เพียงใจเจ้าเอย
หัวใจพี่ไม่อาจมอบให้ใครอื่นได้ เพราะเจ้าจับจองมันไว้ทั้งดวงแล้ว

พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
Tags: รักโรแมนติก,เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ ๓.๑

ฟ้าหญิงพระองค์เล็กแห่งสิขเรศเอื้อมพระหัตถ์เด็ดดอกกล้วยไม้ที่ปลูกไว้บนคาคบมาเสียบริมพระกรรณโดยมีพระพี่เลี้ยงคอยเดินตามถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด ที่เดินตามมาอีกเป็นพรวนนับได้เกือบสิบคนล้วนแล้วแต่เป็นนางกำนัลส่วนพระองค์ทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นคือนารา สาวน้อยวัยสิบเก้าปีที่ฟ้าหญิงพระองค์เล็กให้ความสนิทสนมมากที่สุด

“นมไม่ต้องตามแล้ว หญิงไม่ไปไหนหรอก” เจ้าตัวว่าพลางบุ้ยพระโอษฐ์ไปยังพระพี่นางที่กำลังชื่นชมแลปงกุหลาบอยู่ใกล้ๆ “พี่หญิงก็อยู่”

“นมมีหน้าที่ดูแลทูลกระหม่อมเพคะ”

“เก๊าะ...ดูแลเท่าที่หญิงอยากให้ดูแลซี่” ตรัสพลางหมุนองค์มา แย้มโอษฐ์กว้างอย่างประจบประแจง

“ตอนนี้หญิงอยากดูแลตัวเองนี่นา”

นมผ่องมองทูลกระหม่อมของตนเองด้วยความรู้สึกแสนรัก ยิ้มตอบอย่างเอ็นดู แล้วทูลว่า

“ยังเล็กเกินกว่าจะดูแลองค์เองได้เพคะ”

รอยแย้มสรวลเมื่อครู่หุบฉับลงทันควัน จากดอกไม้บานส่งกลิ่นหอมกลายเป็นดอกตูมที่ไม่พร้อมจะให้ใครเชยชม

“นมนี่น้า! ชอบขัดใจหญิงอยู่เรื่อยเลย!”

เจ้าตัวหันรีหันขวาง พระขนงขมวดเข้าหากัน พระเนตรวาววับบอกชัดว่าหงุดหงิดพระทัยยิ่งนัก คนที่เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกอย่างนมผ่องพอจะมองออกจึงหน้าเสียลงเล็กน้อย

“ไม่อยากให้นมอยู่ด้วยจริงๆหรือเพคะ”

“อื้อ” พระองค์พยักพระพักตร์หงึกหงักยืนยันความต้องการของตนเอง พระเนตรวาววับเรืองรองด้วยความหวัง “หญิงจะอยู่เล่นที่นี่กับพี่หญิงแป๊บเดียว เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

ด้วยความทีรักและตามพระทัยฟ้าหญิงพระองค์เล็กอยู่พอสมควรทำให้นมผ่องเริ่มใจอ่อน ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายเข้ามากอดนางอย่างออดอ้อนแล้ว คำปฏิเสธที่มาจดจ่ออยู่ตรงริมฝีปากจึงปลิวหายไปกับลมอย่างง่ายดาย

“ก็ได้เพคะ ถ้างั้นให้...”

เมื่อรู้ว่าองค์เองเป็นฝ่ายชนะจึงรีบคลายอ้อมกอด แล้วรับสั่งขัดขึ้นมาก่อนพระพี่เลี้ยงจะพูดจบ

“กลับไปทุกคนนั่นแหละ ให้นาราอยู่กับหญิงก็พอ”

นมผ่องถอนหายใจยาว หันไปสั่งความกับนาราให้ดูแลฟ้าหญิงอุษาวดีให้ดี ก่อนจะพานางกำนัลกลับตำหนักไป เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน พระองค์ได้อยู่ลำพังกับพระพี่นางที่ไร้นางกำนัลตามติด ทรงกระโดดเหยงๆไปหาแล้วชวนไปนั่งที่ศาลาแปดเหลี่ยมใกล้กับพระตำหนักบูรพาซึ่งเป็นตำหนักเปล่าไม่มีเชื้อพระวงศ์พระองค์ใดประทับอยู่เลย

“ไปทำไมตั้งไกล พี่ได้ยินนะวดีบอกนมผ่องไปว่าจะเล่นแถวๆนี้นี่”

“แหม...แถวนี้หญิงเล่นจนเบื่อแล้วนี่คะ ลองๆไปเดินทางนู้นบ้าง เปลี่ยนบรรยากาศ”

“บรรยากาศมันก็เหมือนๆเดิม ต่างกันตรงไหนล่ะ”

พระขนิษฐาไม่สนพระทัยคำทัดทาน ถือวิสาสะคว้าพระหัตถ์เรียวบางของฟ้าหญิงคคนางค์ไว้ แล้วจับจูงให้ก้าวพระบาทตรงไปยังพระตำหนักบูรพา

เหมือนเช่นทุกครั้ง พระเชษฐภคินีไม่เคยขัดพระทัยพระขนิษฐาได้ ไม่ว่าน้องอยากทำอะไรหรือต้องการในสิ่งใด พระองค์ย่อมทำตามทุกอย่างอย่างไม่มีเงื่อนไข

ฟ้าหญิงคคนางค์สาวพระบาทตามวรองค์เล็กป้อมมาถึงศาลาแปดเหลี่ยม ทรุดองค์ประทับนั่งบนเก้าอี้สีน้ำตาล ตรงหน้าเป็นโต๊ะกลมทำจากไม้ขัดมันวับ มีแจกันปักดอกกุหลาบวางอยู่ ทรงเห็นแล้วขมวดพระขนง

“เอ๊ะ แจกันของใคร” ทรงพึมพำกับองค์เอง ก่อนเหลียวไปทางนาราแล้วรับสั่งว่า “นาราจ๊ะ ลองไปถามเพื่อนๆหน่อยซิว่ามีใครลืมแจกันกับกุหลาบไว้ตรงนี้หรือเปล่า ถ้าลืมให้รีบกลับมาเอาด้วย”

นารารับคำสั่งพร้อมกับถวายบังคมแล้วเดินเลี่ยงออกไป ยังไม่ทันที่ฟ้าหญิงคคนางค์จะหันมาหาพระขนิษฐา เสียงห้าวลึกของใครบางคนก็ดังขึ้นทางเบื้องพระปฤษฎางค์

“หม่อมฉันเป็นคนเอามาวางไว้เอง”

เมื่อหันไปจึงได้สบพระเนตรดำจัดของฟ้าชายจากต่างแคว้น พระองค์รีบประทับยืน ถวายบังคมเต็มพิธีการ

“หม่อมฉันไม่ทราบว่าเป็นของพระองค์ ขอประทานอภัยด้วยเพคะ”

“อย่าพูดเป็นทางการเช่นนั้นเลย” ตรัสพลางทรุดองค์ประทับนั่งฝั่งตรงข้าม แล้วผายหัตถ์ให้อีกฝ่ายประทับนั่งตามเดิม “หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ก็ร่วมสองเดือนแล้ว อยากให้เราสองคนเป็นกันเองมากกว่านี้”

ฟ้าหญิงคคนางค์เงยพระพักตร์มองสบพระเนตรพราวระยับ พลันพระปรางร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จึงเบือนสายพระเนตรกวาดหาตัวช่วย เห็นวิ่งเล่นอยู่ในดงดอกไม้ กำลงจะร้องเรียกแต่ฟ้าชายชลขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เรียกหม่อมฉันว่าชลเฉยๆก็ได้ หม่อมฉันยินดี”

พระปรางซับสีเรื่อ เห็นได้อย่างชัดเจนภายใต้พระฉวีผุดผ่องโสภา เห็นดังนั้นเจ้าชายชลธิศธราดลถึงแย้มสรวล อย่างน้อยๆก็ทรงทำให้สตรีผู้หนึ่งขวยเขินได้อย่างที่ต้องการ

“จะดีหรือเพคะ”

“ดีซิ คิมหันต์นครกับสิขเรศก็บ้านใกล้เรือนเคียงกัน เราสองสนิทกันไว้คงไม่เสียหลาย หม่อมฉันอยาก ...รู้จักพระองค์ให้มากกว่านี้”

ดูเหมือนจะทรง ‘รุก’ มากเกินไป ฟ้าหญิงคคนางค์จึงลุกพรวดพราด แล้วก้าวพระบาทเร็วๆตรงไปยังพระขนิษฐา ก้มองค์ลงกระซิบบางอย่างกับอีกฝ่าย แล้วเสด็จตัวปลิวหายลับไปทางพระตำหนักขององค์เอง ฟ้าชายชลได้แต่ทอดเนตรตามด้วยสายพระเนตรละห้อยโหย และคงจะทอดเนตรนานกว่านี้ถ้า ‘เจ้าหญิงจอมซน’ ของพระองค์จะไม่ ‘วิ่งหน้าตั้ง’ เข้ามาหา

“ตัวทำไรให้พี่หญิงโกรธ”

มาถึงก็ 'ฉะ' พระองค์ทันที ดวงเนตรกลมโตเบิกกว้างมีแววไม่พอพระทัย พระโอษฐ์ยื่นน้อยๆแบบที่ทรงเห็นจนชินเสียแล้ว

“ทำไร เราไม่ได้ทำไรเลย”

ทรงทรุดองค์ลงบนเก้าอี้ แล้วดึงกุหลาบสีแดงดอกหนึ่งมาถือไว้ ก้มพระพักตร์จ้องกลีบกุหลาบที่หนากว่ากุหลาบของคิมหันต์นครหลายเท่า

“แค่ชวนคุยเฉยๆ จู่ๆพี่ตัวก็เดินหนีเฉยเลย”

“พูดไรไม่เข้าหูพี่หญิงล่ะซิ“

“ถ้าเราพูดไม่เข้าหู ผู้ชายบนโลกทุกคนก็คงพูดไม่เข้าหูเหมือนเราแล้วล่ะ!”

คนตัวเล็กละม้ายไม่เข้าพระทัย จึงยกมือกอดพระอุระ เอียงพระศอจ้องพระพักตร์ยาวๆของฟ้าชายเก้งก้างอย่างสงสัย

“อยากรู้จัง ตัวพูดอะไรกับพี่หญิง”

คนตัวโตโน้มองค์ลงมา แล้วแย้มสรวล

“รอให้โตกว่านี้ก่อนดีไหม เจ้าตัวยุ่ง!” ตรัสพลางใช้กุหลาบในพระหัตถ์ตีลงกลางพระเศียรได้รูปอย่างหยอกเย้า จากนั้นก็ยื่นจับมันยัดไว้ในพระหัตถ์เล็ก

“เอ้า ถือเป็นการตอบแทนที่ช่วย” ทรงประทับยืน จับพระเศียรของอีกฝ่ายโยกอย่างเอ็นดู ก่อนจะรับสั่งลา “ไปละ มีเรียนกับท่านลุงวิษของตัว อีกสองชั่วยามเจอกัน ที่นี่นะ อย่าลืม มาช้าเราไม่สอนจริงๆนะเอ้า”

ทรงบีบพระนาสิกเชิดรั้นเป็นคำลา วรองค์เล็กทำพระพักตร์ย่น ยกพระหัตถ์จะตีก็ไม่ทัน เพราะคนแกล้งรู้ทันรีบชักพระหัตถ์กลับเสียก่อน จากนั้นก็ทรงผิวพระโอษฐ์จากไป ปล่อยให้ฟ้าหญิงอุษาวดีทอดเนตรกุหลาบในพระหัตถ์อย่างงุนงง





เมื่อถึงเวลานัด ฟ้าหญิงอุษาวดีก็เสด็จมารอ ‘ครู’ อยู่ก่อนแล้ว โต๊ะไม้กลางศาลายังคงมีแจกันกับกุหลาบวางตั้งอยู่เช่นเดิม ในพระหัตถ์ของพระองค์ก็ยังมีกุหลาบที่ฟ้าชายเก้งก้างให้เช่นกัน วรองค์เล็กทอดพระเนตรกลีบที่เริ่มเหี่ยวย่น บางกลีบก็หลุดร่วงด้วยความไม่พอพระทัย ข้างๆกันนั้นคือนมผ่องที่พระองค์ไม่ได้ออกโอษฐ์ไล่ดังเช่นก่อนหน้านี้

“กุหลาบพอเหี่ยวแล้วก็ไม่สวยเลยนะนม”

พระพี่เลี้ยงไม่รู้ว่าจะทูลเช่นไรจึงทำเพียงยิ้มรับ ส่วนหญิงวดีดูเหมือนจะไม่ต้องการความเห็นเช่นกัน รับสั่งต่อไปว่า

“แต่พออยู่บนต้นมันซ้วยสวยนะ กว่าจะเหี่ยวก็หลายวันอยู่”

“ไม่โปรดกุหลาบหรือ”

สุรเสียงห้าวคุ้นพระกรรณดังขึ้นทางเบื้องพระปฤษฎางค์ ไม่ต้องหันไปก็ทรงทราบว่าเป็นใคร

“หม่อมฉันชอบตอนที่มันอยู่บนต้น” หญิงวดีใช้พระดัชนีเขี่ยแต่ละกลีบ พร้อมรับสั่งต่อไปว่า “พอเด็ดออกมาแล้วมันเหี่ยวเร็ว ไม่สวยเลย” เมื่อฟ้าชายจากต่างแคว้นสาวพระบาทมายืนเคียง ก็ทรงยื่นกุหลาบที่คอโน้มลงมาตามแรงโน้มถ่วงไปให้

“ดูซิ! หน้าตามันน่าเกลียดออก!”

คนให้เลิกพระขนง ก้มพระพักตร์สบพระเนตรกลมโต แล้วถอนพระอัสสาสะเฮือกใหญ่

“ถ้าไม่โปรด หม่อมฉันจะเอาไปทิ้ง” เอื้อมพระหัตถ์ไปคว้ากุหลาบดอกนั้นแต่คนตัวเล็กกลับร้องห้าม

“เดี๋ยว!”

ฟ้าชายชลชะงักพระหัตถ์ค้างกลางอากาศ ขณะที่วรองค์เล็กป้อมรีบดึงพระหัตถ์กลับทันที

“ตัวอุตส่าห์ให้ เอาไปทิ้งได้ไง”

เมื่ออีกฝ่ายใช้คำว่าตัวกับเรา ฟ้าชายชลเองก็ใช้ตาม ทรงทำเสียงบางอย่างในพระศอแล้วตรัสว่า

“หวง?”

“หึ! จะหวงทำไม! เหี่ยวออกอย่างนี้ เรากลัวตัวเสียใจต่างหาก”

พระเนตรสีดำสนิทที่คล้ายจะไม่พอพระทัยกลับแปรเปลี่ยนเป็นพราวระยับขึ้นมาในบัดดล หากอึดใจถัดมาแสงเรืองรองกลับดับวูบเมื่อเจ้าหญิงจอมแก่นตัดพ้อว่า

“ถึงตัวจะไม่ได้ให้เราเพราะอยากให้จริงๆ เราก็ไม่ทิ้งหรอก!”

ฟ้าชายชลถึงกลับพระพักตร์เสีย แววเนตรที่ก้มมองเจือความเอ็นดูระคนกับความหงุดหงิด ทรงอ้าพระโอษฐ์จะรับสั่งแต่กลับหุบฉับ หันพระพักตร์ไปทางนมผ่องแทน เมื่อมองสบตากันพระพี่เลี้ยงสูงวัยคงเข้าใจความหมาย จึงลุกขึ้นยืนถวายบังคมแล้วถอยหลังออกไปยืนตรงสุดเขตวนอุทยานเลยทีเดียว

วรองค์สูงชะลูดในฉลองพระองค์สีน้ำเงินวางกระบอกใส่ลูกธนูรวมถึงคันธนูที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะ แล้วคุกพระชานุลงกับพื้นข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งตั้งขึ้นแล้วจับวรองค์เล็กให้ประทับนั่ง ตอนแรกหญิงวดีไม่ยอมท่าเดียว แต่เมื่อสู้แรงไม่ได้ พระองค์จึงจำต้องเป็นฝ่ายยินยอมอย่างจำพระทัย

“ตัวทำไร!”

ฟ้าชายชลไม่ตรัสตอบคำถามนั้น แต่รับสั่งด้วยถ้อยรับสั่งจริงจังและเป็นงานเป็นการว่า

“กุหลาบดอกนี้ หม่อมฉันตั้งใจว่าจะให้พี่หญิงของพระองค์ก็จริง...”

“เรารู้แล้ว!”

“อย่าเพิ่งขัดหม่อมฉันสิ”

คนถูกปรามย่นพระนาสิก พยักพระพักตร์ให้อีกฝ่ายตรัสต่อไป แต่ก็ยังดิ้นขลุกขลักไม่ยอมนั่งให้ดีจนแล้งจนรอด ฟ้าชายชลจึงใช้ไม้ตายใช้อ้อมพระกรกอดรัดไว้เสียเลยแล้วรีบตรัสก่อนที่อีกฝ่ายจะโวยวาย

“แต่ทรงเข้าพระทัยผิดที่ตรัสว่าหม่อมฉันไม่อยากให้พระองค์”

“หลอกเด็ก!” คนฟังไม่ยอมรฟัง แอบค่อนขอดกลับเสียอีก

“แน่ะ! ยอมรับว่าเด็กแล้วหรือ”

รู้ว่าลืมองค์จึงรีบพระหัตถ์ปิดพระโอษฐ์แล้วส่ายพระพักตร์จนพระเกศาที่เกล้าไว้หลุดลุ่ย

“เปล่านะ เราไม่ได้พูด เมื่อกี้ใครพูดก็ไม่รู้” ตรัสเสียงอู้อี้พลางแก้องค์น้ำขุ่นๆ ทำให้ฟ้าชายชลสรวลก้อง อวดพระทนต์สีขาวเรียงเป็นระเบียบ และขับให้พระพักตร์คมดุอ่อนโยนมากกว่าเดิม

“ถ้างั้น ถือว่าหม่อมฉันไม่ได้ยินก็แล้วกัน”

พระหัตถ์ที่ปิดอยู่ลดลงข้างพระวรกายทันที ตามมาด้วยรอยแย้มโอษฐ์ที่แทบจะเห็นพระทนต์ทุกซี่เลยด้วยซ้ำ

“เมื่อกี้เรายังคุยกันไม่จบเลย” ตรัสพลางวางอีกฝ่ายลงบนเก้าอี้ ส่วนองค์เองคุกพระชานุลงตรงเบื้องพักตร์ “ทรงไม่เชื่อสักนิดหรือว่าหม่อมฉันอยากให้จริงๆ”

“ตัวขี้โกหกรึเปล่าล่ะ”

“ไม่”

“อยากให้เราจริงๆ?”

“จริง”

“ปีหน้าจะให้เราอีกรึเปล่า”

“ทรงมีนางกำนัลมากมายที่พร้อมจะเด็ดกุหลาบให้ ไม่จำเป็นต้องเป็นหม่อมฉัน”

“ก็ถ้าเราอยากให้ตัวเก็บให้ ตัวจะยอมไหม”

ฟ้าชายชลสรวลอีกครั้งอย่างเอ็นดู ก่อนพยักพักตร์

“ถ้าเป็นความประสงค์ของเจ้าหญิงตัวน้อยของหม่อมฉัน หม่อมฉันย่อมยินดีทำให้อยู่แล้ว”

พระพักตร์เจ้าหญิงพระองค์น้อยกระจ่างสดใส แววเนตรระยับอย่างถูกพระทัย

“ถ้าอีกสิบปี ยี่สิบปีล่ะ ตัวทำได้รึเปล่า”

“เอ...” ทรงขมวดพระขนง ทำเสียงไม่แน่พระทัยตอนตรัส “ตอนนั้นหม่อมฉันกลับบ้านไปแล้ว กุหลาบที่นู่นสวยไม่เท่าที่นี่ หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่โปรด”

“งั้นเอาดอกอื่นก็ได้”

“ถ้างั้นก็ง่ายเลย หม่อมฉันยินดีจะส่งดอกไม้มาให้ทุกปี”

“จริงนะ”

“หม่อมฉันสัญญา” รับสั่งพร้อมกับแบพระหัตถ์ยกเสมอพระอังสา ก่อนจะย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นแววเนตรไม่เชื่อของหญิงวดี

“สัญญาของหม่อมฉันเชื่อได้เสมอ”

“แล้วเราจะคอยดู ถ้าตัวไม่ส่งดอกไม้มาให้ เราจะโป้งด้วยล่ะ” ไม่พูดเปล่า ยังยื่นพระอังคุฐมาให้พระองค์เสียอีก ทรงใช้พระหัตถ์จับมันวางลง แล้วจับพระเศียรของอีกฝ่ายโยกน้อยๆ หากเป็นเมื่อก่อนหญิงวดีคงปัดพระหัตถ์ใหญ่ออกอย่างแรงแล้วแต่ตอนนี้กลับยอมให้ฟ้าชายชลจับแต่โดยดี

“ตอนนี้เราเข้าใจกันดีแล้วใช่ไหม”

“อื้อ”

“ไม่โกรธกันแล้วนะ”

“ไม่โกรธ” ตรัสตอบเสียงใส พร้อมกับทอดเนตรคันธนูสีดำมันวับอย่างสนพระทัย “อยากเรียนแล้วล่ะ”

“มา! วันนี้เราจะสอน...” ฟ้าชายชลตรัสพลางยกคันธนูขึ้นมา อธิบายส่วนประกอบต่างๆอย่างละเอียด ตามมาด้วยการสอนท่วงท่าการยืน การจับและการง้างธนูเบื้องต้น วรองค์เล็กประทับนั่งบนเก้าอี้ฟังอย่างตั้งพระทัย เมื่อฟังจบก็รับสั่งถามทันที

“เราจะลองยิงได้เมื่อไหร่”

“โตกว่านี้ก่อน”

“โตกว่านี้อีกแล้ว! ตัวพูดแต่คำนี้จนเราเบื่อ”

“ก็ตัวตัวเล็กเกินไปจริงๆนี่ แค่ง้างคันธนูยังไม่มีแรงเลยมั้ง”

คนถูกสบประมาทเริ่มกริ้วขึ้นมาอีกครั้ง จนคนอยากตีสนิทชักว้าวุ่นพระทัย

“เราสอนตัวตอนนี้ไม่ได้จริงๆ ตัวยังเด็กเกินไป รออีกสามสี่ปีได้ไหม ถึงตอนนั้น เราจะสอนภาคปฏิบัติให้”

“เฮอะ! อีกตั้งนาน! แล้วเราจะเสียเวลาช่วยให้ตัวเจอหน้าพี่หญิงบ่อยๆอีกทำไม!”

วรองค์สูงชักปั้นพระพักตร์ไม่ถูก พระขนงขมวดจนแทบเป็นปมเพราะกำลังพยายามหาบางสิ่งบางอย่างมา ‘ล่อ’ เด็กให้ติดกับ ยังไม่ทันได้คำตอบ คนตัวเล็กก็เสนอขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“เราอยากได้ชิงช้า ตัวทำให้ได้ไหม”

ฟ้าชายชลสูดลมหายพระทัยลึก มองสบเนตรสดใสบริสุทธิ์อย่างยินดี

“ได้สิ เราจะทำให้! แต่ตัวต้องสัญญาก่อนว่าจะช่วย”

“เก๊าะได้! เราสัญญา!” ตรัสพลางยืดพระอุระทำพระพักตร์ขึงขัง แล้วใช้ถ้อยรับสั่งแบบเดียวกับที่คนตัวโตเคยใช้

“สัญญาของเราเชื่อได้เสมอ!”

แล้วเสียงสรวลอย่างมีความสุขของทั้งสองพระองค์ก็ดังก้องไปทั่ววนอุทยาน



ฟ้าหญิงอุษาวดีปรารถนาให้ความสุขนี้ทอดยาวไปไม่รู้จบ ไม่ว่าจะหนึ่งปี สองปี สามปี หรือสี่ปี ทว่ามีใครบ้างที่จะมีความสุขได้ตลอดไป พระองค์ก็เช่นกัน ความสุขเหล่านั้นคงอยู่ได้เพียงสี่ปี ก่อนจะถูกสายลมพัดพาให้ปลิดปลิวหายไปพร้อมกับการมาเยือนของใครคนหนึ่ง



สี่ปีผ่านไป ไวเหมือนโกหก 555
เจ้าตัวยุ่งกับฟ้าชายเก้งก้างจะเป็นไงบ้าง
แล้วใครนะที่มา? ^_^


ขอบคุณที่ติดตามค่ะ :)



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ต.ค. 2556, 00:04:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ต.ค. 2556, 00:07:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1613





<< บทที่ ๒.๒ - 100%   บทที่ ๓.๒ - 100% >>
คิมหันตุ์ 26 ต.ค. 2556, 01:08:25 น.
นั่นสิใครนะที่มา......แล้วผ่านไปสี่ปี จะเกิดอะไรขึ้นน้อ??

รอค่ะมาอัพไวไวนะ


แว่นใส 26 ต.ค. 2556, 08:57:16 น.
คนที่พี่หญิงจะรักมั๊ง


chuwub 26 ต.ค. 2556, 21:14:44 น.
ชอบนางเอกซะแล้วค่ะ พูดได้ดีตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลย สงสัยจะทะลุกลางใจพระเอกอยู่แน่ๆ
อัพไวๆนะคะ คนอ่านรออ่านอยู่ค่ะ


Zephyr 26 ต.ค. 2556, 21:51:29 น.
ตัวยุ่งกะเก้งก้าง น่ารักอ่ะ
ปล. ถ้าเึ้าเขียนผิดเป็นเก้งกวาง แฟนคลับชายชล คงฆ่าเค้าแหง


Sukhumvit66 26 ต.ค. 2556, 23:29:36 น.
ลุ้นมากมาย มาอัพไวไวนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account