ยามเมื่อลมห่มฟ้า...มะนิลา
'ฟิลิปปินส์' ประเทศหมู่เกาะที่พายุลูกแล้วลูกเล่าพัดผ่านสร้างความเสียหาย
แต่คนยังคงยืนหยัดต่อสู้ได้ทุกครั้ง
เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาที่มีอุดมการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนร่วมชาติ
โดยไม่ระย่อต่ออุปสรรคที่เข้ามา


'ลิปดา' เป็นเหมือนสายลมแห่งความหวัง เธอมีความหวังและเชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ลงมือทำ
แต่สายลมนี้ก็แห้งผาก รอลมชุ่มชื้นพัดผ่านมาเสียที


กระทั่งได้พบใครคนหนึ่งเหมือนฝัน
'รัญชน์' ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตดังสายลมซึ่งไม่เคยหยุดนิ่งจากเมืองไทย
เขานำพาความเย็นชื่น หอบเอาความอบอุ่นมาหลอมรวมกับเธอ


แต่กว่าสายลมสองสายจะพัดมารวมภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ก็ต้องรอวันพายุจางไปจากมะนิลาเสียที

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๔



"ลิปดา นั่นเธออยู่ไหน" เสียงคุ้นหูโหวกเหวกมาตามสาย ส่งผลให้คนรับต้องดึงโทรศัพท์มือถือออกห่างมานิดหนึ่ง

เชอริลโทรถึงเพื่อนด้วยความร้อนใจ หญิงสาวบอกว่าจะไปร่วมพิธีฝังศพน้องตั้งแต่บ่าย แต่จนป่านนี้หนึ่งทุ่มตรงก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะกลับมาถึงห้องเลย

"ฉันกับมาร์คแวะมาหาเธอที่ห้อง มีใบประกาศรับสมัครงานน่าสนใจมาด้วย"

ลิปดารู้ว่าเพื่อนเป็นห่วง และหวังจะเบนความสนใจของเธอไปเรื่องอื่นแทน แต่วันนี้...ตอนนี้... เธออยากจัดการอีกเรื่องที่ค้างคาใจให้จบสิ้นเสียที

"ฉันอยู่หน้าโรงแรมแถวมากาติ เธอกับมาร์คเอากระดาษเสียบไว้ใต้ประตูห้องก็ได้ เดี๋ยวฉันกลับไปดู"

"แล้วเธอไปทำอะไรแถวนั้น"

"เอาของมาคืนน่ะ"

คำตอบสั้นนั้นสื่อความนัยที่เพื่อนซึ่งร่วมหัวจมท้ายกันมานานทราบดี

"ลิปดา เธอบ้าไปแล้วเหรอ เอาไปคืนเราก็ถูกจับกันหมดน่ะซี่!" เชอริลทำเสียงให้รู้ว่านี่มันเรื่องบ้าจริงๆ

"ฉันแค่จะฝากไว้ที่ล็อบบี้ เท่านี้นะ"

ลิปดากดวางสาย ครั้นเดินผ่านประตูโรงแรมเข้ามาก็พบกับโถงใหญ่ที่มีชุดเก้าอี้รับแขกกว่าสิบชุด แสงไฟจากโคมไฟระย้าข้างบนสะท้อนกับพื้นหินอ่อนขัดมันเป็นประกายระยับละลานตา

หญิงสาวใบหน้าโศกในชุดสีดำไว้ทุกข์นั้นเรียกสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติให้หันมองได้ กระนั้นร่างระหงก็มีเป้าหมายอยู่ที่เคาน์เตอร์ต้อนรับที่ด้านหลังมีภาพเขียนสีขนาดใหญ่แขวนตกแต่งเพิ่มความหรูหราของโรงแรมห้าดาว พนักงานสาวในชุดเครื่องแบบสีเทาเหมือนๆ กันยืนรอต้อนรับอย่างได้รับการอบรมมาดี

"มากันดัง กาบิ มีอะไรให้รับใช้คะ"

ลิปดากล่าวสวัสดีตอนเย็นกลับไป ก่อนเธอจะถามถึงแขกในห้องพักที่ตนจำหมายเลขได้ขึ้นใจ

"แขกห้องศูนย์แปดหนึ่งสามที่พักตั้งแต่สามวันก่อนยังพักอยู่ไหมคะ"

เธอไม่อยากทำเรื่องผิดพลาดใดๆ ในชีวิตอีก บางเรื่องสายเกินกว่าจะแก้ไขเสียแล้ว แต่บางเรื่องที่พอมีทางให้แก้ไขได้ทัน เธอก็ไม่ขอทำผิดต่อผู้ใดอีก เงินที่ได้มาโดยไม่สุจริต ไม่ได้ทำให้ชีวิตเธอมีความสุขสมบูรณ์ขึ้นแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับคนที่ถูกขโมยไป เธอมั่นใจว่ามันคงทำให้เขาทุกข์มากกว่าเป็นแน่

"อยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการติดต่อธุระอะไรคะ"

มีรอยยิ้มบนใบหน้าหญิงสาวครั้งแรกในรอบหลายวัน ลิปดาเปิดกระเป๋าหนังเทียมสะพายข้างเพื่อหยิบของที่ต้องการคืนเขาในซองเอกสารออกมา ทว่าไม่ทันที่จะเอ่ยฝากฝัง พนักงานต้อนรับก็ร้องบอกขึ้นด้วยเสียงอันดังพอสมควร

"อ๊ะ! คุณผู้ชายมาพอดีเลยค่ะ"

ราวกับมีใครสาดน้ำเย็นจัดใส่เธอโครมใหญ่ ลิปดาไม่กล้าแม้แต่หันไปมอง เธอภาวนาให้เขาไม่ได้ยิน ไม่เดินมาทางนี้ แต่พระเจ้าดูจะไม่เข้าข้างเธอเสียเลยเมื่อร่างสูงโปร่งคุ้นตาก้าวมาวางแขนเท้าเคาน์เตอร์ข้างเธอ

"มีอะไรถึงผมหรือ" น้ำเสียงเนือยถามกับพนักงาน

หญิงสาวไม่ได้แม้แต่จะวิ่งหนี แม้เมื่อพนักงานให้คำตอบแก่เขา เธอก็ได้แต่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่ตรงนั้นด้วยความตะลึงงัน

"คุณผู้หญิงคนนี้มารอพบน่ะค่ะ"

ไม่ใช่สักหน่อย! ลิปดาร้องค้านในใจ มือบางกำซองกระดาษไว้แน่นเมื่อรู้สึกถึงแสงตาซึ่งมองมาจากบุรุษข้างๆ ครั้นเธอหันมองเขาเช่นกัน ดวงตาที่หรี่ด้วยความเคลือบแคลงเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นวาวโรจน์ราวใครโยนไม้ขีดไฟใส่กองฟืนแห้งทันที

"เธอ! นังตัวแสบ!" เขาชี้หน้าบริภาษ ไม่เหลือเค้าชายหนุ่มอารมณ์ดี รักสนุกคนก่อนเลย "มากับฉันเดี๋ยวนี้ มา!"

หญิงสาวได้สติขืนกายไว้ได้ทัน เธอพยายามบิดพลิ้วข้อมือตนออกจากการจับกุมให้ได้ แต่ก็ไม่อาจสู้แรงมหาศาลของเพศชายได้เลย

"คุณ ฟังก่อน ฉันเอาของมาคืนคุณแล้วนี่ไง ปล่อยนะ"

เธอฟาดซองเอกสารกับแขนเขา แต่คนตัวใหญ่ก็ไม่สะดุ้งสะเทือนแม้แต่น้อย เขาลากเธอผ่านล็อบบี้ที่มีสายตาใคร่รู้ของผู้คนมองมาอย่างสนใจไปถึงระเบียงหน้าโรงแรม เท่านั้นเธอก็นึกรู้ว่าเขาคงคิดจะจับเธอส่งตำรวจจริงๆ

"อย่ามายุ่ง!" รัญชน์ตวาดไล่พนักงานรักษาความปลอดภัยที่ทำท่าจะเข้ามาห้ามปราม "ฉันเป็นแขกของที่นี่ ผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่เป็นมิจฉาชีพ ถ้าไม่อยากวุ่นวายกว่านี้ล่ะก็ไปตามตำรวจมา"

"คุณรัญชน์ ได้โปรด..." เธอเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก

ได้ผล... ชายหนุ่มสะบัดข้อมือเธอออกราวแตะของร้อน ดวงตาเขาวาวโรจน์แทบเผาทุกสิ่งเบื้องหน้าเป็นจุณ ลิปดาเพิ่งตระหนักว่าตนประมาทผู้ชายเกินไปก็วันนี้นี่เอง โดยเฉพาะกับผู้ชายเจ้าเสน่ห์ อารมณ์ดีเช่นเขา

"อย่ามาเรียกชื่อฉัน นังหัวขโมย กล้ามากนะที่ย้อนกลับมาอีก เธอทำฉันประทับใจที่นี่จริงๆ จนตายก็ไม่ลืมเลยแม่คุณ"

ตั้งแต่เกิดมาจนอายุจะครบสามรอบปูนนี้ ไม่เคยมีใครทำกับเขาได้เจ็บแสบกว่านักร้องสาวฟิลิปิโน่ผู้นี้อีกแล้ว เพราะนอกจากเธอจะไม่หลงเสน่ห์ที่เขาจงใจหว่านเพื่อรอเก็บเกี่ยวยิ่งกว่าครั้งไหน เจ้าหล่อนยังเป็นฝ่าย 'เกี่ยว' ทรัพย์สินเขาไปจนแทบเรียกได้ว่าหมดตัว เหลือเพียงบัตรเครดิตไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น

เขาเจ็บ...ไม่ใช่แค่เหมือนถูกตบหน้าหรอก แต่สิ่งที่เธอทำมันเท่ากับถอดรองเท้ามาตบหน้าเขาทีเดียว!

เขาใช้เวลาตลอดสามวันมานี้ทำงานอย่างไม่เป็นสุข ใจคอยแต่จะคิดแค้นนักร้องสาวผู้นั้น บอกนายลีโอ เจ้าถิ่นให้ช่วยติดตามก็ไม่ได้ ไม่แคล้วเรื่องที่ถูกหญิงหลอกคงเข้าหูพี่ชาย อะไรก็ไม่เท่าเสียหน้าเป็นบ้าเลย

"ไหน แค่คิดว่าเอาของของฉันมาคืนจะหายกันหรือไง"

รัญชน์กระชากซองกระดาษมาเปิดดูโดยที่ไม่ละสายตาเกลียดชังจากเจ้าหล่อนเช่นกัน

"เงินไม่ครบ" เขาเอ่ยอย่างจำได้ดีว่าวันนั้นมีเงินติดตัวเท่าไร "หายไปสี่พันเปโซ"

"ฉันจะหามาคืนคุณ ขอโทษด้วย แต่ฉันมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ" ลิปดาเอ่ยอย่างจนตรอก

เงินจำนวนนั้นคือเงินที่เธอใช้จ่ายฉุกเฉินไปในเรื่องของเจนิส ทั้งเงินเก็บน้อยนิดในบัญชีตัวเองก็ต้องนำไปมัดจำห้องพักใหม่ ด้วยเจ้าของตึกเก่าไม่ต้องการให้เธอและข้าวของของเธออยู่ที่ห้องนั้นต่อไป

"หามาคืนจากเหยื่อคนใหม่ของเธอน่ะเรอะ"

หญิงสาวเม้มปากรับฟังคำพูดเหยียดหยัน ใจสาวสั่นสะท้าน อ่อนแรงกับนานาปัญหาที่ต้องเผชิญทุกที...ทุกที...

"นาฬิกากับแหวนนี่ก็คงนำไปเปลี่ยนกับของปลอมมาล่ะสิ มีเวลาตั้งสามวันนี่นะ"

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนตวัดมองเขาอย่างเหลืออด. บางทีถ้าเธอยอมถูกจับแล้วให้เชอริลช่วยประกันตัว อาจเลวร้ายน้อยกว่าฟังคำเหยียดหยาม ดูถูกของเขาก็เป็นได้

"คุณจะจับฉันส่งตำรวจไม่ใช่เหรอ เอาสิ เสียเวลาด่าฉันปาวๆ ทำไม"

เธอยื่นแขนทั้งสองข้างไปตรงหน้า ดวงตาแห้งผากที่ผ่านการเสียน้ำตามาหลายวันมองเขาอย่างท้าทาย เบ้าตาแดงช้ำ รอยน้ำสั่นไหวในนั้นทำเอารัญชน์ต้องเบือนหน้าหนี ไม่อยากมอง

อันที่จริงเขาตัดใจเรื่องทรัพย์สินที่เสียไปได้แล้ว คิดเสียว่าทำบุญ เป็นบทเรียนใหม่ให้ชีวิต แต่เมื่อเห็นหน้าเจ้าหล่อนอีกครั้ง ความโกรธแค้นที่เธอกลับมาหยามน้ำหน้ากันก็ทำให้ขาดสติ เมื่อหันมองเธออีกครั้ง ชุดสุภาพสีดำที่เจ้าหล่อนสวมใส่ก็บอกโดยนัยให้รับรู้ว่าเธอเพิ่งผ่านอะไรมา เหนือหน้าผากมนมีรอยเล็บขูดเป็นทางถึงหางคิ้วเหมือนถูกทำร้าย ซึ่งเขามั่นใจว่าไม่ใช่ฝีมือตน เขาเหมือนคนโง่อีกคราที่อยากเชื่อว่านั่นไม่ใช่เพียงแค่ละครฉากใหม่

"เปล่าประโยชน์ เท่านี้ฉันก็หมดสนุกพอแล้ว ต้องมาขึ้นโรงขึ้นศาลเพราะเธออีกนี่นะ" เขากลับลำ หากยังไม่วายมองเธอหยามเหยียด

ลิปดาสบตาคู่ที่ไม่ร้อนแรงดังก่อนแล้ว เมื่อเขาเปิดโอกาสให้ เธอก็พร้อมแก้ตัวสิ่งที่ทำลงไป

"คุณจะอยู่ที่ฟิลิปปินส์อีกนานไหมคะ ฉันจะหาเงินมาคืนคุณเร็วที่สุด"

รัญชน์หรี่ตามองเจ้าหล่อนอย่างจับผิด สัมผัสได้ถึงความจริงใจจากเธอยิ่งกว่าวันแรกรู้จักเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เหมือนไม่รู้จักเธออยู่ดี มีอย่างที่ไหน ขโมยของไปแต่กลับเอามาคืน พิลึกคน

"เอาบัตรประชาชนเธอมา"

หญิงสาวใจหายวาบ เกือบเกลื่อนสีหน้าส่อพิรุธไว้ไม่ทัน เธอจะให้เขาเห็นชื่อนามสกุลจริงของตนไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าเขาจะเกี่ยวพันอย่างไรกับแม่และเด็กในรูปนั้นก็ตาม เธอไม่พร้อมให้เขารู้จักตัวจริงของเธอ

"ไม่มีค่ะ คือ...ฉันไม่ได้เอามาด้วย"

"แล้วจะเอายังไง ฉันจะมีหลักประกันอะไรว่าเธอจะคืนเงินฉันจริงๆ"

เธอได้รู้จักชายผู้นี้มากขึ้นอีกนิด บทจะเขี้ยว เขาก็เขี้ยวลากดินเชียวล่ะ

หากอะไรบางอย่างดลใจเธอให้ยื่นข้อเสนอหนึ่งไป ข้อเสนอที่ทำเอาฝ่ายตรงข้ามหรี่ตามองมา ข้อเสนอที่เธอเองก็จะได้ประโยชน์เช่นกัน

"เอาอย่างนี้ไหมคะ ฉันจะนำเที่ยวให้คุณตามแต่ที่คุณจะพอใจ ไปสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆ ที่อาจทำให้คุณเปลี่ยนความคิดไม่ดีจากนักร้องหัวขโมยอย่างฉัน"

รัญชน์ลูบคางพึงพอใจ ฟังดูไม่เลวหรอกสำหรับคนกล้าได้กล้าเสียอย่างเขา เที่ยวกับสาวสวยตัวแสบ...อย่างน้อยก็น่าตื่นตาตื่นใจกว่านายลีโอเป็นไหนๆ

เขาถูกเจ้าหล่อนหลอกมาครั้งหนึ่งแล้ว ต่อไปคงไม่พลาดระวังตัวอีกแน่ แล้วถ้าเธอคิดตุกติก ส่อพิรุธอีกล่ะก็ เชิญเธอไปก๋ากั๋นต่อในคุกได้เลย

"พรุ่งนี้สิบโมง หวังว่าฉันจะเห็นหน้าเธอที่ล็อบบี้โรงแรม"

ลิปดามองตามร่างสูงที่เดินกลับเข้าไปในโรงแรม ในมือเขามีซองกระดาษใส่ทรัพย์สินที่เธอนำมาคืน โชคดีที่เขาไม่ได้ถามถึงรูปถ่ายซึ่งหายไป เพราะมันได้ย้ายมาอยู่ในกระเป๋าสตางค์เธอนี่เอง

...........................

ลิปดาเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟัง รวมถึงข้อเสนอบ้าๆ ที่เชอริลนิยามให้ทันทีที่รับฟังจนจบ

"เธอบอกว่าเธอได้ประโยชน์ ฉันยังไม่เห็นเลยว่าเธอได้อะไร ลิปดา"

หญิงสาวนั่งขัดสมาธิบนเตียงในห้องพักใหม่ พร้อมด้วยเพื่อนสาว โดยมีมาร์คนั่งห่างออกไปบนเก้าอี้โต๊ะคอมพิวเตอร์ปลายเตียง ก่อนจะอธิบายให้เพื่อนรักทั้งสองฟังพร้อมๆ กัน

"บางทีฉันอาจได้รู้เรื่องของแม่ ถ้ารู้สักนิดว่าแม่เป็นคนยังไง ต้องการฉันมากแค่ไหน ฉันอาจบอกเขาก็ได้ว่าฉันคือเด็กในรูปนั้น"

"หมายความว่าเธอจะทิ้งเราไปเหรอ"

เชอริลมีสีหน้าผิดหวังจนเพื่อนสาวต้องกระถดตัวมาใกล้

"ไม่มีทาง ถึงตัวฉันจะไม่มีสายเลือดฟิลิปปินส์เลยสักนิด แต่ฉันก็เป็นฟิลิปิโน่ไปทั้งใจแล้ว เธอก็รู้ว่าฉันรักที่นี่แค่ไหน"

"ใช่ เรารู้ ลิปดา" มาร์คตอบพร้อมรอยยิ้ม

เชอริลหันมองเพื่อนรักนิดหนึ่งก่อนคลี่ยิ้มบ้าง เรื่องลิปดาจะเลือกอนาคตอย่างไรนั้นยังไกลกว่าเรื่องตรงหน้าให้กังวล

"แล้วเขาไว้ใจได้เหรอ"

"ฉันว่าผู้ชายคนนั้นก็คิดกับเพื่อนเราแบบเธอนี่แหละ" มาร์คเอ่ยกลั้วหัวเราะ

"แหม รีบเข้าข้างผู้ชายด้วยกันเลยนะมาร์ค"

ลิปดานึกขันคู่รักที่โต้เถียงกันเรื่องของตน แต่ก็เห็นด้วยกับเพื่อนทั้งสอง

"เขาคงไม่คิดกับฉันอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันทำแสบกับเขาซะขนาดนั้น ภาวนาให้เขาไม่เปลี่ยนใจจับฉันส่งตำรวจยังดีกว่า" เธอเอ่ยติดตลก

"เขาอายุเท่าไรน่ะลิปดา ที่ฉันเห็นไกลๆ วันนั้นเขายังดูหนุ่มอยู่เลย"

"และที่ฉันเห็นใกล้ๆ ตอนแกล้งขวางเขาหน้าร้าน เขาจัดได้ว่าหล่ออย่างที่ผู้ชายอย่างฉันยังต้องยอมรับเลยล่ะ"

ใช่ เขาเป็นผู้ชายหน้าตาดี ใบหน้าสวยอย่างงผู้หญิงตัดกับคิ้วคมเข้ม ไรหนวดเคราจางๆ สีเขียวอ่อน ผิวสีน้ำนมนั้นขาวกว่าเธอเสียอีกกระมัง ทั้งหมดนั้นทำให้เขาดูหนุ่มกว่าอายุจริงในวัยสามสิบห้าปีที่บอกไว้ในบัตรประชาชน

"ไม่รู้สิ ถึงเขาจะเป็นยังไง มันก็ไม่สำคัญเท่ากับที่ว่าเราต่างก็หาประโยชน์จากกัน"

ถ้อยความสรุปนั้นตัดบทเรื่องที่เพื่อนให้ความสนใจ เชอริลและมาร์คหันสบตากัน ต่างฝ่ายต่างไหวไหล่เมื่อเห็นเพื่อนรักก้มอ่านใบประกาศรับสมัครงานอีกครั้งพลางใช้ปากกาวงตำแหน่งที่น่าสนใจ

...........................

เสียงเพลงเป็นทำนองวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าปลุกผู้ที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงต้องงัวเงียตื่นมารับสาย ก่อนเขาจะยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากบังแสงแดดจ้าที่สาดส่องผ่านกระจกบานใหญ่ที่เปิดม่านไว้เข้ามา

"ฮัลโหล"

"รัญชน์หรอจ๊ะ พี่เอง"

เสียงสุภาพของสตรีที่ตอบกลับมาทำให้เขาเผลอนิ่วหน้าเมื่อจดจำได้ว่าเป็นใคร ชายหนุ่มกระถดตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง ส่งผลให้ผ้าห่มเลื่อนลงไปปิดแค่เอว อวดแผงอกเปลือยเปล่าที่มีมัดกล้ามเนื้อพอดีตัว

เขาเพิ่งนึกได้ว่าผู้ที่โทรมาแต่เช้าฝากธุระอะไรให้ตนก็เมื่อได้ยินเสียงหวานมาย้ำเตือนนี่เอง

"ยุ่งอยู่ไหมจ๊ะ"

"ไม่ฮะ อันที่จริงผมเพิ่งตื่น" เขาตอบกลั้วหัวเราะ "นี่พี่รัชต์กับเด็กๆ ไม่อยู่หรือฮะ"

"จ้ะ ออกไปทำงานกับเรียนกันแล้ว"

รัญชน์รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงตอบกลับมานั้นแฝงแววอ่อนโยนอย่างคนที่รักเคารพสามีและรักเอ็นดูลูกสาวฝาแฝดยิ่งกว่าอะไร แต่ผู้หญิงที่ดูเพียบพร้อม มีความสุขดีทุกอย่างผู้นี้ก็ยังมีความลับที่เขาบังเอิญรับรู้ เธอเคยมีสามีและลูกตั้งแต่สมัยเรียนและทำงานอยู่เมืองนอกมาแล้ว ก่อนจะเลิกรากันและได้รู้จักกับพี่ชายเขาผ่านพ่อแม่ของสองครอบครัวที่รู้จักกัน

ความลับนั้นคงเป็นความลับต่อไปถ้าเมื่อฤดูร้อนปีที่แล้วที่ไปเที่ยวประเทศอังกฤษกันทั้งครอบครัว เขาจะไม่บังเอิญเจอพี่สะใภ้ออกไปสังสรรกับเพื่อนเก่าที่บาร์เดียวกันกับที่เขาไป เขากำลังจะเข้าไปทักที่เจ้าหล่อนหนีพี่ชายเขามาเที่ยว แต่กลับได้ยินเรื่องที่เพื่อนเก่าคุยกันเสียก่อน โดยมีสายตาตระหนกเคลื่อนมาพบพอดี เธอขอให้เขาเก็บความลับนี้ไว้เพราะไม่อยากให้สามีเสียใจ ผิดหวังในตัวเธอ ขณะเดียวกันที่ได้มองลูกสาวฝาแฝดเติบโตขึ้น เธอก็ยิ่งเป็นห่วงและรู้สึกผิดต่อบุตรสาวที่เกิดจากสามีเก่านั่นเอง

'พี่รักพี่รัชต์กับยัยก๋ายัยกี๋มาก แต่ก็อดห่วงลูกอีกคนไม่ได้ เพื่อนพี่บอกว่าจอห์นย้ายไปอยู่ฟิลิปปินส์ก่อนเสียชีวิต ไม่รู้ป่านนี้เด็กที่ขาดทั้งพ่อและแม่คนนั้นจะเป็นอย่างไร'

รัญชน์เพียงรับฟังผ่านๆ ในตอนนั้น เขาจำได้ว่าตนหัวเราะแกนๆ เสียด้วยซ้ำ ประสาชายหนุ่มหัวสมัยใหม่ที่ไม่ยี่หระอะไร เขาไม่พูด ไม่เคยคิดจะพูดถึงความลับนั้นกับใคร ก็มันไม่ใช่เรื่องของตน

กระทั่งพี่รัชต์...พี่ชายสุดยอดนักธุรกิจของเขาส่งเขามาดูลู่ทางขยายบริษัทที่ฟิลิปปินส์ พี่สะใภ้ซึ่งทราบเรื่องจึงได้ให้รูปถ่ายใบหนึ่งกับเขา ฝากฝังเผื่อเขาจะเจอคนในภาพ แล้วตอนนี้รูปถ่ายใบนั้นก็หายไปเรียบร้อยแล้วด้วย รัญชน์ฉุกคิดขึ้นมาได้พลางเสยผมแรง ต้องเป็นเพราะฝีมือรื้อกระเป๋าของหัวขโมยสาวแน่ทีเดียว

"พี่ลีจะถามถึงเรื่องนั้นใช่ไหมฮะ คือว่า...ช่วงก่อนหน้านี้ผมยังไม่ค่อยมีเวลา แต่จากนี้ผมจะพยายามดูนะฮะ" เขาปด ด้วยทำลายความหวังริบหรี่นั้นไม่ลง

บางทีเขาอาจทวงถามรูปคืนกับยัยนักร้องตัวแสบนั่น ในเมื่อวันนี้ตนมีนัดกับเจ้าหล่อนพอดี

ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาสไตล์โมเดิร์นบนผนัง ก่อนตนจะตลบผ้าห่มพร้อมกับรีบกระเด้งลุกจากเตียง อีกสิบห้านาทีจะถึงเวลานัดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาเองก็รอคอย

"พี่ลี ถ้าได้เรื่องด่วนยังไงผมจะโทรไปนะฮะ พอดีเพิ่งนึกได้ว่าสายนี้ผมมีนัด"

"อ๋อ จ้ะ ขอโทษที่โทรไปปลุกรัญชน์นะ" ปลายสายไม่เซ้าซี้

"ปลุกน่ะดีแล้วฮะ ไม่งั้นคงไม่แค่สาย แต่จะบ่ายเลยน่ะสิฮะ"

รัญชน์บีบยาสีฟันขณะได้ยินเสียงหัวเราะพลิ้วดังมา เขากดวางสายก่อนวางโทรศัพท์เครื่องจิ๋วไว้บนเคาน์เตอร์หินอ่อนรอบอ่างล้างหน้า แล้วร่างสูงจึงก้าวเข้าไปในอ่างอาบน้ำพลางรูดบานกระจกขุ่นปิดแรง

...............................

ชายหนุ่มที่ตื่นสาย จวนเจียนเวลานัด ลงลิฟต์มาด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ เขาคอยมองนาฬิกาข้อมือราวมันคือการเดินทางที่ไกลนัก เลยเวลานัดมาสิบนาทีแล้ว เขากำลังจะได้เห็นใจคนอีกครั้งก็ตอนนี้ว่าเธอจะมาหรือไม่ ไม่มีแม้แต่หลักประกันใดๆ เสียด้วยซ้ำ

ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อมาถึงชั้นล่างของล็อบบี้โรงแรม รัญชน์รีบกวาดสายตาหาคนที่เขาเคยมองเธออย่างชื่นชม หลงใหล แล้วกลับมองเธอด้วยความเกลียดชัง ดูแคลน

น่าขัน เธอช่างเป็นผู้หญิงคนเดียวที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกเขาได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะด้านบวกหรือลบก็ตาม

ก้าวย่างที่เร่งรีบค่อยช้าลงเมื่อเขาเห็นแต่ไกลว่าใครลุกยืนจากเก้าอี้โซฟารับแขกมองมาเช่นกัน พร้อมกับที่ก้อนเนื้อในอกซึ่งหวั่นไหวไปกับความไม่แน่ใจเมื่อครู่นี้ค่อยสงบลง พรายยิ้มโปรยเสน่ห์ที่เคยคิดว่าจะชนะใจเธอได้อย่างผู้หญิงคนไหนๆ กลายเป็นรอยยิ้มเยาะขึ้นมาแทน

"รักษาสัตย์ก็เป็นเหมือนกันนี่" เขาไม่วายค่อนว่าอย่างปากพาไป

ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากอีกฝ่ายนอกจากใบหน้าเรียบเฉย ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีดำถักเป็นเปียไว้ข้างหลัง เสื้อเชิ้ตแขนตุ๊กตาสีฟ้าอ่อนกับกางเกงยีนส์สีเดียวกันลดวัยเธอจากเมื่อแรกเจอให้แลดูอ่อนเยาว์ลงไปมาก เว้นแววแข็งกระด้างในดวงตาที่บอกว่าเธอกร้านโลกมาพอสมควรทีเดียว

"ฉันยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลย เธอตามมาแล้วว่าแผนการวันนี้ให้ฉันฟังไปพลางๆ แล้วกัน"

รัญชน์เดินนำไปยังห้องอาหารนานาชาติของโรงแรมโดยไม่สนใจว่าใครจะตามมาหรือไม่ เขาซ่อนยิ้มสาแก่ใจหลังเมนูอาหารที่บริกรนำมาให้ เมื่อหญิงสาวที่ตามมาทีหลังนั่งลงตรงข้ามอย่างไม่ค่อยพอใจ

ชายหนุ่มสั่งชุดอาหารเช้าแต่ของตนเองเท่านั้น ก่อนจะส่งรายการคืนพนักงาน ไม่แม้แต่ถามอีกฝ่ายตามวิสัยสุภาพบุรุษ

"ว่าแผนเธอมาสิ" เขาถามย้ำ

ลิปดาสูดหายใจลึกอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ คิดเสียว่าที่เธอทำกับเขามันมากกว่าการปั่นหัว กวนประสาทเช่นนี้

"เราจะไปป้อมอินทรามูรอสค่ะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ ใกล้กันก็มีป้อมซานติอาโก โบสถ์ซานอะกุสติน สามารถเดินเที่ยวชมทั้งหมดได้ภายในวันเดียว"

"อยู่แถวไหนน่ะ"

"อยู่ใกล้แม่น้ำปาซิกค่ะ แม่น้ำสายสำคัญของกรุงมะนิลา ก็คงเหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาของประเทศคุณ"

รัญชน์ลดแก้วกาแฟที่ยกจิบลง จ้องมองคนตรงหน้าด้วยความเจ็บแปลบประหลาดเมื่อนึกถึงวีรกรรมความหลอกลวงของเธอ เสียดาย... เสียดายความรู้สึกดีๆ ที่เขาเคยมีให้เธอยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหน แต่เธอก็ทำลายมันเอง

"ฉันลืมขอบใจเธอสินะ ที่กรุณาไม่ขโมยบัตรประชาชนกับพาสปอร์ตไป อ้อ แต่เธอเห็นรูปในกระเป๋าสตางค์ฉันใช่ไหม ถ้าจะให้ดีกรุณาคืนมาด้วย"

"ฉันไม่ได้เอาไป" ลิปดาตอบทันควัน

"แสดงว่าเห็น" เขาต้อนเข้าไปอีก "มันหายไปพร้อมกับเงินพวกนั้น แล้วฉันก็สงสัยเธอ"

"ฉันจะเอาไปทำไมในเมื่อมันเป็นแค่รูปใบหนึ่ง ขายต่อไม่ได้ด้วยซ้ำ"

"เห็นแก่เงิน สมกับเป็นเธอเลยนะ" เขาค่อนว่าอย่างเจ็บใจตนเองที่จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน

"หรือเงินมันไม่สำคัญสำหรับคุณคะ โรงแรมที่คุณพัก อาหารที่ทาน หรือเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่คุณใส่ คุณได้มาฟรีหรือคะ หรือเพราะคุณไม่เคยเหนื่อยหาเงิน คุณจึงลืมไปว่ามันสำคัญกับคุณ และเอาคำพูดนั้นมาดูถูกคนอื่นแทน"

"เธอ!"

บ้าฉิบ! ยัยเด็กบ้านี่มันกล้าด่าเขาฉอดๆ แถมคำพูดลอยๆ นั้นยังกระทบราวตบหน้าเขาอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะเขาไม่เคยเหนื่อยหาเงินอย่างที่พี่ชายต่างวัยกว่านับสิบปีเคยบริภาษ เขามันก็แค่คนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ รักสนุก รักสบายไปวันๆ

"ฉันขอออกไปรอข้างนอกนะคะ"

รัญชน์จ้องตามแผ่นหลังคนที่ลุกออกไปราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ อวดดี จองหอง ไม่ธรรมดาเลยล่ะสำหรับผู้หญิงคนนี้ แล้วนับวันเขาก็ยิ่งน่าสมเพชที่ปล่อยให้เด็กเมื่อวานซืนอย่างนั้นสั่งสอนปาวๆ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ต.ค. 2556, 16:50:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ต.ค. 2556, 16:50:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1124





<< บทที่ ๓ + ชวนเล่นเกมลุ้นหนังสือค่ะ   บทที่ ๕ >>
จิงโกะ 23 ต.ค. 2556, 18:41:57 น.
แหมเจ้าอารมณ์เหมือนกันนะตาพระเอกเนี่ย


ปริยาธร 23 ต.ค. 2556, 19:14:03 น.
ลิปดาน่าจะบอกธุระของตัวเองไปเลยน้า
อ่านแล้วลุ้นอ่า


ภาพิมล_พิมลภา 23 ต.ค. 2556, 20:02:05 น.
คุณจิงโกะ - อิอิ คุณรัญชน์ใจดีนะคะ แต่ถูกโกงก็เลยโกรธจ้า

พี่นุ้ย - ลิปดาอยากศึกษาใจคอคนที่เกี่ยวกับแม่ด้วยค่ะ อยากรู้ว่าแม่จะพูดถึงเธอว่าอะไร


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account