Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้

นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 25 : ซิดนี่ย์ วอล์ก(1)

กระเป๋าถูกเช็คอินและนำขึ้นเครื่องบินเรียบร้อย จะว่าไปพีรพงษ์เพิ่งถ่ายภาพไปแค่รูปเดียว เมื่อรอเวลาอยู่ที่สนามบิน เขาเลยยกมือถือกดบันทึกภาพของอูยูรูที่เห็นอยู่ไกลๆ ก้อนหินลูกโตเหมือนใครก้มหมอบคุดคู้ อาจจะเป็นเทพเจ้าหรือบรรพบุรุษของชาวอะบอริจิ้นก็เป็นได้ เมื่อกดถ่ายภาพไปซักสิบกว่ารูปซึ่งรวมถึงบรรยากาศในสนามบินด้วย หนุ่มจากเมืองไทยผู้เดินทางตามความตั้งใจเก่าแก่เพียงลำพังก็ทิ้งตัวบนเก้าอี้สนามบินเงียบๆ เสียงลมทะเลทรายตัดกับเสียงความเคลื่อนไหวในสนามบินราวกับเป็นคนละโลก

ในท่ามกลางดินแดนกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่ได้มาเห็น เสี้ยวหนึ่งความคิดของชายหนุ่มลอยล่องไปถึงทะเล

“เล่นน้ำกัน” เกมเอ่ยปากชวนเมื่อตะวันจะจับขอบฟ้าอยู่ลอมร่อ แดดรำไรท้ายวันเปลี่ยนอารมณ์ร้อนแรงของหนึ่งวันที่ผ่านไปเป็นสร้อยเศร้า เกมเพิ่งเสียป้าไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ญาติที่แสนดีคนเดียวที่เหลืออยู่ ถึงจะไม่ดีที่สุดแต่ก็ดีกว่าญาติพี่น้องของพ่อกับแม่คนไหนๆ เธอเคยว่าอย่างนั้น
“ฟ้ามันจะมืดแล้วนะ” เขาบอกคนรัก
“กลัวอะไร?” เธอเอียงคอถาม
“ไม่ได้กลัวอะไร ก็มันจะมืดแล้ว เดี๋ยวมองอะไรไม่เห็น”
“ก็แล้วจะต้องมองอะไรล่ะ?” เธอว่า
“หรือว่าจะมองผู้หญิงคนอื่น!!” เกมขึ้นเสียง เริ่มลงมือใช้กำปั้นเล็กๆ ทุบหัวไหล่เขารัวๆ
“เว้ย... จะให้ไปมองผู้หญิงคนไหนล่ะ บ้าเปล่าเนี่ย?” ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบอย่างหงุดหงิด
“เออ... ใช่ เกมมันเป็นคนบ้านี่” หญิงสาวโวยวาย ลุกพรวดพราดวิ่งลงหาดไปดื้อๆ

ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกก่อนลุกขึ้นวิ่งตามไป ทันคว้าแขนกันไว้ได้ก็ตรงน้ำทะเลท่วมต้นขา เกมพยายามสะบัดให้หลุด เขาก็เลยต้องดึงคนกำลังต่อต้านเข้ามากอดแน่นๆ กับอก

“เป็นไรของเกมเนี่ย?” เขาถาม ปล่อยร่างหญิงสาวร้องไห้และดิ้นรนอยู่ในอ้อมแขน
“ก็พี่ไนท์ว่าเค้าเป็นคนบ้า”
“โอ๋ๆๆ ไม่ว่าแล้ว ไม่บ้าแล้ว” เขารีบปลอบ
“ก็พี่ไนท์ว่าเค้าว่าบ้า” เกมยังไม่หยุด ทั้งยังร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
“ไม่ร้องนะครับ ไม่ร้อง... โอ๋ๆ คนดีพี่ไนท์ไม่ว่าแล้ว” เขากระชับกอดสาวคนรักแน่นขึ้น ร่างเล็กเอาหน้าซุกสะอื้นแรงๆ บนหน้าอก เขาเริ่มน้ำตาปริ่มไหล
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คนดีไม่เป็นไรนะ”
“ก็พี่ไนท์จะมีคนอื่น”
“ไม่มีใคร พี่ไนท์ไม่มีใครนะครับ พี่มีเกมคนเดียวนะ”

พีรพงษ์เก็บภาพความทรงจำกลับสู่สถานที่เก็บในสมอง อาจจะมีความเจ็บปวดเกิดขึ้นบ้างนิดหน่อย แต่เขาพยายามอดทน เมื่อผู้โดยสารของเที่ยวบินกลับสู่ซิดนี่ย์ทยอยเข้านั่งประจำตำแหน่งตัวเอง ชายหนุ่มนั่งติดกระจกหน้าต่าง จ้องตากับเงาสะท้อนตัวเองรางๆ

อากาศที่ซิดนี่ย์อุ่นขึ้นกว่าตอนมาถึงวันก่อนนู้น อุ่นขึ้นจนน่าจะเรียกว่าร้อน แผนที่คร่าวๆ ที่คนชื่อต็อดเพื่อนของจูนส่งมาให้ทางเมล์บอกการเดินทางที่ไม่น่าจะยาก

“ผมจะติดพรีเซนต์งานให้ลูกค้าตอนเช้า กว่าจะเสร็จคงเกือบบ่าย เดี๋ยวผมจะแฟกซ์แผนที่ไปให้นะ” ต็อดบอกทั้งขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“เส้นทางคร่าวๆ คือ พอมาถึงสนามบินซิดนี่ย์คุณขึ้นรถไฟที่สนามบิน สายแอร์พอร์ท แอนด์ อีสฮิลล์ไลน์ ไปลงสถานีเซ็นทรัล จากนั้นขึ้นสายนอร์ทชอร์ส แอนด์ เวสเทิร์น ไลน์ ไปลงสถานีนอร์ท ซิดนี่ย์”
“ตามทันนะ?” ต็อดถาม
“ทันครับ” พีรพงษ์ตอบ พร้อมดูแผนที่ที่อีกฝ่ายแฟกซ์มาให้ไปด้วย
“เสร็จแล้วคุณออกมาหน้าสถานีจะเห็นกรีนวู้ด พลาซ่า ถึงแล้วโทรหา แล้วก็รอผมอยู่แถวนั้นก่อน”
“ครับ” พีรพงษ์รับคำ คิดในใจว่าต่อรถไฟแค่สองขบวนแบบนี้ไม่น่ายากเลย ถึงหลงทางก็ยังมีที่อยู่ให้ไปแท็กซี่ได้

เมื่อหลุดจากสนามบินและไปเก้ๆ กังๆ อยู่ที่สถานีเซ็นทรัลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดชายหนุ่มก็มายืนอยู่หน้าสถานีนอร์ท ซิดนี่ย์จนได้ รวมแล้วใช้เวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงครึ่งพอดี พีรพงษ์ยิ้มออกเมื่อเห็นป้ายพลาซ่าฝั่งตรงข้ามเขียนว่ากรีนวู้ดไว้ชัดเจน เขาล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก สัญญาณดังอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่มีคนรับสาย ทำเอาชายหนุ่มใจหายเล็กๆ แต่แอบปลอบใจตัวเองว่าอีกฝ่ายคงยุ่งกับธุระอยู่ ดังนั้นจึงเลือกรออยู่แถวนี้ค่อยติดต่อใหม่

ถนนสายเล็กๆ ชื่อบลูสตรีท คั่นกลางระหว่างหน้าสถานีรถไฟใต้ดินกับพลาซ่า เลนแคบแค่พอรถวิ่งสวนกันได้เหมือนถนนในซอยขนาดใหญ่ที่เห็นได้ทั่วไปที่เมืองไทย ผิดแต่ว่าต้นไม้ร่มรื่นกว่า

ร้านกาแฟแบบนั่งทานตรงปากทางเข้าพลาซ่ามีเมนูอาหารแบบเบาๆ ให้เลือกด้วย แฮมเบอร์เกอร์เนื้อชิ้นโตสมราคาท่าทางจะเติมกระเพาะว่างๆ ของเขาได้จนแน่น กับกาแฟเย็นรสเข้มกว่าแบบเดียวกันที่สั่งดื่มในเมืองไทย รสชาติแบบออสซี่ทำให้เขารู้สึกแตกต่างไป

พีรพงษ์นั่งมองผู้คนที่เดินทางไปมาบริเวณนั้นด้วยความรู้สึกสนใจไปหมด ทุกๆ เวลาไม่ถึงสิบนาที ผู้คนที่โดยสารมากับรถไฟใต้ดินจะเดินออกมาจากประตูเลื่อนที่มองเห็น บางคนจับจักรยานที่ยอดอยู่ตรงหน้าทางเข้าเพื่อเดินทางต่อ บางคนขึ้นรถเมล์สีน้ำเงินที่ดูน่าไว้ใจกว่ารถเมล์ไทยเยอะ รถยนต์ขนาดเล็กกะทัดรัดประมาณพวกอีโคคาร์ถูกใช้งานบนถนนมากกว่ารถเครื่องยนต์สูงๆ ชายหนุ่มรู้สึกอย่างนั้นหลังนั่งมองอยู่ครู่ใหญ่

สักยี่สิบนาที ต็อดก็โทรศัพท์เข้ามา ฝ่ายนั้นรีบขอโทษเป็นการใหญ่ เพราะเพิ่งออกจากห้องคุยงานที่ออฟฟิศลูกค้าแถวบอนดี้

“กว่าจะไปถึงที่นู่น น่าจะอีกเกือบชั่วโมง คุณจะรอผมไปรับหรือจะไปที่บ้านก่อนเลยล่ะ?” ต็อดถาม
“แล้วที้บ้านมีคนอยู่เหรอ?” เขาถามกลับ
“มี วันนี้แฟนผมเข้างานกลางคืน ตอนนี้น่าจะยังอยู่บ้าน เดี๋ยวผมโทรบอกให้”
“คงไม่ดีมั้ง แฟนคุณอยู่บ้านคนเดียว เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจผิดกันไป” ชายหนุ่มว่า
“ไม่เป็นไรหรอก ดั๊กแฟนผมเป็นผู้ชาย ใครเห็นก็คงคิดว่าคุณเป็นเพื่อนหรือไม่ก็ลูกค้ามาติดต่องานที่ออฟฟิศผม” ต็อดว่า ชายหนุ่มครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนถาม
“ไกลไหม?”
“ไม่ไกลหรอก เดินไปแค่ไม่ถึงสองร้อยเมตร”
“ตอนนี้อยู่ไหนล่ะ?”
“ผมอยู่ร้านกาแฟหน้าสถานี”
“ดีเลย มองเห็นไฟแดงมั้ย?”
“ใช่ๆ เห็น” พีรพงษ์ตอบหลังจากที่ขยับตัวออกที่นั่งมายังขอบถนนแล้ว
“ตรงตึกอาคารบริษัท... เอ่อ... บริษัทซูริชใช่มั้ย?” ชายหนุ่มบอกเมื่อเห็นป้ายบนหลังคาตึก
“ใช่ ตรงนั้นแหละ แล้วก็เลี้ยวซ้ายลงเนินไปตามถนนนะ มันจะมีโบสถ์อยู่อีกฟากถนน แล้วซ้ายมือจะมีสวนหย่อมเล็กๆ เดินผ่านสวนหย่อมไปอีกหน่อยจะเจอลานจอดรถไม่ใหญ่นัก คุณลงบันไดเข้าไปในลานจอดเลย แล้วมองหาทาวน์โฮมเลขที่ 218 B นะ”
“ถ้าผมเดินเตลิดล่ะ?”
“ถ้าเดินเตลิดมันจะไปถึงสี่แยกไฟแดง ถ้าไปถึงนั่นแปลว่าเลยแล้ว ให้ย้อนกลับมา”
“อ้อ... อาคารทาวน์โฮมผมด้านนอกทาสีน้ำตาลอ่อนนะ พอไปถึงแล้วบอกดั๊กให้โทรบอกผมด้วย”
“ได้ครับ”

พีรพงษ์ย้อนกลับมาจ่ายค่าอาหารก่อนยกกระเป๋าขึ้นหลัง เดินไปตามฟุตบาทขนาดไม่กว้างนักตรงไปยังสี่แยกไฟแดง ทางซ้ายมือเป็นทางลงเนินชันมาก ป้ายชื่อที่หัวมุมถนนบอกชื่อบลูส์ พ้อยท์ โร้ด เป็นทางลงเนินที่รับมาจากถนนด้านขวามือ เขาหมุนตัวลงไปตามลาดชันของเนิน ด้วยความชันเอาการเขาเลยต้องพยายามเอนตัวทิ้งน้ำหนักไว้ข้างหลัง ยอดสูงเด่นของโบสถ์อีกฟากถนนแทงพ้นยอดไม้ ส่วนฝั่งซ้ายมือมีสวนหย่อมเล็กๆ เป็นสวนหย่อมสองระดับที่ทำรับกับถนน ปลูกหญ้าอ่อนสีเขียวตัดเตียนเหมือนกรีนสนามกอล์ฟเปิดทิวทัศน์ที่ทำให้ชายหนุ่มอดยืนมองไม่ได้

เมื่อมองไปไกลๆ จะเห็นสะพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ โครงสร้างเหล็กโค้งๆ ทำให้เขารู้สึกเหมือนสะพานพุทธ เบื้องหลังถัดไปแม้จะเห็นไม่ถนัดนัก แต่เขาคิดว่าน่าจะใช่โอเปร่าเฮ้าส์แน่ๆ สถาปัตยกรรมรู้ร่างโดดเด่นไม่เหมือนใครที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้

อึดใจเดียวของการเดินต่อ ลานจอดรถราดยางมะตอยระหว่างแอบตัวอยู่ข้างถนนแบบมองจากบนถนนไม่เห็น ตัวพื้นอยู่ต่ำกว่าผิวถนนลงไปเมตรกว่าๆ พีรพงษ์คิดว่าน่าจะใช่ที่นี่เพราะตึกสีน้ำตาลอ่อนของมัน ส่วนตึกที่อยู่เลยไปซักยี่สิบเมตรข้างหน้า แม้จะเป็นสีน้ำตาลก็ออกจะดูเป็นสีอิฐแดง ถ้าเลยไปก็เหมือนจะถึงสี่แยกไฟแดงข้างหน้าแล้ว

เขาก้าวเท้าลงบนขั้นบันไดเหล็กเล็กๆ ติดขอบถนน มองหาป้ายเลขที่บ้านที่ติดไว้หน้าตึกแต่ละห้องจนเจอ เขาไม่รอช้า เดินเข้าไปเคาะประตูทันที

คนมาเปิดประตูให้เป็นคนเอเชียแต่เขาไม่แน่ใจว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า ผิวสองสีแต่ออกขาว รูปร่างบอบบางกว่าผู้ชายทั่วไป คำทักทายแรกทำให้พีรพงษ์รู้สึกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้แตกต่างจากผู้ชายไทยปกติ แต่ก็ไม่ทำให้เขาประหลาดใจนัก เพราะเขารู้อยู่แล้วจากการที่ต็อดบอกว่าแฟนเขาเป็นผู้ชาย

“ไนท์?”
“ใช่” เขาพยักหน้าตอบ
“ยินดีที่ได้เจอนะ” ดั๊กเอ่ยทักเป็นภาษาไทยกระท่อนกระแท่น สำเนียงฟังแปร่งหู ก่อนยื่นมือมาทักทาย
“มาๆ เข้ามาข้างในก่อน ต็อดโทรมาบอกแล้วว่าคุณจะมาพักกับเราชั่วคราว” ดั๊กเปลี่ยนมาพูดเป็นภาษาอังกฤษ

ร่างเล็กเดินบิดอย่างจริตผู้หญิงนำทางเข้าไปในช่องทางเดินขนาดพอเหมาะ พาผู้มาเยือนขึ้นบันไดเพื่อเอาของไปเก็บที่ห้องพัก ที่นี่เป็นทาวน์โฮมแบบสามชั้นครึ่ง ภายในบ้านถ้าไม่นับช่วงทางเดินค่อนข้างโอ่โถง ด้านข้างบันไดเป็นผนังที่ติดภาพถ่ายนักแสดงไว้แน่น ที่ชั้นสองมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ บอร์ดงานที่อาศัยผนังห้องด้านหนึ่งทั้งด้านมีกระดาษโน้ตติดจนเต็ม กระจกบานใหญ่ที่ปิดไว้ด้วยม่านสีหม่นช่วยกรองแสงจากข้างนอกไม่ให้แสบตา

ห้องที่พวกเขาให้ชายหนุ่มพักเป็นห้องรับรองแขกขนาดใหญ่อยู่บนชั้นสามฟากลานจอดรถ ส่วนห้องพวกเขาอยู่ฝั่งที่เห็นวิวด้านหลังอาคาร เตียงหนานุ่มและข้าวของเล็กน้อยถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ

“จะอาบน้ำก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวฉันขอตัวลงไปทำงานข้างล่างต่อ” ดั๊กบอก

พีรพงษ์พูดขอบคุณ วางกระเป๋าลงปลายเตียง เดินไปแง้มผ้าม่านที่กระจก มองออกไปข้างนอก เบื้องหน้าเป็นลานจอดรถ สนามหย่อมมีเครื่องเล่นสไลเดอร์สีสด รั้วสังกะสีเก่าสูงท่วมหัว หลังคาอาคารที่พักไล่ระดับขึ้นไปบนเนินชันของย่านนอร์ท ซิดนี่ย์ที่เทลาดลงไปหาอ่าวฮาร์เบอร์ ตึกสูงราวกับแข่งกันไต่ระดับสูงท้องฟ้า เขาถอนหายใจเบาๆ เมื่อนึกถึงเวลาในขณะนั้นว่ามันเหลืออีกไม่กี่วันสำหรับการอยู่ที่นี่ อยู่เพื่อค้นหา เพื่อพบเจอ? แต่เมืองนี้มันกว้างใหญ่เกินกว่าที่จะเจอกันได้โดยความบังเอิญ บางทีอาจจะไม่ได้พบเจอ?

ภาพเกมในวันที่เจอกันครั้งแรกผุดขึ้นมาจากความทรงจำ หญิงสาวเพิ่งผลัดจากความเป็นเด็กรุ่น เขายืนอยู่หน้ากระจกร้านหนังสือใหญ่ในห้าง เกมถือนิตยสารอยู่อีกฟากกระจกนั่น เสื้อผ้ายืดสีชมพูกับลายขวางสีดำแถบใหญ่กลางตัว เธอก้มมองหน้านิตยสาร มันคงมีอะไรสนุกมากจนทำให้เกมหัวเราะขึ้นมาเบาๆ หัวเราะเสร็จเธอก็เงยหน้าขึ้นมา ใบหน้ากลมแบบจีนของเกมดูจะช็อกนิดๆ เมื่ออีกฟากกระจกมีผู้ชายไม่รู้จักยืนจ้องอยู่ แล้วเกมก็ยิ้มแห้งๆ ทำให้ชายหนุ่มตะลึงค้างอยู่กับช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ถูกจดจำไว้มากกว่าวันที่ได้รู้จักกันในภายหลังเสียอีก



นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ต.ค. 2556, 19:55:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ต.ค. 2556, 20:01:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 853





<< บทที่ 24 : การตามหา   บทที่ 26 : ซิดนี่ย์ วอล์ก(2) >>
Hibara 26 ต.ค. 2556, 02:10:50 น.
รอมร่อค่ะ

แล้วก็... สำนวนว่า เดินเตลิด นี่เพิ่งเคยได้ยิน (อ่าน) ครั้งแรกแฮะ แหะๆ


Hibara 26 ต.ค. 2556, 02:11:25 น.
คือรู้จักคำว่าเตลิดค่ะ แต่ไม่รู้ว่ารวมกับคำว่า เดิน แล้วจะได้ความหมายประมาณนี้


นรมันร์ 26 ต.ค. 2556, 02:43:31 น.
บางคำก็นึกงงๆ ตัวเองเพราะใช้ไม่เหมือนชาวบ้านเค้าอยู่นะ


Hibara 26 ต.ค. 2556, 14:01:29 น.
เป็นคำที่ปกติใช้รึเปล่าคะ..


นรมันร์ 26 ต.ค. 2556, 22:54:12 น.
ใช้นะ... พูดเองแบบนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account