Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้

นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 26 : ซิดนี่ย์ วอล์ก(2)

น้ำอุ่นจากฝักบัวเรียกความกระชุ่มกระชวยได้ดีทีเดียว หลังอาบน้ำ พีรพงษ์หยิบเสื้อแขนสั้นตัวที่ยังไม่ไดใช้มาสวม ใส่กางเกงยีนส์ตัวเก่าเรียบร้อย จากนั้นถึงได้เดินลงมาชั้นล่าง ดั๊กกำลังทำตัวเป็นแม่บ้านด้วยการเอาเครื่องดูดฝุ่นดูดโซฟายาวหุ้มหนังเทียมสีดำเข้ม มันวางตัวอยู่บนพรมถักปูพื้นลายก้นหอยสีส้ม-ขาว หน้าต่างกระจกกว้างถูกรูดม่านไว้ครึ่งๆ กลางๆ มองลอดออกไปเห็นสนามหลังบ้านเล็กๆ ปูไว้ด้วยกรวดสีดำและรั้วไม้สูงที่สุดกำแพง

ดั๊กฮัมเพลงฝรั่งที่พีรพงษ์เคยได้ยินแต่ไม่รู้จักชื่อ ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอะไรชายหนุ่มเลยยืนนิ่งๆ อยู่ตรงโถงทางเดิน เสียงเปิดประตูที่ด้านหลังทำให้ทั้งเขาและดั๊กหันไปมองพร้อมกัน ผู้ชายคนไทยท่าทางจะอายุน้อยกว่าเขาหลายปี ผิวขาว สูง รูปร่างสมบูรณ์แบบเจ้าเนื้อในชุดสูทสีเขียวเข้ม ศีรษะล้านโล่งเตียน ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาเขาก็อวดรอบยิ้มบนใบหน้าอวบอูม

“คุณไนท์สินะ” คนเข้าบ้านทัก
“ครับ ใช่”
“ผมต็อดครับ ตามสบายแล้วกัน ไม่ต้องเกรงใจ”
“ครับ ขอบคุณ”

พีรพงษ์เบี่ยงทางหลบให้ต็อดเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ส่วนตัวเองก็ได้แต่ยืนหมุนไปหมุนมาเพราะไม่รู้จะทำอะไร เลยออกปากกับคนกำลังเก็บกวาดบ้านว่าจะออกไปเดินเล่นข้างนอก

“ต็อด!” ดั๊กตะโกนเรียก
“อะไร??” คนอยู่ข้างบนตอบกลับ
“แขกจะออกไปเดินเล่นข้างนอกนะ”
“เหรอ? โอเคๆ แป็บนึงนะ”

ชายหนุ่มฟังทั้งสองคนโต้ตอบกัน ก่อนที่ต็อดจะตะโกนเป็นภาษาไทยลงมา

“พี่ไนท์ กลับมาให้ทันในสองชั่วโมงนะ”
“ครับ”
“เดี๋ยวไปกินอาหารทะเลที่หาดบอนดี้กัน ผมต้องไปส่งดั๊กเข้างานด้วย” ต็อดบอก
“ได้ๆ เดี๋ยวผมจะรีบกลับมาแล้วกัน” เขาตอบกลับ บอกกับดั๊กว่าจะเดินไปเรื่อยๆ ถึงปลายถนนก็กลับ เจ้าของบ้านพยักหน้ารับรู้

ชายหนุ่มออกมาที่ลานจอดรถ เดินมาปีนบันไดขึ้นสู่ถนน ออกเดินตามทางลาดสู่ปลายถนน ตรงที่เขารู้ว่ามีแหลมยื่นออกไปในทะเลจากป้ายบอกทาง อากาศสดใสของตอนบ่ายสามโมงในนอร์ท ซิดนี่ย์กับทิวทัศน์แปลกตาแต่ดูสดชื่น สะอาดสะอ้าน พีรพงษ์พยายามปล่อยให้ตัวเองรู้สึกปลอดโปร่ง จังหวะย่ำเท้าของเขาสม่ำเสมอ สืบเท้าไปข้างหน้ายาวๆ ลงแรงฝ่าเท้าแน่นๆ นานเท่านานที่เขาไม่เคยรู้สึกว่าโลกที่แบกไว้มันหนัก วันนี้ เวลานี้ โลกของเขานั้นเบาเหมือนจะลอยตัวขึ้นไปเองในอากาศ

เบื้องหน้าของพีรพงษ์คือสะพานข้ามอ่าวฮาร์เบอร์ เรือยอร์ชหรูหราและเรือประมงทอดตัวนิ่งๆ เรือสปีดโบ้ทลำโตแล่นสวนกันวุ่นวาย ผืนน้ำตีระลอกตามแรงหมุนใบพัดท้ายเรือ มุมเอียงของลูกคลื่นสะท้อนแสงตะวันคล้อยต่ำที่ตกกระทบ บางส่วนมาจากท้องฟ้า บางส่วนมาจากกระจกตึก แสงพร่าทำให้ชายหนุ่มต้องหรี่ตา

บนขอบปูนริมตลิ่ง พีรพงษ์ยืนกวาดสายตาไปรอบทิศ ลมสดชื่นพายพัด เขาหลับตาและสูดกลิ่นของเมืองที่เกมมาใช้ชีวิตอยู่

พีรพงษ์นึกถึงโทรศัพท์ที่ยกขึ้นเปิดดูข้อความ เขารู้สึกเหมือนเปิดกล่องของขวัญที่ได้มาโดยไม่คาดคิด เหมือนตรวจรางวัลแล้วถูกรางวัลลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ เหมือน... เหมือนอะไรเขาก็เปรียบเทียบไม่ถูกจริงๆ เขานึกถึงข้อความในโทรศัพท์อีกครั้ง

“give me a day, tomorrow I’ll call you na ka@Game”
....................

เนื่องจากรับปากว่าจะออกมาแค่ครู่เดียว พีรพงษ์มีเวลาที่แหลมบลูส์พ้อยต์แค่สั้นๆ ก่อนเดินก้าวยาวๆ ไต่เนินกลับมายังบ้านของมิตรใหม่ชาวไทย ทั้งที่อากาศเย็นสบายแต่เพราะเนินอันลาดชันมากทำให้เขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ

ดั๊กเป็นชาวเวียดนาม เป็นหนึ่งในทีมนักแสดงคาบาเร่ต์ของร้านอาหารและบาร์หลายแห่งบนหาดบอนดี้ ส่วนต็อดก็มีบทบาทเหมือนเป็นผู้จัดการวง หาดบอนดี้เป็นหาดที่มีชื่อรัฐนิวเซาท์เวลส์ เกือบทุกวันเขาจะขับรถไปส่งแฟนสาวสุดที่รักที่มีร่างเป็นชายเข้างานที่นั่น จากนั้นก็ตระเวนไปตามย่านไนท์ไลฟ์เพื่อติดต่องานพร้อมกับหานักแสดงใหม่ๆ เข้าร่วมทีมด้วย ต็อดว่าการซื้อตัวในวงการนี้ก็พอๆ กับในวงการร้านอาหาร ยิ่งร้านอาหารไทยยิ่งหนัก พูดง่ายๆ ว่าเอาเงินฟาดซื้อตัวกันมาดื้อๆ ก่อนเสริมว่าก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะการแสดงสาวประเภทสองหรือแม่ครัวคนไทยเป็นที่ต้องการมาก สองคนคบหากันมาเกือบห้าปีแล้วหลังจากมาขุดทองที่ออสเตรเลียก่อนหน้านั้นอีกคนละสองสามปี
ดั๊กไม่ทานมื้อเย็นด้วยเพราะต้องเตรียมตัวแสดงรอบหัวค่ำ จึงมีเพียงพีรพงษ์กับต็อดที่เข้าร้านอาหารและสั่งอาหารเย็นกินกัน

“ไอ้จูนมันว่าพี่จะมาหาเพื่อนที่ซิดนี่ย์เหรอ?”
“อืม... ไม่ใช่เพื่อนหรอก แฟนเก่าน่ะ”
“แล้วพี่มีที่อยู่มั้ย? เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมขับรถไปส่ง”
“ขอบใจนะ แต่พี่ไม่มีที่อยู่เค้าหรอก”
“ไม่มี” ต็อดประหลาดใจ
“อ้าว แล้วอย่างนี้พี่จะไปหาเจอที่ไหนล่ะ ติดต่อกันได้หรือยัง?”
“อ๋อ... เค้าส่งข้อความมาหาแล้ว เดี๋ยวเค้าจะโทรมาหาพรุ่งนี้”
“โอเค ก็ดีไป นึกว่าพี่จะไปงมเข็มหาในมหาสมุทรซะอีก” ต็อดว่าแล้วก็หัวเราะ
“ทีแรกพี่ก็นึกว่าจะเป็นแบบนั้นซะแล้ว”
“ว่าแต่แฟนเก่าพี่ชื่ออะไรเหรอ? หน้าตาเป็นไงล่ะ... เผื่อผมรู้จัก”
“ชื่อเกม บุคลิกคล้ายๆ จูน”

ต็อดหยุดกินอาหารในจานของตัวเองครู่หนึ่ง พีรพงษ์เห็นอีกฝ่ายพยายามนึก จากนั้นต็อดก็ส่ายหน้าเบาๆ

“นึกไม่ออกแฮะ...”
“ว่าแต่พี่ไนท์เป็นแฟนกับไอ้จูนมันเหรอ?” ต็อดเปลี่ยนเรื่อง
“เปล่า... จะว่าไปก็แค่เกือบ” เขาตอบ
“เหรอ? แต่ท่าทางไอ้จูนมันห่วงพี่มากเลยนะ โทรมาผมยิกๆ”
“อ้าวเหรอ? ขอโทษทีนะที่ทำให้ลำบากไปด้วย”
“ไม่เป็นไรพี่ สบายๆ ผมกับไอ้จูนช่วยเหลือพึ่งพากันมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว”
“แฟนเก่าพี่ทำไมมาอยู่ออสเตรเลียได้ล่ะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน พี่ไม่ได้ติดต่อเค้ามานานมากแล้ว คงโชคดีได้มาทำงานที่นี่มั้ง” ชายหนุ่มออกความเห็น ใช้ส้อมจิ้มชิ้นเนื้อสเต็กเข้าปาก รสชาติเนื้อคำก่อนหน้านี้มันยังอร่อยดีอยู่ แต่พอเจอต็อดตั้งคำถาม ความสงสัยก็เปลี่ยนรสชาติเนื้อให้แปร่งปร่า

นั่นสินะ ทำไมเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเกมมาอยู่ที่ออสเตรเลียได้ยังไง?
....................

เป็นคืนที่ชายหนุ่มนอนไม่หลับ เขานั่งลงหน้าจอแท็บเล็ตมานานกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว หลังจากเข็มนาฬิกาแขวนผนังวิ่งผ่านเวลาเที่ยงคืน หน้าต่างโปรแกรมพิมพ์งานสว่างจ้าในแสงไฟที่หรี่ไว้พอสลัวๆ มีตัวอักษรไม่กี่แถวถูกพิมพ์ลงไปแล้ว

โปรแกรมสนทนาทางอินเตอร์เน็ตมีคนรู้จักออนไลน์อยู่ 2-3 คน ตอนแรกพีรพงษ์นึกดีใจที่จูนออนไลน์ แต่โชคร้ายที่หญิงสาวแค่เปิดสัญญาณเชื่อมบนมือถือไว้ เพราะข้อความที่ทักไปไม่มีวี่แววตอบกลับ

ชายหนุ่มนั่งหลับตา คิด และคิด

เมื่อตอนที่เกมเดินออกไปจากชีวิต ตัวเขาเองเหมือนไม่มีอะไรเหลืออยู่ เหมือนมีโพรงอากาศว่างๆ เกิดขึ้นมาและไม่รู้ว่าจะจัดการมันอย่างไร มีก็แต่ห้วงความคิดที่วกไปวนมาระหว่างเหตุผลและทิฐิ พอคิดดู มันจะเป็นที่เขาคนเดียวเท่านั้นหรือ? เกมน่าจะเป็นแบบเดียวกันหรืออาจจะเป็นยิ่งกว่าไม่ใช่หรือ? เกมไม่มีใครยิ่งกว่าเขาอีกนี่นา เกมไม่เหลือญาติพี่น้อง เกมไม่มีเพื่อนสนิท และสำคัญคือเกมไม่มีที่ไป

ใช่... เขามัวแต่นึกโทษนั่นโทษนี่ จนลืมแม้แต่จะคิดว่าเกมจะเป็นอย่างไร เกมจะไปทางไหนในวันที่คงสับสนพอกัน

ชายหนุ่มเอาฝ่ามือปิดหน้า น้ำตาไหลลงมาบนฝ่ามือ หยดลงเป็นสาย ความเสียใจถาโถมเข้ามาเหมือนมันถูกค้นพบ เขาร้องไห้สะอึกสะอื้นใจความเงียบ

โทรศัพท์ของเกมติดต่อมาตอนสาย พอบ่ายพีรพงษ์ก็นั่งรถไฟเข้าเมือง เกมนัดเขาไปเจอที่ร้านอาหารชื่อ “ซีแอตเติ้ล” มันอยู่ไม่ห่างจากสถานีเซ็นทรัลมากนักและหาไม่ยาก แค่เดินสักพักเดียวก็ถึง ใจของพีรพงษ์เต้นตูมตามมาตั้งแต่ตอนที่เธอติดต่อมา เขาพยายามไม่คิดเรื่องของเกม พยายามที่จะไม่นึกภาพไปก่อนว่าเกมจะเป็นอย่างไรหรืออยู่กับใคร

ป้ายร้านซีแอตเติ้ลเป็นป้ายตั้งทรงสามเหลี่ยมสีส้มสด มันวางอยู่บนฟุตบาทหน้าร้าน ชายหนุ่มหายใจแรงๆ เข้าปอด ยืนพิงราวเหล็กกั้นริมถนน แดดของช่วงบ่ายโดนดักไว้ด้วยอาคารสูงชะลูด ชายหนุ่มแหงนหน้ามองสูงขึ้นไปบนช่องว่างระหว่างตึก นึกขอบคุณพระเจ้า ในใจของเขา กำลังภาวนาให้เกมบอกว่าชีวิตเกมมีความสุขดี

ความสุขเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากได้ แต่ความสุขแบบไหนกันแน่ที่เกมต้องการ ความสุขของแต่ละคนคงแตกต่างกันไปสินะ หากว่าคนสองคนเป็นความสุขของอีกคน มันก็ต้องเกิดขึ้นโดยไม่มีการแยกจาก แต่เขากับเกมต่างคนต่างออกเดินทางเพราะความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นตรงกลางทาง ต่างคนต่างไปโดยไม่ได้หันหลังกลับมามองสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ ไม่พยายามประคับประคองสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นความสุขให้ยังคงอยู่หรือกลับไปเป็นอย่างเก่า

ทั้งเกม ทั้งเขา เราต่างปล่อยแก้วน้ำใส่ความสุขในมือให้หล่นลงสู่พื้น แตกกระจายและหายไปอย่างไม่มีวันได้กลับมาคืน มีเพียงความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่ ถ้อยคำในความฝันที่เจ็บปวด “พี่ไนท์ใจร้าย” ประโยคที่มันกึกก้องในจิตใจมาโดยตลอดเป็นเพียงสิ่งเดียวที่หลงเหลืออยู่อย่างแข็งแกร่ง

“พี่ไนท์คะ!”

เสียงเรียกคุ้นหู คุ้นเหมือนยังได้ยินมาตลอด ชายหนุ่มลดสายตาลงมา เข็มนาฬิกาที่ตายเหมือนกระโดดข้ามจากวันที่หยุดอยู่มาเป็นวันนี้ เกมยืนอยู่ตรงหน้า มีความแตกต่างไปนิดหน่อยจากเกมที่เขารู้จัก เกมดูอ้วนขึ้นแต่ก็ไม่มาก แววตาดูหม่นกว่าแต่ก่อน เกมไว้ผมยาวสีน้ำตาลแดง ใบหน้าซีดแบบที่เกมเป็นเจ้าของก็ยังซีดเซียว

“เกม” เขาเอ่ยชื่อเธอเบาๆ

ในระหว่างที่ความเงียบทำงานเหมือนเครื่องจักรทรงประสิทธิภาพ เขารู้ว่าทั้งเขาและเกมกำลังรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ ขึ้นมาในสมอง ช่องว่างของเวลาที่หายไปไม่เคยมีเรื่องราวของอีกคนจนถึงตอนนี้

“เกมสบายดีไหม?” พีรพงษ์เอ่ยคำถามแรก หญิงสาวตรงหน้าผงกศรีษะนิดๆ เป็นคำตอบที่ทำให้หัวใจและสมองกลับมาทำงานอย่างสมบูรณ์
“สบายดีสินะ?” เขาถามย้ำเหมือนพูดลอยๆ กับตัวเอง
“ใช่จ้ะ สบายดี” เกมตอบกลับมาแบบนั้น รอยยิ้มแบบที่เกมชอบยิ้มเวลาพึงพอใจปลอบประโลมความกังวลทั้งหลายแหล่ที่เขามีก่อนหน้านี้จนหมด ความกังวลที่ว่าเขาจะรู้สึกนึกคิดและเป็นอย่างไรหากได้เจอกันจริงๆ
“เกมดูอ้วนขึ้นนะ”
“ฮึ พูดเรื่องไม่ได้เรื่องเหมือนเคย เค้าไม่ทักกันหรอกนะเรื่องน้ำหนักน่ะ” เกมดุ ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความคุ้นชินแบบนี้ที่หายไปนานมากแล้ว
“ก็...”
“คิดถึงพี่ไนท์นะ” เธอยิ้ม เขาเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
“พี่ก็คิดถึงเกม”
“ค่ะ”
....................



นรมันร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ต.ค. 2556, 02:48:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ต.ค. 2556, 02:48:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 925





<< บทที่ 25 : ซิดนี่ย์ วอล์ก(1)   บทที่ 27 : ซิดนี่ย์ วอล์ค (3) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account