Uluru ด้วยรักนิรันดร์
ตอนที่ความรักนั้นจบลง
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
ชีวิตของผมก็เหมือนไม่อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป ...
นานเท่านาน ...
หัวใจจมดิ่งลงไปสู่เบื้องลึกของความทรงจำอันเจ็บปวด
ตอนที่คุณหายไป ...
ชีวิตผมบาดเจ็บจนลืมไปว่ามันสามารถรักษาได้
นานเท่านาน ...
หัวใจได้เยียวยาด้วยหัวใจ ...
แล้วเราคงข้ามผ่านมันไปด้้วยกัน ...
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 27 : ซิดนี่ย์ วอล์ค (3)
เหมือนอยู่ในความฝัน พีรพงษ์รู้สึกเช่นนั้น เมื่อการที่ได้เดินไปข้างๆ เกมแบบนี้อีกครั้งเหมือนเป็นความฝันจริงๆ ชายหนุ่มเองก็นึกอยากจะถามหญิงสาวที่เดินอยู่ข้างกันอีกครั้งเพื่อให้รู้ว่าเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่
พีรพงษ์เดินตามเกมที่พาตัดตรอกเล็กๆ ทะลุออกไปยังลานสาธารณะ ช่วงขายาวๆ ของเกมก้าวไปอย่างมั่นคง เสียงพื้นร้องเท้าส้นเตี้ยเคาะพื้นถนน ก็อกๆ มือที่แกว่งสลับกันเป็นอิสระอยู่ในจังหวะเดิน ใจของชายหนุ่มอยากเอื้อมไปคว้ามือมาจับไว้แล้วเดินไปด้วยกัน แต่ความรู้สึกบางอย่างห้ามใจตัวเองไว้
“ได้มาเดินไปด้วยกันกับพี่ไนท์ในซิดนี่ย์แบบนี้ เหมือนไม่ใช่ความจริงเลยเน๊อะ” เกมพูดลอยๆ เอียงคอมามองชายหนุ่ม และยิ้มนิดๆ
“อืม ยังกับความฝัน” เขาตอบ
“งั้นแบบนี้ล่ะ” เกมบิดแขนเขาเบาๆ “ยังเป็นความฝันอยู่ไหม?”
“อุ๊บ!” พีรพงษ์อุทาน
ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าหญิงสาวใช้มือของเธอจับเข้ากับฝ่ามือของเขา จะสัญชาตญาณหรือเพราะความปรารถนาก็ตาม เขากุมมือนั้นไว้โดยอัตโนมัติ มือของเกมยังคงบอบบางไม่ต่างกับวันเก่าก่อน มันสั่นเล็กน้อยเหมือนคนตื่นกลัวอะไรบางอย่าง เขาเลยออกแรงบีบเบาๆ
เกมหันมายิ้ม ยิ้มจนตาหยีแบบที่เกมเป็นเจ้าของ พีรพงษ์รู้ได้ทันทีว่าเขาปรารถนาที่จะเห็นภาพนี้มาโดยตลอด
คนสองคนที่เคยรักกันมาก เดินเคียงข้างกันไป เกมทำหน้าที่เหมือนไกด์นำเที่ยวไปด้วย สลับกับเล่าเรื่องราวของตัวเองไปด้วย แต่ชายหนุ่มรับรู้แต่เรื่องราวของหญิงสาวเท่านั้น
เกมพาเขาเดินเข้าไปในสวนสาธารณะขนาดไม่ใหญ่นัก หญ้าอ่อนของฤดูใหม่ถูกตัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อย ใต้ร่มเงาของต้นไม้ต้นโตมีแสงแดดที่ทะลุลอดลงมาเต้นบนผิวทางถนน เกมนั่งลงบนม้านั่งเหล็กในมุมที่มองออกไปเห็นหมู่ตึกสูงลิบของนครแห่งนี้ เธอออกแรงดึงเขานั่งลงข้างกัน
“นี่คือเมืองของเกม” เธอเอ่ยถ้อยคำเรียบๆ แต่พีรพงษ์รู้สึกเหมือนประโยคดังกล่าวได้ระบุช่องว่างระหว่างเขากับเธอ
“เมืองที่เกมกำลังมีชีวิตอยู่ เมืองที่เกมมีวันพรุ่งนี้ให้สู้และพยายาม” หญิงสาวบอกด้วยเสียงหนักแน่น
เกมเล่าว่าสามปีที่แล้วหลังจากเกมเปลี่ยนงานไปหลายแห่ง เธอโชคดีได้งานการตลาดของบริษัทสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรไทยรายหนึ่ง บริษัทกำลังจะทำตลาดย่านที่อยู่อาศัยของชาวเอเชียในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ มีตำแหน่งที่ต้องไปประจำที่ต่างประเทศ และเธอเลือกโอกาสนั้นให้ตัวเอง
นอกจากจะต้องแนะนำสินค้าแก่ร้านต่างๆ เธอยังต้องวางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อให้สินค้าสามารถสู้กับเจ้าของพื้นที่เดิมๆ ให้ได้ เธอเล่าว่าเป็นงานที่หนักมากเพราะบริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้สูง และพิจารณาทุกสามเดือน ถ้าไม่ถึงเกณฑ์ก็ต้องดึงกลับประเทศไทยและส่งคนใหม่มาแทน และเกมก็เอาชนะการแข่งขันได้เพียงแค่ช่วงสั้นๆ หกเดือนหรือสองครั้งของการพิจารณาเท่านั้นที่เกมผ่านมาได้ แต่ในรอบที่สามหญิงสาวรู้ตัวว่าอย่างไรก็คงเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายเกมเลือกที่จะสมัครงานใหม่ในบริษัทของผู้หญิงไทยที่มาแต่งงานอยู่กินกับสามีชาวออสเตรเลียที่นี่ และลาออกจากบริษัทเดิม
“แล้ว?” พีรพงษ์อยากจะถามว่าชีวิตของคนที่เขาเคยรักเป็นอย่างไร
“เกมยอมแพ้ไม่ได้หรอกนะพี่ไนท์ เกมเรียนรู้ที่จะต้องเข้มแข็ง ถึงมันจะเหนื่อยและหนัก แต่ถ้ามันทำให้เกมอยู่รอดถึงพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปได้ เกมก็จะต้องทน”
คำบอกเล่าแบบนี้พีรพงษ์รับรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวคงไม่ได้มีชีวิตที่สบายนัก ความสงสารจับกุมหัวใจ เขาอยากจะชวนเธอกลับไปเมืองไทยด้วยกัน
“คิดถึงพี่ไนท์นะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง
พีรพงษ์จ้องหน้า มองเข้าไปดวงตาสุกใสคู่เดิมที่เขาชอบมอง “พี่ก็คิดถึงเกม” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความโหยหา
“เมื่อหลายปีก่อนที่เราแยกทางกัน ตอนนั้นเกมยังนึกสงสัยอยู่เลยว่าพี่ไนท์จะตามหาเกมไหม แต่ต่อให้พี่ไนท์อยากตามหาพี่ไนท์ก็ไม่มีทางเจอเกมหรอก เพราะเกมไปอยู่ไกลจนพี่ไนท์ไม่มีทางไปเจอ”
“จริงเหรอ?”
“จริ๊งง!” เธอทำเสียงสูง
“ตอนนั้นเกมไปอยู่ภูเก็ต ทำรีสอร์ทบนเกาะเล็กๆ สัญญาณติดต่อก็ไม่ค่อยจะมี”
“พี่รู้ไหม? กลับจากเกาะมาเกมก็ไม่เคยกลับเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ แม้แต่ช่วงเวลาเดียว”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วและถาม “ทำไม?”
“เกมไม่รู้ว่าเกมจะบังเอิญเจอพี่ไนท์หรือใครที่รู้จักวันไหนตอนไหน เกมกลัวความทรงจำและเรื่องราวเก่าๆ จะทำให้รู้สึกเจ็บปวด” หญิงสาวบอก
“พี่ขอโทษนะ” พีรพงษ์รู้สึกว่าความทุกข์กำลังถาโถมเข้าใส่เขา
“ไม่เป็นไร ตอนนั้นเกมก็แค่รู้สึกน้อยใจ แต่พอผ่านมาเรื่อยๆ อยู่ตัวคนเดียวมานานๆ เกมก็อยู่กับมันได้ แล้วเกมก็ค่อยเป็นค่อยไปจนได้มาที่นี่”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบ จนหญิงสาวหันมายิ้มให้
“พี่คงใจร้ายมากเลยสินะตอนนั้น” เขาถาม
หญิงสาวไม่ตอบ แต่ใช้มือทั้งสองข้างจับมือของเขาไว้แน่น
“อย่าไปคิดถึงมันเลยนะ อดีตผ่านไปแล้ว อย่าไปจมอยู่กับมันเลย” เธอบอก
....................
เสียงเคาะประตูห้องพักรัวดัง เกมสะดุ้งตื่นจากนอนหลับไปด้วยความเพลีย งานออกตลาดต่างจังหวัดในวันแรกทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีไข้รุมๆ คงเพราะทั้งการเดินทางไกลและงานใช้แรงขนย้ายพวกอุปกรณ์และสินค้าเพื่อจัดบูธที่ทำเอาเกมแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงนั่น ดังนั้นเมื่อเสร็จงานหญิงสาวจึงปฎิเสธที่จะไปสังสรรค์เล็กน้อยกับเพื่อนร่วมงาน
เกมขอตัวกลับห้องพักก่อนโดยมีผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่มาในฐานะหัวหน้าชุดคุมงานเป็นคนขับรถมาส่ง ลมแอร์จากช่องในรถทำให้เธอปวดขมับ ดังนั้นเมื่อกลับถึงห้องพักเกมก็ตรงเข้าห้องทันทีและทิ้งตัวลงบนที่นอน
หญิงสาวเดินมาเปิดประตูเพราะคิดว่าเป็นพี่ผู้หญิงอีกคนที่จะพักด้วยกันกลับมาแล้ว แต่กลายเป็นว่าใครสักคนที่อยู่ข้างนอกกระแทกประตูเข้ามาจนเกมล้มลงกับพื้น
แล้วผู้ชายคนนั้นก็กระโจนรวบตัวเกมเอาไว้ มันใช้มือใหญ่หนาปิดปากไม่ให้เกมร้องออกมา และด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวเข้าที่ท้อง ความจุกก็ทำให้เกมหมดแรงสู้หรือดิ้นรน ความทรงจำสุดท้ายที่เธอจำได้คือผ้าที่มีกลิ่นแปลกๆ และแล้วสติของเกมน็อกไป
เพราะการที่ไม่รู้สึกตัว เกมเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับตัวเองบ้าง และเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันก็เป็นวันใหม่ แต่เป็นวันใหม่ที่ทำลายโลกของหญิงสาวไปจนไม่เหลือหรอ
โน้ตสั้นๆ ที่โต๊ะหัวเตียงของพี่ผู้หญิงร่วมห้องพักเขียนทิ้งไว้ว่า “น้องเกมคงเป็นไข้ หัวหน้าอนุญาตให้พักไม่ต้องออกไปบูธ” และหน้าจอโทรศัพท์ที่มีรูปภาพที่ทำให้เธอต้องช็อก มันเป็นรูปถ่ายจากกล้องมือถือ รูปที่ถ่ายเธอซึ่งไม่ได้สติกำลังถูกทำอะไรต่ออะไร รูปนั้นถูกส่งเข้ามือถือของเธอโดยเบอร์ของผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด และข้อความอีกหนึ่งข้อความที่บอกว่า “ยังมีอีกหลายสิบรูป คงรู้นะว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปแจ้งความหรือบอกใครจะเกิดอะไรขึ้น”
เกมร้องไห้ออกมาโดยอัตโนมัติเมื่อรู้ว่าตัวเองกลายเป็นผู้เคราะห์ร้าย คนแรกที่เธอนึกถึงคือคนรักที่รอเวลาเธอกลับจากทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ผู้ชายที่เธอรักมาก ผู้ชายที่เป็นครอบครัวของเธอในตอนนี้ ผู้ชายที่เป็นที่ยึดและพักพิงชีวิต ความสับสน ความกลัว ความกังวลใจ ทำให้หญิงสาวเลือกที่จะไม่บอกเขา เธอเลือกที่จะเก็บมันเป็นความลับที่จะไม่ยอมให้เขารู้
ตลอดสัปดาห์ที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นของหญิงสาว เกมพยายามต่อรองเอารูปที่ถูกถ่ายอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายเงื่อนไขข้อตกลงทุกอย่างระหว่างเธอและผู้ชายคนนั้นก็เป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย
เงื่อนไขมีอยู่ว่าหญิงสาวจะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้ เมื่อกลับไปกรุงเทพให้ทำตัวเป็นปกติ แต่ต้องอยู่ในชุดทีมงานออกบูธกิจกรรมการตลาดของบริษัททุกครั้งในช่วงสองเดือนจากนี้ ซึ่งก็คือสัปดาห์เว้นสัปดาห์ และแน่นอนว่าต้องมีอะไรกับผู้ชายคนนั้นด้วย โดยข้อแลกเปลี่ยนคือภาพที่ถ่ายไว้จะถูกลบทิ้งไปเรื่อยๆ เมื่อครบสองเดือนภาพก็จะถูกลบจนหมด
....................
โชคร้ายที่คนเลวๆ บนโลกมักไม่มีสัจจะ สองเดือนที่หญิงสาวคิดว่าจะปลดตัวเองจากเรื่องทุกข์ทรมานนี้กลับกลายเป็นการถูกหักหลัง
เงื่อนไขเรื่องเวลาถูกยืดออกไปอีกหนึ่งเดือน พร้อมกับที่ต้องยอมทำตามคำสั่งบังคับของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะไปกินข้าว ดูหนัง หรือไปหลับนอนด้วย
น้ำตาของหญิงสาวรินไหลอย่างเจ็บปวด แต่เธอก็คิดว่ามันไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับข้อตกลงนั้นแบบกล้ำกลืน เพราะเธอไม่รู้ว่าถ้าคนที่เธอรักรู้ความจริงว่าเธอกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ เขาจะรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอได้หรือไม่ ถ้าอีกแค่เดือนเดียวทุกอย่างก็จบ ภาพถูกลบทิ้งจนหมด เธอก็จะได้รับอิสระ
สิ่งที่เกมทำคือการหาข้ออ้างให้กับการกลับถึงห้องดึกมากขึ้น ข้ออ้างของการต้องออกจากห้องในวันหยุดสุดสัปดาห์บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะอ้างเรื่องออกบูธของบริษัท นัดกินข้าวกับเพื่อน หรือแม้แต่กระทั่งอ้างว่ากลับบ้านต่างจังหวัดที่เธอไม่เคยกลับไปเหยียบสักครั้ง
ความเสียใจที่สุดต่อสิ่งที่หญิงสาวได้ทำ... มันคือการที่ต้องโกหกคนที่เธอรักโดยตลอด
และที่เธอเจ็บปวดที่สุดก็คือ... เขาขับไล่ให้เธอต้องเดินออกมาจากชีวิตของเขาโดยที่ไม่เคยรู้ความจริงเบื้องหลังแม้แต่น้อย
....................
พระอาทิตย์ลับฉากหลังตึกสูงแทนที่จะลับขอบฟ้า หนุ่มสาวคนไทยสองคนที่เคยรักกันมากเดินจับมือกันไปกลางมหานครอันวุ่นวาย ดูผิวเผินเหมือนคู่รักคู่หนึ่งที่มาเที่ยวต่างประเทศในช่วงความรักผลิบาน แต่นี่คือคนสองคนที่พลัดพรากจากกันมานาน
พีรพงษ์พบว่าตัวเองมีเวลาอยู่กับคนที่ตามหาได้แค่ฟ้ามืดเท่านั้น เพราะเธอมีงานในบ้านที่ต้องทำ ชายหนุ่มอยากไปส่งอดีตคนรักถึงที่พัก แต่เธอว่ามันจะลำบากในการเดินทางกลับที่พักของเขา และแม้จะพยายามอ้อนวอนขอไปส่งอย่างไร เกมก็ยืนยันคำเดียวว่าไม่ต้อง
สถานีเซ็นทรัลเป็นจุดล่ำลา พีรพงษ์โบกมือให้หญิงสาวที่อยู่อีกฟากประตูรถไฟฟ้า เธอโบกตอบพร้อมกับยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เฉลยคำตอบว่าเธอยังโกรธและเกลียดเขาอยู่ไหม?
ชายหนุ่มเอียงตัวมองผ่านหน้าต่างออกไปเพื่อจับสายตาไว้ที่อดีตคนรักให้นานที่สุด จนกระทั่งภาพนั้นลับสายตา
“ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับพี่ไนท์เป็นช่วงเวลาที่เกมมีความสุขที่สุด ถึงมันจะแค่ช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่งของชีวิต แต่เกมก็ขอบคุณตัวเองที่เคยมีช่วงเวลานั้นเสมอ” คำพูดของเกมเมื่อตอนอยู่ในสวนสาธารณะถูกหวนคิดขึ้นมา
“เกมโชคดีที่ได้รักพี่ไนท์ และโชคดียิ่งกว่าที่พี่ไนท์รักและใส่ใจเกมแบบที่เกมต้องการ”
“เกมเสียใจที่การจากมาของเกมทำให้ชีวิตพี่ไนท์ต้องมีปัญหา แต่เกมไม่เคยลืมแม้แต่ครั้งเดียวว่าเกมเคยมีพี่ เคยได้อยู่กับพี่ เคยฝันถึงอนาคตด้วยกัน”
“เกมไม่เคยโกรธวันที่พี่บอกเลิกกัน เกมเคยว่าพี่ไนท์ใจร้าย แต่จริงๆ ไม่ใช่... พี่ไนท์ไม่ได้ใจร้าย เป็นเกมต่างหากที่ใจร้าย เกมใจร้ายกับตัวเอง”
แรงโยกสั่นและเสียงกึงกังของรถไฟยามที่แล่นไปไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ต่างกัน จากสถานีเซ็นทรัลที่รถเคลื่อนตัว พีรพงษ์ไม่รู้ว่าเขาจะได้เจอกับหญิงสาวอีกไหม? แต่บางอย่างที่ค้างคาอยู่ได้หลุดร่อนออก และแม้ว่าจะได้พบหรือไม่ได้พบเธออีกแล้ว เขาก็รู้ว่าบาดแผลที่มีเกมเกี่ยวข้องด้วยได้รับการรักษาแล้ว
พีรพงษ์เดินตามเกมที่พาตัดตรอกเล็กๆ ทะลุออกไปยังลานสาธารณะ ช่วงขายาวๆ ของเกมก้าวไปอย่างมั่นคง เสียงพื้นร้องเท้าส้นเตี้ยเคาะพื้นถนน ก็อกๆ มือที่แกว่งสลับกันเป็นอิสระอยู่ในจังหวะเดิน ใจของชายหนุ่มอยากเอื้อมไปคว้ามือมาจับไว้แล้วเดินไปด้วยกัน แต่ความรู้สึกบางอย่างห้ามใจตัวเองไว้
“ได้มาเดินไปด้วยกันกับพี่ไนท์ในซิดนี่ย์แบบนี้ เหมือนไม่ใช่ความจริงเลยเน๊อะ” เกมพูดลอยๆ เอียงคอมามองชายหนุ่ม และยิ้มนิดๆ
“อืม ยังกับความฝัน” เขาตอบ
“งั้นแบบนี้ล่ะ” เกมบิดแขนเขาเบาๆ “ยังเป็นความฝันอยู่ไหม?”
“อุ๊บ!” พีรพงษ์อุทาน
ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าหญิงสาวใช้มือของเธอจับเข้ากับฝ่ามือของเขา จะสัญชาตญาณหรือเพราะความปรารถนาก็ตาม เขากุมมือนั้นไว้โดยอัตโนมัติ มือของเกมยังคงบอบบางไม่ต่างกับวันเก่าก่อน มันสั่นเล็กน้อยเหมือนคนตื่นกลัวอะไรบางอย่าง เขาเลยออกแรงบีบเบาๆ
เกมหันมายิ้ม ยิ้มจนตาหยีแบบที่เกมเป็นเจ้าของ พีรพงษ์รู้ได้ทันทีว่าเขาปรารถนาที่จะเห็นภาพนี้มาโดยตลอด
คนสองคนที่เคยรักกันมาก เดินเคียงข้างกันไป เกมทำหน้าที่เหมือนไกด์นำเที่ยวไปด้วย สลับกับเล่าเรื่องราวของตัวเองไปด้วย แต่ชายหนุ่มรับรู้แต่เรื่องราวของหญิงสาวเท่านั้น
เกมพาเขาเดินเข้าไปในสวนสาธารณะขนาดไม่ใหญ่นัก หญ้าอ่อนของฤดูใหม่ถูกตัดแต่งไว้อย่างเรียบร้อย ใต้ร่มเงาของต้นไม้ต้นโตมีแสงแดดที่ทะลุลอดลงมาเต้นบนผิวทางถนน เกมนั่งลงบนม้านั่งเหล็กในมุมที่มองออกไปเห็นหมู่ตึกสูงลิบของนครแห่งนี้ เธอออกแรงดึงเขานั่งลงข้างกัน
“นี่คือเมืองของเกม” เธอเอ่ยถ้อยคำเรียบๆ แต่พีรพงษ์รู้สึกเหมือนประโยคดังกล่าวได้ระบุช่องว่างระหว่างเขากับเธอ
“เมืองที่เกมกำลังมีชีวิตอยู่ เมืองที่เกมมีวันพรุ่งนี้ให้สู้และพยายาม” หญิงสาวบอกด้วยเสียงหนักแน่น
เกมเล่าว่าสามปีที่แล้วหลังจากเกมเปลี่ยนงานไปหลายแห่ง เธอโชคดีได้งานการตลาดของบริษัทสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรไทยรายหนึ่ง บริษัทกำลังจะทำตลาดย่านที่อยู่อาศัยของชาวเอเชียในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ มีตำแหน่งที่ต้องไปประจำที่ต่างประเทศ และเธอเลือกโอกาสนั้นให้ตัวเอง
นอกจากจะต้องแนะนำสินค้าแก่ร้านต่างๆ เธอยังต้องวางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อให้สินค้าสามารถสู้กับเจ้าของพื้นที่เดิมๆ ให้ได้ เธอเล่าว่าเป็นงานที่หนักมากเพราะบริษัทตั้งเป้าการเติบโตไว้สูง และพิจารณาทุกสามเดือน ถ้าไม่ถึงเกณฑ์ก็ต้องดึงกลับประเทศไทยและส่งคนใหม่มาแทน และเกมก็เอาชนะการแข่งขันได้เพียงแค่ช่วงสั้นๆ หกเดือนหรือสองครั้งของการพิจารณาเท่านั้นที่เกมผ่านมาได้ แต่ในรอบที่สามหญิงสาวรู้ตัวว่าอย่างไรก็คงเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายเกมเลือกที่จะสมัครงานใหม่ในบริษัทของผู้หญิงไทยที่มาแต่งงานอยู่กินกับสามีชาวออสเตรเลียที่นี่ และลาออกจากบริษัทเดิม
“แล้ว?” พีรพงษ์อยากจะถามว่าชีวิตของคนที่เขาเคยรักเป็นอย่างไร
“เกมยอมแพ้ไม่ได้หรอกนะพี่ไนท์ เกมเรียนรู้ที่จะต้องเข้มแข็ง ถึงมันจะเหนื่อยและหนัก แต่ถ้ามันทำให้เกมอยู่รอดถึงพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปได้ เกมก็จะต้องทน”
คำบอกเล่าแบบนี้พีรพงษ์รับรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวคงไม่ได้มีชีวิตที่สบายนัก ความสงสารจับกุมหัวใจ เขาอยากจะชวนเธอกลับไปเมืองไทยด้วยกัน
“คิดถึงพี่ไนท์นะ” หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง
พีรพงษ์จ้องหน้า มองเข้าไปดวงตาสุกใสคู่เดิมที่เขาชอบมอง “พี่ก็คิดถึงเกม” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความโหยหา
“เมื่อหลายปีก่อนที่เราแยกทางกัน ตอนนั้นเกมยังนึกสงสัยอยู่เลยว่าพี่ไนท์จะตามหาเกมไหม แต่ต่อให้พี่ไนท์อยากตามหาพี่ไนท์ก็ไม่มีทางเจอเกมหรอก เพราะเกมไปอยู่ไกลจนพี่ไนท์ไม่มีทางไปเจอ”
“จริงเหรอ?”
“จริ๊งง!” เธอทำเสียงสูง
“ตอนนั้นเกมไปอยู่ภูเก็ต ทำรีสอร์ทบนเกาะเล็กๆ สัญญาณติดต่อก็ไม่ค่อยจะมี”
“พี่รู้ไหม? กลับจากเกาะมาเกมก็ไม่เคยกลับเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ แม้แต่ช่วงเวลาเดียว”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วและถาม “ทำไม?”
“เกมไม่รู้ว่าเกมจะบังเอิญเจอพี่ไนท์หรือใครที่รู้จักวันไหนตอนไหน เกมกลัวความทรงจำและเรื่องราวเก่าๆ จะทำให้รู้สึกเจ็บปวด” หญิงสาวบอก
“พี่ขอโทษนะ” พีรพงษ์รู้สึกว่าความทุกข์กำลังถาโถมเข้าใส่เขา
“ไม่เป็นไร ตอนนั้นเกมก็แค่รู้สึกน้อยใจ แต่พอผ่านมาเรื่อยๆ อยู่ตัวคนเดียวมานานๆ เกมก็อยู่กับมันได้ แล้วเกมก็ค่อยเป็นค่อยไปจนได้มาที่นี่”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบ จนหญิงสาวหันมายิ้มให้
“พี่คงใจร้ายมากเลยสินะตอนนั้น” เขาถาม
หญิงสาวไม่ตอบ แต่ใช้มือทั้งสองข้างจับมือของเขาไว้แน่น
“อย่าไปคิดถึงมันเลยนะ อดีตผ่านไปแล้ว อย่าไปจมอยู่กับมันเลย” เธอบอก
....................
เสียงเคาะประตูห้องพักรัวดัง เกมสะดุ้งตื่นจากนอนหลับไปด้วยความเพลีย งานออกตลาดต่างจังหวัดในวันแรกทำให้เธอรู้สึกเหมือนมีไข้รุมๆ คงเพราะทั้งการเดินทางไกลและงานใช้แรงขนย้ายพวกอุปกรณ์และสินค้าเพื่อจัดบูธที่ทำเอาเกมแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงนั่น ดังนั้นเมื่อเสร็จงานหญิงสาวจึงปฎิเสธที่จะไปสังสรรค์เล็กน้อยกับเพื่อนร่วมงาน
เกมขอตัวกลับห้องพักก่อนโดยมีผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่มาในฐานะหัวหน้าชุดคุมงานเป็นคนขับรถมาส่ง ลมแอร์จากช่องในรถทำให้เธอปวดขมับ ดังนั้นเมื่อกลับถึงห้องพักเกมก็ตรงเข้าห้องทันทีและทิ้งตัวลงบนที่นอน
หญิงสาวเดินมาเปิดประตูเพราะคิดว่าเป็นพี่ผู้หญิงอีกคนที่จะพักด้วยกันกลับมาแล้ว แต่กลายเป็นว่าใครสักคนที่อยู่ข้างนอกกระแทกประตูเข้ามาจนเกมล้มลงกับพื้น
แล้วผู้ชายคนนั้นก็กระโจนรวบตัวเกมเอาไว้ มันใช้มือใหญ่หนาปิดปากไม่ให้เกมร้องออกมา และด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวเข้าที่ท้อง ความจุกก็ทำให้เกมหมดแรงสู้หรือดิ้นรน ความทรงจำสุดท้ายที่เธอจำได้คือผ้าที่มีกลิ่นแปลกๆ และแล้วสติของเกมน็อกไป
เพราะการที่ไม่รู้สึกตัว เกมเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับตัวเองบ้าง และเมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันก็เป็นวันใหม่ แต่เป็นวันใหม่ที่ทำลายโลกของหญิงสาวไปจนไม่เหลือหรอ
โน้ตสั้นๆ ที่โต๊ะหัวเตียงของพี่ผู้หญิงร่วมห้องพักเขียนทิ้งไว้ว่า “น้องเกมคงเป็นไข้ หัวหน้าอนุญาตให้พักไม่ต้องออกไปบูธ” และหน้าจอโทรศัพท์ที่มีรูปภาพที่ทำให้เธอต้องช็อก มันเป็นรูปถ่ายจากกล้องมือถือ รูปที่ถ่ายเธอซึ่งไม่ได้สติกำลังถูกทำอะไรต่ออะไร รูปนั้นถูกส่งเข้ามือถือของเธอโดยเบอร์ของผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายการตลาด และข้อความอีกหนึ่งข้อความที่บอกว่า “ยังมีอีกหลายสิบรูป คงรู้นะว่าถ้าเอาเรื่องนี้ไปแจ้งความหรือบอกใครจะเกิดอะไรขึ้น”
เกมร้องไห้ออกมาโดยอัตโนมัติเมื่อรู้ว่าตัวเองกลายเป็นผู้เคราะห์ร้าย คนแรกที่เธอนึกถึงคือคนรักที่รอเวลาเธอกลับจากทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ผู้ชายที่เธอรักมาก ผู้ชายที่เป็นครอบครัวของเธอในตอนนี้ ผู้ชายที่เป็นที่ยึดและพักพิงชีวิต ความสับสน ความกลัว ความกังวลใจ ทำให้หญิงสาวเลือกที่จะไม่บอกเขา เธอเลือกที่จะเก็บมันเป็นความลับที่จะไม่ยอมให้เขารู้
ตลอดสัปดาห์ที่เหมือนตกนรกทั้งเป็นของหญิงสาว เกมพยายามต่อรองเอารูปที่ถูกถ่ายอย่างยากลำบาก แต่สุดท้ายเงื่อนไขข้อตกลงทุกอย่างระหว่างเธอและผู้ชายคนนั้นก็เป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย
เงื่อนไขมีอยู่ว่าหญิงสาวจะต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายให้ใครรู้ เมื่อกลับไปกรุงเทพให้ทำตัวเป็นปกติ แต่ต้องอยู่ในชุดทีมงานออกบูธกิจกรรมการตลาดของบริษัททุกครั้งในช่วงสองเดือนจากนี้ ซึ่งก็คือสัปดาห์เว้นสัปดาห์ และแน่นอนว่าต้องมีอะไรกับผู้ชายคนนั้นด้วย โดยข้อแลกเปลี่ยนคือภาพที่ถ่ายไว้จะถูกลบทิ้งไปเรื่อยๆ เมื่อครบสองเดือนภาพก็จะถูกลบจนหมด
....................
โชคร้ายที่คนเลวๆ บนโลกมักไม่มีสัจจะ สองเดือนที่หญิงสาวคิดว่าจะปลดตัวเองจากเรื่องทุกข์ทรมานนี้กลับกลายเป็นการถูกหักหลัง
เงื่อนไขเรื่องเวลาถูกยืดออกไปอีกหนึ่งเดือน พร้อมกับที่ต้องยอมทำตามคำสั่งบังคับของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะไปกินข้าว ดูหนัง หรือไปหลับนอนด้วย
น้ำตาของหญิงสาวรินไหลอย่างเจ็บปวด แต่เธอก็คิดว่ามันไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับข้อตกลงนั้นแบบกล้ำกลืน เพราะเธอไม่รู้ว่าถ้าคนที่เธอรักรู้ความจริงว่าเธอกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ เขาจะรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอได้หรือไม่ ถ้าอีกแค่เดือนเดียวทุกอย่างก็จบ ภาพถูกลบทิ้งจนหมด เธอก็จะได้รับอิสระ
สิ่งที่เกมทำคือการหาข้ออ้างให้กับการกลับถึงห้องดึกมากขึ้น ข้ออ้างของการต้องออกจากห้องในวันหยุดสุดสัปดาห์บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะอ้างเรื่องออกบูธของบริษัท นัดกินข้าวกับเพื่อน หรือแม้แต่กระทั่งอ้างว่ากลับบ้านต่างจังหวัดที่เธอไม่เคยกลับไปเหยียบสักครั้ง
ความเสียใจที่สุดต่อสิ่งที่หญิงสาวได้ทำ... มันคือการที่ต้องโกหกคนที่เธอรักโดยตลอด
และที่เธอเจ็บปวดที่สุดก็คือ... เขาขับไล่ให้เธอต้องเดินออกมาจากชีวิตของเขาโดยที่ไม่เคยรู้ความจริงเบื้องหลังแม้แต่น้อย
....................
พระอาทิตย์ลับฉากหลังตึกสูงแทนที่จะลับขอบฟ้า หนุ่มสาวคนไทยสองคนที่เคยรักกันมากเดินจับมือกันไปกลางมหานครอันวุ่นวาย ดูผิวเผินเหมือนคู่รักคู่หนึ่งที่มาเที่ยวต่างประเทศในช่วงความรักผลิบาน แต่นี่คือคนสองคนที่พลัดพรากจากกันมานาน
พีรพงษ์พบว่าตัวเองมีเวลาอยู่กับคนที่ตามหาได้แค่ฟ้ามืดเท่านั้น เพราะเธอมีงานในบ้านที่ต้องทำ ชายหนุ่มอยากไปส่งอดีตคนรักถึงที่พัก แต่เธอว่ามันจะลำบากในการเดินทางกลับที่พักของเขา และแม้จะพยายามอ้อนวอนขอไปส่งอย่างไร เกมก็ยืนยันคำเดียวว่าไม่ต้อง
สถานีเซ็นทรัลเป็นจุดล่ำลา พีรพงษ์โบกมือให้หญิงสาวที่อยู่อีกฟากประตูรถไฟฟ้า เธอโบกตอบพร้อมกับยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เฉลยคำตอบว่าเธอยังโกรธและเกลียดเขาอยู่ไหม?
ชายหนุ่มเอียงตัวมองผ่านหน้าต่างออกไปเพื่อจับสายตาไว้ที่อดีตคนรักให้นานที่สุด จนกระทั่งภาพนั้นลับสายตา
“ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับพี่ไนท์เป็นช่วงเวลาที่เกมมีความสุขที่สุด ถึงมันจะแค่ช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่งของชีวิต แต่เกมก็ขอบคุณตัวเองที่เคยมีช่วงเวลานั้นเสมอ” คำพูดของเกมเมื่อตอนอยู่ในสวนสาธารณะถูกหวนคิดขึ้นมา
“เกมโชคดีที่ได้รักพี่ไนท์ และโชคดียิ่งกว่าที่พี่ไนท์รักและใส่ใจเกมแบบที่เกมต้องการ”
“เกมเสียใจที่การจากมาของเกมทำให้ชีวิตพี่ไนท์ต้องมีปัญหา แต่เกมไม่เคยลืมแม้แต่ครั้งเดียวว่าเกมเคยมีพี่ เคยได้อยู่กับพี่ เคยฝันถึงอนาคตด้วยกัน”
“เกมไม่เคยโกรธวันที่พี่บอกเลิกกัน เกมเคยว่าพี่ไนท์ใจร้าย แต่จริงๆ ไม่ใช่... พี่ไนท์ไม่ได้ใจร้าย เป็นเกมต่างหากที่ใจร้าย เกมใจร้ายกับตัวเอง”
แรงโยกสั่นและเสียงกึงกังของรถไฟยามที่แล่นไปไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ต่างกัน จากสถานีเซ็นทรัลที่รถเคลื่อนตัว พีรพงษ์ไม่รู้ว่าเขาจะได้เจอกับหญิงสาวอีกไหม? แต่บางอย่างที่ค้างคาอยู่ได้หลุดร่อนออก และแม้ว่าจะได้พบหรือไม่ได้พบเธออีกแล้ว เขาก็รู้ว่าบาดแผลที่มีเกมเกี่ยวข้องด้วยได้รับการรักษาแล้ว

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ต.ค. 2556, 16:30:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ต.ค. 2556, 16:30:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 1004
<< บทที่ 26 : ซิดนี่ย์ วอล์ก(2) | บทที่ 28 : บางคนที่คิดถึง >> |