Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้

นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 22 : อูยูรู เบส วอล์ก(2)



ยิ่งเดินนานแดดก็ยิ่งร้อนเอาเรื่อง เม็ดเหงื่อบนหน้าผากของทั้งคู่ผุดและไหลย้อยลงไปถึงคอ ซง-ควูที่เดินนำหน้าหยุดพักรอที่สถานีพักย่อยหลังเดินกันมาซัก 3 กิโลเมตรกว่าเห็นจะได้ เด็กหนุ่มเกาหลีรอจนกว่ากลุ่มที่เดินตามหลังจะมาถึงและพักจนหายเหนื่อยถึงออกเดินต่อ

การเดินต่อไปจนสุดทางเดินช่วงนี้อีกเกือบ 3 กิโลเมตร ไกลพอที่พีรพงษ์จะเล่าเรื่องของตัวเองให้นิชิเอะฟังจนจบ

หลังหยุดกินอาหารเที่ยงกันที่จุดพักตรงปลายช่วงเบส วอล์กฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งถ้ามองจากบนท้องฟ้าก็คือส่วนปลายแหลมของก้อนหินแอร์เยอร์ นักท่องเที่ยวจำนวนมากแวะพักกันตรงนี้ คงเพราะอากาศที่ร้อนจัดของตอนกลางวันได้เผาพลาญพลังงานของทุกคนไปมาก

สี่หนุ่มสาวจากญี่ปุ่นเปิดกระป๋องน้ำอัดลมดื่มกันอึกๆ ทากะกับยูมิสมกับเป็นพวกชอบกิจกรรมกลางแจ้งเพราะยังดูแข็งแรงดี ซง-ควูก็ยังดูปกติ ก็คงมีพีรพงษ์กับนิชิเอะแค่สองคนที่ดูอ่อนล้ากว่าคนอื่น

ชายหนุ่มจากเมืองไทยยกขวดน้ำขึ้นดื่ม เอาบางส่วนชุบผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดตามใบหน้า มันคืนความสดชื่นกลับมาพอดู เขาเอาหมวกแก็ปเปียกชื้นที่สวมเดินมาตลอดทางวางตากแดดร้อนกว่าสามสิบหกองศาเซลเซียส ขอบหมวกด้านที่สัมผัสหน้าผากแห้งพอดีตอนที่จะออกเดินกันต่อ นิชิเอะกอดเข่าฟังเพลงจากเครื่องเล่นพกพาขนาดเล็กจิ๋ว เธอฮัมเพลงเบาๆ

“ไปเถอะนิชิอะ” ทากะตบไหล่เพื่อนสาวเบาๆ ยูมิกับซง-ควูยืนจัดแต่งเสื้อผ้าและเก็บของใส่กระเป๋า พีรพงษ์ตบหมวกกับต้นขาจนฝุ่นที่ติดอยู่มันฟุ้งขึ้นมาก่อนเอาหมวกสวมเข้าที่
“ไหวหรือเปล่า?” ชายหนุ่มถามเพื่อนคนใหม่-เด็กสาวชาวญี่ปุ่น
....................

การเดินช่วงหลังของเส้นทางรอบก้อนหินแอร์เยอร์ค่อนข้างง่ายกว่า ถนนเรียบสลับต้นไม้และพุ่มไม้ครึ้มเงาก้อนหินที่เหมือนยักษ์ยืนบังแดดให้ เมื่อเดินสบายขึ้น สีหน้าของพีรพงษ์ที่ซีดพอๆ กับนิชิเอะตอนก่อนหน้านี้ก็ดูผ่อนคลายกว่า

นิชิเอะเล่าเรื่องของเธอบ้างระหว่างเริ่มเดินเท้าบนเส้นทางอูยูรู เบส ฝั่งใต้ที่ยาวซักสี่กิโลเมตร

เธอโตมากับชีวิตเรียบง่าย ครอบครัวที่มีพ่อ แม่ ย่ากับน้องชายอีกหนึ่งในตำบลมิชิมะมินามิ จังหวัดชิโกกุโจว เมืองท่าเรือขนาดไม่ใหญ่นักบนเกาะชิโกกุ เกาะที่นิชิเอะอธิบายว่าเป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่องโปรดของเธอและของพีรพงษ์ด้วย

นิชิเอะเพิ่งขึ้นชั้น ม.ต้นตอนที่เธอเล่นเป็นเด็กนักเรียนในซีรี่ย์ทางทีวีปี 2004 ตอนที่เธอเล่าว่าเล่นเป็นเด็กนักเรียนในฉากสำคัญแต่มีบทแค่เดินผ่านไปผ่านมา เรื่องนี้ทำเอาชายหนุ่มหัวเราะลั่นจนเด็กสาวหน้าเง้า เธอเล่าว่าอีกหลายปีเธอถึงได้อ่านนิยายเรื่องนี้จริงๆ จากนั้นก็เที่ยวเอาแต่ไปตามที่ต่างๆ ในเรื่องจนทั่วทุกที่ ทั้งจังหวัดคากาวะ จังหวะคิตะ จังหวัดเอฮิเมะ แล้วเธอก็ไล่ชื่อเมืองต่างๆ เอจิ มูเระ ซานุกิ โคนัน และอีกหลายเมืองที่เป็นโลเคชั่นในละครเธอเล่าว่าไปขึ้นภูเขาชิโระยาม่าเพื่อดูดอกไฮเดรนเยียบาน “มันไม่ใช่ภูเขาจริงๆ หรอก มันคือปราสาท” ไปดูคันเขื่อนกันคลื่นที่อาจิ-โช ริมทะเลของเมืองเอจิ นั่งชิงช้าเงียบๆ บนลานของศาลเจ้าที่มองเห็นวิวเมืองอาซิ ครั้นพอถามถึงเกาะที่พวกซัคคุงกับอากิไปว่ามีจริงๆ ใช่ไหม? นิชิเอะก็บอกว่ามีจริงแถมยังไปมาแล้วด้วย

“เกาะยูเมะ เหมือนในนิยายเลยล่ะ” เธอบอก
“มันคงจะดีนะ ถ้าวันหนึ่งคุณได้ไปที่ชิโกกุ... เหมือนได้มาที่นี่บ้าง” เธอออกความเห็น
“นั่นสินะ” พีรพงษ์ตอบ
เด็กสาวชาวญี่ปุ่นล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์ หยิบขวดวัคซีนเล็กๆ ยื่นให้คนเดินคู่กัน
“อ๊ะ... นี่! ฉันให้?” เธอว่า
“อะไร?”
“ทรายของอูยูรู ฉันแอบเก็บทรายของอูยูรูใส่ขวดกลับไปด้วย”

พีรพงษ์ยกขวดแก้วเล็กๆ นั่นขึ้น เม็ดดินเม็ดทรายและฝุ่นสีแดงจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวอะบอริจิ้นถูกผนึกไว้ในนั้น

“แล้วของเธอ?” เขาถาม
“ไม่เป็นไร ฉันมีเก็บไว้ในนี้แล้ว” นิชิเอะตอบพร้อมจิ้มที่หน้าอกตัวเอง
“ไม่ดีมั้ง? เธอตั้งใจจะเก็บมันไปจริงๆ นี่นา”
“งั้น...” เด็กสาวหยุดฝีเท้าและคิดชั่วครู่
“งั้นขอแลกกับหนังสือเล่มนั้นได้มั้ย หนังสือเซคคาชูฉบับภาษาไทยของคุณ”
“โอเค แบบนั้นค่อยเท่าเทียมกันหน่อย” พีรพงษ์ยิ้ม หยิบกระเป๋าบนหลังและเอาหนังสือส่งให้

เมื่อผ่านเส้นทางช่วงที่เหลือทั้งสามช่วง ช่วงอูยูรู เบส วอล์กฝั่งใต้ไปจบที่คูนิย่า คาร์ปาร์ค สองสาวเปลี่ยนไปเดินประกบคู่กันระหว่างทางเดินไปและกลับในหลืบภูเขาที่เข้าไปยังมูติจูลู วอเตอร์โฮล ซง-ควูยังคงเดินลิ่วๆ ไปถึงก่อนใคร ส่วนทากะเดินคุยกับพีรพงษ์เรื่องปาร์ตี้คืนนี้ที่ชายหนุ่มต้องออกตัวว่าไม่สามารถไปได้เพราะยังรู้สึกไม่ค่อยสบายดีเท่าไหร่

เมื่อถึงตอนเดินกลับบนเส้นลองกาตาจากลานจอดรถจุดคูนิย่าไปมาลาพ้อยท์นั้นก็กินเวลาไม่นานนัก ทุกคนตกลงกันว่าจะไม่อยู่รอให้พระอาทิตย์ตกแม้จะใกล้มืดเข้าไปทุกที เมื่อกลับถึงรถที่จอดอยู่ก็เลยเดินทางกลับยังยูลาร่าทันที แต่ถึงจะไม่ได้ปักหลักชมพระอาทิตย์ตกแบบจริงจัง การได้มองทิวทัศน์ตอนเย็นย่ำของดินแดนแถบนี้ก็สวยงามประทับใจเหมือนกัน

พีรพงษ์ยกมือถือขึ้นถ่ายภาพอูยูรูในแสงตะวันที่คล้อยต่ำ เขาบันทึกมันไว้เพื่อส่งให้จูนได้ดูตามที่สัญญา
....................

ตอนที่กลับถึงที่พัก พีรพงษ์พบว่าไมค์กับภรรยาเพิ่งเสร็จจากการเตรียมมื้อเย็นสำหรับแขกที่เพิ่งเข้าพักใหม่ ส่วนหนุ่มๆ จากดาร์วินออกเดินทางไปเมื่อตอนกลางวัน ห้องพักรวมแบบสี่เตียงเมื่อคืนยังมีคนอยู่ครบ ตอนนี้เหลือแค่ชายหนุ่มจากเมืองไทยคนเดียว

หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย พีรพงษ์ยกน้ำในขวดขึ้นดื่มหลังจากกรอกยาเข้าปาก จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เสียงเพลงคันทรี่จากบาร์ดังแว่วพอได้ยิน อาการล้าจากการที่นานๆ จะเดินเยอะแบบที่เพิ่งเดินไปทั้งวันทำเอากล้ามเนื้อขาตึงแข็ง พอแผ่ตัวบนเตียงได้ไม่นานนักเขาก็หลับไป เป็นการหลับลึกแบบที่ไม่ค่อยหลับเช่นนั้น

เวลาดูจะผ่านไปนานจนเพียงพอต่อการฟื้นสภาพร่างกาย ตอนที่เขาตื่นขึ้นมาความสว่างที่ม่านหน้าต่างบ่งบอกว่ามันเป็นวันใหม่

“หลับสบายหรือเปล่า?” สาวใหญ่เจ้าของที่พักเอ่ยถามเมื่อเขาเดินผ่านไปตรงหน้าห้องครัว
ชายหนุ่มหัวเราะแหะๆ “ดูเหมือนผมจะนอนเอาเป็นเอาตาย”
“หิวไหม? เมื่อวานไม่ได้กินอาหารเย็นนี่” เธอถาม
“ครับ”
“ผมขอสปาเก็ตตี้หมูบดกับขนมปังปิ้งแล้วก็กาแฟนะครับ” พีรพงษ์เอ่ยขอ แล้วก็เดินไปนั่งรอที่โต๊ะในบาร์ มองดูผู้คนใช้ชีวิตกันในวันใหม่

ราวยี่สิบนาที อาหารและเครื่องดื่มที่สั่งก็ถูกยกมาเสิร์ฟ สปาเก็ตตี้ในซอสมะเขือเทศชุ่มๆ โชยกลื่นและควันชวนเชิญ เสียงท้องร้องเตือนว่าถึงเวลาเอาใจใส่ที่ว่างในกระเพาะทำให้ชายหนุ่มไม่รอช้า ตอนที่เขาทานอาหารมื้อสายนั้นเกลี้ยงจาน ไมค์ก็กลับจากเอาเอกสารไปส่งที่ศูนย์อำนวยการเมือง

“คิดว่าเธอคงต้องการเจ้านี่นะพ่อหนุ่ม” ไมค์พูดพร้อมวางกระดาษแผ่นพับแผ่นหนึ่งบนโต๊ะ
“ดิ ออสเตเลี่ยน อินดิจินัส” ชายหนุ่มหยิบแผ่นพับมาอ่านเบาๆ
“มันมีโพรเวิร์บอะบอริจินัลด้วยนะ อยู่ข้างในน่ะ” ไมค์ว่า

พีรพงษ์ไม่แน่ใจนักว่าคำว่าโพรเวิร์บแปลว่าอะไร คิดว่าเกี่ยวอะไรสักอย่างกับชาวอะบอริจิ้น พอเปิดไปดูก็เข้าใจว่ามันมีประโยคของชาวท้องถิ่นหรือเป็นสุภาษิตอะไรทำนองนั้น

“We are all visitors to this time, this place. We are just passing through. Our purpose here is to observe, to learn, to grow, to love... and then we return home” พีรพงษ์อ่านข้อความที่ปรากฏก่อนร้องออกมาเมื่อเขาแปลความหมายให้ตัวเองเข้าใจ
“เฮ้... ประโยคนี้ไงล่ะที่ผมฝันว่าเขาพูดกับผมล่ะ” พีรพงษ์เสียงลั่น
ไมค์ชะโงกหน้าขึ้นจากใต้เคาท์เตอร์ มองมาที่ชายหนุ่มอย่างประหลาดใจ
“นี่ๆ ประโยคนี้ด้วย”
“Those who lose dreaming are lost”
“แต่ผมไม่เข้าใจความหมายของมัน” พีรพงษ์พยายามบอกเจ้าของที่พัก สายตาที่มองไปยังชายผู้นั้นเหมือนจะขอรับความช่วยเหลือถ้าอีกฝ่ายช่วยได้
“ผมไม่รู้จะช่วยยังไงนะ... แต่เธอคงต้องทำความเข้าใจกับคำว่าดรีมมิ่งซะก่อน เพราะมันไม่ได้หมายถึงการฝันแต่หมายถึงบางสิ่งบางอย่างที่เธอฝันถึง” ไมค์ให้ความเห็น
“อย่างนั้นเหรอ?” หนุ่มไทยถอนหายใจ

เมื่อลุกจากโต๊ะอาหาร พีรพงษ์เปิดอินเตอร์เน็ตและค้นหาคำว่าดรีมมิ่งในแบบของชาวอะบอริจิ้น เขารู้คร่าวๆ จากเนื้อหาในหนังสือที่เคียวอิจิผู้แต่งเอ่ยถึงไว้ว่า หมายถึงบรรพบุรุษตามความเชื่อของชาวพื้นถิ่น พอเปิดดูจากอินเตอร์เน็ตมันก็แปลความถึงตัวตนของคนแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มที่แสดงออกในรูปของชีวิตบางอย่าง บางกลุ่มถือจิงโจ้เป็นดรีมมิ่งของพวกเขา แล้วพวกเขาก็จะเป็นภาพจิงโจ้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวการดำเนินชีวิต บางกลุ่มเป็นวาลาบี บางกลุ่มเป็นจระเข้ และบางกลุ่มเป็นไม้ซีดาร์ กระบองเพชรหรือแม้แต่ดอกหญ้าปลายฤดูฝน

“งั้นเกมก็คือดรีมมิ่งของผมสินะ?” ชายหนุ่มนึกคำถามถามตัวเอง
“ถ้าสูญเสียเกมก็คือการสูญเสียตัวตนของตัวเองไปอย่างนั้นเหรอ?” เขายังคงนึกสงสัย
....................

ตอนที่พีรพงษ์สนทนาผ่านอินเตอร์เน็ตกับจูน เขาไม่ได้เล่าให้เธอฟังว่าฝันอะไรอย่างไร นอกจากส่งรูปภาพที่ถ่ายไว้ตอนกลับจากอูยูรูเมื่อวานให้เธอดู เธอว่าสวยจนอยากไปบ้างซักครั้ง หญิงสาวถามเขากลับมาถึงสภาพอากาศ ผู้คน อาหารแต่ละมื้อที่เขาทาน แล้วก็ยังถามเรื่องยาของคุณหมอว่ายังมีให้ทานอยู่หรือเปล่า โดยไม่ลืมที่จะเตือนว่าเขาเป็นคนป่วย

ในขณะที่สนทนากันนั้น ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะเช็คเมล์อีกครั้ง อาจจะเพราะตั้งความหวังเอาไว้ ดังนั้นเขาเลยได้รับความเจ็บปวดตอบแทนเมื่อพบว่าไม่มีเมล์ของเกมตอบกลับมาเช่นเคย ความหวังสุดท้ายที่เหลืออยู่จึงมีเพียงการโทรศัพท์หาเท่านั้น แต่บางทีเกมก็อาจจะไม่ยอมรับสายของเขาก็ได้—พีรพงษ์คิดแง่ลบให้กับตัวเอง



นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ต.ค. 2556, 20:56:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ต.ค. 2556, 20:56:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1023





<< อูยูรู เบส วอล์ก(1)   บทที่ 23 : อูยูรู เบส วอล์ก(3) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account