ยามเมื่อลมห่มฟ้า...มะนิลา
'ฟิลิปปินส์' ประเทศหมู่เกาะที่พายุลูกแล้วลูกเล่าพัดผ่านสร้างความเสียหาย
แต่คนยังคงยืนหยัดต่อสู้ได้ทุกครั้ง
เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาที่มีอุดมการณ์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อนร่วมชาติ
โดยไม่ระย่อต่ออุปสรรคที่เข้ามา


'ลิปดา' เป็นเหมือนสายลมแห่งความหวัง เธอมีความหวังและเชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ลงมือทำ
แต่สายลมนี้ก็แห้งผาก รอลมชุ่มชื้นพัดผ่านมาเสียที


กระทั่งได้พบใครคนหนึ่งเหมือนฝัน
'รัญชน์' ชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตดังสายลมซึ่งไม่เคยหยุดนิ่งจากเมืองไทย
เขานำพาความเย็นชื่น หอบเอาความอบอุ่นมาหลอมรวมกับเธอ


แต่กว่าสายลมสองสายจะพัดมารวมภายใต้ฟ้าเดียวกัน
ก็ต้องรอวันพายุจางไปจากมะนิลาเสียที

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕



มัคคุเทศก์สาวจำเป็นชำเลืองตามองบุรุษที่นั่งอยู่ข้างๆ ในรถแท็กซี่ด้วยกันเป็นระยะ เขาไม่พูดอะไรตั้งแต่ออกมาจากโรงแรม ก็ดี เพราะเธอเองก็ไม่อยากฟังวาจาร้ายๆ ของเขา การนำเที่ยวครั้งนี้คงสงบสุขขึ้นอักโขทีเดียว

รถแท็กซี่มาส่งถึงย่านเมืองเก่าอินทรามูรอส แล้วเมื่อเธอเอ่ยให้คนขับจอดใกล้อาณาเขตแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ชายหนุ่มข้างๆ ก็ขยับตัวส่งเงินเปโซตามที่ขึ้นในมิเตอร์ให้คนขับ ก่อนทั้งสองจะลงมายืนบนทางเท้าฝั่งตรงข้ามกำแพงเมืองเก่าสูงใหญ่

"เขตเมืองเก่าอินทรามูรอสมีพื้นที่กว่าสี่ร้อยไร่ค่ะ มีทั้งบ้านเรือน โบสถ์ โรงเรียน ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเมื่อสี่ร้อยกว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่สมัยที่ฟิลิปปินส์ยังเป็นอาณานิคมของประเทศสเปน"

เธอหยุดรอเขายกกล้องดิจิตอลซึ่งห้อยไว้กับข้อมือขึ้นถ่ายภาพกำแพงเก่าด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้น แม้สภาพทุกอย่างจะทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ก็ก่อร่างให้เห็นภาพในอดีตรำไร

"อินทรามูรอสเป็นป้อมและกำแพงเมืองที่สเปนสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานจากข้าศึกหรือโจรสลัด แล้วยังเป็นศูนย์กลางการค้าในอดีต ก่อนจะเปลี่ยนมือไปเป็นศูนย์บัญชาการของอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ป้อมอินทรามูรอสเสียหายหนักจากสงครามโลกครั้งที่สองค่ะ ก่อนรัฐบาลฟิลิปปินส์จะทำการบูรณะเมื่อราวหกสิบปีที่ผ่านมา" ลิปดาเล่าไปตามความรู้ที่เธอเคยมาทัศนศึกษา

เมื่อครั้งรับฟังอาจารย์เล่าเคยหดหู่ใจอย่างไร ตอนนี้มาเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้น ความรู้สึกเดิมๆ ก็หวนกลับมา

"เป็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่มากนะ"

เธอหันกลับมามองนักท่องเที่ยวหนุ่มที่เดินตามหลังมาไม่ไกล ก็เห็นเขายกกล้องถ่ายวาดไปในแนวขวางราวกำลังเก็บภาพพาโนรามา เขาอาจเอ่ยประโยคเหมือนปลอบใจนั้นโดยไม่ตั้งใจ แต่หญิงสาวก็ยินดีลึกๆ ที่คนต่างชาติอย่างเขามีความรู้สึกร่วมไปกับสถานที่แห่งนั้นๆ

"ดูนี่แน่ะ"

รัญชน์ก้าวมาใกล้พลางกดอวดภาพถ่ายที่เขาประทับใจให้เธอดูอย่างลืมความขุ่นข้องก่อนหน้านี้เสียสนิท มันเป็นภาพมุมกว้างที่เห็นป้อมอินทรามูรอสทั้งหมด หน้าจั่วที่เคยเป็นเหมือนประตูเมืองเด่นสง่าอยู่ตรงกลาง กำแพงที่กินอาณาเขตกว้างขวางพอสมควรนั้นถูกเก็บครบถ้วนในกรอบเดียวกัน มีแสงจากเบื้องบนลอดผ่านกลุ่มเมฆสีขาวฉายลงมาราวสปอร์ตไลท์ฉาบกำแพงงดงาม

เขาเท้าเอวข้างหนึ่งขณะใช้นิ้วหัวแม่มือข้างที่ถือกล้องสไลด์ให้ดูภาพถ่ายอื่นๆ สายตาที่มองสิ่งต่างๆ ผ่านกล้องของเขาละเอียดอ่อน อย่างที่เธอไม่คิดว่านั่นคือสิ่งที่ผู้ชายฉาบฉวยอย่างเขามอง

"สวยกว่าโปสการ์ดที่ขายกันอีกค่ะ" เธอชมจากใจ

ลิปดาเงยหน้ามองชายหนุ่มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของเขา แล้วก็พบดวงตาพราวระยับอย่างเมื่อแรกรู้จักก้มมองเธออยู่ก่อนแล้วเช่นกัน ก่อนร่างระหงจะขยับออกห่างจากต้นแขนที่แนบชิดกันอย่างสำรวมระวังกาย

"ขึ้นไปข้างบนกันเถอะค่ะ" เธอเอ่ยชวนพลางเดินนำขึ้นไป

บันไดอิฐหลายขั้นนำขึ้นไปสู่ด้านบนของป้อมที่มีพื้นที่กว้างพอให้ยืนมองลงไปข้างล่างอีกฝั่ง มีปืนใหญ่สีดำอยู่ตามช่องกำแพง เบื้องล่างยามมองลงไปนั้นมีทั้งส่วนป้อมกำแพงที่ปรักหักพังจนต้นหญ้าขึ้นแซม แล้วยังมีส่วนที่สร้างเป็นสวนหย่อมย่อมๆ ใกล้กัน ที่ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวหนุ่มที่ตามขึ้นมาได้ถ่ายรูปอย่างหนำใจ

........................................

อากาศในวันนี้ช่างเป็นใจเมื่อเมฆหนาช่วยบดบังแสงอาทิตย์เจิดจ้า หนุ่มสาวตัดสินใจไม่นั่งรถม้าเพื่อชมโบราณสถานอย่างที่นักท่องเที่ยวนิยม บ้างที่ขี่ผ่านไปแล้วโบกมือให้ก็มี พวกเธอเพียงเดินเรื่อยไป ลิปดายิ้มขันพลางโบกมือทักทายตอบเสียงทัก 'กูมุสต้า' จากนักท่องเที่ยวต่างชาติคนหนึ่ง ปัญหาชีวิตหลายวันมานี้ดูจะเบาบางลงเมื่อได้มาเที่ยวพักผ่อนกายใจ

ครู่หนึ่งเธอก็เดินนำชายหนุ่มมาถึงสถานที่สำคัญอีกแห่ง ป้อมซานติอาโกตั้งอยู่บนเนินเล็กๆ ริมปากแม่น้ำที่จะไหลออกสู่อ่าวมะนิลา ตัวป้อมเป็นอาคารเหมือนหอคอยสูง มีอาคารซึ่งเตี้ยกว่าอยู่ข้างๆ เก่าแก่พอกับป้อมอินทรามูรอสที่เพิ่งเยี่ยมชมมา ล้อมรอบด้วยสวนสาธารณะ สนามหญ้าเขียวขจี

"ป้อมซานติอาโกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันศัตรูในสมัยเป็นอาณานิคมของสเปนเหมือนกันค่ะ แต่ภายหลังสหรัฐอเมริกาได้ใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ ก่อนจะถูกระเบิดเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่สอง"

"สงครามไม่เคยเลือกสถานที่อยู่แล้วนี่นะ" รัญชน์เปรยพลางหันมองคนที่เล่าความเป็นมาต่างๆ อยู่ข้างๆ

ลิปดาหันมายิ้มเศร้า แต่ประกายตาแจ่มใสขึ้นเมื่อเอ่ยประโยคต่อไป

"แต่ยังมีอีกที่ในอินทรามูรอสนะคะที่รอดจากความเสียหายจากสงคราม"

"จริงเรอะ ที่ไหน" เขาถามอย่างสนใจขึ้นมา

"โบสถ์ซานอะกุสตินค่ะ" เธอตอบยิ้มๆ

คนรับฟังข้อมูลใหม่ๆ ลดกล้องลงอย่างสนใจ

"ถ้าคุณถ่ายรูปพอแล้ว เรานั่งรถม้าไปดีไหมคะ" เธอถามความเห็นเขา

ชายหนุ่มไหวไหล่พลางผายมือมาอย่างยกการตัดสินใจให้เธอ ลิปดาอยากเชื่อว่าเขาลืมเรื่องเลวร้ายที่เธอทำกับเขา หายโกรธเธอแล้วจริงๆ ความคิดนั้นทำให้โล่งใจบอกไม่ถูก เธอให้เหตุผลกับตัวเองว่าเพราะอย่างน้อยเธอกับเขาก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันจนเกินไป และคงช่วยลบความรู้สึกผิดในใจเธอน้อยลง

หนุ่มสาวเดินไปขึ้นรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่ใต้ร่มไม้ หลังตกลงราคากับชายวัยกลางคนผิวสีทองแดงที่เป็นคนบังคับม้าได้ เธอจึงก้าวขึ้นไปนั่งยังที่นั่งเล็กด้านหลัง มีหลังคาบังแดดอ้อมมาจากพนักเก้าอี้ ก่อนร่างสูงจะก้าวตามขึ้นมาให้ที่นั่งสำหรับสองคนนั้นคับแคบไปถนัดใจ

ลิปดานั่งหลังตรง ไม่พิงพนักเมื่อม้าสีดำมะเมื่อมเริ่มเหยาะย่างออกไป เธอพยายามมองตรงไปเบื้องหน้า ไม่สนใจผู้ที่นั่งเบียดอยู่ข้างๆ กระนั้นก็รู้สึกได้ถึงแขนยาวที่พาดมาบนพนัก เสมือนเขากำลังโอบเธอกลายๆ

เสียงทักทายภาษาฟิลิปิโนระหว่างคนบังคับม้าของพวกเธอกับอีกตัวที่สวนไปเรียกรอยยิ้มขันจากคนที่ฟังภาษาเดียวกันรู้เรื่อง หากรัญชน์กลับมองเสี้ยวหน้าของหญิงสาวด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะเรียกร้องเอาความเมื่อเธอดูจะละเลยอธิบายเพิ่มเติม

"ขำอะไร" เขาถามเจ้าหล่อนทื่อๆ

ลิปดาเอี้ยวตัวที่นั่งหมิ่นเหม่บนเบาะมาบอกเล่าให้ฟังทั้งรอยยิ้มที่พยายามกลั้นไว้ยากเย็น

"ก็ตาคนขี่ม้าสวนไปน่ะสิคะ แกบ่นกับเพื่อนว่าม้าแกเดินไม่ออกเพราะโอเวอร์โหลด แบกน้ำหนักเกิน"

เธอทำท่าเบ่งกล้ามประกอบคำพูดจนเขานึกขัน รัญชน์ต้องหันไปดูก็เห็นจริงตามนั้น เจ้าม้าดูจะเดินลากขาเป็นพิเศษเมื่อมันต้องแบกร่างอวบของคู่รักต่างชาติวัยเกษียณที่หนั่นเนื้อแทบปริล้นเบาะออกมา

"อย่าหันไปมองซี" หญิงสาวรีบเอ่ยอย่างเกรงว่านักท่องเที่ยวที่ตกเป็นเป้านินทาจะรู้ตัว

"อ้าว ทีเธอล่ะ"

ลิปดามองค้อนพร้อมกับแว่วเสียงหัวเราะห้าวกังวานดังมาจากบุรุษข้างๆ ขณะชายหนุ่มหันกลับมานั่งตรงเหมือนเดิม

"เพิ่งรู้ว่าผู้หญิงฟิลิปปินส์ก็ค้อนเป็นด้วย นึกว่าจะมีแต่สาวไทยเสียอีกที่ช่างค้อนที่สุด" เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะ

คนฟังพยายามเกลื่อนพิรุธบนใบหน้า รู้สึกได้ถึงแสงตาคมกล้าที่จับจ้องมาจนท้ายทอยเธอร้อนวาบ เธอเสเปลี่ยนเรื่องด้วยการชี้ชวนดูอาคารสถาปัตยกรรมไกลๆ ข้างหน้า ที่ยังคงความงดงามจากอดีตถึงปัจจุบัน

"นั่นไงคะ โบสถ์ซานอะกุสติน"

รัญชน์ถอนสายตาจากเสี้ยวหน้าโค้งเว้าได้รูปสวยที่ประดับบนลำคอระหงราวสถาปัตยกรรมปูนปั้นเทพีอันงดงาม วิจิตรบรรจง ก่อนเบนสายตามองตามปลายนิ้วชี้ไปข้างหน้า พร้อมกับรถม้าที่เลี้ยวให้เห็นศาสนสถานของคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิกซึ่งตั้งตระหง่านผ่านกาลเวลา

ชายหนุ่มก้าวลงจากรถม้าก่อนมัคคุเทศก์สาวจะกระโดดผลุงลงตามมา เขาไม่ลืมเก็บภาพถ่ายด้านหน้าโบสถ์อย่างประทับใจ

ตัวโบสถ์มีความสูงประมาณตึกสองชั้น ปลายยอดของหลังคามีไม้กางเขนสีขาว ส่วนด้านซ้ายของโบสถ์นั้นมีหอระฆังสูงขึ้นไป ผนังสีครีมตัดด้วยเสาเกลี้ยงสีขาว

"เสาโบสถ์ด้านหน้าสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมดอริก หนึ่งในสามสถาปัตยกรรมเด่นของกรีกโบราณค่ะ ประตูใหญ่แกะสลักหินเป็นรูปนักบุญอะกุสตินกับนักบุญโมนิกา โบสถ์นี้สร้างจากหินอ่อนทั้งหลังเมื่อสี่ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา

“แต่ถึงโบสถ์ซานอะกุสกินจะไม่ถูกระเบิดจากสงคราม แต่ก็เสียหายจากไฟไหม้ถึงสองครั้ง แผ่นดินไหวอีกเจ็ดครั้ง” เธอเล่าปิดท้ายพร้อมรอยยิ้มเศร้า

รัญชน์วางมือบนบ่าบอบบางแทนคำปลอบโยนและชื่นชมในความเข้มแข็งของตัวแทนคนที่นี่ ก่อนจะปล่อยมืออย่างไม่คิดฉวยโอกาส เมื่อพวกเขาเดินขึ้นบันไดขั้นเตี้ยตามนักท่องเที่ยวจากต่างชาติไป

"วาว" เขาอุทานเมื่อผ่านเข้าไปภายใน

ภายในที่เห็นแตกต่างจากข้างนอกพอสมควร ด้วยพื้นและผนังโบสถ์ออกสีขาวนวลสะอาดตา เห็นลวดลายหินอ่อนซีดจาง ตลอดทางไปแท่นพิธีด้านในสุดนั้นมีเก้าอี้ไม้ยาวตั้งเป็นแถวสองฝั่ง คงรองรับคนได้สักหลายร้อยกระมัง แล้วเมื่อแหงนมองบนเพดานสูงก็พบกับโคมไฟระย้าสีทองหลายสิบอันห้อยลงมาจากเพดานตลอดทั่วทั้งภายในโบสถ์ ละลานตาคนมองยิ่งนัก

"แล้วทุกวันนี้ยังมีการประกอบพิธีทางศาสนาอยู่หรือเปล่า"

"มีค่ะ มีคู่รักนิยมมาจัดงานแต่งงานก็มี"

"อ้อ ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ที่นี่สวยมาก"

ลิปดามองตามชายหนุ่มที่เดินไปเก็บภาพยังแท่นพิธีด้านในสุด รูปปั้นพระแม่มารีอุ้มพระเยซูตั้งอยู่กึ่งกลางสูงขึ้นไป เธอมองแผ่นหลังของร่างสูงที่สนใจถ่ายภาพ แล้วความรู้สึกว่าเขาอาจไม่ใช่คนเลวร้ายเกินไปนักก็ช่วยให้เธอคลายใจ

.............................


หลังใช้เวลาตลอดบ่ายไปกับการเที่ยวชมสถานที่สำคัญต่างๆ ในอินทรามูรอสโดยไม่มีแม้แต่เครื่องดื่มคลายร้อนดับกระหาย รัญชน์ก็ถือวิสาสะนำมัคคุเทศก์เข้าไปนั่งในร้านกาแฟซึ่งเป็นตึกแถวที่พักอาศัยในเขตเมืองเก่านั้นเสียเอง โดยชั้นล่างของบ้านเปิดเป็นร้านขายของ ภายในมีตู้กระจกโชว์ขนมปังอบใหม่ แล้วบนเคาน์เตอร์สำหรับชงเครื่องดื่มก็มีโหลใสใส่เครื่องต่างๆ อาทิ วุ้นหลากสี หรือถั่วแดงก็มี คล้ายเครื่องน้ำแข็งไสที่ชายหนุ่มเคยเห็นที่ไทย

"นี่อะไร" เขาถามเอากับมัคคุเทศก์ส่วนตัว

"เครื่องสำหรับใส่ 'ฮาโล ฮาโล' ค่ะ เป็นเครื่องดื่มที่ปั่นรวมกับน้ำแข็ง ฮาโลแปลว่ามิกซ์ค่ะ"

รัญชน์ผงกศีรษะอย่างถึงบางอ้อ เขาสั่งกาแฟเย็นสำหรับตัวเอง ก่อนจะสั่งเครื่องดื่มชื่อน่ารักนั้นให้เธอ

นั่งรอยังเก้าอี้กลมล้อมรอบโต๊ะไม้ทรงกลมเล็กๆ ไม่นาน คนขายก็นำเครื่องดื่มที่สั่งมาให้ ลิปดามองอย่างงุนงงเมื่อเขาเลื่อนแก้วปากกว้าง ทรงเตี้ยกว่าของเขาใบหนึ่งมาทางเธอ เธอรีรอกระทั่งเขาเฉลยความตั้งใจ

"ทานสิ ผมเลี้ยง"

คำพูดนั้นจริงใจ เป็นมิตรมากขึ้นอย่างที่คนฟังรู้สึกได้ เธอจึงรับแก้วมายกชิมเก้อๆ แล้วก็ให้เย็นวาบในท้องที่ว่างเปล่ามาตั้งแต่เย็นวาน

"ขอบคุณนะคะ"

รัญชน์พยักหน้าส่งๆ ไปอย่างไม่ใส่ใจ

"รู้ไหม ที่ไทยก็มีของหวานคล้ายกันนี้ เรียกว่าน้ำแข็งไส คือเอาน้ำแข็งไปขูดเป็นเกล็ด ราดกับน้ำหวานแล้วก็ใส่เครื่องต่างๆ พวกนี้"

ลิปดาตั้งใจฟัง เรื่องที่เขาเล่าเป็นข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับบ้านเมืองของแม่ที่เธอไม่เคยรู้ แล้วก็ยังมีอีกมากมายที่เธออยากรู้ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เธอไม่ต้องการสูญเสียความเชื่อใจจากเขาอีกด้วยการเอ่ยถามซอกแซกเกินไป

"ฉันเคยเรียนเรื่องประเทศคุณบ้าง คงจะเจริญมาก"

"ถึงว่าสิ เธอเอ่ยถึงแม่น้ำเจ้าพระยาเสียคล่องปาก" เขาว่าพลางยกกาแฟขึ้นจิบ

บรรยากาศตอนนี้เหมือนคนสองคนที่พูดคุย แลกเปลี่ยนความรู้กันในวงน้ำชากาแฟ มีลมเย็นจากภายนอกพัดอ่อนๆ ผ่านประตูร้านที่เปิดกว้างเข้ามา

"ถามจริงเถอะ นี่เธอเรียนจบชั้นไหน"

จากคำพูดคำจา ประวัติศาสตร์สถานที่ต่างๆ ที่เธอเล่าให้เขาฟัง ตอกย้ำว่าผู้หญิงคนนี้มีอะไรดีมากกว่าแค่เสียงร้องเพลง เขาชักเชื่อแล้วว่าเธอมิใช่มิจฉาชีพโดยอาชีพ แต่ทำลงไปเพราะเหตุจำเป็นบางอย่าง และตอนนี้เธอก็พยายามไถ่โทษ แก้ตัว มันได้ผลเมื่อตอนนี้เขาค่อยเปลี่ยนความคิด ค่อยประทับใจเธอกลับขึ้นมา ราวกับว่าเมื่อเช้าไม่ได้ถูกเด็กเมื่อวานซืนคนเดียวคนนี้ตอกหน้าเอา

"ฉันกำลังเรียนมหาวิทยาลัยค่ะ คุณคงไม่ถามนะคะว่าที่ไหน ฉันบอกไม่ได้"

"ช่างเถอะเรื่องนั้น ผมรู้แล้วล่ะว่าคุณไม่ธรรมดา"

รัญชน์เผลอจ้องมองใบหน้าคนตรงข้ามที่ผมเปียกลางศีรษะเริ่มมีไรผมหลุดลุ่ยออกมาอย่างพิจารณา เขาสังเกตว่าเมื่อพูดคุยถึงเรื่องส่วนตัว ใบหน้าที่แม้จะมีแววอ่อนล้าหากยังแจ่มใสในทีแรกก็ค่อยหมองลง เหมือนที่เขาสังเกตเห็นยามเธอเหม่อลอย

"ทำไมคุณถึงนำเงินกับข้าวของพวกนั้นมาคืนผมล่ะ ทั้งที่ถ้าคุณหายไปเงียบๆ ผมจะทำอะไรได้" เขาเอ่ยพลางไหวไหล่ สายตาที่มองมาอดขุ่นเคืองไม่ได้

ลิปดาหลุบเปลือกตาลงนิดหนึ่ง การกระทำทั้งหมดของเธอจะโทษเจนิสเสียทีเดียวก็ไม่ได้ แต่ก็เพราะน้อง...เธอถึงตัดสินใจนำทรัพย์สินที่ไม่ใช่ของตนไปคืนเจ้าของ จะว่าหมดอาลัย ละอายต่อบาปก็ว่าได้ ทั้งที่เธอยังมีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อลงทะเบียนเรียนอยู่ดี

"มีอะไรบางอย่างในชีวิตดลใจฉัน ฉันอาจเคยทำทุกวิถีทางเพื่อให้มีเงินเก็บมากๆ ก็จริง แต่ตอนนี้ฉันรอได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งรีบใช้มันอีกต่อไป"

ถ้าสุดวิสัยจริงๆ เธออาจพักเรื่องเรียนไว้ก่อนก็ได้ ระหว่างนี้ก็ทำงานสุจริตเก็บหอมรอมริบ เธอเชื่อว่าตนจะสามารถลงเรียนจนจบได้ในปีการศึกษาต่อไป

"ความเร่งรีบที่คุณว่า เกี่ยวกับที่คุณโดนทำร้ายร่างกายหรือเปล่า"

ลิปดานิ่วหน้ามองฉงน ก็เห็นชายหนุ่มยกมือแตะหน้าผากเขาเหนือคิ้วขึ้นมา

"ผมเห็นแผลข่วนใกล้คิ้วคุณวันนั้น มั่นใจว่าไม่ได้เกิดจากที่ผมลากคุณออกไปแน่"

อ้อ เขาเห็นด้วยหรือ ทั้งที่โกรธเธอจนหน้ามืดตามัวขนาดนั้น หญิงสาวหลุบเปลือกตาลงมองแก้วของหวานที่เริ่มละลาย นึกแปลกใจในตัวผู้ชายคนนี้ขึ้นมาได้อีกครั้ง

"คงไม่ใช่เพราะมีเจ้าหนี้คอยรังควาน ทำร้ายร่างกายคุณหรอกนะ" เขาทายแล้วก็นึกกริ่งเกรงในคำตอบเสียเอง

ทว่าลิปดาสั่นศีรษะ มีรอยยิ้มขันกับจินตนาการของเขาแย้มพรายขึ้นมานิดหนึ่ง

"แล้วไป ผมไม่อยากเสี่ยงโดนลูกหลงไปด้วยอีกคน" เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะพลางยกกาแฟติดก้นแก้วของตนขึ้นดื่ม

เขาจะพูดจริงหรือเป็นมุกตลกก็ยากจะคาดเดา แต่ประโยคนั้นก็บอกความนัยได้อย่างหนึ่ง คือหน้าที่มัคคุเทศก์ของเธอยังไม่จบแค่นี้ทีเดียว

...........................................

แผนการยามเย็นที่เธอจะชวนเขาไปขึ้นชิงช้าชมทิวทัศน์ของอ่าวมะนิลาถูกเปลี่ยนกะทันหัน เมื่อเธอได้รับโทรศัพท์ด่วนจากเพื่อนถึงงานพาร์ตไทม์ในร้านสะดวกซื้อที่ตนเพิ่งฝากเพื่อนส่งเอกสารสมัครเมื่อเช้า เย็นนี้ผู้จัดการร้านจะเข้าพอดีและต้องการสัมภาษณ์เธอเล็กๆ น้อยๆ นับเป็นโอกาสอันดีที่เธอจะได้งานใหม่ที่แม้จะรายได้น้อยกว่าร้องเพลงในไนต์คลับ แต่ก็ค่อนข้างปลอดภัย

"ไม่เป็นไร ไว้คุณค่อยพาผมไปก่อนผมกลับก็ได้" เขาว่าง่ายๆ

แต่ก็เป็นการยืนยันว่าเธอยังไม่หมดเวลาใช้หนี้ด้วยการเป็นมัคคุเทศก์ให้เขาจริงๆ

"คุณจะกลับวันไหนคะ"

"จริงๆ ก็เสร็จงานทางนี้แล้วล่ะ แต่ผมยังอยากเที่ยวต่อสักพัก อย่างน้อยก็สี่ห้าวัน" เขาขยับตัวนิดหนึ่งบนเบาะหลังรถแท็กซี่ข้างเธอ ขณะหันมาถามอย่างสนใจ "ผมเคยได้ยินชื่อทะเลสาบตาอัล มีภูเขาไฟที่เล็กที่สุดที่ยังปะทุอยู่ด้วยนี่นะ คิดว่าอยากให้คุณพาไป"

ลิปดามีสีหน้าลำบากใจ ถ้าจะข้ามไปเที่ยวอีกจังหวัดหนึ่งเช่นนั้น นั่นย่อมมีผลกระทบกับงานเธอเป็นแน่

"ทำไม ไกลมากรึ" เขาถามเมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดของหญิงสาว

"เปล่าค่ะ ไปเช้าเย็นกลับก็ได้ แต่งานที่ฉันจะไปสัมภาษณ์วันนี้อาจเริ่มงานกะเย็น ฉันกลัวจะกลับมาทำไม่ทัน"

รัญชน์ทำเสียงรับรู้ในลำคอ แม่สาวนักธุรกิจประสาอะไรรับงานซ้ำซ้อน เด็กอะไรจะบ้าทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตขนาดนี้ เขาพยายามเข้าใจแต่ก็แค่ผิวเผินอย่างคนที่เกิดมาสบาย ไม่เคยต้องดิ้นรนไขว่คว้าอะไรมาด้วยตัวเอง

"ถ้าฉันมีค่าตอบแทนให้เธอล่ะ"

ชายหนุ่มหรี่ตาสังเกตคนข้างๆ ก็เห็นเธอสูดหายใจลึกพลางเชิดหน้าขึ้นนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าถ้าเธอปฏิเสธหรือตอบรับ อย่างไหนตนจะดีใจมากกว่ากัน เพราะถ้าเธอปฏิเสธ แผนการเดินทางของเขาคงกร่อย แต่อย่างน้อยก็น่ายินดีที่ว่าเธอไม่ได้ตอบรับข้อเสนอนั้นเพราะเงิน

"คุณจะให้ฉันเท่าไรคะ" ในที่สุดลิปดาก็กลั้นใจถามออกไป

เธอมองสบดวงตาดูแคลนของเขาแล้วก็ให้รู้สึกราวใบหน้าตนหนาขึ้นสักสองนิ้ว แต่จะทำอย่างไรได้ นั่นอาจเป็นโอกาสที่เธอจะมีเงินเก็บเพื่อลงเรียนเทอมหน้าได้พร้อมเพื่อนๆ

"เรตปกติเขาคิดกันเท่าไร" รัญชน์ถามกลับอย่างอดผิดหวังไม่ได้

"ฉันก็ไม่ทราบ"

"วันละสองพันเปโซพอไหม หักหนี้ที่คุณติดผมก็เหลือวันละพัน เท่ากับคุณต้องนำเที่ยวให้ผมสี่วัน"

หญิงสาวหลุบเปลือกตาลง ใจพองโตกับข้อเสนอที่มากเกินคาด หนึ่งวันที่เป็นมัคคุเทศก์ให้เขาอาจมากกว่ารายได้จากการทำงานพาร์ตไทม์นั้นถึงสามวันด้วยซ้ำ เขาจะมองว่าเธอหิวเงินก็ช่าง เพราะเธอก็หามันมาอย่างสุจริตเสียอย่าง หญิงสาวปลุกปลอบตนเอง

"ถ้าตกลงก็ปฏิเสธงานวันนี้ไปได้เลย ระหว่างทำงานกับผม คุณควรให้เกียรติด้วยการไม่รับงานซ้อนใดๆ" เขาเอ่ยเสียงเขี้ยว

รัญชน์ขยับตัวล้วงกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋ากางเกง เขาควักธนบัตรใบละพันเปโซสองใบสำหรับค่าจ้างวันนี้ส่งให้เธอ วันแรกนี้เขายังไม่หักหนี้ที่เธอติดเขา เพราะเธอทำให้เขาประทับใจมาก ทั้งต่อสถานที่ และต่อตัวตนแท้จริงอีกด้านหนึ่งของเธอที่เขาได้สัมผัสเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เมื่อกลางวัน

"สำหรับวันนี้ที่คุณทำให้ผมประทับใจ"

ลิปดายื่นมือไปรับ เธอไม่ควรรู้สึกละอายต่อเงินที่หามาโดยสุจริต แต่ก็กลับรู้สึกเช่นนั้น

"ถ้าอย่างนั้นคุณอยากไปเดินเที่ยวที่ไหนต่อไหมคะ ตลาดซัลเซโดก็ได้" เธอถามอย่างเอาใจให้สมหน้าที่

'ซัลเซโด' คือแหล่งซื้อขายอาหารและของที่ระลึกต่างๆ ใจกลางย่านธุรกิจอย่างมากาติ โดยจะเปิดเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น

"ไว้ก่อนแล้วกัน วันนี้ผมอยากกลับที่พัก"

รัญชน์ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงผิดหวังนักหนาที่เธอตอบรับข้อเสนอด้วยเงินของเขา แล้วถ้าเธอปฏิเสธ เขาก็คงจะผิดหวังและหาทางหว่านล้อมให้เธอยอมรับอยู่ดี

เออนะ นี่เขาหวังอะไรจากเด็กสาวคนนี้กันแน่ ทั้งที่เขาไม่เคยเสียดายเงินที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไปกับสิ่งฟุ่มเฟือย แต่กับเธอ มันยากจะโกหกตัวเองได้ว่าเขาอยากให้ทุกอย่างเกิดขึ้นจากใจเธอจริงๆ

..................................

ลิปดาปลดเป้สะพายออกจากไหล่เมื่อกลับมาถึงห้องพัก มองจากหน้าต่างบนชั้นบนสุดออกไปก็เห็นท้องฟ้ายามเย็นเป็นสีส้มฉาน เธอเพิ่งได้หยุดพักชีวิตที่เหมือนหุ่นยนต์เคลื่อนไปข้างหน้าเป็นครั้งแรก ด้วยการนั่งบนขอบเตียงเหม่อมองผ่านหน้าต่างออกไป

เธอเพิ่งโทรเลื่อนนัดสัมภาษณ์งานพิเศษไปเป็นสัปดาห์หน้า รู้ดีว่าทำให้โอกาสได้งานที่นั่นริบหรี่ลง และระหว่างนี้เธอควรเริ่มมองหางานอื่นได้แล้ว เพื่อสิ้นสุดภารกิจนี้เมื่อไรเธอจะได้ไม่แกร่วเตะฝุ่นนานเกินไป ก่อนที่สถานการณ์จะบีบบังคับให้เธอกลับไปร้องเพลงที่ไนต์คลับที่เธอไม่รับสายโทรตามของผู้จัดการมาหลายวัน

แล้วความคิดหญิงสาวก็ถูกขัดขึ้นด้วยเสียงโทรศัพท์ เธอไม่ลืมมองชื่อคนโทรเข้าก่อนรับสาย เป็นเชอริลนั่นเอง

"ลิปดา เธอไม่ได้ไปสัมภาษณ์งานหรอกหรือ พี่ที่ฉันรู้จักทำงานในร้านนั้นโทรมาบอก"

"เปล่า เชอริล"

"ขอเหตุผล" เสียงถามมานั้นเข้มขึ้นอย่างที่คนฟังนึกภาพเพื่อนสนิทกำลังเม้มปากสะกดอารมณ์ขึ้นมาทันที

"เขาจะจ้างฉันพาเที่ยว วันละพันเปโซเชียวนะเชอริล"

ปลายสายเงียบไป ลิปดารู้ว่าเพื่อนก็คงรู้สึกยินดีกับเงินจำนวนมากนั้น เมื่อเจ้าหล่อนเข้าใจความเป็นอยู่ของเธอดี เสียงเอ่ยต่อมาจึงแว่วเสียงถอนใจ

"ระวังตัวดีๆ นะลิปดา เงินพันมันมากสำหรับค่าแรงก็จริง แต่ไม่มากเลยถ้าเขาคิดว่าจะซื้ออย่างอื่นได้ด้วย"

คำเตือนของเพื่อนทำให้ฉุกคิด จากท่าทีของเขาวันนี้ทำให้เธอไว้ใจเขามากขึ้น เมื่อเขาไม่ได้แสดงออกเชิงชู้สาวแต่อย่างใด

แต่็คือเสือ เขาก็คือผู้ชายเจ้าชู้ เจ้าเสน่ห์คนเดิมที่เคยขโมยจูบเธอ และสำหรับเธอในสายตาเขาก็คงจะเป็นแค่ผู้หญิงกลางคืนที่เขาเคยจับจูบลูบคลำง่ายๆ เพียงแต่ความรังเกียจพฤติกรรมหัวขโมยของเธอยังขีดกั้นเขาไว้ไม่ให้ก้าวเข้ามาใกล้มากเกินไป

"ขอบใจที่เตือน เชอริล ถ้าเห็นท่าไม่ดีเมื่อไรฉันจะไม่ยอมเสี่ยงแน่ ฉันยังไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับละครของอาจารย์มาเรียหรอกนะ" เสียงเอ่ยกลั้วหัวเราะแปร่งปร่า

"พูดถึงอาจารย์ วันอังคารนี้เรามีนัดรณรงค์กันนะ เธอจะมาได้ไหม"

ลิปดาลืมไปเสียสนิท ถึงเธอจะบ้าทำงานหาเงินแค่ไหน แต่สิ่งเดียวที่เธอเต็มใจทำโดยไม่หวังผลตอบแทนก็คืองานที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวฟิลิปปินส์ที่เธอเห็นสอดคล้องกับอาจารย์มาเรีย

"ไป ยังไงก็จะพยายามไปให้ได้ เธออย่าเพิ่งขีดชื่อฉันออกนะเชอริล" หญิงสาวบอกอย่างมุ่งมั่น

เธอจะทิ้งงานเดียวที่เธอภูมิใจ มีความหวัง ความสุขที่ได้ทำได้อย่างไร

...............................

บทนี้พาเที่ยวในมะนิลาก่อนนะคะ เที่ยวเพลินจนลืมโกรธกันเลยค่ะ
เดี๋ยวต่อไปก็จะไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง
แพรวเขียนไปยังอยากไปเลยยย หุๆ
ฝากติดตามด้วยนะคะ



ภาพิมล_พิมลภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ต.ค. 2556, 12:18:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ต.ค. 2556, 12:18:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1234





<< บทที่ ๔   บทที่ ๖/๑ >>
ปริยาธร 28 ต.ค. 2556, 21:06:33 น.
คุณพระเอกนี่น้า สาวยอมพาเที่ยวแล้วยังคิดมากอีก
อีกไม่นานได้ตกหลุมรักจนถอนตัวไม่ขึ้นแน่


ภาพิมล_พิมลภา 28 ต.ค. 2556, 21:14:14 น.
พี่นุ้ย - มันเป็นความรู้สึกเสียฟอร์มลึกๆอยู่ค่ะ อยากเอาชนะใจเธอจากเงิน แต่ไปๆมาๆก็อยากได้ใจสาวเจ้าแหละค่ะ อิอิ


ปลายสี 28 ต.ค. 2556, 22:15:58 น.
มาตามเที่ยวฟิลิปปินส์ด้วยคนค่ะ


ภาพิมล_พิมลภา 29 ต.ค. 2556, 11:02:55 น.
คุณปลายสี - ยินดีเลยค่ะ ดีใจที่ได้เห็นคอมเมนต์จากคนอ่านนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account