เพียงใจเจ้าเอย
หัวใจพี่ไม่อาจมอบให้ใครอื่นได้ เพราะเจ้าจับจองมันไว้ทั้งดวงแล้ว

พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
Tags: รักโรแมนติก,เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ ๓.๒ - 100%

ลูกธนูสีทองแหวกผ่านอากาศไปปักลงตรงแผ่นไม้ทรงกลมซึ่งแขวนอยู่กลางลำตันไม้ใหญ่สามคนโอบ เป้าหมายของคนยิงคงกะจะให้ปักลงตรงจุดศูนย์กลาง แต่กลับพลาดเป้าหมายเมื่อลูกธนูปักเหนือจุดศูนย์กลางไปประมาณหนึ่งนิ้ว เจ้าตัวจึงครางอย่างเสียดายปนหงุดหงิด ยิ่งหัวเสียหนักขึ้นเมื่อลูกธนูสีดำมะเมื่อมของ ‘คู่แข่ง’ ปักลงตรงจุดศูนย์กลางอย่างเหมาะเหม็ง!

“โอ๊ย!! แพ้อีกแล้ว!!”

น้ำเสียงพร่ำบ่นดังก้องไปทั่วราวป่า ตามมาด้วยคำค่อนขอดเหมือนเช่นทุกครั้งที่แพ้

“ตัวสอนเราถูกแน่นะ หรือสอนแบบผิดๆถึงได้ชนะเราทุกครั้งแบบนี้!”

ฟ้าหญิงอุษาวดีเม้มพระโอษฐ์แน่นหลังตรัสจบ สองพระเนตรเบิกกว้างและวาววับจับจ้องเพียงพระพักตร์ของอีกฝ่ายที่ตอนนี้ไม่ได้ยาวจนดูน่าเกลียดแบบเมื่อก่อนแล้ว หากมีพระหนุค่อนข้างเหลี่ยมขับเน้นให้พระพักตร์ดูดุดันและคร้ามคมกว่าเดิมแบบที่องค์เจ้าหลวงทิศวัตกับพระราชินีบุษบาบันรับสั่งว่า

‘ยิ่งโตก็ยิ่งงาม ’

ยิ่งโตยิ่งงามเป็นอย่างไร ฟ้าหญิงอุษาวดีพอจะเข้าพระทัย หากเจ้าตัวกลับไม่เห็นด้วย มักจะขัดทุกครั้งไป

‘ยิ่งโตยิ่งงามอะไรกันล่ะเพคะ หญิงว่า ยิ่งโตยิ่งวางท่าใหญ่โตล่ะไม่ว่า’

พระมารดาถึงกับตีเผียะเข้าที่พระพาหา ต่อว่าต่อขานกันเล็กน้อย ส่วนพระบิดาเอาแต่สรวลก้องไม่ถือสาหาความ เฉกเช่น ‘คนวางท่า’ ที่ยังวางเฉยราวกับไม่รู้สึกรู้สากับข้อกล่าวหานั้น คนว่าจึงยิ่งนึกหมั่นไส้มากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะตอนอยู่กับพี่หญิงของพระองค์ ก็ยิ่ง ‘ทำขรึม’ ทำองค์เป็นผู้ใหญ่เสียมากมาย ทรงเห็นแล้วรู้สึก ‘ขัดลูกหูลูกตา’ อย่างไรพิกล แต่ก็นั่นแหละ...ถึงจะรู้สึกเช่นนั้น พระองค์ก็เต็มพระทัยจะช่วยให้บุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองได้เชื่อมสัมพันธไมตรีกันอย่างแน่นแฟ้น โดยทรงถือคติที่ว่า...หากคนที่รักมีความสุข พระองค์ก็จะเป็นสุขไปด้วย

วรองค์โปร่งระหงไม่ได้เล็กป้อมเหมือนเมื่อก่อนสาวพระบาทเข้าไปหาฟ้าชายชลธิศธราดลที่บัดนี้ไม่เก้งก้างอีกต่อไปแล้วแต่กลับมีพระวรกายบึกบึนสูงใหญ่จนต้องแหงนเงยสบพระเนตร ทั้งๆที่พระองค์สูงกว่าเดิมเกือบเท่าพี่หญิงแล้ว แต่ยามอยู่เบื้องพระพักตร์ ‘เพื่อนตัวโต’ กลับรู้สึกตัวเล็กกะจ้อยร่อยเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด!

“ว่าไง ตัวตั้งใจสอนเราจริงๆรึเปล่า”

“ตั้งใจสิ” รับสั่งพลางสบพระเนตรกลมโตคลางแคลงพระทัยนั้นแน่วนิ่ง “ทรงเห็นหม่อมฉันเป็นคนแบบไหนกันถึงถามแบบนี้”

เอาแล้วไง...’เพื่อนตัวโต’ ชักจะโมโหละ

‘เจ้าจอมยุ่ง’ดำริในพระทัย ก่อนจะแย้มพระโอษฐ์กว้างประจบอีกฝ่ายเป็นอันดับแรก

“โธ่ เราก็แค่ถามเล่นๆ ไม่ได้คิดจริงจังอะไรหรอก” ทรงสาวพระบาทเข้าไปใกล้อีก แล้วตรัสต่อว่า “เราจำได้ตัวสอนว่าต้องฝึกเยอะๆถึงจะยิงแม่น เราคงฝึกน้อยเอง ไว้คราวหน้ามาแข่งกันใหม่นะ”

“ไม่ได้หรอก ไม่เหมาะ”

ความผิดหวังฉายชัดอยู่เต็มพระพักตร์ของคนฟัง ทรงเอียงพระศอแล้วทำท่าครุ่นคิดเฉกเช่นยามอยู่ในวัยเยาว์

“เอ...ไม่เหมาะยังไง?”

คนถูกถามอ้าพระโอษฐ์จะตอบ แต่กลับชะงักค้างอยู่แค่นั้น จ้องพระพักตร์รูปไข่ที่มีพระฉวีผุดผ่องไม่แพ้พระเชษฐภคินี พระปรางยุ้ยๆซับสีเรื่อ ขณะที่พระโอษฐ์จิ้มลิ้มแดงระเรื่อตามธรรมชาติ ที่สะดุดเนตรมากกว่าสิ่งใด คือความสดใสบริสุทธิ์ของพระเนตรกลมโตคู่นั้น งดงามจนยากจะละสายพระเนตรไปได้ง่ายๆ

ฟ้าหญิงอุษาวดีทรง ‘โต’ มากแล้ว...มากจนพระองค์ไม่อาจทำสนิทสนมแบบเมื่อก่อนได้ หากจะรับสั่งเหตุผลไป อีกฝ่ายก็คงไม่เข้าพระทัยอยู่ดี สดท้ายจึงเลือกที่จะนิ่งเงียบเป็นการยุติบทสนทนาเพียงเท่านั้น หากเจ้าตัวยุ่งหาได้ยอมไม่

“ตัวไม่อยากตอบ? ทำไมล่ะ มันตอบยากหรือ?”

“จะค่ำแล้วกลับเถอะ”

ทรงหมุนองค์กลับไปหาอาชาทรงที่ถูกมัดไว้กับต้นไม้ทางด้านหลัง ข้างๆกันนั้นเป็นเจ้าหนึ่งอาชาตัวโปรดของฟ้าหญิงอุษาวดี มันกำลังส่งเสียงร้องราวกับเป็นสุขที่ได้ออกมาเที่ยว เฉกเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้าของที่ยังโปรดปรานการมาเที่ยวป่าเป็นชีวิตจิตใจ

“อะไร จะกลับแล้ว? เพิ่งออกมาแป๊บเดียวเอง”

“ออกมานานๆไม่ดี เดี๋ยวหญิงนางจะเป็นห่วง”

‘หญิงนาง’ คือคำเรียกอย่างสนิทสนมที่ฟ้าชายชลเรียกพระพี่นางของพระองค์ เริ่มเรียกตั้งแต่เมื่อไหร่ทรงจำไม่ได้แล้ว ทรงจำได้แค่ว่าปีนี้ทั้งปีฟ้าชายเก้งก้างรับสั่งคำว่าหญิงนางมากกว่าหญิงวดีเสียอีก แถมยังพยายามหลบพระพักตร์พระองค์อยู่บ่อยๆอีกด้วย เพราะเหตุนี้จึงทรงพยายามดึงอีกฝ่ายออกมาจากบรรดาราชองครักษ์หรือนางกำนัลทั้งหลายเพื่อจะได้ ‘พูดคุย’ กันให้เข้าใจ

“ตัวเป็นอะไร ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน”

หญิงวดีปราดไปประทับยืนขวางฟ้าชายชลไว้ แล้วรับสั่งถามด้วยสีพระพักตร์จริงจัง บอกชัดว่าต้องการคำตอบที่แท้จริง ไม่ใช่ถ้อยคำที่ปัดไปปัดมาแบบเมื่อก่อน

“ไม่เหมือนตรงไหน หม่อมฉันยังเหมือนเดิม”

“ตัวไม่เล่นกับเราเหมือนเดิม”

“ทรง...โตแล้ว”

“แล้วไง ถ้าเราโต ตัวก็จะไม่สนใจเราใช่ไหม”

คนถูกถามทอดถอนพระอัสสาสะ มองพระพักตร์บึ้งตึง และหยาดอัสสุชลที่เอ่อคลอในพระเนตรกลมโตก็อดพระทัยอ่อนไม่ได้ รีบกระโดดลงจากหลังอาชาทรง สาวพระบาทเข้ามาวางพระหัตถ์ลงบนพระเศียรเล็กแบบที่โปรดทำอยู่บ่อยๆ

“ไม่ใช่ว่าหม่อมฉันไม่สนใจ พระองค์ยังเป็นเจ้าตัวยุ่งของหม่อมฉันเหมือนเดิม แต่ทรงโตมากแล้ว จะให้กลับไปเล่นหัวกันแบบเมื่อก่อนมันก็ไม่ใช่ ถ้าใครมาเห็น อาจจะพูดถึงพระองค์ในทางเสียๆหายๆ” ทรงใช้หลังพระหัตถ์เช็ดน้ำพระเนตรที่เปรอะเปื้อนพระปรางออกอย่างนุ่มนวล แล้วตรัสต่อว่า “ที่หม่อมฉันทำแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วง...หม่อมฉันห่วงเจ้าตัวยุ่งของหม่อมฉันมาก รู้บ้างไหม”

สิ้นเสียงนั้นเจ้าตัวยุ่งก็สูดพระนาสิกฟุตฟิต แย้มโอษฐ์กว้างจนแทบเห็นพระทนต์ทุกซี่ เห็นแบบนี้ฟ้าชายชลก็เบาพระทัยไปโข

“เข้าใจกันแล้วใช่ไหม”

หญิงวดีพยักพระพักตร์รวดเร็วจนพระเกศาที่รวบเป็นมวยไว้กลางพระเศียรหลุดลุ่ย ตกลงมาล้อมกรอบกระพักตร์รูปไข่ เพื่อนตัวโตของพระองค์ก็พระทัยดีเกล้าพระเกศาให้ใหม่...ทรงทำได้เพราะเมื่อก่อนทรงทำให้เจ้าตัวยุ่งของพระองค์อยู่บ่อยๆ

“กลับได้ยัง?”

“อื้อ แต่...ขอร้องอย่างหนึ่งได้ไหม”

พระบาทที่กำลังจะก้าวไปหยุดชะงัก ผู้เป็นเจ้าของเอี้ยวองค์มาเลิกพระขนงถาม

“เรื่องอะไร?”

“เราสองคนไม่เล่นหัวกันแบบเมื่อก่อนก็ได้ แต่ตัวอย่าหลบหน้าเราอีก...” ถ้อยรับสั่งดูจะเป็นคำสั่งเกินไป เจ้าตัวจึงเติมประโยคท้ายด้วยเสียงแผ่วเบา “...ได้ไหม”

คำขอร้องนั้นได้ผลอย่างแน่นอน เพราะฟ้าชายชลแย้มพระโอษฐ์กว้างเป็นคำตอบรับ




ฟ้าหญิงอุษาวดีควบขับเจ้าหนึ่งด้วยพระอารมณ์ที่แตกต่างจากขามา เรียกว่ารื่นรมย์อย่างมากก็ว่าได้ ยามนี้เพื่อนตัวโตของพระองค์แทบจะกลับมาเป็นฟ้าชายเก้งก้างองค์เดิมแล้ว จริงอยู่ที่อาจไม่ได้คลุกคลีตีโมงหรือเล่นไล่จับปลุกปล้ำกันอย่างเมื่อก่อน แต่อย่างน้อยก็ทรงได้รับรอยยิ้มอบอุ่นกลับคืนมาเฉกเช่นวันวาน

วรองค์โปร่งบางในฉลองพระองค์สีน้ำตาลรัดกุมแบบทหารกระตุกบังเหียนกระตุ้นใหเจ้าหนึ่งห้อตะบึงเต็มฝีเท้าแซงนำฟ้าชายชลผู้ทำเพียงเหลือบพระเนตรมาเท่านั้น

“จะรีบไปไหน”

“ไม่ได้รีบ แต่จะแข่งม้ากะตัวตะหาก!”

“เฮ้อ” คนตัวโตทอดถอนพระทัยอย่างแรง ตรัสอย่างขบขันกึ่งระอาว่า “ก็แพ้เหมือนเดิมแหละ”

“ก็ไม่แน่หรอก ถึงเราจะแพ้บ่อยๆก็ไม่ได้หมายความว่าจะแพ้ตลอดไปหรอกนะ!”

ฟ้าชายชลธิศธราดลทรงแย้มพระโอษฐ์ สรวลเบาๆในพระศอก่อนสายพระพักตร์

“วันหลังค่อยแข่ง วันนี้มืดมากแล้ว อันตราย”

จริงอย่างทีรับสั่ง บัดนี้ความมืดเริ่มโรยตัวครอบคลุมรอบบริเวณแล้ว ทางเบื้องหน้าก็แทบจะมองไม่เห็นด้วยซ้ำไป เห็นดังนั้นฟ้าหญิงอุษาวดีจึงสั่งให้เจ้าหนึ่งผ่อนฝีเท้า รั้งมันให้มาเดินเคียงข้างอาชาทรงของฟ้าชายชล จนเกือบจะถึงคอกม้าจึงตรัสถาม

“ตัวเคยไปวสุนธราไหม”

“ยังไม่เคย ทำไม? อยากไป?”

“อื้อ” ทรงพยักพระพักตร์ตอบรับอย่างง่ายดาย “อยู่ติดสิขเรศนี่เองแต่เรายังไม่เคยไปเลย” พระองค์รับสั่งรำพึงรำพันกับองค์เอง ก่อนจะเพิ่มสุรเสียงให้ดังขึ้นเมื่อตรัสถามว่า “ตัวเคยเจอไหม”

คนถูกถามทำพระพักตร์งุนงง พระขนงขมวดเข้าหากัน แววเนตรที่สบพระเนตรกลมโต มีแววประหลาดทั้งเอ็นดูระคนขบขัน

“เจอใครกัน?”

“เจ้าชายภูมิธรน่ะซี เห็นทูลหม่อมพ่อว่าอีกสองสามวันจะเสด็จมา เราเลยอยากรู้ว่าตัวรู้จักมักคุ้นบ้างรึเปล่า”

“เคยพบกันครั้งหนึ่งตอนเด็กๆ แต่ยังไม่เคยคุยกันเลย”

“งั้นหรือ”

พระขนงที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งขมวดหนักกว่าเดิม

“ถามทำไม สนพระทัยอะไรนัก?”

“ก็...” ยังไม่ทันตรัสตอบ เจ้าหนึ่งก็พามาถึงคอกม้าพอดี พระองค์จึงไม่ได้สนพระทัยกับคำถามนั้นอีก ทรงกระโดดลงจากหลังม้า แล้วยื่นบังเหียนให้กับทหารนายหนึ่งผู้อยู่เวรดูแลคอกม้าในคืนนั้น

“ดูแลมันดีๆล่ะ ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมา เราฟ้องทูลหม่อมพ่อแน่!” ทรงกำชับเสียงเข้ม ก่อนจะเสด็จตัวปลิวจากไป ทิ้งให้เพื่อนตัวโตของพระองค์ทอดพระเนตรตามด้วยความหงุดหงิดพระทัยเล็กๆ

...ก็ทรงละทิ้งคำถามของพระองค์ไปเสียอย่างนั้น แล้วจะไม่ให้หัวเสียได้อย่างไร

ฟ้าชายชลส่ายพระพักตร์ยื่นสายบังเหียนให้กับทหารคนนั้น ขณะที่ราชองครักษ์ของพระองค์ปราดเข้ามาถวายคำนับเต็มพิธีการ

“กระหม่อมกำลังจะออกไปตามพอดี”

“หืม? ตาม? ตามทำไม เราไม่ได้ไปไหนไกล”

“กระหม่อมเป็นห่วง” ฟ้าชายชลสรวลเบาๆในพระศก ตบพระหัตถ์ลงบนบ่าแข็งแรงสามสี่ครั้งแล้วบีบหนักๆ

“ขอบใจที่เป็นห่วงนะโฆษิต แต่เจ้าคิดว่าเราอ่อนแอจนดูแลตัวเองไม่ได้งั้นหรือ”

“กระหม่อมมิบังอาจ”

“เอาเถอะ เราก็ไม่ได้ว่าอะไร รู้สึกขอบใจเจ้าด้วยซ้ำที่ห่วงเราอยู่เสมอ” ตรัสพลางไขว้พระหัตถ์ไว้ทางเบื้องพระปฤษฎางค์ พร้อมกับสาวพระบาทไปตามทางเดินอิฐทอดยาวผ่านวนอุทยานสองสามแห่งกว่าจะมาถึงพระตำหนักที่พระองค์พำนักอยู่

“มารอเราถึงนี่ มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า”

“องค์เจ้าหลวงทรงส่งมาเร็วมากำชับให้พระองค์กลับคิมหันต์นครได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เอ...ถึงเวลาต้องกลับแล้วหรือ?” ถ้อยรับสั่งนั้นเป็นเพียงการรำพันกับตัวเอง หาใช่เป็นคำถามไม่ โฆษิตเองก็รู้จึงไม่ได้ทูลตอบ แต่เพราะรู้จักสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กทำให้เขากล้าพอที่จะทูลถามต่อข้อสงสัยที่อยู่ในใจ

“ทรงห่วงทางนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”

คนถูกถามเหมือนจะสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็รู้จักควบคุมตัวเองได้เป็นอย่างดี พระพักตร์ของพระองค์จึงยังเรียบเฉย ขณะที่แววเนตรกลับมีประกายเรืองรองอย่างประหลาด

“จะให้เราห่วงอะไร หรือ...ห่วงใครล่ะ”

“มีตั้งหลายคนกระหม่อม”

“หืม?” ทรงหันองค์มาจ้องรูปหน้าเรียวยาวสีผิวค่อนไปทางสีน้ำผึ้งอย่างจริงๆจังๆ “เช่นใครบ้าง ไหนบอกมาซิ”

“ทรงรู้แน่แก่พระทัยอยู่แล้ว ไม่ต้องให้กระหม่อมทูลตอบหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

ฟ้าชายชลสรวลอย่างชอบพระทัย พร้อมกับหันกลับไปก้าวพระบาทขึ้นบันไดหินทรงเตี้ยหน้าพระตำหนัก ผ่านซุ้มประตูโค้งซึ่งแกะสลักไว้อย่างวิจิตร ก่อนตรัสต่อว่า

“เราอยากทำความรู้จักกับเจ้าชายภูมิธรสักหน่อย เห็นเขาลือกันว่างามนักล่ะ ที่สำคัญอยากรู้ว่าเสด็จมาถึงนี่เพียงเพราะต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีเพียงอย่างเดียว หรือมีอย่างอื่นแอบแฝงด้วย”

เมื่อมาหยุดหน้าห้องพระบรรทม กลับไม่ก้าวเข้าไปด้านใน แต่สาวพระบาทมาเท้าพระหัตถ์กับขอบระเบียง แล้วเงยพระพักตร์ชมพระจันทร์เบื้องบน

“ดูท่าหญิงวดีจะสนใจอยู่ไม่น้อย”

“ไม่แปลกกระหม่อม”

“ไม่แปลกงั้นหรือ ยังเด็กอยู่แท้ๆ”

โฆษิตหัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ทำให้ฟ้าชายชลหันพระพักตร์ขวับมาจับจ้องอย่างคาดคั้น ไม่ต้องตรัสถาม ราชองครักษ์หนุ่มก็รีบตอบเสียโดยเร็ว

“ในสายตากระหม่อม ฟ้าหญิงอุษาวดีทรงโตมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“มากขนาดไหน?”

“มากขนาดเริ่มที่จะสนพระทัยในรูปกายของบุรุษ และพร้อมที่จะรู้จักความรักพ่ะย่ะค่ะ”

ฟ้าชายชลธิศธราดลไม่ได้ตรัสถามอะไรอีก แต่หันกลับไปชื่นชมความงามของดวงดาวและดวงจันทร์อย่างเงียบๆ...เงียบจนแม้แต่ราชองครักษ์คนสนิทก็ยังเดาพระทัยไม่ได้ว่ากำลังดำริในสิ่งใด




ในที่สุดวันนี้ก็จบบท 555
ไรท์ค้างคาใจมากจนหงุดหงิด เลยมาปั่นต่อให้จบบทซะเลย หุหุ

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ :)





ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ต.ค. 2556, 19:17:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ต.ค. 2556, 00:17:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1655





<< บทที่ ๓.๑   บทที่ ๔.๑ >>
sumitt 28 ต.ค. 2556, 19:56:09 น.
รอตลอด รู้ไว้ด้วยจ้า


แว่นใส 28 ต.ค. 2556, 20:09:48 น.
เริ่มรู้สึกแปลก ๆ แล้วล่ะสินนะ


chuwub 28 ต.ค. 2556, 21:15:10 น.
ฟ้าชายชล ไม่เก้งก้างแล้ว หญิงวดีก็สวยขึ้น รอลุ้นๆ ว่าแต่ใครจะมาคะ ยังไม่เฉลยเลย


nasa 28 ต.ค. 2556, 22:55:17 น.
เอ ฟ้าชายยังปิ๊งองค์พี่อยู่ หรือรู้สึกกับหญิงวดีเปลี่ยนไปแล้ว


Sukhumvit66 28 ต.ค. 2556, 23:09:13 น.
แอบรักหญิงวดีอยู่แน่นอน อัยย่ะ.....


คิมหันตุ์ 29 ต.ค. 2556, 00:37:35 น.
จะหวงไม๊น้อ มีหนุ่มๆ มาแอบดูตัวละมั๊ง


แว่นใส 29 ต.ค. 2556, 08:08:42 น.
ตัวแปรกำลังจะมาแล้วนะเนี่ย


Zephyr 29 ต.ค. 2556, 18:08:40 น.
เอ๊ะ ชายชลมารอบนี้ มาดูว่าตัวยุ่งสวยจริงรึป่าวใช่มะ
อืม ปากบอกรักพี่ แต่หัวใจเรียกร้องน้องสินะ
เจ้าชายภูมิธร คุณคือจุดเปลี่ยนของเรื่องรึไม่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account