฟังอดแขวะเด็กตัวกะเปี๊ยกไม่ได้ ก่อนจะเดินแหวกผู้คนตามออกไปยังศาลเจ้าแม่จู๊แซเนียด้านนอก



กลิ่นควันธูปที่ลอยมาปะทะจมูกของนางแบบสาว ทำเอาเธอต้องนิ่วหน้า ไม่อยากเดินเข้าไปใกล้ ด้วยกลัวว่าผมหอมๆ จะมีกลิ่นธูปติดไปมากกว่านี้ ทว่าก็ไม่สามารถค้านคำคะยั้นคะยอของกระติบได้ เมถุนจึงได้เห็นว่าที่นี่มีอีกชื่อหนึ่งว่า ตำหนักพระนางสร้อยดอกหมาก

“นี่กระติบ สรุปเจ้าแม่จู๊แซเนีย กับพระนางสร้อยดอกหมากนี่คนเดียวกันรึเปล่า”

“คนเดียวกันแหละเจ๊ นี่อย่าบอกนะว่าเจ๊ไม่รู้จักเรื่องราวความรักอันซาบซึ้งของพระนางน่ะ” กระติบทำตาโต ขณะยื่นธูปจุดแล้วไปให้หญิงสาวที่ทำหน้ามุ่ยอยู่

“รู้แล้วจะจ้างเหรอยะ พูดมาก” เมถุนแหวขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะหันไปอธิษฐาน แล้วปักธูปลงไปยังกระถางธูปที่ตั้งอยู่ด้านหน้า เห็นดังนั้นกระติบก็ไม่สนใจ เล่าย้อนความเป็นมาของศาลเจ้าแม่ให้ฟังทันที

“ก็เมื่อก่อน สมัยไหนก็ไม่รู้ แต่รู้ว่านานมากแล้ว มีพระเจ้าสายน้ำผึ้งซึ่งเป็นพระราชาในสมัยก่อน ได้ล่องเรือไปที่เมืองจีน แล้วทางโน้นเขาก็ยกลูกสาวให้ เพราะถูกอกถูกใจพระเจ้าสายน้ำผึ้ง พอมาถึงเมืองไทยพระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ทรงให้พระนางสร้อยดอกหมากรออยู่ในเรือก่อน แล้วตัวเองก็กลับเข้าวังไปแต่งองค์ทรงเรือเพื่อมารับ แต่พระเจ้าสายน้ำผึ้งไม่ได้มาด้วย พระนางรู้เข้าก็น้อยใจไม่ยอมขึ้นเรือที่มารับ แล้วบอกว่าถ้าพระเจ้าสายน้ำผึ้งไม่มารับด้วยพระองค์เองก็จะไม่ไปไหน พอพระเจ้าสายน้ำผึ้งรู้ก็คิดว่าเป็นเรื่องไม่จริงจัง เลยฝากอำมาตย์ไปบอกพระนางสร้อยดอกหมากว่า อุตส่าห์มาถึงแล้วถ้าจะอยู่ที่นั่นต่อก็ตามใจ เลยถูกพระนางงอนอีกครั้ง แต่พระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ยังหยอกกลับไปอีกว่า ถ้าไม่อยากขึ้นก็อยู่ที่นั่นต่อไปเถอะ ด้วยความน้อยใจ พระนางสร้อยดอกหมากเลยกลั้นใจตาย ทำให้พระเจ้าสายน้ำผึ้งเสียใจที่สุด เลยรับสั่งให้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาแล้วตั้งชื่อว่า วัดพระนางเชิญ จนเพี้ยนมาเป็น พนัญเชิง ยังไงละเจ๊ เป็นไง...ซาบซึ้งดีไหม ผมสงสารพระนางสร้อยดอกหมากจัง อยากให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง” พูดจบกระติบก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ด้วยความเศร้าใจกับความรักของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมาก

“กลั้นใจตาย?” ทว่าคนฟังกลับทำหน้าขบขันเสียเต็มประดา “นี่รู้รึเปล่าว่าบนโลกนี้น่ะไม่มีใครกลั้นใจตายได้หรอก มากสุดก็แค่ขาดออกซิเจนเท่านั้น”

“ไม่จริง ผมเคยได้ยินว่ามีคนกลั้นใจตายไปตั้งหลายคน” เด็กชายเถียงกลับทันควัน

“ในละครรึเปล่า ชีวิตจริงน่ะไม่มีหรอกนะ ส่วนเรื่องที่เธอเล่าให้ฉันฟังก็ไม่เห็นจะซาบซึ้งตรงไหน ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ คนอะไรน้อยใจจนต้องกลั้นใจตาย ทำไมถึงไม่กลับเมืองจีนไปล่ะ จะมาง้อผู้ชายที่ไม่เห็นค่าเราทำไม แถมอีกคนก็เห็นอะไรเป็นเรื่องสนุก ผู้หญิงงอนก็ต้องตามไปง้อ ไม่ใช่พูดหลอกล่อจนงอนกันไปใหญ่ เรื่องก็เลยจบไม่สวย ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ให้ฉันมานั่งซาบซึ้งใจไม่มีหรอกนะ ขอบอก”

“ผู้หญิงอะไรวะโคตรใจดำเลย” กระติบบ่นอุบ

“เขาเรียกว่ามองตำนานให้เป็นชีวิตจริงต่างหาก”

“มีงี้ด้วย”

“ใช่”

เมถุนจบบทสนทนาด้วยการเดินเลี่ยงไปทางท่าน้ำเพื่อหนีความแออัดของผู้คน จะบอกว่ามาวัดแล้วไม่ได้อะไรเลยก็พูดไม่เต็มปาก อย่างน้อยการได้ต่อล้อต่อเถียงกับเด็กชายกระติบ ก็พอทำให้เธอคลายเรื่องกลุ้มใจลงไปได้บ้าง คิดดังนี้แล้วก็ต้องถอนหายออกมาอีกเฮือกใหญ่ เมื่อจะต้องกลับไปเผชิญโลกแห่งความจริงที่หนีมา

“ทะเลาะกับแฟนเหรอเจ๊” กระติบที่เดินตามมาเอ่ยถามขึ้น หลังเห็นท่าทางเซื่องซึมของคนปากร้ายใจดำ

“ยุ่งอะไรด้วย”

“ไม่ยุ่งก็ได้ งั้นขอค่าจ้างเลยละกัน เสร็จงานแล้ว”

“งกจริงๆ” พูดเสร็จก็ยื่นเงินให้เด็กตรงหน้าที่ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีอกดีใจ เห็นแล้วเธอก็อดยิ้มตามไม่ได้ ยังไงเด็กก็คือเด็ก จะโกรธจะเคืองอะไร พอได้ของที่ถูกใจแล้วก็หายเป็นปลิดทิ้ง

“ขอบคุณนะเจ๊” ว่าแล้วก็ยื่นมือออกไปรับเงิน พร้อมไหว้ปลกๆ ก่อนจะวิ่งแจ้นกลืนไปกับผู้คน ปล่อยให้เมถุนที่มองตามจนลับสายตาหันกลับไปยังท่าน้ำ แล้วเดินตรงไปยังโป๊ะเรือใหญ่กลางแม่น้ำป่าสักทันที

“มาคนเดียวเหรอหนู” เสียงของหญิงแก่คนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังอย่างแผ่วเบา จนเมถุนต้องหันกลับไปมองเพื่อให้แน่ใจว่าหูเธอไม่ได้ฝาดไป

“คุณยาย!” หญิงสาวอุทานออกมาอย่างตกใจ ที่ได้เจอกับคุณยายร่างเล็กที่เคยเจอกันในแปลงปลูกผักของอิชยา “คุณยายอยู่แถวนี้เหรอคะ”

“อยู่ไปเรื่อย อยากอยู่ที่ไหนก็อยู่ ว่าแต่หนูเถอะ ดูท่าทางแล้วเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจนะ” คุณยายยิ้มน้อยๆ จ้องมองคนตัวสูงกว่าอย่างสุขุม

“เฮ้อ...เรื่องไม่เป็นเรื่องค่ะ จูนทะเลาะกับผู้จัดการส่วนตัวมา แถมเมื่อเช้ายังเกิดเรื่องแล้วทุกคนก็หาว่าจูนทำ ไม่มีใครถามจูนสักคำว่าจูนทำจริงรึเปล่า” เมถุนถอนหายใจดังเฮือก แต่ก็ยังดีที่มีคนรับฟังเรื่องราวของเธอบ้าง

“คนอื่นจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็อยู่ที่การกระทำของเรา ถ้าเราไม่ได้ทำ คนเขาไม่เชื่อก็เรื่องของเขา เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าความจริงเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องที่ทะเลาะกับผู้จัดการส่วนตัว หนูก็ควรที่จะคุยกับเขาเสีย จะได้ปรับความเข้าใจกันได้” คุณยายที่มวยผมสีขาวโพลนไว้ด้านหลัง ให้แง่คิดแด่คนฟังอย่างใจเย็น

“ก็จูนไม่ผิดนี่คะ ทำไมจูนต้องเป็นฝ่ายเริ่มคุยก่อน”

“ทำไมหนูถึงคิดว่าหนูไม่ผิด”

“ก็...” พูดได้เท่านี้เมถุนก็หยุดไปชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าดูครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ “ก็จูนแค่พูดความจริงออกไป แล้วพี่เขารับไม่ได้เอง”

“ความจริงอะไรจ๊ะ”

“จูนก็แค่ย้ำหน้าที่ของพี่บีว่าเป็นแค่คนดูแลเท่านั้นเอง อย่ามาพยายามตีตัวเสมอจูน”

“ทำไมหนูถึงคิดแบบนั้น” คุณยายถามต่ออย่างใจเย็น ดวงตาสุกใสที่แลดูเหมือนไม่ใช่ของหญิงชราวัยเกือบแปดสิบ จ้องมองสาวหุ่นสูงโปร่งไม่วางตา

“ก็มันจริงนี่คะ คนเราเกิดมาไม่เท่ากันหรอกค่ะ” เมถุนพูดพลางแค่นยิ้มออกมา

“ใช่จ้ะ ทุกคนล้วนเกิดมาไม่เท่ากัน แต่มันอยู่ที่ว่าใครจะสามารถใช้โอกาสในการดำเนินชีวิตได้ดีกว่ากัน บางคนเกิดมารวย แต่บั้นปลายจน บางคนเกิดมาจน แต่บั้นปลายรวย แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีค่าเท่าเทียมกัน นั่นก็คือค่าของคนที่ไม่สามารถลดทอนกันได้ด้วยเปลือกนอกหรือชั้นวรรณะ หนูเข้าใจรึเปล่า”

ได้ยินดังนั้นคนฟังก็หัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ หันมามองหญิงชราร่างเล็กที่ช่างไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกแสนเน่าเฟะใบนี้เสียเลย

“ไม่มีทางเท่ากันหรอกค่ะ ยังไงก็ไม่มีทาง”

“แสดงว่าหนูไม่เชื่อ” คุณยายยิ้มบางเบา

“ค่ะ จูนไม่เชื่อ ไม่เคยเชื่อ และจะไม่เชื่อ” เมถุนย้ำคำพูดหนักแน่น รู้สึกสงสารคุณยายจับใจที่ยังมองโลกใบนี้สวยเสียเหลือเกิน

“ถ้าอย่างนั้นหลับตาสิ แล้วยายจะให้ดูอะไร” พูดพลางเอื้อมไปแตะแขนเสลาของนางแบบสาวอย่างเบามือ จนอีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่น พยายามเบี่ยงตัวออกช้าๆ ด้วยความหวาดหวั่น

“ยายจะทำอะไรจูน”

“แค่จะพาไปดูอะไรหน่อยเดียว หลับตาสิ ยายแก่ขนาดนี้แล้วจะกลัวอะไร ยายทำอะไรหนูไม่ได้หรอก” สิ้นเสียงของคุณยาย เมถุนก็ชั่งใจครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมหลับตาลง ทว่าจู่ๆ ก็เกิดอาการเวียนหัวอย่างรุนแรง เธอก็รีบเบิกตาโพลงขึ้นทันที

“ยาย...ทำ...อะไร...หนู!” พูดได้เพียงแค่นั้น ร่างสูงโปร่งของนางแบบสาวก็โอนเอนสิ้นแรง แล้วพลัดตกลงไปในแม่น้ำป่าสัก ก่อนจะจมหายไปกับสายน้ำ ไม่มีแม้แต่เสียงกรีดร้อง หรือขอความช่วยเหลือ เหลือไว้เพียงสายน้ำที่ทอดยาวไหลลงไปรวมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา และเสียงของคุณยายปริศนาที่เอ่ยขึ้นมาเพียงแผ่วเบา

“ยายกำลังช่วยหนูอยู่นะลูก...”




++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีค่ะ

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณนักอ่านเหนียวหนึบ คุณsumitt พี่แตงกวา คุณkaelek คุณZephyr ด้วยนะคะ ที่ยังไม่ลืมกัน กรี๊ดดดดดดดดดด!!! 555 ดีใจจริงๆ นะ ตอนแรกนึกว่าจะร้างซะอีก แอบหวั่นใจ เอิ๊กๆๆๆ

ตอนนี้ยัยจูนก็หายสาบสูญไปซะละ สงสัยนิสัยแย่เกิน โดนธรณีสูบ กร๊ากกกกก

ปล. ฝากเกลียดนักดันรักเธอด้วยนะคะ มีขายที่งานหนังสือแย้ววววว
ปล2. กะว่าจะไปงานหนังสือวันที่ 21 ช่วงบ่ายๆ ใครว่างก็ไปเจอกันได้นะคะ จุ๊บๆๆๆๆ

ขอบคุณอีกครั้งที่ยังติดตามนะคะ รักทุกคนเบย ม๊วฟฟฟฟฟฟฟฟฟ
ดารานิล
www.facebook.com/daranilday

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ดารานิล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ต.ค. 2556, 01:23:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ต.ค. 2556, 01:23:15 น.

จำนวนการเข้าชม : 1231





<< 8. นางฟ้าเสียงสวรรค์   10. Who I am? >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 18 ต.ค. 2556, 02:16:24 น.
คุณยายจะพาเมถุนไปเมืองบาดาล ไปดูเงือกน้อย ??? หรือให้ยัยถุนจมน้ำแล้วตาอิชชี่ลงมางม เอ้ยลงมาช่วย ><
อัลไลๆๆ ยังไงๆๆ ตามต่อไป


sumitt 18 ต.ค. 2556, 07:18:26 น.
เธอร้ายจิง เมถุน


พันธุ์แตงกวา 18 ต.ค. 2556, 08:21:54 น.
แล้วใครเอาถั่วให้ยายเพลินตากินละเนี่ย
คุณยายจะพาไปอดีต หรืออนาคตน้อ รอติดตามตอนต่อไปจ้า


กาซะลองพลัดถิ่น 18 ต.ค. 2556, 13:43:08 น.
โห จูนคนอะไรนิสัยเสียได้โล่ซะขนาดนี้ ....ดูถูกคน แบ่งชนชั้นวรรณะด้วย


goldensun 18 ต.ค. 2556, 18:32:09 น.
ยังคงเอกลักษณ์ไม่เกรงใจใครเหมือนเดิม ร้ายกับคนรอบตัวเลย
ก็นิสัยร้ายออกอย่างนี้ เกิดเรื่องถึงได้ไม่มีใครเห็นใจ ว่าแต่ใครทำเพลิน หรือจงใจทำตัวเอง
อยากรู้จัง คุณยายจะให้จูนไปเห็นอะไร ลุ้น


kaelek 19 ต.ค. 2556, 10:30:03 น.
เอาล่ะว้า..งานนี้มาดูกันว่าคุณยายจะช่วยยัยจูนยังไง


Zephyr 20 ต.ค. 2556, 19:03:33 น.
นางจมแล้วไปโผล่หน้าบ้านตาอิช รึป่าวนะ ฮ่าๆๆๆ
โห แต่ปากนาง น่าตบมั่กๆๆๆๆ เป็นพี่บี นะ ขอสักฉาดเถอะ
นิสัย ยายจูนปรับปรุงตัวด่วนๆๆๆ
ปล.เริ่มเป็นยังงี้ ตอนจบนางคงน่ารัากสุดๆ ถ้าย้อนกลับมาอ่านคงคิดว่าคนละคน แน่ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account