เพียงใจเจ้าเอย
หัวใจพี่ไม่อาจมอบให้ใครอื่นได้ เพราะเจ้าจับจองมันไว้ทั้งดวงแล้ว

พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
Tags: รักโรแมนติก,เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ ๒.๒ - 100%

ว่าจะลงอาทิตย์หน้า แต่เขียนได้เร็วเลยเอามาลงให้ครบร้อยเลยค่ะ ^^

----------------------------------------------------------------------------------------


อากาศยามเช้าในสิขเรศค่อนข้างเย็นเป็นปกติ กระนั้นเจ้าชายจากต่างแคว้นก็ยังไม่เคยชินแม้จะมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนแล้วก็ตาม เจ้าฟ้าชายชลธิศธราดลขยับผ้าโพกพระเศียรให้ต่ำลงเล็กน้อยเพื่อจะได้ปกปิดพระกรรณที่บัดนี้แทบจะชาเพราะความหนาวไปแล้ว ข้างๆกันนั้นเป็นอาชาทรงสีน้ำตาล กล้ามเนื้อหนั่นแน่นดูแข็งแรงแต่งจากจากอาชาของคิมหันต์นครที่เจ้าหลวงทิศวัตพระทัยดีให้หยิบยืม

‘ม้าของเจ้าคงไม่ชินกับภูเขาแถวนี้ ลุงจะให้ยืมเจ้าหนึ่งไปก่อนก็แล้วกัน ตัวนี้ตัวโปรดของหญิงวดี เขาหวงของเขานักละ ไม่รู้ทำไมถึงใจดีให้เจ้ายืมได้’

‘คนใจดี’ ยืนแย้มสรวลอยู่ตรงเบื้องพักตร์นี้เอง ดวงเนตรกลมโตพราวระยับบอกชัดว่าตื่นเต้นเพียงใดกับการได้ ‘เที่ยว’ ในวันนี้

“พี่หญิงไม่ได้มาด้วยหรอกเพคะ”

ถ้อยรับสั่งละม้ายเดาพระทัยพระองค์เสร็จสรรพแล้วว่าทรงรอใคร

“ทรงรู้ใจหม่อมฉันหรือ”

“โธ่ แค่เห็นพักตร์ หม่อมฉันก็รู้แล้ว!” ท้ายประโยค ลากพระสุรเสียงแหลมสูงจนนมผ่องอดไม่ได้ตีเผียะเบาๆบนพระพาหา

“ไม่งามเพคะ”

ฟ้าหญิงอุษาวดีค้อนพระพี่เลี้ยงอย่างแสนงอน หันไปหาม้าตัวโปรดบ่นพึมพำกับมันราวกับพูดกันรู้เรื่อง ฟ้าชายชลหันไปสบตานมผ่องแล้วอดแย้มโอษฐ์ด้วยความขบขันกึ่งเอ็นดูไม่ได้

“รับสั่งกับมันรู้เรื่องด้วย?”

“ไม่รุ” เจ้าตัวตรัสตอบหน้าตาเฉย แล้วแย้มสรวลเสียงดังก้อง หากพอรู้องค์ก็รีบหุบพระโอษฐ์ทันควัน เพราะรู้ดีว่าต้องโดนนมผ่องตำหนิ “หม่อมฉันคุยกับมันแค่ตอนที่มีเรื่องบ่นเท่านั้นแหละ ไม่รู้ว่ามันรู้เรื่องรึเปล่า แต่หม่อมฉันคุบกับมันแล้วสบายใจเพคะ”

ตรัสพลางเหลียวซ้ายแลขวา เห็นพลเอกวิษศุเวศกำลังเอ่ยอะไรบางอย่างกับเหล่าทหารจึงพาร่างป้อมขององค์เองวิ่งถลาไปหา ยื้อยุดมือเขาไว้แล้วรับสั่งถามเสียงใส

“จะไปกันรึยังคะท่านลุงวิศ”

นายทหารอาวุโสหันมามอง ยิ้มบางๆในหน้าพร้อมกับทรุดกายลงนั่งยองๆ แล้วทูลถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“ทรงแน่พระทัยนะพ่ะย่ะค่ะว่าอยากไปจริงๆ ไม่ใช่ไปครึ่งทางแล้วรบเร้าจะกลับ...” ยังพูดไม่ทันจบ วรองค์เล็กก็พยักพักตร์ยืนยันแน่วแน่

“จริงซิคะ วดีอยากไป อยากไปมาก” กลัวอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้ไป เจ้าตัวจึงลากเสียงคำว่ามากยาวจนพลเอกวิษศุเวศต้องยกมือห้าม

“กระหม่อมเชื่อแล้วว่าทรงอยากไปจริงๆ แต่ว่า...” ว่าพลางหันซ้ายขวา สำรวจเหล่าผู้ติดตามของตนเอง “จะเสด็จฯไปกับกระหม่อมหรือ...”

อีกครั้งที่ฟ้าหญิงอุษาวดีทะลุขึ้นมากลางปล้อง สุรเสียงสดใสก้องกังวาน หนักแน่นชัดเจน บอกชัดว่าไม่เปลี่ยนพระทัยแน่

“ไปกับเจ้าหนึ่งค่ะ!”

คนฟังเหลือบมองฟ้าชายชลอย่างเกรงใจ ไม่อยากให้ทรงเดือดร้อน แต่จะขัดพระทัยฟ้าหญิงของตนเองก็ใช่ที่ สีหน้าของเขาจึงพิทักพิท่วนอย่างน่าสงสาร

เห็นดังนั้นฟ้าชาลก็พระทัยดีมากพอที่จะสาวพระบาทเข้ามาหา อุ้มวรองค์เล็กไว้ในอ้อมพระกรและตรัสว่า

“นั่งไปด้วยกันสองคนสนุกดี จริงไหมหญิงวดี”

เห็นท่าทางเต็มอกเต็มใจเช่นนั้น พลเอกวิษศุเวศก็เบาใจไปเปลาะหนึ่ง ส่งยิ้มขอบคุณให้กับพระองค์ ก่อนจะหันไปสั่งความกับนทหารคนสนิทต่อ

ฝ่ายฟ้าหญิงอุษาวดีซึ่งถูกฟ้าชายเก้งก้างอุ้มอย่างถือวิสาสะถึงกับพระพักตร์มุ่ย หรี่พระเนตรจับจ้องพระพักตร์ผอมยาวอย่างไม่พอพระทัย ถ้อยรับสั่งจึงเปลี่ยนไปเป็นเรากับตัวเหมือนทุกครั้งที่ทรงมีน้ำโห

“ปล่อยเรานะ เราไม่ใช่เด็กๆแล้วที่จะให้ใครอุ้มไปทางนู้นทีทางนี้ที”

คนฟังเลิกพระขนง กวาดพระเนตรตั้งแต่พระเศียรจรดพระบาทแล้วตรัสถามราวกับล้อเลียน

“แน่ใจหรือว่าโตแล้ว?”

“โตไม่เท่าตัว แต่ก็โตเท่าเอวพี่หญิงแล้วล่ะน่า อีกหน่อยก็เท่าบ่า”

ตรัสอย่างมั่นพระทัยเต็มเปี่ยมจนคนอุ้มอดพระสรวลเบาๆไม่ได้ เมื่อเดินมาประทับยืนข้างเจ้าหนึ่งจึงวางอวรองค์เล็กลงบนอาชาตัวโปรด แล้วตรัสถามกึ่งเล่นกึ่งจริงว่า

“แล้วจะสวยเท่าพี่หญิงหรือเปล่า”

คนถูกถามนิ่งงันไป ท่าทางทรงกำลังดำริอย่างจริงๆจังๆ กระทั่งฟ้าชายเก้งก้างกระโดดขึ้นมาซ้อนทางเบื้องพระปฤษฎางค์นั่นละ จึงเอี้ยวองค์ไปตรัสตอบ

“ไม่รุ เอาไว้เราตัวเท่าพี่หญิงเมื่อไหร่ ตัวค่อยมาดูเองละกัน!”



ก่อนออกเดินทาง พลเอกวิษศุเวศจัดขบวนให้ฟ้าชายชลประทับอยู่ตรงกลางมีทหารราชองครักษ์รายรอบ ส่วนตัวเองนั้นอยู่หน้าสุดเป็นผู้นำทาง ฟ้าหญิงอุษาวดีดูจะตื่นเต้นกับการได้เที่ยวครั้งนี้มากจึงประทับนั่งไม่อยู่สุข เหลียวซ้ายบ้าง ขวาบ้าง บางครั้งยังพยายามหมุนองค์เพื่อทอดเนตรเหล่าทหารที่ตามมาเป็นพรวนจนแทบจะตกจากหลังเจ้าหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ยังดีที่อ้อมพระกรของฟ้าชายชลว่องไวพอที่จะรับวรองค์เล็กป้อมไว้ได้ นี่ถ้านมผ่องตามมาด้วยคงกรีดร้องเสียงแหลมอย่างตกอกตกใจเป็นแน่แท้ ทว่าเมื่อเป็นฟ้าชายจากต่างแคว้นจึงทรงได้รับเพียงแค่คำตำหนิ

“ประทับเฉยๆบ้างไม่ได้หรือ”

“ก็มาเที่ยว จะให้ประทับเฉยๆ มันก็ไม่ ‘หนุก’ ซิ”

“ทรง ‘หนุก’ อยู่คนเดียว แต่หม่อมฉันจะแย่เอา”

คนตัวเล็กยังไม่วายดื้อดึง ขยับยุกยิกจนพระองค์ชักจะกลัวอีกฝ่ายตกจากหลังม้าจนเจ็บเนื้อเจ็บตัวอย่างจริงๆจังๆ จึงปล่อยพระหัตถ์จากบังเหียน หยิบลูกธนูออกจากฝักที่สะพายอยู่แล้วยื่นให้อีกฝ่ายเชยชม

“ลูกธนูของคิมหันต์นคร สวยไหม?”

เจ้าตัวยุ่งหยุดทำตัวยุ่งทันควัน สองพระเนตรเหลือบมองก้านธนูสีดำทำจากไม้เนื้อดีถูกขัดจนมันวับ หัวลูกธนูสีเงินแหลมคมและส่องประกายเมื่อแสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบ ส่วนของปีกลูกธนูมีสีน้ำเงินเหลือบเทา อะไรก็ไม่สะดุดเนตรเท่าสัญลักษณ์ที่สลักไว้ตรงปลายด้ามธนู เป็นรูปเรือสำเภาและดาบโค้งซ้อนทับกันอยู่ ฟ้าหญิงอุษาวดีรับมาถือไว้แล้วเพ่งดูอย่างสนพระทัย

“สัญลักษณ์ของคิมหันต์นคร เราเป็นเมืองติดชายทะเล ทำการค้าทางเรือกับแคว้นต่างๆมาหลายชั่วคน ส่วนดาบนั่นสื่อความหมายว่าเมื่อถึงยามรบ เหล่านักรบของคิมหันต์นครก็เก่งกาจไม่แพ้แคว้นอื่นๆเหมือนกัน”

คำอธิบายยืดยาวทำให้ฟ้าหญิงอุษาวดีนิ่งฟังอย่างตั้งพระทัย พระขนงบางเลิกขึ้นแล้วขมวดเข้าหากัน ก่อนผู้เป็นเจ้าของจะตั้งคำถาม

“แล้วนักรบของตัวกับของเรา ใครเก่งกว่ากัน?”

เจ้าตัวดูจะชินเสียแล้วกับการใช้สรรพนามเช่นนี้ระหว่างกัน ฟ้าชายชลเองก็ไม่ถือ ยินดีเป็น ‘เพื่อนตัวโต’ ของเจ้าจองยุ่งอย่างเต็มพระทัย

“ไม่รู้ซิ ยังไม่เคยสู้กันนี่”

“แล้วตัวมาเรียนถึงนี่ ไม่คิดจะลองสู้กันมั่งเหรอ”

“เราไม่ชอบสู้กับใครโดยไม่จำเป็น”

“พิโธ่! ที่แท้ก็ขี้ขลาด!” คนที่กำลังจะยอมเป็นเพื่อนชักเดือดปุดๆ นึกอยากหาอะไรสักอย่างมาอุดพระโอษฐ์แดงสดเต็มอิ่มนั้นเสียจริง หากก็มีพระชนมายุมากพอที่จะอดทนอดกลั้นต่อโทสะในพระทัยได้บ้าง ถ้อยรับสั่งของพระองค์จึงยังนุ่มนวลเช่นเดิม

“เราไม่ได้ขี้ขลาด เมื่อถึงเวลาต้องสู้ เราก็สู้ยิบตาเหมือนกัน”

“จริง?”

ทรงไม่สนพระทัยกับสุรเสียงแหลมสูงที่แสดงความไม่เชื่อถือนั้น และใช้ความเงียบเป็นคำตอบ พรอ้มกับกระตุกบังเหียนสั่งให้เจ้าหนึ่งวิ่งตามเหล่าทหารที่นำล่วงหน้าไปไกลพอควร

บทสนทนาสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้นเมื่อพลเอกวิษศุเวศส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนเงียบและระวังตัว แว่วเสียงกู่ร้องของชะนีดังมาจากป่าลึกทางด้านหน้า เจ้าชายจากต่างแคว้นรีบดึงคันธนูออกทางพระเศียร ฉวยลูกธนูในพระหัตถ์เล็กป้อมมาถือไว้ในท่าเตรียมพร้อม แต่เพราะมีคนตัวเล็กอยู่ข้างหน้า การจะขึ้นคันธนูจึงติดๆขัดๆจนต้องครางในพระศออย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

“อย่ามาทำเป็นรำคาญเราหน่อยเลย นี่ถ้าเป็นพี่หญิง ตัวคงไม่ทำเสียงอย่างนี้หรอก”

ได้ยินเช่นนั้น คนจะโกรธกลับสรวลออกมาเบาๆเสียอย่างนั้น

“แล้วรู้หรือว่าเราจะทำเสียงยังไง”

“อืม...” ทรงยักหัตถ์มาเคาะตรงปลายคาง ทำท่าทางครุ่นคิด เพียงครู่เดียวก็ยังพระอังสา ตรีสตอบด้วยถ้อยรับสั่งที่น่าจะติดพระโอษฐ์มาแต่ไหนแต่ไรว่า “ไม่รุ! แต่ที่แน่ๆคือ ตัวไม่ทำเสียงแบบที่ทำกับเราเมื่อกี้แน่”

ท่าทางฟ้าหญิงพระองค์เล็กจะแสนงอน พระองค์เองไม่เคยมีพระขนิษฐาจึงไม่รู้ว่าการง้องอนนั้นทำกันอย่างไร จึงได้แต่วางพระหัตถ์ลงกลางพระเศียรซึ่งมีพระเกศาดำขลับปกคลุมแล้วโยกเบาๆ เจ้าตัวยุ่งคงหวงจึงปัดพระหัตถ์พระองค์ออก ยังไม่ทันได้ทุ่มเถียงกัน จู่ๆก็มีเสียงคำรามดังสะท้อนก้องไปทั่วทั้งป่า เสียงนั้นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ทางด้านซ้ายของเจ้าหนึ่งนั่นเอง

ฟ้าชายชลทรงจับลูกธนูให้ตั้งฉากกับสายธนู ดึงสายให้ยืดออกเตรียมพร้อมจะปล่อยอาวุธในพริบตาที่สัตว์ร้ายหลังพุ่มไม้ปรากฏตัว หากเพราะทรงทราบดีว่าในระยะใกล้เช่นนี้หากปล่อยลูกธนูพลาดเป้า อันตรายจะมาเยือนพระองค์ รวมถึงฟ้าหญิงพระองค์น้อยอย่างไม่ต้องสงสัย ลำพังองค์เองน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่หญิงวดีน่ะซิ...
ดำริได้เพียงแค่นั้น เจ้าสัตว์ร้ายก็กระโจนมาเบื้องหน้าหมายจะขย้ำเหยื่ออันโอชะให้ตายคามือ

ในชั่ววินาทีแห่งความเป็นความตาย หญิงวดียกพระหัตถ์ขึ้นมาปิดพระพักตร์แล้วกรีดร้องเสียงแหลม ทรงบอกองค์เองว่าคราวนี้ไม่รอดแน่แล้ว ชีวิตของพระองค์ต้องดับสูญเพราะน้ำมือของเสือตัวมหึมาที่มีเสียงคำรามกึกก้องอย่างน่าอกสั่นขวัญแขวน...ดังยิ่งกว่าเสียงข่มขู่เมื่อครู่นี้เสียอีก ละม้ายมันได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ฟ้าหญิงพระองค์เล็กแห่งสิขเรศชักเอะพระทัย ค่อยๆคลี่พระหัตถ์ออก ทอดเนตรลอดระหว่างพระดัชนีก็เห็นเพียงต้นไม้ใบหญ้า สายลมหนาวพัดโชยเอื่อยไร้ซึ่งวี่แววของเสือร้ายตัวนั้น ประหนึ่งมันอันตรธานหายไปอย่างน่าอัศจรรย์

“เป็นยังไงบ้าง?”

เพราะถ้อยรับสั่งของคนข้างพระวรกายทำให้พระองค์ได้สติ เบือนสายพระเนตรไปมองพระพักตร์ซึ่งชื้นไปด้วยพระเสโท สองพระเนตรดำจัดกวาดสำรวจอย่างเป็นห่วงเป็นใย

“ไม่ต้องกลัว เราจัดการมันให้แล้ว”

เสียงฝีเท้าม้ากรูกันเข้ามาหา ตามมาด้วยเสียงถามเซ็งแซ่อย่างตกใจ

“เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไรแล้ว คงแค่ตกใจ เดินทางต่อเถอะ หญิงวดีเราจะดูแลให้เอง”

ฟ้าชายชลเป็นฝ่ายตรัสตอบ ก่อนจะหันมาสบพระเนตรกลมโตเห็นหยาดน้ำใสๆเอ่อคลออยู่ในนั้น ก่อนเจ้าตัวจะปล่อยโฮ กรรแสงออกมาอย่างน่าสงสาร ฟ้าชายชลเห็นดังนั้นจึงรั้งวรองค์เล็กป้อมมากอดแนบพระอุระ สรรหาคำมาปลอบประโลมเท่าที่จะนึกได้

“อยู่กับเราไม่ต้องกลัวหรอก”

“ไม่ให้กลัวได้ไง ตัวมันออกใหญ่ เราตัวเล็กนิดเดียว” คำว่านิดลากเสียงยาวอย่างน่ารัก กระนั้นก็น่าเวทนาไม่น้อยเพราะสุรเสียงของพระองค์เจือสะอื้นแทบทุกคำ

“ตัวใหญ่แค่ไหน เราก็จัดการได้” หญิงวดีเงยพระพักตร์สบดวงเนตรอ่อนโยน น้ำอัสสุชลยังคงรินไหลไม่ขาดสายแต่ฟ้าชายเก้งก้างก็ค่อยๆบรรจงเช็ดออกให้อย่างพระทัยดี

“ไหนบอกว่าอยากมาล่าสัตว์ด้วย แล้วเป็นไงล่ะ เข็ดแล้วล่ะซิ คราวหน้าคงไม่มาแล้วใช่ไหม”

เจอคำสบประมาทเข้า มีหรือฟ้าหญิงพระองค์เล็กแห่งสิขเรศจะยินยอม พระองค์ยืดพระวรกาย เชิดพระพักตร์แล้วรับสั่งด้วยสุรเสียงแน่วแน่ในทันใด

“เฮอะ! ใครเข็ด? ไม่ใช่เราแน่! ครั้งหน้า ครั้งนู้น หรือครั้งนู้นๆๆๆ เราก็จะมา!”

“แน่ใจ?”

“แน่ใจซี่ เมื่อกี้เราแค่ตกใจ คราวหน้าเราไม่ตกใจแล้ว!” ว่าพลางเบือนพระเนตรไปยังเหล่าทหารที่กำลังลากเจ้าเสือตัวมหึมาใส่ในลังไม่ขนาดใหญ่ตรงท้ายขบวน “คราวหน้าถ้ามันจะทำร้ายเรา เราจะยิงธนูปักหัวใจมันให้ดู!”

“ที่ว่าจะยิงน่ะ ยิงเป็นแล้วหรือ?”

“หึ!” ตรัสพลางสั่นพระเศียรจนพระเกศาสะบัดไปตามแรงจนยุ่งเหยิงไปหมด ฟ้าชายชลทอดเนตรแล้วอดสรวลอย่างเอ็นดูไม่ได้

“เฮ้อ ยิงไม่เป็นแล้วยังจะทำเก่ง” คนถูกว่าพระพักตร์งอง้ำทันควัน แต่ก็เพียงครู่เดียวเพราะเพื่อนตัวโตรับสั่งว่า “ไว้จะสอนให้”

“จริงนะ?”

“จริงซิ เราไม่เคยโกหกใคร แต่ว่า...มีข้อแลกเปลี่ยนนะ”

“หา?” ฟ้าหญิงอุษาวดีอ้าพระโอษฐ์กว้าง ดวงเนตรดำขลับฉายชัดถึงความไม่ไว้พระทัย “ข้อแลกเปลี่ยนอะไร”

“เราอยากพบหน้าพี่หญิงของตัวบ่อยๆ...ช่วยได้ไหมล่ะ”

เจ้าตัวยุ่งทำพระพักตร์ม่อย เมื่อเดาอนาคตได้ล่วงหน้าแล้วว่าฟ้าชายเก้งก้างพระองค์นี้ต้องยึดพี่หญิงขององค์เองกลับไปคิมหันต์นครด้วยอย่างแน่นอน!

หญิงวดีของไรเตอร์ โตขึ้นมาจะแก่นแก้วขนาดไหนเนี่ยย อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามค่าาา ^^



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ต.ค. 2556, 23:34:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ต.ค. 2556, 11:52:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1688





<< บทที่ ๒.๑   บทที่ ๓.๑ >>
kaelek 22 ต.ค. 2556, 23:52:18 น.
เอาล่ะซิ..มาดูกันว่าจะสวยแค่ไหนน้า
ไรตอร์น่ารักที่สุด มานิดมาหน่อย แต่ก็ยังมา สู้ๆนะคะ


Zephyr 23 ต.ค. 2556, 02:13:21 น.
555 แล้วฟ้าชายอย่าทรงลืม แล้วมาดูด้วยนะเพคะ
อิอิ เชียร์ให้สวยกว่า งามจนตะลึง เลย หุหุ


คิมหันตุ์ 24 ต.ค. 2556, 03:44:16 น.
เศร้าโลดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ดันชอบพี่สาวซะงั้น แง๊ๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account