เงื่อนเสน่หา
ความผูกพันที่ทำให้เขาและเธอได้เจอกัน เกมชีวิตที่ใครบางคนลิขิตไว้ เธอ อยู่เพื่อ ดูแลเขาด้วยชีวิต เขา อยู่เพื่อ ค้นหาบางอย่าง ปมแค้นทำให้เธอได้เจอเขา และ ปมเสน่หา ทำให้เขาได้เจอเธอ
Tags: เงื่อนเสน่หา คีตา
ตอน: บทที่ ๑ เธอยัง...(แก้ไข)
บทที่ ๑
คนใหม่
ความมืดมิดภายในห้องสี่เหลี่ยมนั้น ทำให้หญิงสาวต้องพยายามปรับดวงตาในการเพ่งมองเสียใหม่ เธออยู่ในชุดนอนกระโปรงสีขาวผูกโบว์น่ารักที่เอวเหมือนในตอนเด็กที่เคยใส่ แต่ตอนนี้เธอแทบไม่ได้แตะชุดน่ารักเหล่านี้ ขาเรียวนั้นค่อยๆก้าวออกไปหาประตู ทว่ากลับมองไม่เห็น ไม่มีทางออก!!
“ช่วยด้วย!ช่วยด้วย” เธอร้องเรียกหาใครสักคน แต่เหมือนทุกอย่างที่เธออ้าปากออกไปกลับกลายเป็นเสียงสะท้อนกลับมา พลันแสงสีขาวกลับสว่างวาบอยู่ที่มุมห้องพร้อมกับร่างของใครบางคน
“แม่! พ่อ” เธอเรียกหาก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดทั้งสองคนไว้ “รู้ไหมว่าหนูคิดถึงมากแค่ไหน หนูคิดถึงพ่อกับแม่นะคะ”ศีรณาพยายามที่จะกอดทั้งสองไว้เพื่อให้คลายความรู้สึกเหน็บหนาวแต่ทำไม เธอกลับยิ่งรู้สึกหนาวมากกว่าเดิมจนตัวเริ่มสั่น
“รณา...” เสียงที่เรียกชื่อเธอนั้นดูแผ่วเบาเหลือเกิน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งที่เห็นกลับทำให้เธอผงะออกมาด้วยความตกใจ พ่อกับแม่ของเธอตัวโชกไปด้วยเลือดสีแดงฉาน แม้กระทั่งน้ำตาที่ไหลออกมานั้นก็ยังเป็นสีแดง ศีรณาได้แต่กลั้นก้อนสะอื้นไว้ในอก น้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวด
“พ่อ ...แม่ หนูจะช่วย...” เธอบอกได้แค่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาเกาะเกี่ยวขาเธอไว้แน่ เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาน่ากลัวคนหนึ่งดึงขาเธอไว้แน่น
“ปล่อยนะ ปล่อยสิวะ” เธอร้องตะโกนไล่เหมือนอย่างที่ทำทุกครั้ง
“คิดว่าตัวเองดีเลิศว่าคนอื่นหรือไงวะ ทำเชิดใส่กู กูจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเลย” เสียงนั้นเหี้ยมเสียจนเธอตื่นตระหนก พยายามถอยกรูดออกไปจนสุดห้อง หลังชนผนัง ดวงตาเบิกกว้างนั้นหันไปเห็นพ่อกับแม่ที่ยืนมองเธอด้วยสายตาอันเจ็บปวด
“พ่อ ช่วยหนูด้วย แม่ ช่วยหนูด้วย” เธอร้องเรียกสุดเสียงแต่ท่านทั้งสองก็ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่สามารถเข้ามาช่วยเธอได้ สายตาคู่นั้น...สายตาของพวกท่าน...
ศีรณาสะดุ้งเฮือก ผวาลุกขึ้นนั่งบนเตียงหนานุ่ม ความมืดยังคงครอบคลุมอยู่ทั้งห้อง แต่บรรยากาศไม่ได้น่ากลัวเหมือนในฝัน มือบางยกขึ้นแตะแก้มตัวเองรู้สึกได้ถึงร่องรอยของน้ำตาที่อาบแก้มทั้งสอง
นานแล้วที่เธอไม่ได้ฝันร้ายอย่างนี้...ฝันเห็นพ่อแม่ที่เต็มไปด้วยเลือด มันน่ากลัวและปวดใจปะปนกันในความรู้สึก
เธอเลิกผ้าห่มออกหย่อนขาลงจากเตียง เดินไปยังห้องน้ำ เปิดก๊อกอ่างล้างหน้าวักน้ำอุ่นนั้นขึ้นล้างหน้าก่อนจะเงยขึ้นมองตัวเองในกระจก หยดน้ำเกาะพราวเต็มใบหน้าเรียวรูปไข่นั้น ผมสั้นด้านหน้าเปียกลู่ ดวงตาเรียวจ้องมองกระจกแววเข้ม ความขมขื่นมันแสดงออกมาทางสายตาเธออย่างชัดเจน
“ยิ้มสิ...เธอต้องยิ้มให้มัน สู้กับมัน” ศีรณาบอกตัวเองผ่านกระจกบานนั้น
ในวัยสิบเจ็ดหลังจากที่ย้ายมาอยู่กับตาอุ่ม เธอไม่ได้ทิ้งนิสัยเดิมไปเสียทีเดียว ยังคงคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูบ้านหลังใหญ่ ในขณะที่ต้องอยู่ในบ้านไม้หลักเล็กเก่าๆ ของตาอุ่มญาติห่างๆฝ่ายแม่ที่ยินดีรับเธอมาดูแล
เธอดื้อรั้นและเย็นชา ในขณะที่หลานของตาอุ่มต่างมีนิสัยแตกต่างกันจากครอบครัวที่แตกแยก มาลีเป็นเหมือนน้ำเย็นในขณะที่เธอเหมือนกองไฟ
ตาอุ่มสอนเธอเรื่องสังคมและยังทำให้เธอกลายเป็นเด็กสาวที่เริ่มยิ้มได้ มีความสุขกับสิ่งที่มีได้อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างที่ตาอุ่มบอกเธอเสมอ...ยิ้มแม้ว่ามันจะเจ็บปวด ยิ้มแม้ว่าจะมีเรื่องหนักหนาเพียงใด ยิ้มให้กับตัวเอง...เพื่อที่จะได้ยืนหยัดต่อสู้ต่อไปได้
‘สิ่งที่หนูต้องทำต่อจากนี้ไปนะรณา ไม่ใช่การโทษใครคนอื่นที่ทำให้ชีวิตหนูเป็นอย่างนี้ แต่ต้องสู้กับมัน ยิ้มและมีความสุขให้คนที่มันทำร้ายหนู รู้สึกว่าทำอะไรหนูไม่ได้ เข้มแข็ง อย่าอ่อนแอให้มันเห็น’ คำสอนของตาอุ่มยังคงก้องอยู่ในส่วนสำนึกของเธอเสมอ
ใช่...เธอต้องมีความสุข สร้างรอยยิ้มและซ่อนความเจ็บแค้นทุกอย่างไว้ภายใต้ใบหน้านี้ เพื่อให้พวกมันตายใจ...
แสงแดดรำไร ในตอนเช้าทำให้หญิงสาวที่อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงวอร์มสีเทาเริ่มชะลอฝีเท้าการวิ่ง มือบางดึงหูฟังอันเล็กลงก่อนจะหยุดวิ่งในที่สุด
เธอยกมือขึ้นเสยผมสั้นๆของตัวเองอย่างลวกๆ ดวงตารีเล็กกวาดมองรอบๆ สวนสาธารณะอย่างเคยชิน พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ร่างสูงเพรียวเลยเกณฑ์มาตรฐานของสาวไทยเพียงนิดหน่อยแต่ดูแข็งแรง ทะมัดทะแมงไม่แพ้ผู้ชายเลยทีเดียว
เธอค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางกลับคอนโดของตัวเอง ระหว่างทางไม่ลืมที่จะหยุดซื้อน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ร้านเจ้าประจำอีกด้วย การใช้ชีวิตง่ายๆ ทำให้เธอรู้สึกดีแม้ว่างานในหน้าที่จะหนักหนาหรือแม้แต่สิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจจะหนักหน่วง มันช่วยให้เธอมองโลกในแง่บวกเพิ่มขึ้น
...อย่างน้อยในกระดาษที่เปรอะหมึกสีดำ มันต้องเหลือพื้นที่สีขาวไว้บ้าง...
“วันนี้เอาเหมือนเดิมนะหมวด” แม่ค้าหันมาถามสีหน้ายิ้มแย้ม หญิงสาวยิ้มตอบ
“ค่ะ แต่อย่าลืมแถมละ” หญิงสาวไม่ลืมทักท้วงจนแม่ค้าหลุดหัวเราะออกมาทันที
“จ้า ไม่ลืมหรอก แถมให้ตั้ง...” พูดทั้งหยิบปาท่องโก๋เพิ่มเข้าไปในถุงให้ “ครึ่งชิ้นแน่ะ”
หมวดสาวย่นจมูก ยื่นเงินพร้อมกับรับถุงของมา พลางแอบบ่นในใจเรื่องของแถมที่น้อยเหลือเกิน เธออุตส่าห์เป็นลูกค้าประจำมาสามปี ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่คอนโดแห่งนี้
พอกลับขึ้นไปบนห้องได้ก็ต้องอาบน้ำแต่งตัว เตรียมตัวไปทำงานอย่างทุกวัน ระหว่างที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเธอเอื้อมมือไปหยิบหยิบขึ้นมากดรับสาย แม้จะรู้ว่าเป็นงานแต่บางครั้งเธอก็ยังคงตื่นเต้นกับมัน อาจจะแปลกที่เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนี้
“ค่ะ” เธอรับคำเพียงแค่นั้นแล้ว เอื้อมมือไปคว้ากุญแจรถและถุงน้ำเต้าหู้ออกมาจากห้องพักเดินออกไปที่ลิฟท์
ระหว่างที่กำลังยืนรอ มีคนที่เดินเข้ามายืนรออยู่ด้วย ชายหนุ่มร่างสูง รูปร่างเพรียว สวมเสื้อยืดคอวีสีดำ กับกางเกงยีนสีเดียวกัน ดวงตาคมถูกปกปิดด้วยแว่นกันแดดยี่ห้อดัง ผมที่ไม่ได้จัดเป็นทรงนั้นถูกซ่อนไว้ด้วยหมวกแก๊บสีดำ มีตัวอักษรเอฟสีขาวอยู่ตรงกลางใบ
หญิงสาวมองภาพชายหนุ่มข้าง ๆ ผ่านความเงาของประตูลิฟท์ เมื่อประตูเปิดเธอก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็วรอจนชายหนุ่มอีกคนก้าวเข้าไปเรียบร้อย จึงกดปิดประตู
“ชั้นไหนคะ” เธอถามโดยที่ไม่หันไปมองหน้าเขา แม้จะพอรู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่แวะชั้นอื่นแต่เธอก็คงยังอยากถามอยู่ดี
“หนึ่ง” คำตอบสั้นห้วนนั้นไม่ได้ทำให้เธอหันกลับไปมองหน้าเขา หญิงสาวรู้สึกชินกับท่าทีแบบนี้ของชายหนุ่ม แน่นอน เธอรู้จักเขาดีเพียงแต่ไม่แสดงออกว่ารู้จักเท่านั้นเอง...
เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่ม เขาล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนกดรับสาย
“กำลังจะลงไปแล้วน่า ตามจริง” น้ำเสียงนั้นหงุดหงิดอยู่ในที
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเชิงแปลกใจหลังจากที่ได้ยินปลายสายตอบกลับมา “เปล่านี่ เมื่อวานเจอที่ห้องอัดแค่นั้น ตอนบ่ายฉันก็ปวดหัวเลยกลับมานอนที่ห้อง” ชายหนุ่มดูไม่ได้ใส่ใจอะไรนักเมื่อกดวางสาย แล้วนำโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กนั้นสอดลงไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม
ระยะเวลาไม่กี่นาทีที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไม่มีเสียงพูดคุยกันก็จริงทว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังยืนนิ่ง พิงผนังด้านหลัง กอดอกเหมือนรอคอยให้ถึงชั้นล่างโดยเร็ว จนถึงชั้นล่างสุดของคอนโด ประตูลิฟท์เปิดออก เขาก้าวเร็วออกไปยังด้านหน้าของตึกซึ่งมีรถตู้จอดรออยู่แล้ว
ส่วนหญิงสาวก็เดินออกไปที่ลานจอดรถ กดรีโมทเพื่อเปิดประตูรถก้าวขึ้นนั่ง รถของเธอเป็นรถอีโกคาร์ขนาดเล็ก รูปลักษณ์สวยอย่างที่เธอชอบ ที่สำคัญราคาไม่แพงมากนัก หญิงสาวกดเปิดเพลงก่อนจะหมุนพวงมาลัยออกไปจากลานจอดรถของคอนโด มุ่งตรงไปสู่โรงแรมที่เกิดเหตุ
.....
ศีรณาต้องไปทำงานแต่เช้าหลังเกิดเหตุฆาตกรรม ตามหน้าที่ของตำรวจ ใช่...เธอเลือกที่จะเป็นตำรวจ โดยสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตอนเรียนจบมัธยมปลาย เธอเลือกทางสายนี้เหมือนอย่างที่ใครบางคนเคยบอกไว้ แต่คนที่บอกว่าจะเป็นตำรวจกลับหันหลังให้กับสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น
...ราเชนทร์ไม่ได้เป็นตำรวจอย่างที่เขาเคยบอกเธอ...
ที่เกิดเหตุเป็นห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง อยู่ชั้นสี่ห้องด้านในสุด ตำรวจหญิงสาวเท้าเดินตามหัวหน้าเข้าไปอย่างเร่งรีบ กลุ่มที่ไปถึงก่อนคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งเหตุและเจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานซึ่งกำลังถ่ายรูปที่เกิดเหตุอย่างละเอียด
“สารวัตรมาแล้วเหรอครับ อ้าว...หมวดศี...มาด้วยกันหรอกเหรอครับ”
ตำรวจหญิงหน้าตึงเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินเรียกชื่อ “ฉันชื่อเล่นรณา ไม่ใช่ศี” เธอแก้ความเข้าใจผิด แม้ว่ามันจะกลายเป็นฉายาของเธอไปแล้วก็ตาม
หมวดศีรณา... กลายเป็น หมวด ‘ศีทนได้’ เพราะเธอทนทุกสภาพศพได้ ไม่เคยปริปากบ่นเลยแม้แต่น้อย เลยกลายเป็นฉายาที่เรียกกันเล่นๆ อย่างคะนองปากของกลุ่มนายตำรวจชายทว่าเธอไม่ได้เคร่งเครียดกับมันเสียจนพาลโกรธพวกที่ล้อเลียนเธอไปเสียหมด มันก็แค่ชื่อนี่นะ...
“เอาน่า หมวด...ผมชอบชื่อนี้” หมวดดุลวัตยังคงไม่ยอมเลิก จนคนเป็นหัวหน้าทำน้ำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ จึงจำต้องหันกลับไปหา
“อย่างที่เห็นครับสารวัตร คนตายเป็นหญิงสาว ชื่อ นันทิดา อายุสิบแปดปี ในกระเป๋าถือมีบัตรประจำตัวประชาชน เงิน บัตรเอทีเอ็ม ทุกอย่างอยู่ครบ สร้อยทองก็ไม่หายไปด้วย”
ศีรณาเดินเข้ามายังด้านข้างของเตียงซึ่งมีร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าเหยื่อ นอนด้วยสภาพเสื้อผ้าครบ
ชุดแซ็คสีชมพูที่เธอสวมใส่เปรอะเปื้อนเลือดสีแดงเข้ม จากบาดแผลที่อยู่หน้าท้อง ดวงตาของหญิงสาวเบิกโพลง เหมือนกำลังจ้องอะไรบางอย่าง รอยแผลเหวอะอยู่ที่บริเวณหน้าท้อง ส่วนที่ใบหน้ามีรอยกรีดซ้ำเป็นกากบาท
ศีรณาก้าวเข้าไปช้า ๆ เหมือนกำลังเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด มือทั้งสองข้างของหญิงสาวแนบลำตัว ตำรวจหญิง ดึงถุงมือยางออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับสวมมันอย่างรวดเร็วแล้วเอื้อมมือไปจับมือของศพเพื่อตรวจดูอะไรบางอย่าง เล็บสีชมพูนั้นถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามปลายเล็บหัก ข้อมือมีรอยช้ำโดยรอบ
"คงมีการต่อสู้กันอยู่พอสมควร จากร่องรอยพวกนี้"เธอบอกก่อนจะหันไปมองรอบๆห้องเพื่อมองหาสิ่งที่ผิดปกติ ห้องพักมีทุกอย่างเรียบร้อย เพียงแต่ตามพื้นรอบศพมีรอยเลือดกระเซ็นอยู่ โคมไฟที่หัวเตียงล้มลง กระเป๋าถือที่เปิดอ้าออกเหมือนเจ้าของเพิ่งเปิดหาอะไรบางอย่างก่อนที่จะถูกฆ่า
“พนักงานโรงแรมบอกว่า คนตายเป็นคนเปิดห้องพักเองครับ แล้วก็มาคนเดียวเสียด้วย คนฆ่าจะต้องเป็นคนรู้จักกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เปิดประตูให้” ดุลวัตเล่าที่ได้สอบปากคำพนักงานและพยานรู้เห็น
"ยังบอกอย่างนั้นไม่ได้หรอก" ศีรณาแย้งพร้อมกับมองไปที่ประตูห้อง มีร่องรอยแจกันที่มุมห้องหล่นอยู่ที่พรมดอกไม้พลาสติกกระจายเต็มพื้น
เสียงครืดๆในกระเป๋าถือของคนตายทำให้ศีรณาก้าวเข้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหน้ากระจกซึ่งเป็นที่วางข้าวของ เธอเปิดกระเป๋าถือของคนตายออกค้นหาอะไรบางอย่าง จนเจอโทรศัพท์มือถือที่ตอนนี้หยุดสั่นไปแล้ว
หญิงสาวตรวจเช็กเบอร์ที่โทร.เข้ามาหลายสายนั้นเห็นว่าเป็นเบอร์เดียวกันหมด ทว่าเบอร์ล่าสุดนั้นขึ้นชื่อว่า ‘ที่รัก’ หญิงสาวขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อยก่อนจะกดโทร.กลับไปหา เอาเครื่องมือสื่อสารขนาดพอเหมาะนั้นแนบหู จนสัญญาณหยุดกลายเป็นเสียงทุ้มของใครคนหนึ่งตอบรับกลับมา
“รับสักที ทำไมไม่ยอมรับเสียที ห๊ะ...เจี๊ยบ” ปลายสายดูเหมือนตวาดเสียงดังลั่น แม้แต่คนฟังอย่างเธอยังต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างหูโดยเร็ว
ศีรณาหยุดนิ่ง เหลือบมองสารวัตรโกศลที่เดินเข้ามาหาพร้อมกับพยักหน้าบอกให้เธอบอกได้ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะหลับตานิ่งเพียงสองวินาทีระหว่างที่ฝ่ายนั้นรอฟังคำตอบจากเจ้าของโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ...คุณรู้จักเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ใช่ไหมคะ”
“ครับ” ปลายสายเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ “เขาลืมไว้ที่ไหนเหรอครับ”
ศีรณาคิดว่าสิ่งนี้แหละเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในการทำงานของเธอ การบอกญาติของคนตาย ว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว ข่าวร้ายที่ใครก็ไม่อยากได้ยินแม้แต่ตัวเธอเอง
“คือ...ฉันเป็นตำรวจ ชื่อหมวดรณาค่ะ ไม่ทราบคุณเป็นญาติเธอใช่ไหมคะ”เธอแนะนำตัวก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นทางการ
“ครับ ผม...เอ่อ...เป็นเพื่อนพี่ชายเขา” น้ำเสียงนั้นดูไม่มั่นคงเท่าใดนัก
“คือ เกิดเหตุไม่ค่อยดีนักน่ะค่ะ คุณนันทิดาเสียชีวิตแล้ว ส่วนรายละเอียด ฉันไม่อยากเล่าทางโทรศัพท์ อีกหนึ่งชั่วโมง คุณช่วยไปยืนยันตัวตนของคุณนันทิดา...ไปพบเราที่โรงพยาบาลนะคะ” ศีรณาบอกสถานที่และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อก่อนจะวางสายไป แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นคงอึ้งไปแต่จะดีกว่าที่เธอบอกรายละเอียดให้น้อยที่สุด เพื่อให้เขามารับรู้จากปากของสารวัตรอีกครั้ง
“เดี๋ยวผมจะกลับรถของร้อยเวร พวกคุณอยู่ที่นี่สอบปากคำเพิ่มเติม แล้วก็อย่าลืม ดูให้ละเอียด ผมจะคุยกับญาติเธอเอง” สารวัตรโกศลสั่งการ นายตำรวจทั้งสองรับคำเสร็จ จึงหันกลับมาดูศพที่ถูกห่อผ้าขาวหามขึ้นเปลไปอย่างหนักใจ
ทุกครั้งที่เกิดคดีฆาตกรรม ศีรณาจะรู้สึกหนักอก หนักใจทุกครั้งไป ไม่ใช่เพราะความยากง่ายของคดี แต่เพราะ ไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมากกว่า ความสูญเสียใครบ้างที่อยากจะให้มันเกิดขึ้น ไม่มี...เหมือนอย่างที่เธอเคยเจอตั้งแต่วัยเด็ก
พนักงานโรงแรมที่ยืนรอให้ปากคำกับตำรวจทั้งสอง มีสีหน้าซีดเผือด มือกุมกันแน่น เมื่อเห็นศีรณาหันกลับมาหาก็สะดุ้งเล็กน้อย “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย”
“หนูกลัวตั้งแต่ตอนเจอศพแล้วค่ะ มันน่ากลัว พะอืดพะอมมากเลย”เธอบอกพร้อมกับแสดงอาการอย่างที่บอกจริงๆ
“คนตายเข้าพักในชื่อของตัวเองหรือเปล่าคะ”
“ค่ะ ชื่อเธอเองค่ะ มาตอนเย็น ประมาณหกโมงได้”
“มาคนเดียวหรือมีคนตามมาด้วย” ศีรณายังถามต่อ
“มาคนเดียวค่ะ ขึ้นห้องเธอก็หายไปจนเช้า เธอสั่งให้โทร.ปลุกตอนเจ็ดโมงค่ะ แต่โทร.ไปเท่าไหร่ก็ไม่รับ ฉันเลยขึ้นไปหาเอง แล้วก็เจอ...” หยุดไว้แค่นั้นพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากทำเหมือนจะอาเจียนเสียให้ได้
“ที่นี่มีกล้องวงจรปิดอยู่ใช่ไหม” ดุลวัตหันมาถามบ้าง หญิงสาวพยักหน้ารับ แล้วพาไปที่ห้องจัดการส่วนของอุปกรณ์เทคนิคของโรงแรม ให้เจ้าหน้าที่คัดลอกข้อมูลใส่ฮาร์ดดิสแบบพกพาให้กับตำรวจทั้งสองคน
“ไม่มีพยานรู้เห็น เยี่ยมจริงๆ เลย” ดุลวัตกล่าวลอยๆ หลังจากที่เดินตามศีรณาและพนักงานโรงแรมไปยังลานจอดรถ เพื่อหารถของเหยื่อคดีฆาตกรรม เมื่อไปถึงรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่หรูจนนายตำรวจหนุ่มผิวปากออกมาเบาๆ
“เด็กที่ไหนขับรถแพงขนาดนี้นะ”
“ก็คงเป็นลูกคนมีเงินนั่นแหละ” ศีรณาบอกพร้อมกับเอากุญแจที่ได้จากกระเป๋าของนันทิดาออกมาไข เปิดประตูรถออกมาเพื่อค้นหาสิ่งที่พอจะเป็นเบาะแสได้ สิ่งที่อยู่ในรถคันหรูนั้นกลับไม่ได้ดูดีเหมือนอย่างรถเลยสักนิด รกรุงรังเหมือนไม่ใช่รถของสาวๆ ส่วนใหญ่จะเป็นขยะ แก้วกาแฟที่ดื่มแล้ว กระดาษชำระที่เช็ดรอยลิปสติก แล้วยังมีเศษเหรียญที่อยู่ในคอนโซลอีกด้วย
“เป็นสาวสวยแต่รูป จูบไม่หอมเอาเสียเลยนะเนี่ย” ดุลวัตบ่นกับกองขยะหลังรถนั้นเบาๆ
“อย่านินทาคนตายสิ” ศีรณาหันมาเตือนหมวดหนุ่ม มือยังคงควานดูของในคอนโซลนั้นต่อจนเห็นกระดาษโพสต์อิทสีเหลืองอ่อน มีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ
‘เจี๊ยบ
เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ พี่ไม่อยากให้เป็นจุดสนใจ
เจี๊ยบช่วยจองห้องแล้วส่งข้อความบอกพี่ที่เบอร์นี้ด้วยนะ
เชน’
“ใครคือเชน...” เสียงทักนั้นทำให้ศีรณาถึงกับสะดุ้ง เหลือบมองเพื่อนร่วมงานแววเข้ม
“ไม่รู้สิ...” เธอตอบง่ายๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเขา “เดี๋ยวให้ฝ่ายจราจรมาลากรถไปที่โรงพักเพื่อตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติม”
“ใช่ เที่ยงแล้ว ควรหาอะไรกินได้แล้วว่าไหมผมหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้วเนี่ย”
“นี่หมวดยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอ”
“ยังเลยรีบมาที่เกิดเหตุเลย”
“ที่รถมีน้ำเต้าหู้พอดี ไปสิ” เธอบอกหลังจากเก็บหลักฐานใส่ถุงเรียบร้อยแล้ว
หมวดดุลวัตเดินตามเพื่อนร่วมงานออกมาจนถึงรถคันเล็กของเธอ ตอนเช้าเขาติดรถมาร้อยเวรออกมาที่เกิดเหตุเพื่อความรวดเร็ว พอตอนกลับนายตำรวจหนุ่มจึงขออาศัยติดรถศีรณากลับด้วย
"ผู้ชายสมัยนี้เป็นยังไงนะ ชอบให้ผู้หญิงขับรถ" หญิงสาวบ่น
"หมวดศี ผมจะขับให้หมวดก็ไม่ยอมเองนี่นา" อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้เพราะเธอไม่ชอบให้คนอื่นขับรถของเธอ
"เอาเถอะ ดีแล้วที่คุณไม่ขับ กลัวไปถึงโรงพักก็คงหมดเวลางานพอดี”
“โหย ดูถูก” พูดพร้อมกับเปิดประตูขึ้นนั่งข้างคนขับ มือไม้ก็เริ่มหยิบจับซีดีเพลงในคอนโซลด้านหน้าระหว่างที่ศีรณาสตาร์ทรถแล้วขับออกจากลานจอดรถของโรงแรม
“นี่หมวดก็วัยรุ่นเหมือนกันเนอะ ดูสิ ชอบฟังเพลงร็อคกับเค้าด้วย จริงๆ ผมควรพูดว่า หมวดดูไม่เป็นคนที่จะมาซื้อของแบบนี้เท่าไหร่”
“หมายความว่าไง”
“หมวดขี้งกจะตายนี่นา ขนาดจะซื้ออะไรกินจุบจิบ หมวดก็ยังบ่นว่าเปลืองกินข้าวทีเดียวเลย นี่ ซื้อแผ่นเพลงตั้งสองร้อย ที่เห็นในนี้มีตั้งหลายสิบแผ่น นักร้องวงเดียวเสียด้วย แปลก” หมวดดุลวัตทำเสียงจิ๊กจั๊กเหมือนเป็นเรื่องประหลาดเสียเต็มประดา ศีรณาหัวเราะโดยไม่แก้ตัวอะไร
“หรือว่า...จริงๆ แล้วหมวดเป็นแฟนคลับวงนี้ คิดภาพหมวดถือป้ายไฟร้องกรี๊ดๆ ไม่ออกจริง ๆเลย”
“ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ได้เป็นทั้งแฟนคลับแล้วก็แฟนเพลง” เธอบอกเสียงเรียบ แม้จะรู้ว่าคนฟังอยากรู้มากแค่ไหนแต่ก็คงไม่ยินยอมที่จะอธิบายต่อแต่อย่างใด ปล่อยให้หมวดหนุ่มเลือกเพลงฟังอย่างสบายใจอย่างนั้น
ดวงตาสวยเหม่อลอยออกไปยังท้องถนนตรงหน้า หวนไปคิดถึงเรื่องเมื่อสิบปีก่อน ฟังดูเหมือนเป็นเวลานานแล้ว กับเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ แต่สำหรับคนที่สูญเสียอย่างเธอ มันเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวันวานนี้เอง
เด็กหญิงศีรณานั่งฟังคำตัดสินจำคุกคนร้ายสามคนที่ฆ่าพ่อกับแม่เธอได้ คำสารภาพของพวกเขาคือ ฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ ศีรณาไม่เคยเชื่อมันมีเรื่องมากกว่านั้น
‘ไม่จริง!! พวกมันตั้งใจที่จะฆ่าเรา อาอยากได้ที่ดินตรงนั้น’เธอโวยวายหลังจากที่ออกมาจากศาล
‘หนู...ที่ดินแค่ขี้ปะติ๋วนั่น ฉันจะเอาไปทำไม’ เฉลิมผู้เป็นอากล่าวอย่างใจเย็น ใบหน้ายิ้มแย้มดูใจดีนั้นแท้จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันคือ น้ำผึ้งอาบยาพิษ!!
‘รณา...หนูควรไปอยู่กับอานะ จะดิ้นรนขอไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทำไม พ่อแม่หนูมีเงินมากมายพอที่จะเลี้ยงหนูจนโตได้ อาจะเป็นคนดูแลจัดการให้หมดทุกอย่าง’
‘ไม่! หนูไม่ไป!’ เธอตะโกนใส่หน้าผู้เป็นอาทันที เฉลิมยิ้มแม้จะโดนอะไรก็ตาม
‘หนูจ๊ะ ทำอย่างนี้ไม่ดีเลย เป็นเด็กไม่มีมารยาทนะรู้ไหม’ เจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์บอกน้ำเสียงเหมือนตำหนิ
‘ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะทำเรื่องให้ศีรณามาอยู่กับผมนะครับ ผมเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่’
‘ไม่มีทาง หนูไม่ไป ไม่ไป ไม่ไป!!’ ศีรณากรีดร้องโวยวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอไม่มีทางยอมไปอยู่กับคนใจร้าย ที่เป็นฆาตกรฆ่าพ่อกับแม่เธอเป็นอันขาด...ในวันเกิดเหตุ เธอได้ยินพ่อกับอาทะเลาะกันอย่างรุนแรงเรื่องที่ดินบนเนินเขา หลังจากนั้นครอบครัวเธอก็ถูกไล่ล่า
เพลงที่ยังคงบรรเลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงของหมวดดุลวัตที่ยังคงเจื้อยแจ้วไม่เปลี่ยน เหมือนความรู้สึกของเธอที่ไม่มีวันเปลี่ยนไป...
โลกนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาที ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยนแปลง นาน...กว่าที่เธอจะเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงของมัน เรียนรู้สันดานของมนุษย์ที่ไม่เคยละกิเลส เรียนรู้ว่าเวลาไม่ช่วยให้คนเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ มันเป็นแค่คำกล่าวอ้างอวดตัวเท่านั้นเอง ว่าคนเราเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา...แท้จริงแล้ว ที่คิดว่าเปลี่ยนไป ก็คือ การยอมรับมันได้ต่างหาก
…..
“คุณอังกูรหรือเปล่าครับ” สารวัตรโกศลเอ่ยถามชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องดับจิต เจ้าของชื่อรีบพยักหน้าทันทีดวงหน้าคมนั้นดูซีดๆ เขาหันไปมองชวินที่ยืนอยู่ข้างๆเล็กน้อย
“ผมสารวัตรโกศลครับ ตามผมมาทางนี้ดีกว่าครับ” นายตำรวจแนะนำตัวพร้อมกับเดินนำไปยังอีกด้าน อังกูรหันมาส่งสายตาเป็นคำถามให้กับชวิน นักร้องหนุ่มส่ายหน้า
“พี่เข้าไปเถอะครับ ผมจะรอข้างนอก” อังกูรพยักหน้าเข้าใจแล้วเดินตามนายตำรวจไป
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงอังกูรจึงออกมาพร้อมกับนายตำรวจคนเดิมและหมอที่ชันสูตรศพสีหน้าของอังกูรนั้นซีดเซียวจนชวินต้องลุกขึ้นเดินเข้ามาหา
“คุณอาจจะต้องรอให้ทางคุณหมอชันสูตรศพให้เรียบร้อยเสียก่อนนะครับ ถึงจะรับศพกลับไปทำพิธีกรรมได้”
“ครับ ผมอยากให้คุณตำรวจทำทุกวิถีทาง หาตัวคนร้ายให้ได้”
“หมายความว่าชนแล้วหนีเหรอ” ชวินแทรกถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“เปล่าครับ ไม่ใช่อุบัติเหตุนะครับ คุณนันทิดาถูกฆาตกรรม ทิ้งศพไว้ในโรงแรม พวกคุณไม่รู้เลยเหรอครับว่า เธอไปที่นั่นทำไม” คำถามของสารวัตรทำให้ชวินถึงกับตัวชา
“โรงแรม?” เขาถามกลับเหมือนย้ำ ทั้งตัวเขาเองและนายตำรวจ
“ครับ ในโรงแรม เธอถูกแทงหลายแผล ใบหน้าถูกกรีดเป็นรูปกากบาท เหมือนพวกฆาตกรโรคจิต” ถ้อยคำที่อธิบายนั้นกลับทำให้อังกูรถึงกับหลับตาแน่น พยายามข่มความรู้สึกเจ็บปวดของตัวเองไว้
“ผมนึกว่า...เจี๊ยบเกิดอุบัติเหตุเสียอีก ไม่คิดว่า...”ชวินพูดน้ำเสียงตะกุกตะกักด้วยความรู้สึกตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ฉันก็คิดเหมือนนายนั่นแหละเชน ทำไม...ทำไมต้องเป็นน้องสาวของฉันด้วย” อังกูรมีน้ำเสียงสั่นเครือ ฟังแล้วสะเทือนใจ
อังกูรทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ใกล้ๆ สีหน้าเศร้าซึมอย่างคนที่หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ชวินจึงเดินออกไปเพื่อหาเครื่องดื่มมาให้ผู้จัดการเผื่อว่าเขาจะผ่อนคลายลงบ้าง
ผู้จัดการหนุ่มเหลือบมองหลังของนายตำรวจและชวินที่เพิ่งเดินออกไป ก่อนจะดึงกระเป๋าเงินออกมาเปิดอ้าอกดูรูปที่อยู่ข้างใน รูปถ่ายครอบครัวที่ดูมีความสุขเหลือเกิน อังกูรดึงรูปใบนั้นออกมา จ้องมองน้องสาวที่ยิ้มหวานให้กล้อง ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มแล้วค่อยๆฉีกกระดาษอัดมันในมือออกทีละน้อย จนรูปถ่ายนั้นขาดออกจากกัน
คนใหม่
ความมืดมิดภายในห้องสี่เหลี่ยมนั้น ทำให้หญิงสาวต้องพยายามปรับดวงตาในการเพ่งมองเสียใหม่ เธออยู่ในชุดนอนกระโปรงสีขาวผูกโบว์น่ารักที่เอวเหมือนในตอนเด็กที่เคยใส่ แต่ตอนนี้เธอแทบไม่ได้แตะชุดน่ารักเหล่านี้ ขาเรียวนั้นค่อยๆก้าวออกไปหาประตู ทว่ากลับมองไม่เห็น ไม่มีทางออก!!
“ช่วยด้วย!ช่วยด้วย” เธอร้องเรียกหาใครสักคน แต่เหมือนทุกอย่างที่เธออ้าปากออกไปกลับกลายเป็นเสียงสะท้อนกลับมา พลันแสงสีขาวกลับสว่างวาบอยู่ที่มุมห้องพร้อมกับร่างของใครบางคน
“แม่! พ่อ” เธอเรียกหาก่อนจะวิ่งเข้าไปกอดทั้งสองคนไว้ “รู้ไหมว่าหนูคิดถึงมากแค่ไหน หนูคิดถึงพ่อกับแม่นะคะ”ศีรณาพยายามที่จะกอดทั้งสองไว้เพื่อให้คลายความรู้สึกเหน็บหนาวแต่ทำไม เธอกลับยิ่งรู้สึกหนาวมากกว่าเดิมจนตัวเริ่มสั่น
“รณา...” เสียงที่เรียกชื่อเธอนั้นดูแผ่วเบาเหลือเกิน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งที่เห็นกลับทำให้เธอผงะออกมาด้วยความตกใจ พ่อกับแม่ของเธอตัวโชกไปด้วยเลือดสีแดงฉาน แม้กระทั่งน้ำตาที่ไหลออกมานั้นก็ยังเป็นสีแดง ศีรณาได้แต่กลั้นก้อนสะอื้นไว้ในอก น้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บปวด
“พ่อ ...แม่ หนูจะช่วย...” เธอบอกได้แค่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาเกาะเกี่ยวขาเธอไว้แน่ เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาน่ากลัวคนหนึ่งดึงขาเธอไว้แน่น
“ปล่อยนะ ปล่อยสิวะ” เธอร้องตะโกนไล่เหมือนอย่างที่ทำทุกครั้ง
“คิดว่าตัวเองดีเลิศว่าคนอื่นหรือไงวะ ทำเชิดใส่กู กูจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเลย” เสียงนั้นเหี้ยมเสียจนเธอตื่นตระหนก พยายามถอยกรูดออกไปจนสุดห้อง หลังชนผนัง ดวงตาเบิกกว้างนั้นหันไปเห็นพ่อกับแม่ที่ยืนมองเธอด้วยสายตาอันเจ็บปวด
“พ่อ ช่วยหนูด้วย แม่ ช่วยหนูด้วย” เธอร้องเรียกสุดเสียงแต่ท่านทั้งสองก็ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่สามารถเข้ามาช่วยเธอได้ สายตาคู่นั้น...สายตาของพวกท่าน...
ศีรณาสะดุ้งเฮือก ผวาลุกขึ้นนั่งบนเตียงหนานุ่ม ความมืดยังคงครอบคลุมอยู่ทั้งห้อง แต่บรรยากาศไม่ได้น่ากลัวเหมือนในฝัน มือบางยกขึ้นแตะแก้มตัวเองรู้สึกได้ถึงร่องรอยของน้ำตาที่อาบแก้มทั้งสอง
นานแล้วที่เธอไม่ได้ฝันร้ายอย่างนี้...ฝันเห็นพ่อแม่ที่เต็มไปด้วยเลือด มันน่ากลัวและปวดใจปะปนกันในความรู้สึก
เธอเลิกผ้าห่มออกหย่อนขาลงจากเตียง เดินไปยังห้องน้ำ เปิดก๊อกอ่างล้างหน้าวักน้ำอุ่นนั้นขึ้นล้างหน้าก่อนจะเงยขึ้นมองตัวเองในกระจก หยดน้ำเกาะพราวเต็มใบหน้าเรียวรูปไข่นั้น ผมสั้นด้านหน้าเปียกลู่ ดวงตาเรียวจ้องมองกระจกแววเข้ม ความขมขื่นมันแสดงออกมาทางสายตาเธออย่างชัดเจน
“ยิ้มสิ...เธอต้องยิ้มให้มัน สู้กับมัน” ศีรณาบอกตัวเองผ่านกระจกบานนั้น
ในวัยสิบเจ็ดหลังจากที่ย้ายมาอยู่กับตาอุ่ม เธอไม่ได้ทิ้งนิสัยเดิมไปเสียทีเดียว ยังคงคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูบ้านหลังใหญ่ ในขณะที่ต้องอยู่ในบ้านไม้หลักเล็กเก่าๆ ของตาอุ่มญาติห่างๆฝ่ายแม่ที่ยินดีรับเธอมาดูแล
เธอดื้อรั้นและเย็นชา ในขณะที่หลานของตาอุ่มต่างมีนิสัยแตกต่างกันจากครอบครัวที่แตกแยก มาลีเป็นเหมือนน้ำเย็นในขณะที่เธอเหมือนกองไฟ
ตาอุ่มสอนเธอเรื่องสังคมและยังทำให้เธอกลายเป็นเด็กสาวที่เริ่มยิ้มได้ มีความสุขกับสิ่งที่มีได้อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างที่ตาอุ่มบอกเธอเสมอ...ยิ้มแม้ว่ามันจะเจ็บปวด ยิ้มแม้ว่าจะมีเรื่องหนักหนาเพียงใด ยิ้มให้กับตัวเอง...เพื่อที่จะได้ยืนหยัดต่อสู้ต่อไปได้
‘สิ่งที่หนูต้องทำต่อจากนี้ไปนะรณา ไม่ใช่การโทษใครคนอื่นที่ทำให้ชีวิตหนูเป็นอย่างนี้ แต่ต้องสู้กับมัน ยิ้มและมีความสุขให้คนที่มันทำร้ายหนู รู้สึกว่าทำอะไรหนูไม่ได้ เข้มแข็ง อย่าอ่อนแอให้มันเห็น’ คำสอนของตาอุ่มยังคงก้องอยู่ในส่วนสำนึกของเธอเสมอ
ใช่...เธอต้องมีความสุข สร้างรอยยิ้มและซ่อนความเจ็บแค้นทุกอย่างไว้ภายใต้ใบหน้านี้ เพื่อให้พวกมันตายใจ...
แสงแดดรำไร ในตอนเช้าทำให้หญิงสาวที่อยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงวอร์มสีเทาเริ่มชะลอฝีเท้าการวิ่ง มือบางดึงหูฟังอันเล็กลงก่อนจะหยุดวิ่งในที่สุด
เธอยกมือขึ้นเสยผมสั้นๆของตัวเองอย่างลวกๆ ดวงตารีเล็กกวาดมองรอบๆ สวนสาธารณะอย่างเคยชิน พยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ร่างสูงเพรียวเลยเกณฑ์มาตรฐานของสาวไทยเพียงนิดหน่อยแต่ดูแข็งแรง ทะมัดทะแมงไม่แพ้ผู้ชายเลยทีเดียว
เธอค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางกลับคอนโดของตัวเอง ระหว่างทางไม่ลืมที่จะหยุดซื้อน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ร้านเจ้าประจำอีกด้วย การใช้ชีวิตง่ายๆ ทำให้เธอรู้สึกดีแม้ว่างานในหน้าที่จะหนักหนาหรือแม้แต่สิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจจะหนักหน่วง มันช่วยให้เธอมองโลกในแง่บวกเพิ่มขึ้น
...อย่างน้อยในกระดาษที่เปรอะหมึกสีดำ มันต้องเหลือพื้นที่สีขาวไว้บ้าง...
“วันนี้เอาเหมือนเดิมนะหมวด” แม่ค้าหันมาถามสีหน้ายิ้มแย้ม หญิงสาวยิ้มตอบ
“ค่ะ แต่อย่าลืมแถมละ” หญิงสาวไม่ลืมทักท้วงจนแม่ค้าหลุดหัวเราะออกมาทันที
“จ้า ไม่ลืมหรอก แถมให้ตั้ง...” พูดทั้งหยิบปาท่องโก๋เพิ่มเข้าไปในถุงให้ “ครึ่งชิ้นแน่ะ”
หมวดสาวย่นจมูก ยื่นเงินพร้อมกับรับถุงของมา พลางแอบบ่นในใจเรื่องของแถมที่น้อยเหลือเกิน เธออุตส่าห์เป็นลูกค้าประจำมาสามปี ตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่คอนโดแห่งนี้
พอกลับขึ้นไปบนห้องได้ก็ต้องอาบน้ำแต่งตัว เตรียมตัวไปทำงานอย่างทุกวัน ระหว่างที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเธอเอื้อมมือไปหยิบหยิบขึ้นมากดรับสาย แม้จะรู้ว่าเป็นงานแต่บางครั้งเธอก็ยังคงตื่นเต้นกับมัน อาจจะแปลกที่เธอกลายเป็นผู้หญิงแบบนี้
“ค่ะ” เธอรับคำเพียงแค่นั้นแล้ว เอื้อมมือไปคว้ากุญแจรถและถุงน้ำเต้าหู้ออกมาจากห้องพักเดินออกไปที่ลิฟท์
ระหว่างที่กำลังยืนรอ มีคนที่เดินเข้ามายืนรออยู่ด้วย ชายหนุ่มร่างสูง รูปร่างเพรียว สวมเสื้อยืดคอวีสีดำ กับกางเกงยีนสีเดียวกัน ดวงตาคมถูกปกปิดด้วยแว่นกันแดดยี่ห้อดัง ผมที่ไม่ได้จัดเป็นทรงนั้นถูกซ่อนไว้ด้วยหมวกแก๊บสีดำ มีตัวอักษรเอฟสีขาวอยู่ตรงกลางใบ
หญิงสาวมองภาพชายหนุ่มข้าง ๆ ผ่านความเงาของประตูลิฟท์ เมื่อประตูเปิดเธอก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็วรอจนชายหนุ่มอีกคนก้าวเข้าไปเรียบร้อย จึงกดปิดประตู
“ชั้นไหนคะ” เธอถามโดยที่ไม่หันไปมองหน้าเขา แม้จะพอรู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่แวะชั้นอื่นแต่เธอก็คงยังอยากถามอยู่ดี
“หนึ่ง” คำตอบสั้นห้วนนั้นไม่ได้ทำให้เธอหันกลับไปมองหน้าเขา หญิงสาวรู้สึกชินกับท่าทีแบบนี้ของชายหนุ่ม แน่นอน เธอรู้จักเขาดีเพียงแต่ไม่แสดงออกว่ารู้จักเท่านั้นเอง...
เสียงเพลงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่ม เขาล้วงมันออกมาจากกระเป๋ากางเกงก่อนกดรับสาย
“กำลังจะลงไปแล้วน่า ตามจริง” น้ำเสียงนั้นหงุดหงิดอยู่ในที
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเชิงแปลกใจหลังจากที่ได้ยินปลายสายตอบกลับมา “เปล่านี่ เมื่อวานเจอที่ห้องอัดแค่นั้น ตอนบ่ายฉันก็ปวดหัวเลยกลับมานอนที่ห้อง” ชายหนุ่มดูไม่ได้ใส่ใจอะไรนักเมื่อกดวางสาย แล้วนำโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กนั้นสอดลงไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม
ระยะเวลาไม่กี่นาทีที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ไม่มีเสียงพูดคุยกันก็จริงทว่าชายหนุ่มที่อยู่ข้างหลังยืนนิ่ง พิงผนังด้านหลัง กอดอกเหมือนรอคอยให้ถึงชั้นล่างโดยเร็ว จนถึงชั้นล่างสุดของคอนโด ประตูลิฟท์เปิดออก เขาก้าวเร็วออกไปยังด้านหน้าของตึกซึ่งมีรถตู้จอดรออยู่แล้ว
ส่วนหญิงสาวก็เดินออกไปที่ลานจอดรถ กดรีโมทเพื่อเปิดประตูรถก้าวขึ้นนั่ง รถของเธอเป็นรถอีโกคาร์ขนาดเล็ก รูปลักษณ์สวยอย่างที่เธอชอบ ที่สำคัญราคาไม่แพงมากนัก หญิงสาวกดเปิดเพลงก่อนจะหมุนพวงมาลัยออกไปจากลานจอดรถของคอนโด มุ่งตรงไปสู่โรงแรมที่เกิดเหตุ
.....
ศีรณาต้องไปทำงานแต่เช้าหลังเกิดเหตุฆาตกรรม ตามหน้าที่ของตำรวจ ใช่...เธอเลือกที่จะเป็นตำรวจ โดยสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตอนเรียนจบมัธยมปลาย เธอเลือกทางสายนี้เหมือนอย่างที่ใครบางคนเคยบอกไว้ แต่คนที่บอกว่าจะเป็นตำรวจกลับหันหลังให้กับสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่น
...ราเชนทร์ไม่ได้เป็นตำรวจอย่างที่เขาเคยบอกเธอ...
ที่เกิดเหตุเป็นห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่ง อยู่ชั้นสี่ห้องด้านในสุด ตำรวจหญิงสาวเท้าเดินตามหัวหน้าเข้าไปอย่างเร่งรีบ กลุ่มที่ไปถึงก่อนคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งเหตุและเจ้าหน้าที่กู้ภัย เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานซึ่งกำลังถ่ายรูปที่เกิดเหตุอย่างละเอียด
“สารวัตรมาแล้วเหรอครับ อ้าว...หมวดศี...มาด้วยกันหรอกเหรอครับ”
ตำรวจหญิงหน้าตึงเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินเรียกชื่อ “ฉันชื่อเล่นรณา ไม่ใช่ศี” เธอแก้ความเข้าใจผิด แม้ว่ามันจะกลายเป็นฉายาของเธอไปแล้วก็ตาม
หมวดศีรณา... กลายเป็น หมวด ‘ศีทนได้’ เพราะเธอทนทุกสภาพศพได้ ไม่เคยปริปากบ่นเลยแม้แต่น้อย เลยกลายเป็นฉายาที่เรียกกันเล่นๆ อย่างคะนองปากของกลุ่มนายตำรวจชายทว่าเธอไม่ได้เคร่งเครียดกับมันเสียจนพาลโกรธพวกที่ล้อเลียนเธอไปเสียหมด มันก็แค่ชื่อนี่นะ...
“เอาน่า หมวด...ผมชอบชื่อนี้” หมวดดุลวัตยังคงไม่ยอมเลิก จนคนเป็นหัวหน้าทำน้ำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ จึงจำต้องหันกลับไปหา
“อย่างที่เห็นครับสารวัตร คนตายเป็นหญิงสาว ชื่อ นันทิดา อายุสิบแปดปี ในกระเป๋าถือมีบัตรประจำตัวประชาชน เงิน บัตรเอทีเอ็ม ทุกอย่างอยู่ครบ สร้อยทองก็ไม่หายไปด้วย”
ศีรณาเดินเข้ามายังด้านข้างของเตียงซึ่งมีร่างไร้วิญญาณของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าเหยื่อ นอนด้วยสภาพเสื้อผ้าครบ
ชุดแซ็คสีชมพูที่เธอสวมใส่เปรอะเปื้อนเลือดสีแดงเข้ม จากบาดแผลที่อยู่หน้าท้อง ดวงตาของหญิงสาวเบิกโพลง เหมือนกำลังจ้องอะไรบางอย่าง รอยแผลเหวอะอยู่ที่บริเวณหน้าท้อง ส่วนที่ใบหน้ามีรอยกรีดซ้ำเป็นกากบาท
ศีรณาก้าวเข้าไปช้า ๆ เหมือนกำลังเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด มือทั้งสองข้างของหญิงสาวแนบลำตัว ตำรวจหญิง ดึงถุงมือยางออกมาจากกระเป๋าพร้อมกับสวมมันอย่างรวดเร็วแล้วเอื้อมมือไปจับมือของศพเพื่อตรวจดูอะไรบางอย่าง เล็บสีชมพูนั้นถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามปลายเล็บหัก ข้อมือมีรอยช้ำโดยรอบ
"คงมีการต่อสู้กันอยู่พอสมควร จากร่องรอยพวกนี้"เธอบอกก่อนจะหันไปมองรอบๆห้องเพื่อมองหาสิ่งที่ผิดปกติ ห้องพักมีทุกอย่างเรียบร้อย เพียงแต่ตามพื้นรอบศพมีรอยเลือดกระเซ็นอยู่ โคมไฟที่หัวเตียงล้มลง กระเป๋าถือที่เปิดอ้าออกเหมือนเจ้าของเพิ่งเปิดหาอะไรบางอย่างก่อนที่จะถูกฆ่า
“พนักงานโรงแรมบอกว่า คนตายเป็นคนเปิดห้องพักเองครับ แล้วก็มาคนเดียวเสียด้วย คนฆ่าจะต้องเป็นคนรู้จักกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เปิดประตูให้” ดุลวัตเล่าที่ได้สอบปากคำพนักงานและพยานรู้เห็น
"ยังบอกอย่างนั้นไม่ได้หรอก" ศีรณาแย้งพร้อมกับมองไปที่ประตูห้อง มีร่องรอยแจกันที่มุมห้องหล่นอยู่ที่พรมดอกไม้พลาสติกกระจายเต็มพื้น
เสียงครืดๆในกระเป๋าถือของคนตายทำให้ศีรณาก้าวเข้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหน้ากระจกซึ่งเป็นที่วางข้าวของ เธอเปิดกระเป๋าถือของคนตายออกค้นหาอะไรบางอย่าง จนเจอโทรศัพท์มือถือที่ตอนนี้หยุดสั่นไปแล้ว
หญิงสาวตรวจเช็กเบอร์ที่โทร.เข้ามาหลายสายนั้นเห็นว่าเป็นเบอร์เดียวกันหมด ทว่าเบอร์ล่าสุดนั้นขึ้นชื่อว่า ‘ที่รัก’ หญิงสาวขมวดคิ้วเพียงเล็กน้อยก่อนจะกดโทร.กลับไปหา เอาเครื่องมือสื่อสารขนาดพอเหมาะนั้นแนบหู จนสัญญาณหยุดกลายเป็นเสียงทุ้มของใครคนหนึ่งตอบรับกลับมา
“รับสักที ทำไมไม่ยอมรับเสียที ห๊ะ...เจี๊ยบ” ปลายสายดูเหมือนตวาดเสียงดังลั่น แม้แต่คนฟังอย่างเธอยังต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างหูโดยเร็ว
ศีรณาหยุดนิ่ง เหลือบมองสารวัตรโกศลที่เดินเข้ามาหาพร้อมกับพยักหน้าบอกให้เธอบอกได้ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะหลับตานิ่งเพียงสองวินาทีระหว่างที่ฝ่ายนั้นรอฟังคำตอบจากเจ้าของโทรศัพท์
“สวัสดีค่ะ...คุณรู้จักเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ใช่ไหมคะ”
“ครับ” ปลายสายเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ “เขาลืมไว้ที่ไหนเหรอครับ”
ศีรณาคิดว่าสิ่งนี้แหละเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในการทำงานของเธอ การบอกญาติของคนตาย ว่าพวกเขาจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว ข่าวร้ายที่ใครก็ไม่อยากได้ยินแม้แต่ตัวเธอเอง
“คือ...ฉันเป็นตำรวจ ชื่อหมวดรณาค่ะ ไม่ทราบคุณเป็นญาติเธอใช่ไหมคะ”เธอแนะนำตัวก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นทางการ
“ครับ ผม...เอ่อ...เป็นเพื่อนพี่ชายเขา” น้ำเสียงนั้นดูไม่มั่นคงเท่าใดนัก
“คือ เกิดเหตุไม่ค่อยดีนักน่ะค่ะ คุณนันทิดาเสียชีวิตแล้ว ส่วนรายละเอียด ฉันไม่อยากเล่าทางโทรศัพท์ อีกหนึ่งชั่วโมง คุณช่วยไปยืนยันตัวตนของคุณนันทิดา...ไปพบเราที่โรงพยาบาลนะคะ” ศีรณาบอกสถานที่และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อก่อนจะวางสายไป แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นคงอึ้งไปแต่จะดีกว่าที่เธอบอกรายละเอียดให้น้อยที่สุด เพื่อให้เขามารับรู้จากปากของสารวัตรอีกครั้ง
“เดี๋ยวผมจะกลับรถของร้อยเวร พวกคุณอยู่ที่นี่สอบปากคำเพิ่มเติม แล้วก็อย่าลืม ดูให้ละเอียด ผมจะคุยกับญาติเธอเอง” สารวัตรโกศลสั่งการ นายตำรวจทั้งสองรับคำเสร็จ จึงหันกลับมาดูศพที่ถูกห่อผ้าขาวหามขึ้นเปลไปอย่างหนักใจ
ทุกครั้งที่เกิดคดีฆาตกรรม ศีรณาจะรู้สึกหนักอก หนักใจทุกครั้งไป ไม่ใช่เพราะความยากง่ายของคดี แต่เพราะ ไม่อยากให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมากกว่า ความสูญเสียใครบ้างที่อยากจะให้มันเกิดขึ้น ไม่มี...เหมือนอย่างที่เธอเคยเจอตั้งแต่วัยเด็ก
พนักงานโรงแรมที่ยืนรอให้ปากคำกับตำรวจทั้งสอง มีสีหน้าซีดเผือด มือกุมกันแน่น เมื่อเห็นศีรณาหันกลับมาหาก็สะดุ้งเล็กน้อย “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วย”
“หนูกลัวตั้งแต่ตอนเจอศพแล้วค่ะ มันน่ากลัว พะอืดพะอมมากเลย”เธอบอกพร้อมกับแสดงอาการอย่างที่บอกจริงๆ
“คนตายเข้าพักในชื่อของตัวเองหรือเปล่าคะ”
“ค่ะ ชื่อเธอเองค่ะ มาตอนเย็น ประมาณหกโมงได้”
“มาคนเดียวหรือมีคนตามมาด้วย” ศีรณายังถามต่อ
“มาคนเดียวค่ะ ขึ้นห้องเธอก็หายไปจนเช้า เธอสั่งให้โทร.ปลุกตอนเจ็ดโมงค่ะ แต่โทร.ไปเท่าไหร่ก็ไม่รับ ฉันเลยขึ้นไปหาเอง แล้วก็เจอ...” หยุดไว้แค่นั้นพร้อมกับยกมือขึ้นปิดปากทำเหมือนจะอาเจียนเสียให้ได้
“ที่นี่มีกล้องวงจรปิดอยู่ใช่ไหม” ดุลวัตหันมาถามบ้าง หญิงสาวพยักหน้ารับ แล้วพาไปที่ห้องจัดการส่วนของอุปกรณ์เทคนิคของโรงแรม ให้เจ้าหน้าที่คัดลอกข้อมูลใส่ฮาร์ดดิสแบบพกพาให้กับตำรวจทั้งสองคน
“ไม่มีพยานรู้เห็น เยี่ยมจริงๆ เลย” ดุลวัตกล่าวลอยๆ หลังจากที่เดินตามศีรณาและพนักงานโรงแรมไปยังลานจอดรถ เพื่อหารถของเหยื่อคดีฆาตกรรม เมื่อไปถึงรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่หรูจนนายตำรวจหนุ่มผิวปากออกมาเบาๆ
“เด็กที่ไหนขับรถแพงขนาดนี้นะ”
“ก็คงเป็นลูกคนมีเงินนั่นแหละ” ศีรณาบอกพร้อมกับเอากุญแจที่ได้จากกระเป๋าของนันทิดาออกมาไข เปิดประตูรถออกมาเพื่อค้นหาสิ่งที่พอจะเป็นเบาะแสได้ สิ่งที่อยู่ในรถคันหรูนั้นกลับไม่ได้ดูดีเหมือนอย่างรถเลยสักนิด รกรุงรังเหมือนไม่ใช่รถของสาวๆ ส่วนใหญ่จะเป็นขยะ แก้วกาแฟที่ดื่มแล้ว กระดาษชำระที่เช็ดรอยลิปสติก แล้วยังมีเศษเหรียญที่อยู่ในคอนโซลอีกด้วย
“เป็นสาวสวยแต่รูป จูบไม่หอมเอาเสียเลยนะเนี่ย” ดุลวัตบ่นกับกองขยะหลังรถนั้นเบาๆ
“อย่านินทาคนตายสิ” ศีรณาหันมาเตือนหมวดหนุ่ม มือยังคงควานดูของในคอนโซลนั้นต่อจนเห็นกระดาษโพสต์อิทสีเหลืองอ่อน มีข้อความเขียนด้วยลายมือหวัดๆ
‘เจี๊ยบ
เรามีเรื่องต้องคุยกันนะ พี่ไม่อยากให้เป็นจุดสนใจ
เจี๊ยบช่วยจองห้องแล้วส่งข้อความบอกพี่ที่เบอร์นี้ด้วยนะ
เชน’
“ใครคือเชน...” เสียงทักนั้นทำให้ศีรณาถึงกับสะดุ้ง เหลือบมองเพื่อนร่วมงานแววเข้ม
“ไม่รู้สิ...” เธอตอบง่ายๆ ก่อนจะหันกลับมาหาเขา “เดี๋ยวให้ฝ่ายจราจรมาลากรถไปที่โรงพักเพื่อตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติม”
“ใช่ เที่ยงแล้ว ควรหาอะไรกินได้แล้วว่าไหมผมหิวจนไส้จะขาดอยู่แล้วเนี่ย”
“นี่หมวดยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอ”
“ยังเลยรีบมาที่เกิดเหตุเลย”
“ที่รถมีน้ำเต้าหู้พอดี ไปสิ” เธอบอกหลังจากเก็บหลักฐานใส่ถุงเรียบร้อยแล้ว
หมวดดุลวัตเดินตามเพื่อนร่วมงานออกมาจนถึงรถคันเล็กของเธอ ตอนเช้าเขาติดรถมาร้อยเวรออกมาที่เกิดเหตุเพื่อความรวดเร็ว พอตอนกลับนายตำรวจหนุ่มจึงขออาศัยติดรถศีรณากลับด้วย
"ผู้ชายสมัยนี้เป็นยังไงนะ ชอบให้ผู้หญิงขับรถ" หญิงสาวบ่น
"หมวดศี ผมจะขับให้หมวดก็ไม่ยอมเองนี่นา" อีกฝ่ายไม่ยอมแพ้เพราะเธอไม่ชอบให้คนอื่นขับรถของเธอ
"เอาเถอะ ดีแล้วที่คุณไม่ขับ กลัวไปถึงโรงพักก็คงหมดเวลางานพอดี”
“โหย ดูถูก” พูดพร้อมกับเปิดประตูขึ้นนั่งข้างคนขับ มือไม้ก็เริ่มหยิบจับซีดีเพลงในคอนโซลด้านหน้าระหว่างที่ศีรณาสตาร์ทรถแล้วขับออกจากลานจอดรถของโรงแรม
“นี่หมวดก็วัยรุ่นเหมือนกันเนอะ ดูสิ ชอบฟังเพลงร็อคกับเค้าด้วย จริงๆ ผมควรพูดว่า หมวดดูไม่เป็นคนที่จะมาซื้อของแบบนี้เท่าไหร่”
“หมายความว่าไง”
“หมวดขี้งกจะตายนี่นา ขนาดจะซื้ออะไรกินจุบจิบ หมวดก็ยังบ่นว่าเปลืองกินข้าวทีเดียวเลย นี่ ซื้อแผ่นเพลงตั้งสองร้อย ที่เห็นในนี้มีตั้งหลายสิบแผ่น นักร้องวงเดียวเสียด้วย แปลก” หมวดดุลวัตทำเสียงจิ๊กจั๊กเหมือนเป็นเรื่องประหลาดเสียเต็มประดา ศีรณาหัวเราะโดยไม่แก้ตัวอะไร
“หรือว่า...จริงๆ แล้วหมวดเป็นแฟนคลับวงนี้ คิดภาพหมวดถือป้ายไฟร้องกรี๊ดๆ ไม่ออกจริง ๆเลย”
“ไม่ใช่หรอก ฉันไม่ได้เป็นทั้งแฟนคลับแล้วก็แฟนเพลง” เธอบอกเสียงเรียบ แม้จะรู้ว่าคนฟังอยากรู้มากแค่ไหนแต่ก็คงไม่ยินยอมที่จะอธิบายต่อแต่อย่างใด ปล่อยให้หมวดหนุ่มเลือกเพลงฟังอย่างสบายใจอย่างนั้น
ดวงตาสวยเหม่อลอยออกไปยังท้องถนนตรงหน้า หวนไปคิดถึงเรื่องเมื่อสิบปีก่อน ฟังดูเหมือนเป็นเวลานานแล้ว กับเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตเธอ แต่สำหรับคนที่สูญเสียอย่างเธอ มันเหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวันวานนี้เอง
เด็กหญิงศีรณานั่งฟังคำตัดสินจำคุกคนร้ายสามคนที่ฆ่าพ่อกับแม่เธอได้ คำสารภาพของพวกเขาคือ ฆ่าเพื่อชิงทรัพย์ ศีรณาไม่เคยเชื่อมันมีเรื่องมากกว่านั้น
‘ไม่จริง!! พวกมันตั้งใจที่จะฆ่าเรา อาอยากได้ที่ดินตรงนั้น’เธอโวยวายหลังจากที่ออกมาจากศาล
‘หนู...ที่ดินแค่ขี้ปะติ๋วนั่น ฉันจะเอาไปทำไม’ เฉลิมผู้เป็นอากล่าวอย่างใจเย็น ใบหน้ายิ้มแย้มดูใจดีนั้นแท้จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันคือ น้ำผึ้งอาบยาพิษ!!
‘รณา...หนูควรไปอยู่กับอานะ จะดิ้นรนขอไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าทำไม พ่อแม่หนูมีเงินมากมายพอที่จะเลี้ยงหนูจนโตได้ อาจะเป็นคนดูแลจัดการให้หมดทุกอย่าง’
‘ไม่! หนูไม่ไป!’ เธอตะโกนใส่หน้าผู้เป็นอาทันที เฉลิมยิ้มแม้จะโดนอะไรก็ตาม
‘หนูจ๊ะ ทำอย่างนี้ไม่ดีเลย เป็นเด็กไม่มีมารยาทนะรู้ไหม’ เจ้าหน้าที่สถานสงเคราะห์บอกน้ำเสียงเหมือนตำหนิ
‘ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะทำเรื่องให้ศีรณามาอยู่กับผมนะครับ ผมเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เธอเหลืออยู่’
‘ไม่มีทาง หนูไม่ไป ไม่ไป ไม่ไป!!’ ศีรณากรีดร้องโวยวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เธอไม่มีทางยอมไปอยู่กับคนใจร้าย ที่เป็นฆาตกรฆ่าพ่อกับแม่เธอเป็นอันขาด...ในวันเกิดเหตุ เธอได้ยินพ่อกับอาทะเลาะกันอย่างรุนแรงเรื่องที่ดินบนเนินเขา หลังจากนั้นครอบครัวเธอก็ถูกไล่ล่า
เพลงที่ยังคงบรรเลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับเสียงของหมวดดุลวัตที่ยังคงเจื้อยแจ้วไม่เปลี่ยน เหมือนความรู้สึกของเธอที่ไม่มีวันเปลี่ยนไป...
โลกนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวินาที ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เปลี่ยนแปลง นาน...กว่าที่เธอจะเรียนรู้ความเปลี่ยนแปลงของมัน เรียนรู้สันดานของมนุษย์ที่ไม่เคยละกิเลส เรียนรู้ว่าเวลาไม่ช่วยให้คนเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ มันเป็นแค่คำกล่าวอ้างอวดตัวเท่านั้นเอง ว่าคนเราเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา...แท้จริงแล้ว ที่คิดว่าเปลี่ยนไป ก็คือ การยอมรับมันได้ต่างหาก
…..
“คุณอังกูรหรือเปล่าครับ” สารวัตรโกศลเอ่ยถามชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องดับจิต เจ้าของชื่อรีบพยักหน้าทันทีดวงหน้าคมนั้นดูซีดๆ เขาหันไปมองชวินที่ยืนอยู่ข้างๆเล็กน้อย
“ผมสารวัตรโกศลครับ ตามผมมาทางนี้ดีกว่าครับ” นายตำรวจแนะนำตัวพร้อมกับเดินนำไปยังอีกด้าน อังกูรหันมาส่งสายตาเป็นคำถามให้กับชวิน นักร้องหนุ่มส่ายหน้า
“พี่เข้าไปเถอะครับ ผมจะรอข้างนอก” อังกูรพยักหน้าเข้าใจแล้วเดินตามนายตำรวจไป
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงอังกูรจึงออกมาพร้อมกับนายตำรวจคนเดิมและหมอที่ชันสูตรศพสีหน้าของอังกูรนั้นซีดเซียวจนชวินต้องลุกขึ้นเดินเข้ามาหา
“คุณอาจจะต้องรอให้ทางคุณหมอชันสูตรศพให้เรียบร้อยเสียก่อนนะครับ ถึงจะรับศพกลับไปทำพิธีกรรมได้”
“ครับ ผมอยากให้คุณตำรวจทำทุกวิถีทาง หาตัวคนร้ายให้ได้”
“หมายความว่าชนแล้วหนีเหรอ” ชวินแทรกถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“เปล่าครับ ไม่ใช่อุบัติเหตุนะครับ คุณนันทิดาถูกฆาตกรรม ทิ้งศพไว้ในโรงแรม พวกคุณไม่รู้เลยเหรอครับว่า เธอไปที่นั่นทำไม” คำถามของสารวัตรทำให้ชวินถึงกับตัวชา
“โรงแรม?” เขาถามกลับเหมือนย้ำ ทั้งตัวเขาเองและนายตำรวจ
“ครับ ในโรงแรม เธอถูกแทงหลายแผล ใบหน้าถูกกรีดเป็นรูปกากบาท เหมือนพวกฆาตกรโรคจิต” ถ้อยคำที่อธิบายนั้นกลับทำให้อังกูรถึงกับหลับตาแน่น พยายามข่มความรู้สึกเจ็บปวดของตัวเองไว้
“ผมนึกว่า...เจี๊ยบเกิดอุบัติเหตุเสียอีก ไม่คิดว่า...”ชวินพูดน้ำเสียงตะกุกตะกักด้วยความรู้สึกตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ฉันก็คิดเหมือนนายนั่นแหละเชน ทำไม...ทำไมต้องเป็นน้องสาวของฉันด้วย” อังกูรมีน้ำเสียงสั่นเครือ ฟังแล้วสะเทือนใจ
อังกูรทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ใกล้ๆ สีหน้าเศร้าซึมอย่างคนที่หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ชวินจึงเดินออกไปเพื่อหาเครื่องดื่มมาให้ผู้จัดการเผื่อว่าเขาจะผ่อนคลายลงบ้าง
ผู้จัดการหนุ่มเหลือบมองหลังของนายตำรวจและชวินที่เพิ่งเดินออกไป ก่อนจะดึงกระเป๋าเงินออกมาเปิดอ้าอกดูรูปที่อยู่ข้างใน รูปถ่ายครอบครัวที่ดูมีความสุขเหลือเกิน อังกูรดึงรูปใบนั้นออกมา จ้องมองน้องสาวที่ยิ้มหวานให้กล้อง ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มแล้วค่อยๆฉีกกระดาษอัดมันในมือออกทีละน้อย จนรูปถ่ายนั้นขาดออกจากกัน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ต.ค. 2556, 19:28:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ธ.ค. 2556, 23:53:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 2490
<< บทนำ(แก้ไข) | บทที่ ๒ หลักฐาน(แก้ไข) >> |

วิรัตต์ยา 22 ต.ค. 2556, 20:56:46 น.
เปิดเรื่องใหม่แล้วววววว เย้
เปิดเรื่องใหม่แล้วววววว เย้

ปิศาจสัญจร 23 ต.ค. 2556, 03:45:35 น.
^-^
^-^

Pat 23 ต.ค. 2556, 05:35:41 น.
สงสัยอังกูรจัง
สงสัยอังกูรจัง

nutcha 29 ต.ค. 2556, 21:30:44 น.
พี่ชายพฤติกรรมน่าสงสัย
พี่ชายพฤติกรรมน่าสงสัย
