เพียงใจเจ้าเอย
หัวใจพี่ไม่อาจมอบให้ใครอื่นได้ เพราะเจ้าจับจองมันไว้ทั้งดวงแล้ว

พี่ไม่ต้องการใจของใคร นอกจากใจของเจ้า
เพียงใจของวดีเท่านั้นที่พี่ปรารถนา
เพียงหนึ่งใจของเจ้าเท่านั้นที่พี่เฝ้าคอย
Tags: รักโรแมนติก,เจ้าหญิง,เจ้าชาย

ตอน: บทที่ ๔.๑

ในที่สุดก็เลื่อนมาอัพเร็วกว่าเดิมแล้ว ตอนแรกว่าจะอัพมกรา แต่เดือนธันวานี้จะได้อ่านกันแล้วนะคะ
ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่ะ


เจ้าฟ้าชายภูมิธรมีพระสิริโฉมไม่ต่างจากที่ฟ้าหญิงอุษาวดีดำริไว้ บุรุษหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ผิวขาว คิ้วเข้ม ปากแดง...หล่อเหลาขนาดทำให้นางกำนัลในวังกล้าเงยหน้ามองตามหลังเป็นทิวแถว พระองค์เองก็ไม่เว้น ทรงกะพริบเนตรจับจ้องวงพักตร์งดงามดั่งเทพบุตรนั้นด้วยความ ‘ตื่นตาตื่นใจ’ หรือจะอีกนัยหนึ่งคือทรงเป็น ‘ของแปลก’ สำหรับพระองค์ ก็ตั้งแต่ประสูติจนกระทั่งวันนี้พระองค์ยังไม่เคยพบใครงามเท่านี้เลยนี่นา

ทรงเอาแต่จับจ้องจนลืมองค์ถวายบังคม พระพี่นางต้องสะกิด จึงได้พระสติรีบย่อองค์ผลุบแบบที่ทำให้ทูลหม่อมพ่อกับทูลหม่อมแม่หันมาสบพระเนตรพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ราวกับรู้องค์ว่าทำผิด จึงย่อองค์อีกครั้งอย่างเนิบช้าสมเป็นกุลสตรีแบบที่ใครๆอยากให้เป็น!

อากัปกิริยาเช่นนั้นเรียกเสียงสรวลเบาๆจากฟ้าชายวสุนธรา เมื่อเงยพักตร์ขึ้นสบพระเนตรก็ทรงเห็นอะไรบางอย่างเต้นระริกในดวงเนตรสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่าย ทรงแย้มพระโอษฐ์อ่อนหวานตอบรับ ต่อเมื่อตวัดพระเนตรไปเห็นคนที่ยืนอีกฟากฝั่งหนึ่งของท้องพระโรง พระพักตร์ก็แทบหดเหลือสองนิ้ว

อะไรกัน! จ้องอย่างกะเราเพิ่งไปฆ่าใครมายังงั้นแหละ!

ดูสิ! สายพระเนตรคมกริบแทบจะบาดพระฉวีของพระองค์จนแหว่งวิ่นหมดแล้ว!

ทรงหงุดหงิดพระทัยที่ฟ้าชายชลทำท่าทางกริ้วพระองค์อย่างไม่มีเหตุผล จึงย่นพระนาสิกใส่อย่างไม่สนพระทัยที่จะสำรวมกิริยาอีกต่อไป หนำซ้ำยังหันมา ‘โปรยยิ้ม’ ให้กับฟ้าชายผู้มาเยือนอย่างมีจริต ดำริเพียงแค่อยากหา ‘เพื่อนใหม่’ เผื่อบางที ‘เพื่อนเก่า’ จะได้ไม่วางท่าราวกับพระองค์เป็นของตาย

หึ! คิดหรือว่าเราจะมีตัวเป็นเพื่อนแค่คนเดียว คนอื่นเราก็ผูกมิตรเป็น!

ทรงไม่ทราบหรอกว่า ยิ้มของพระองค์เมื่อสี่ปีก่อน กับในตอนนี้มันต่างกันลิบลับเพียงใด

วันวานอาจจะเป็นยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์เหมือนหยาดน้ำค้างยามเช้า หากยามนี้ยิ้มนั้นนอกจากคงความบริสุทธิ์ไว้แล้วยังแฝงจริตจก้านของสตรีที่บุรุษยากจะต้านทานได้ เปรียบเสมือนกำลังมองจ้องดอกกุหลาบซึ่งกำลังแย้มกลีบทีละน้อยๆนั่นละ

ฟ้าชายชลจ้องเนตรไม่กะพริบ แทบจะลืมองค์ไปเสียแล้วว่าการจ้องสตรีเช่นนั้นถือเป็นการเสียมารยาท ทรงลืมไปด้วยซ้ำว่าทรงประทับหน้าเบื้องพระพักตร์ขององค์เจ้าหลวงแห่งสิขเรศ ทรงลืมถึงขนาดสตรีที่ควรจะสนพระทัยมิใช่ฟ้าหญิงพระองค์เล็ก แต่ต้องเป็นฟ้าหญิงพระองค์ใหญ่ต่างหาก

มารู้สึกองค์ก็ตอนสุรเสียงทุ้มนุ่มของเจ้าชายภูมิธรดังก้องไปทั่วท้องพระโรง

“เป็นพระมหากรุณาธิคุณพ่ะย่ะค่ะ”

ทรงไม่ทราบว่าก่อนหน้านั้นฟ้าชายจากวสุนธรารับสั่งอะไรกับองค์เจ้าหลวงกับพระชายาบ้าง ที่ทรงทราบมีเพียงเรื่องเดียวคือ...เจ้าตัวยุ่งของพระองค์กำลังคิดหาเพื่อนใหม่ และอีกหน่อยพระองค์คงจะตกกระป๋องเป็นแน่แท้

ทรงสูดลมหายพระทัยลึกยาวเช่นนั้นสองสามครั้ง รอกระทั่งฟ้าชายภูมิธรเสด็จออกจากท้องพระโรง จึงถวายคำนับ หันไปสบสายพระเนตรกับฟ้าหญิงคคนางค์ ผงกพระเศียรพร้อมรอยแย้มสรวลเล็กน้อย หากแทนที่จะลาฟ้าหญิงพระองค์เล็กด้วยกลับตวัดเนตรผ่านเสียเฉยๆ ก่อนสาวพระบาทออกจากท้องพระโรง แว่วเสียงฝีเท้าถี่เร็วราวกับมีใครวิ่งตาม ไม่ต้องให้เดาก็ทรงทราบว่าเป็นใคร

จากที่คิดจะก้าวพระบาทกลับตำหนักโดยเร็ว จึงเปลี่ยนเป็นทรงพระดำเนินอย่างเนิบช้า จนกระทั่งถึงหน้าท้องพระโรง มือของใครคนหนึ่งก็คว้าหมับที่พระพาหาของพระองค์สมพระทัย

“ตัวโกรธไรเรา”

ทรงไขว้พระหัตถ์ไว้ทางเบื้องพระปฤษฎางค์แล้วเหลียวพระพักตร์ไปสบพระเนตรกลมโตที่มีความสงสัยอยู่เต็มเปี่ยม

“หม่อมฉันไม่ได้โกรธ ทำไมจึงดำริเช่นนั้น?”

“โกรธ! โกรธแน่ๆ! เรารู้!”

ทรงไม่โต้ตอบว่าอย่างไรแต่ก้าวพระบาทต่อไป เป็นการบังคับให้คนจับพระพาหาไม่ยอมปล่อยก้าวตามไปโดยปริยาย

“ดำริเอาเองว่าหม่อมฉันโกรธ”

“เราไม่ได้คิดเอาเอง ดูหน้าตัว เราก็รู้แล้ว! ยอมรับมาดีๆเถอะน่าว่าโกรธเราน่ะ”

สุรเสียงกระเง้ากระงอดนั้นทำให้คนฟังเกือบจะสรวลออกมาแล้ว โทสะที่กรุ่นๆอยู่ในพระอุระเมื่อครู่หายวับไปที่ใดก็ไม่ทราบ

“ตัวโกรธที่วันนี้พี่หญิงยิ้มให้ฟ้าชายตัวโตนั่นใช่ไหม”

ทรงชะงักฝีพระบาทหยุดประทับอยู่กลางซุ้มทางเดินกุหลาบที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่วันนี้กลิ่นนั้นชักฉุนเสียจนพระองค์อยากสาวพระบาทไปเสียให้ไกลๆ

“ทรงเรียกหม่อมฉันว่าฟ้าชายเก้งก้าง แต่เรียก...” ทรงกระแอมกระไอ ก่อนขบพระทนต์รับสั่งต่อไปว่า “ ‘ทางนู้น’ ว่าฟ้าชายตัวโต? จะโตกว่าหม่อมฉันขนาดไหนกันเชียว”

ฟ้าหญิงอุษาวดีดึงพระหัตถ์ออกจากพระพาหาของอีกฝ่ายเพื่อมากอดพระอุระแล้วกวาดพระเนตรสำรวจ จากนั้นก็รับสั่งตอบด้วยสุรเสียงอ่อนพระทัยว่า

“ก็มากโขอยู่นา”

ความลืมองค์ทำให้เพื่อนตัวโตของพระองค์กริ้วหนักขึ้นจนได้

“ทรงอยากได้เพื่อนใหม่ตัวโตมากกว่าเพื่อนเก้งก้างอย่างหม่อมฉันแล้วใช่ไหม”

คนรู้ตัวว่าทำผิดทำหน้าเศร้า ริมฝีปากเม้มเข้าหากันน้อยๆ ตบท้ายด้วยการก้มศีรษะลง ‘ทำคอตก’ แบบที่ทำให้พระพี่เลี้ยงใจอ่อนมานักต่อนักแล้ว

“แหม...ก็เค้าอายุมากกว่าตัวตั้งห้าปี ก็สมควรที่ตัวจะโตกว่าตัวล่ะน่า” ทรงบิดพระหัตถ์ที่ประสานกันแล้วแก้องค์ต่อไปอย่างพยายามให้เหตุผล ‘พอดูได้’ มากที่สุด “อีกห้าปี ตัวคงจะโตเท่าเค้า หรือไม่แน่อาจจะโตกว่าด้วยซ้ำนะ!”

เมื่อเงยพระพักตร์หวังจะสบพระเนตรก็ทรงเห็นเพียงพระปฤษฎางค์เสียแล้ว ชวนให้โทสะที่เฝ้าสะกดไว้เริ่มเดือดปุดๆ

“เราอุตส่าห์ง้อแล้ว ถ้าตัวยังเล่นตัวแบบนี้ เราโป้งจริงๆนะ เอ้า!”

ทรงกัดริมพระโอษฐ์ล่าง รีๆรอๆจะสาวพระบาทหนีก็ยังตัดสินพระทัยไม่ได้ จะปักหลักประทับอยู่ตรงนั้น ก็รู้สึก ‘เสียหน้า’ มากแล้ว สุดท้ายจึงยื่นไม้ตายเด็ด

“ดี! ตัวไม่ยอมคืนดี เราก็ไม่ดีด้วย ต่อแต่นี้เราจะไม่พูดกับตัวแล้ว ไม่มองไม่คุย ไม่เจอหน้า! จะไม่ช่วยตัวเรื่องพี่หญิงด้วย!”

ไม่รู้ประโยคไหนกันแน่ที่ทำให้ฟ้าชายชลหันมา รู้แค่ว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสออกไปมันได้ผล!

“อะไรกัน! เราแหย่เล่นแค่นี้ก็ต้องโกรธเป็นจริงเป็นจังด้วย”

“ก็ตัวไม่มีเหตุผล”

“เหตุผลน่ะ...” ตรัสออกมาแค่นั้นก็นิ่งงันไป เพราะจนใจจะหาคำอธิบายด้วยแม้แต่พระทัยขององค์เองยังหาคำตอบไม่ได้เลยว่าที่กริ้วเจ้าตัวยุ่งด้วยเรื่องอันใดกันแน่

“ช่างเถอะ เรื่องวันนี้ลืมๆมันไปก็แล้วกัน”

วรองค์เล็กสะบัดพระพักตร์พรืด สองมือกอดพระอุระ แถมพระโอษฐ์ยื่นยาวแบบนี้แสดงว่าอยากให้ง้ออย่างไม่ต้องสงสัย ฟ้าชายชลทรงกลั้นเสียงพระสรวลยกหัตถ์ลูบไรพระมัสสุอ่อนจางก่อนรับสั่งถาม

“พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงตอนเย็นใช่ไหม”

“อื้อ...ทำไม? ตัวจะไม่มาร่วมงานหรือไง?”

“เปล่า เพียงแต่หม่อมฉันอาจหายหน้าไปทั้งวัน จะได้เจอพระองค์อีกครั้งก็คงที่งานเลี้ยง”

“ตัวจะไปไหน?” โทสะลดไปเสียครึ่งเมื่อความอยากรู้อยากเห็นเข้าครอบงำ

“เถอะน่า เจอกันตอนเย็นนะเจ้าตัวยุ่ง” ทรงยกพระหัตถ์จะวางลงบนพระเศียรทุยสวยแต่กลับเปลี่ยนพระทัยมานวดพระจุฑามาศขององค์เองเสียอย่างนั้น ก่อนจากกัน พระองค์ตรัสบางอย่างที่ทำให้ฟ้าหญิงอุษาวดีเฝ้ารอค่ำวันพรุ่งนี้อย่างพระทัยจดจ่อว่า

“มีของขวัญจะให้”

พระจุฑามาศ = ท้ายทอย



อัจกลับแก้วระย้าย้อยจากเพดานสูงลิบลิ่วมอบความสว่างไสวไปทั่วท้องพระโรง สาดส่องเพชรนิลจินดารวมทั้งและเข็มอิสริยยศที่ข้าราชบริพารผู้มาร่วมงานสวมใส่จนส่องประกายระยิบระยับชวนแสบตาจนคนที่เพิ่งสาวพระบาทเข้ามาในงานต้องกะพริบพระเนตรถี่เร็ว แม้อากัปกิริยาเช่นนั้นจะหมายถึงความ ‘ไม่งาม’ ในสายพระเนตรของพระพี่นางก็ตาม

ฟ้าหญิงคคนางค์ผู้มีพระชันษาสิบเก้าชันษาในปีนี้ใช้พระหัตถ์ที่วางแนบพระวรกายหยิกเบาๆบนพระพาหาพระขนิษฐา แล้วปรายพระเนตรปราม ตามมาด้วยเสียงกระซิบ

“ทำตัวดีๆหน่อยสิ หญิงวดี อยากให้ทูลหม่อมพ่อกับทูลหม่อมแม่ขายหน้ารึ?”

“โธ่...พี่หญิง วดีไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย มันแสบตาจริงๆนี่นา” ระหว่างสาวพระบาทไปตามพรหมแดงที่ทอดยาวสู่พระราชบัลลังก์ พระองค์ก็กระซิบพร่ำบ่นโดยไม่สนสายพระเนตรดุๆของคนฟังเลยแม้แต่น้อย “ดูสิ...นู่น สวมแหวนเข้าไปได้ยังไงครบห้านิ้ว ไม่เกะกะบ้างรึไง แล้วนั่น...” ทรงบุ้ยพระโอษฐ์ไปยังหญิงกลางคนร่างท้วม ทำผมทรง ‘รังนก’ ที่พระองค์เคยค่อนขอดเมื่อนานมาแล้ว “คุณหญิงวนาลัยสวมสร้อยซะเต็มคอจนแทบจะหันหน้าไปทางไหนไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ใส่มาทำไม้เยอะแยะ หนักก็หนัก แถมยังเสี่ยงอีก ลองคิดดูสิพี่หญิง ถ้าเกิดมีโจรดักปล้นจะทำไง ท่าทางแบบนั้นคงหวงของน่าดู ไม่มีทางให้ไอ้โจรมันง่ายๆแน่ ทีนี้ล่ะ โจรมันคงฆ่าคนเอาของแน่”

“ชู่ว์!”

ฟ้าหญิงคคนางค์รีบขัดเมื่อทั้งสองสาวพระบาทมาหยุดอยู่หน้าพระราชบัลลังก์แห่งองค์เจ้าหลวง ฟ้าหญิงอุษาวดีรีบปิดพระโอษฐ์ทันควัน หันไปแย้มสรวลอ่อนหวานกับพระบรมวงศานุวงศ์ เผื่อแผ่ไปถึงแขกเหรื่อในงานด้วย ข้าราชบริพารบางคนที่รู้จักพระนิสัยพระองค์หญิงเล็กเป็นอย่างดีถึงกับผงะ เพราะฟ้าหญิงพระองค์นี้ถ้าไม่ทำพระพักตร์บึ้งตึง ก็ต้อง ‘แลบลิ้นปลิ้นตา’ อยู่เป็นนิจ หากยิ้มแบบนี้แสดงว่ากำลังทรงกลบเกลื่อนความผิดอะไรบางอย่างเป็นแน่แท้

‘โปรยยิ้ม’ แบบที่พระพี่เลี้ยงเคยสอนว่าเหมาะกับกุลสตรีเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยสาวพระบาทตามพระพี่นางไปนั่งบนพระเก้าอี้ด้านข้างท้องพระโรง

พลันที่ทรุดองค์ลงนั่ง เสียงพูดคุยของเหล่าข้าราชบริพารก็เงียบไปเมื่อฟ้าชายแห่งวสุนธราก้าวพระบาทเข้ามาด้านใน พระองค์เองเพิ่งนั่งก็ต้องลุกขึ้นอีก ชวนให้หงุดหงิดพระทัยจนลืมองค์สบถในพระศอ ผลก็คือพระพี่นางตีเผียะ แม้จะไม่หนักเท่าครั้งก่อนๆแต่ก็ทรงทำให้พระองค์เจ็บๆแสบๆอยู่เหมือนกัน

“หญิงวดี!”

“เพค้า” ทรงลากพระสุรเสียงยืดยาว แล้วกระแอมกระไอ ยืดองค์ตรง ฉาบ ‘ยิ้มกุลสตรี’ ในพระพักตร์ รอคอยที่จะมอบมันให้กับฟ้าชายที่เพิ่งก้าวพระบาทมาถึงกลางท้องพระโรง...ทรงสาวพระบาทช้าก็เพราะมัวแต่โปรยยิ้มให้คนนู้นทีคนนี้ทีนั่นละ นี่ถ้าเป็น...

ทรงขมวดขนง เขย่งปลายพระบาทหาพระวรกายเก้งก้างคนที่บอกว่าจะหาของขวัญมาให้

ป่านนี้ยังไม่มาอีก ไปหาของขวัญถึงไหน หรือจะเที่ยวเพลินจนลืมพระองค์ไปแล้ว?!

ดำริอย่างมีน้ำโห แถมหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าคืนนี้หลังเลิกงานจะทรงแอบไปดักรอหน้าตำหนัก ถ้าโผล่พักตร์มาให้เห็นเมื่อไหร่ล่ะก็ โดนดีแน่!

ทรงกลับมาแย้มโอษฐ์กว้างอีกครั้งเมื่อในที่สุดฟ้าชายภูมิธรก็เสด็จมาถึงที่ประทับ ทรงย่อองค์ชดช้อยเลียนแบบพระพี่นาง เมื่ออีกฝ่ายผงกพระเศียรรับพร้อมรอยแย้มสรวลก็ทรงทราบว่าหมดหน้าที่ หันองค์ไปทางบานพระทวารท้องพระโรง มองจ้องมันด้วยพระทัยจดจ่อ

ไม่หรอก พระองค์ไม่ได้สนว่าเพื่อนตัวโตของพระองค์จะมาหรือไม่มา แต่ที่สนคือทรงไปเที่ยวไหน สนุกรึเปล่า เหตุใดแอบไปเที่ยวเพียงลำพังไม่พาพระองค์ไปด้วย แล้วไหนจะของขวัญอีก ถ้าไม่มาก็แสดงว่าหาของขวัญไม่ได้?

ระหว่างทรงมีพระดำริร้อยแปดอย่างนั้น ก็ถูกพระพี่นางดึงพระหัตถ์เบาๆ

“นั่งลงวดี อย่ายืนเขย่งปลายเท้าแบบนั้น”

ไม่อยากทำตามหรอก แต่ในเมื่อวันนี้เป็นงานต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองจึงจำเป็นต้องทำตัวดีๆบ้าง

พระองค์ลอบระบายลมหายพระทัย ทรุดองค์ลงนั่งประสานมือไว้บนพระเพลา หากสายพระเนตรยังจดจ่ออยู่ที่เดิม หงุดหงิดเล็กน้อยที่ศีรษะของใครต่อใครบดบังทัศนียภาพจนเกือบมิด

ยิ่งทรงกระวนกระวายหนักขึ้น เมื่อใกล้ถึงเวลาที่พระบิดาจะเสด็จ

ถ้าฟ้าชายเก้งก้างไม่มา นั่นย่อมเป็นการหมิ่นพระเกียรติของทูลหม่อมพ่ออย่างไม่ต้องสงสัย

ถ้าเพื่อนตัวโตของพระองค์เที่ยวจนลืมงานสำคัญวันนี้ สิขเรศกับคิมหันต์นครอาจมีเรื่องให้บาดหมางใจกันก็เป็นได้

ถ้าเป็นแบบนี้...

“แล้วตัวจะมาขอพี่หญิงได้ยังไง” ทรงพึมพำกับองค์เอง แต่พระพี่นางพระกรรณไวได้ยินแว่วๆ ส่งเสียงกระซิบถาม ฟ้าหญิงวดีถึงกับสะดุ้ง หันไปสบสายพระเนตร ยังไม่ทันทูลตอบ ก็แว่วเสียงมหาดเล็กหน้าท้องพระโรงรายงานว่า

“เจ้าฟ้าชายชลธิศธราดลเสด็จ!”

เหล่าข้าราชบริพารลุกขึ้นยืนพึ่บพั่บ พระบรมวงศานุวงศ์ เจ้าฟ้าชายภูมิธร และพระพี่นางต่างก็ระทับยืนโดยเร็ว เหลือแค่องค์เองนี่ละที่ยังประทับนั่ง เอนองค์พิงพนัก กอดพระอุระหลุบพระเนตรลงต่ำจ้องพรหมแดงเขม็ง

“วดี! ทำอะไรน่ะ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”

เมื่อพระพี่นางเสียงแข็ง พระองค์ก็ไม่กล้าขัด ค่อยๆประทับยืนอย่างอิดออด บิดขี้เกียจไปทางนู้นทีทางนี้ทีจนเกือบจะถูกตีอีกครั้ง ดีที่ฟ้าชายชลสาวพระบาทมาถึงพอดี ทรงเห็นอีกฝ่ายถวายคำนับด้านนู้น แล้วจึงหันมาด้านนี้ แย้มสรวลให้พระพี่นางเสร็จสรรพก็แลเลยมายังพระองค์

พระเสโทเกาะอยู่บนพระพักตร์พราวบอกชัดว่าคงรีบเร่งมาที่นี่จนแทบไม่ได้หายพระทัย

ท่าทางคงเที่ยวเพลินจนลืมทุกอย่างกระมัง...ทั้งงานเลี้ยง ทั้งของขวัญที่ตรัสไว้ก่อนหน้านั้น

หญิงวดีเริ่มจะกริ้วจนมอบพระโอษฐ์ยื่นยาวให้แทนรอยยิ้ม ก่อนสะบัดพระพักตร์ละม้ายค้อนให้เสียอีก

ฟ้าชายชลไม่ถือสา เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าฟ้าหญิงพระองค์เล็กนั้น ‘แก่นเซี้ยว’ เพียงใด ที่ทรงทำคือยกพระหัตถ์ขึ้น และใช้พระอังคุฐชี้ไปนอกพระโรง เหมือนจะบอกว่าของขวัญเตรียมพร้อมอยู่แล้ว เสร็จงานเมื่อไหร่จะได้เห็น

พระองค์ทรงเลิกพระขนง ราบกับต้องการถามกลับไปว่า...จริงหรือ?

ฟ้าชายชลก็ทรงตอบกลับมาด้วยการพยักพระพักตร์ ก่อนเสด็จไปประทับข้างฟ้าชายวสุนธรา


บทสนทนาสั้นๆบทนั้นลดความกริ้วในพระทัยของฟ้าหญิงพระองค์เล็กได้ เมื่อประทับนั่งพระพักตร์บึ้งตึงจึงแปรเปลี่ยนเป็นรอยแย้มสรวล มอบให้คนนู้นทีคนนั้นทีอย่างผิดวิสัย!





รออ่านกันต่อนะค้า....มาดูกันว่าสองคนนี้เค้าจะทะเลาะกันอีกมั้ย อิอิ



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ธ.ค. 2556, 18:38:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ธ.ค. 2556, 08:18:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1628





<< บทที่ ๓.๒ - 100%   บทที่ ๔.๒ >>
nasa 4 ธ.ค. 2556, 19:56:07 น.
ข่าวดีรับปีใหม่เลย คู่นี้เค้าเหมือนพ่อแง่แม่งอนรุ่นเด็กเลย ต่างคนผูกพันกันแบบไม่รู้ตัว
ว่าจะถามค่ะว่าทำไมฟ้าชายชลต้องมาอยู่ที่นี่ มาเรียนหนังสืออย่างเดียวเหรอ เรียนที่เมืองตัวเองไม่ได้เหรอ


Zephyr 4 ธ.ค. 2556, 20:55:19 น.
ทะเลาะกันยังไงน่ะ ไม่พูดกันสักคำ ฮ่าๆๆๆ
คนนึงใช้คิ้วทะเลาะ อีกคนใช้นิ้วทะเลาะเหรอ
ฮ่าๆๆๆๆ
ลุ้นกับของขวัญจังแฮะ


konhin 4 ธ.ค. 2556, 22:21:04 น.
น่ารักดีคู่นี้


แว่นใส 4 ธ.ค. 2556, 22:56:38 น.
พ่อแง่แม่งอนจริง ๆ


นักอ่านเหนียวหนึบ 5 ธ.ค. 2556, 02:06:31 น.
ของขวัญจากป่าใหญ่??
ของขวัญจากตลาด??
ของขวัญ?????
อัลไลอ่า อยากรู้ๆๆๆ


คิมหันตุ์ 5 ธ.ค. 2556, 03:06:49 น.
น่ารัก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account